วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จึงออกตามหาความหมาย

จึงออกตามหาความหมาย
            อีก 365 วันผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายเรื่องราวผ่านเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวเตรียมใจรับ แต่ทุกสิ่งก็ผ่านไปด้วยดี บนสายพานกาลเวลา สุขทุกข์ไหลผ่านมาผ่านไปใครเล่าจะเก็บไว้กับตัวได้!!!ขอบคุณทุกนาทีที่ทำให้เห็นความหมายของคุณค่าชีวิตมากขึ้นกว่าในทุก ๆ ปี นึกย้อนกลับไปมองดูแล้วทบทวน ใช่... ชีวิตเรามีความสุขเข้ามามากกว่าความทุกข์ เพียงแค่เราไม่ค่อยจะจดจำสะสมความสุขเก็บไว้ สุขแล้วลืมหายละลายไปกับวันคืน ส่วนที่ไม่เคยลืม คือ ความทุกข์ยากลำบากที่เข้ามาแวะเยี่ยมเป็นครั้งคราว
            เมื่ออายุวงปีชีวิตมากขึ้น เริ่มเห็นความเจ็บป่วยของคนรอบกาย ความเจ็บป่วยของตัวเอง  เห็นการจากลาของญาติสนิทมิตรสหายที่ร่วงโรยไปทีละคนสองคนยิ่งใจหาย ยิ่งสงสาร ยิ่งครุ่นคิดว่าที่ผ่านมา ชีวิตเรามีความหมายต่อใครบ้าง? มีความหมายที่จะมอบ “รักและเมตตา” ต่อผู้คนมากน้อยเพียงใด? การงานที่ทำของเรานั้นได้สร้างคุณค่าให้กับจิตใจเราแค่ไหน? หรือเราเพียงมุ่งหวังทำงานเพียงเพื่อให้ได้เงิน และก็เพลิดเพลินจับจ่ายใช้สอยให้หมดไป ทำให้วิถีชีวิตเต็มไปด้วยความสะดวกสบายของตนเป็นอันใช้ได้!!!ในความทุกข์ที่ต้องเผชิญแม้ไม่มากแต่..ช่างทรมานนั้น ได้สอน ได้ให้บทเรียนอะไร ได้บ้างหรือเปล่า
            ในท่ามกลางความทุกข์ ท่ามกลางความเจ็บความปวด สิ่งที่มีความหมายอย่างยิ่ง คือ หัวใจ คือ จิตวิญญาณ คือ กำลังใจ สิ่งเหล่านี้นั้นมีมาในทุกวัน ผ่านมาทางความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านมาทางรอยยิ้ม ความหวังดีมีเมตตาต่อกัน ผ่านมาทางบุคคลผู้เป็นตัวอย่างในฝ่ายทางดี ผ่านมาทางคำตักเตือนสอนสั่ง ผ่านมาทางการรับฟังการน้อมยอมรับในข้อบกพร่อง ผ่านมาทางคำติฉินนินทา คำสรรเสริญ ผ่านมาทางคนรอบกายหายใจร่วมกัน ผ่านมาทางเช้าวันใหม่ อากาศที่เปลี่ยนแปลงและข่าวคราวที่เปลี่ยนไป แล้วเราได้เก็บเกี่ยว เก็บสะสมความงามความดีในทุกนาทีทุกเรื่องไว้มากน้อยเพียงใด
            สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคือในหลวงรัชกาลที่ ๙ ตลอดเวลาทุกนาทีมีชีวิตเพื่อปวงประชา บนความเหนื่อยคือความสุขของลูกไทย บนความยากลำบากเพื่อความสะดวกสบายขึ้นของผู้คน เป็นที่ประจักษ์ถึงความยิ่งใหญ่ของหนึ่งชีวิตที่ทำเพื่ออีกหลายสิบล้านคนบนหนทางธรรม วันนี้ประชาชนชาวไทยจึงไม่อ่อนแรง ที่จะเดินทางมากราบพระบรมศพ หลังจากจัดการกับวันเวลาได้อย่างลงตัวแล้ว จึงนัดหมายกับผู้ร่วมทุกข์ร่วมทาง เพื่อไปยังพระบรมมหาราชวัง พวกเราจะเข้าไปกราบคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นแรงพลังใจให้ก้าวเดินออกไปหาความหมายให้กับชีวิตในปีต่อไป...

            ทุกวันเวลาจึงเป็นการออกหาความหมายให้กับชีวิต การเริ่มต้นเดินทางไปยังท้องสนามหลวงเริ่มต้นในยามเย็นด้วยการนั่งเรือจากวัดราชสิงขร พระอาทิตย์กำลังตกดิน แสงสีทองส่องสะท้อนลงบนผิวน้ำ ยังสะท้อนความหมายในชีวิตของเราว่า การจากกัน การจากลามักแฝงไปด้วยความสวยงามแห่งความหวัง การลาลับกลับขอบฟ้าของดวงตะวันในวันนี้ก็เพื่อมีแสงใหม่ในวันพรุ่งนี้ ชีวิตเราย่อมต้องไม่ระทดท้อต่อความลำบาก มีวันพรุ่งนี้ให้สำหรับเราเสมอ จากท่าหนึ่งถึงท่าหนึ่ง ผู้คนเริ่มมากขึ้น ๆ แต่เรือก็ยังคงแล่นไปด้วยการบังคับของคนขับผู้ชำนาญการ ในชีวิตของเราย่อมมีโอกาสพบเจอผู้คนมากมายและมากขึ้น เราผู้ซึ่งเป็นผู้ขับเรือชีวิต เราชำนาญการมากน้อยเพียงใดที่จะนำพาทุกคนที่ผ่านพบได้พบเจอความดี ความงาม ตามวิถีคริสตชน
            กลุ่มของเราตามที่นัดหมายมีจำนวน ๑๔ คน ระยะทางจากจุดเริ่มต้นตรงท้องสนามหลวงเข้าจนถึงจุดพักคอยว่าไกลแล้ว การนั่งรอคอยยิ่งยาวไกลกว่า แต่สิ่งที่เห็นทำให้เวลาผ่านไปอย่างไม่รู้เบื่อ เห็นความดีผ่านจิตอาสา เห็นการแบ่งปันฉันลูกพ่อเดียวกัน พ่อหลวงผู้ที่ทำให้ทุกคนต่างมีจุดหมายเดียวกัน แม้ต้องรอคอย ก็มิย่อท้อ ในเวลาที่เราไปถึงมีพระราชพิธีฯ ทำให้การเข้าไปกราบพระบรมศพต้อหยุดลงชั่วขณะ การรอคอยยิ่งเพิ่มขึ้น ในขณะเดินหาน้ำดื่มซึ่งมีบริการอย่างทั่วถึงอยู่นั้นได้พบเจอเพื่อนร่วมงานเก่า ที่ไม่ได้พบเจอกันหลายปี จึงถือโอกาสได้พูดคุยไถ่ถามสารทุกข์ต่อกัน เป็นการพบกันแบบมิได้นัดหมายบางครั้งในการรอคอยเรามักพบบางสิ่งที่มิได้คาดหมาย การรอคอยเพิ่มพลังความหวังและกำลังใจต่อเราเสมอ เราได้เห็นผู้ที่รอคอยก่อนหน้าเราลุกขึ้นตั้งแถว หัวใจเริ่มพอง และแล้วก็มาถึงแถวเราจนได้ เดินจากจุดพักคอยเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง ใช้เวลาอีกนับชั่วโมงมีการหยุดรอเป็นระยะ ๆ แต่ความสวยงามยามค่ำคืนก็ดึงดูดความตื่นตาตื่นใจ จนลืมความเหนื่อยเมื่อยล้า ในความเหนื่อยเมื่อยล้าหากว่าเราพยายามมองให้เห็นความสวยงามระหว่างทางบ้าง จะทำให้ชีวิตเราหยัดยืนก้าวหน้าก้าวเดินต่อไปได้

           


เมื่อเข้าสู่ประตูพิมานไชยศรี  ในขณะที่เดินตามแถวเข้าไป มีเวลาได้หยุดยืน จึงตั้งจิตตั้งใจสวดภาวนาให้พ่อหลวง บางช่วงนิ่งสงบส่งใจรำลึกถึงพระคุณความดี ที่พระมหากษัตริย์ผู้สละความสุขส่วนตัวเพื่อสร้างสุขให้ประชาชนมาอย่างยาวนาน ความเมตตานำมาซึ่งความเจริญร่มเย็นและความผาสุก นี่เป็นความหมายที่เราต้องพยายามเดินตามรอยพระองค์ท่าน แม้เพียงไม่กี่นาทีที่เราได้เข้าไปกราบหน้าพระบรมศพ แต่ก็ก่อเกิดความหมายและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ต่อการดำเนินชีวิต ใช่หรือไม่เราทุกคนล้วนมีความหมายต่อกัน เราทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง ในทุกวันเวลา ทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจล้วนเป็นหนทางให้เราออกไปทำให้ความหมายแห่งความรักและความเมตตาปรากฏเป็นจริง อย่าปล่อยให้ชีวิตไร้ความหมายด้วยการอยู่เพียงเพื่อตัวเอง แล้วชีวิตเราจะมีความหมายมากยิ่ง ๆ ขึ้นในทุก ๆ ปี สวัสดีปีใหม่ครับ...

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ บทสุดท้าย

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ บทสุดท้าย


บทที่ ๙ การเอาชนะใจตน
                 “ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่ว ว่าเสื่อม เราต้องฝืน ต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่าง ที่รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริง ๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้น ๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้ มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ”  (พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน ในพิธีเปิดการประชุมยุวพุทธิกสมาคมทั่วประเทศ ครั้งที่ ๑๒ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๓)
                 และแล้วการได้อ่าน ได้ไตร่ตรองเพื่อเลียนแบบคำสอนของพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ก็เดินทางมาถึงบทสุดท้าย ในบทที่ ๙ เพื่อให้เราก้าวเดินต่อไปในชีวิตอย่างมีเป้าหมาย อย่างมีความสุข และประจวบเหมาะกับในบทนี้ตรงกับวันคริสต์มาสพอดี ซึ่งในบทเรียนนี้ได้พูดถึงการเอาชนะใจตน คนเราเกิดมาเพื่อเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์นั้นสิ่งสำคัญก็คือ เรื่องของการฝึกจิตฝึกใจ ให้รู้เท่าทันใจตัวเอง โดยพยายามเอาชนะใจตนเองให้ได้ แล้วเราก็จะได้รับความเข้าใจ ความใส่ใจจากผู้คนรอบข้าง คนเราไม่ใช่เกิดมาเพื่อคว้าชัยชนะต่อคนอื่น แน่ล่ะ... กระแสสังคมยุคใหม่มักฝังความคิดทัศนคติเราให้ต้องเป็นผู้ชนะอยู่ร่ำไป เร่งให้เราก้าวแล้วก็ก้าวอีก เพื่อตักตวงและกอบโกย โดยไม่ได้เหลียวมาแลคนรอบ ๆ ข้าง และยังไม่สามารถที่จะหาเวลานั่งลงไตร่ตรอง หาความหมายที่แท้จริงของชีวิตได้ ครั้นพอผิดหวัง ผิดคาด ไม่ได้ดังใจ ก็มักฟูมฟายว่าร้าย เรียกร้องคนอื่นให้มาเข้าใจ หรือไม่ในทางตรงกันข้าม ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจคนอื่นเพียงเพื่อเข้าครอบครองครอบงำความคิดผู้อื่น ทัศนคติแบบนี้มิใช่จริตคริสตชน ผู้ที่กำลังระลึกถึงการบังเกิดของพระกุมาร


                 ใช่.... ชีวิตเราทุกคนปรารถนาความสุข เราต่างก็มุ่งแสวงหาความสุขและหลุดพ้นจากทุกข์ แต่ในการแสวงหาความสุข เรามักมองข้ามสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป นั่นคือ จิตใจเราแสวงหาทรัพย์สมบัติ เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ตั้งแต่เด็กจนเติบโต ต้องมีพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก โดยที่เข้าใจเอาเองว่า เมื่อเราได้สิ่งนั้นแล้ว ชีวิตก็จะมีความสุข จึงดิ้นรนแสวงหาสิ่งเหล่านี้เป็นเวลานาน แสวงหาไปเรื่อย ๆ แสวงหาไปตลอดชีวิตก็ยังไม่พบความสุขที่แท้จริง เพราะนี่เป็นการแสวงหาความสุขจากภายนอก และพากันเรียกสิ่งนั้นว่า “ความสำเร็จ
                 การสร้างความสำเร็จของแต่ละคนย่อมมาจากความสามารถและความขยัน มุ่งมั่น มานะ  มีความเพียรพยายามที่ต่างแตกกัน  แต่โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนมีความเกียจคร้านรวมทั้งข้อจำกัดอยู่ด้วยเสมอ  หนทางที่จะพาเราไปสู่เส้นทางแห่งความก้าวหน้าในชีวิตก็คือ  การรู้จักขจัดความเกียจคร้านและข้อจำกัดในอุปนิสัยส่วนตัวที่ไม่ดีออกไป ด้วยการเอาชนะใจตนให้ได้เสียก่อน
                 การชนะใจตนนั้นจัดว่าเป็น “ศาสตร์” อย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้เรามีการพัฒนาจิตใจให้ดีและสูงกว่าเดิมได้ การปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจจนลงมือทำร้ายผู้อื่น แม้ดูเหมือนจะได้รับชัยชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะเพียงชั่วคราว ในที่สุดก็จะต้องประสบกับความพ่ายแพ้ เป็นความพ่ายแพ้ที่เรียกว่า แพ้ภัยตน”  เพียงแค่คิดจะเอาชนะผู้อื่น เราก็กลายเป็นผู้แพ้ไปแล้ว คือ แพ้ต่อความโกรธเกลียด ถูกความโกรธเกลียดครอบงำย่ำยีจิตใจจนเร่าร้อน ความโกรธเกลียดนี้แหละ ที่ทำให้เราลืมตัวจนสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้มากมาย การชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การชนะใจตน เพราะถือว่าเป็นการชนะความอยาก และจิตใจที่ใฝ่ต่ำ คนที่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้นั้น จะต้องมีการฝึกแก้นิสัย ข้อบกพร่องของตนเอง ให้เกิดนิสัยที่ดีขึ้นมาทดแทนนิสัยที่ไม่ดีไม่งาม
                 การชนะใจตนยังเป็น “ศิลปะ” อันหนึ่ง ที่ทำให้เราสามารถสร้างอุปนิสัยที่ดีมาสู่ตัวเราได้  ซึ่งการชนะใจตนเองเป็นการทำได้ยาก  แต่ถ้าได้ลองทำครั้งที่หนึ่งแล้ว  ครั้งที่สอง  ครั้งที่สาม  จะค่อย ๆ ง่ายลง  การเริ่มเอาชนะใจตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ลองเริ่มต้นสลัดความเกียจคร้าน พยายามเป็นคนขยัน  มานะ  พากเพียรเตือนตัวเองให้ตั้งมั่นอยู่ในความขยัน  กระตือรือร้นอยู่เสมอ  ไม่นานนิสัยนี้ก็จะติดตัวเรา สิ่งหนึ่งที่เราต้องมีอันดับแรกก่อนอื่นหมด เพื่อนำชีวิตตนเองไปสู่ความสุขที่ยั่งยืน ก็คือ ต้องชนะใจตน จากนั้น ต้องชนะใจคนอื่น การชนะใจทั้งสองแบบนี้ ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่เหนือทุกชัยชนะบนโลกนี้ เมื่อชนะใจตน ก็ไม่ยากที่จะชนะใจผู้อื่น ใครทำได้ก็พบสันติสุขก่อน พระเยซูเจ้าถ่อมพระองค์เองมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็ด้วยการชนะใจตนเองและพระองค์ก็ชนะใจผู้คนอีกมากมายบนโลกนี้ แล้วเราจะไม่ลองทำบ้างหรือ...

ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเรากับท่าน เราให้สันติสุขกับท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย(ยอห์น 14:1,27)

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๘

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๘



บทที่ ๘ ความซื่อสัตย์
                 “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็ก ๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง”  (พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปีพุทธศักราช ๒๕๓๑)
                 หลายสิบปีที่ผ่านมากระแสโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทุกสังคมหันไปบูชาคนมีทรัพย์สมบัติ จนกระทั่งมีความคิดกันว่า “คนรวย คือ คนดีที่น่ายกย่อง” โดยมิได้คำนึงถึงที่มาของความร่ำรวยหรือการได้ครอบครองที่มากกว่าคนอื่น คนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพโดยขยัน สุจริต ไม่เอาเปรียบใครและได้มาซึ่งผลตอบแทนมากมาย คนแบบนี้ต่างหากที่น่ายกย่องสรรเสริญ แต่นั่นแหละด้วยความฉาบฉวยเพียงแค่เห็นคนมีฐานะหน่อยก็เหมารวมว่าเป็นคนดี จึงเป็นที่มาของผู้คนที่อยากจะมีคนนับหน้าถือตา จึงทำทุกอย่าง ให้มีมาก ๆ โดยไม่สนใจถึงวิธีการว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองกลายเป็นสิ่งตายด้านในหัวใจของผู้คน เหลือแต่ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว จนที่สุดสังคมโลกเริ่มแพ้ภัยตัวเอง คนที่เคยถูกยกย่องกลับถูกปลด ถูกไล่อย่างน่ารังเกียจ คุณธรรมความซื่อสัตย์กลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สังคมโลกเริ่มหันมาใส่ใจและเรียกร้องมากยิ่งขึ้น
                 จริง ๆ แล้ว “ความซื่อสัตย์” เป็นหัวใจสำคัญของทุกอย่างในการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งชี้นำทุกความคิดและทัศคติจริตของเรา เป็นสิ่งบ่งบอกเพื่อให้เป็นที่ยอมรับนับถือและไว้วางใจ  เป็นที่น่าคบหาสมาคมด้วย  ถ้าขาดความซื่อสัตย์จะกลายเป็นคนไม่น่าคบหา  เป็นที่ระแวงแคลงใจของคนรอบข้างและผู้ผ่านพบ ไม่ว่าโลกจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ผ่านการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ มาอย่างนับครั้งไม่ถ้วน บางสิ่งล่มสลายหายไป แต่ผู้ปฏิบัติตนด้วยความซื่อสัตย์ก็มักจะมีความเจริญก้าวหน้าทั้งด้านส่วนตัว การประกอบอาชีพ   การสังคม  พูดให้เห็นภาพแบบง่ายขึ้น ความซื่อสัตย์ก็คือการทำอะไรตรงไปตรงมา จริงใจ   ไม่คิดคดทรยศ   ไม่โกง   ไม่หลอกลวง
                 ในหลวง พ่อที่รักยิ่งของเราช่วยไทย พระองค์ท่านเป็นกษัตริย์ที่ยึดถือความซื่อสัตย์เป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งหลายเวลาได้ตรัสกับพวกเราเน้นย้ำเรื่องนี้ตลอดมา และทรงเป็นตัวอย่างของ ความซื่อสัตย์ตลอดพระชนม์ชีพ มีเรื่องบันทึกอยู่มากมาย เช่น ครั้งหนึ่งในการแข่งขันเรือใบ  ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า ที่เสด็จกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาแข่งเรือใบถือว่าผิดกติกา(ฟาวส์)ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น หากไม่ทรงบอกใคร ก็ไม่มีใครทราบ การแข่งก็ดำเนินต่อไปได้ และท่านอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้ แต่ก็ทรงยึดตามกติกาทุกอย่าง ทำตามกติกาทุกประการ เอาความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง เพื่อให้การแข่งนั้นยุติธรรม
                 ในอดีตที่ผ่านมาในหลาย ๆ องค์กร ห้างร้านมักจะสรรหาบุคลากรที่มีความเก่งเป็นหลัก ความขยันและซื่อสัตย์เป็นรอง นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเทคโนโลยียังไม่ทันสมัยเหมือนอย่างในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องอาศัยคนที่มีความรู้หรือมีทักษะมีความชำนาญมาทำงานให้  เมื่อความเจริญทางวัตถุ เทคโนโลยีสูงขึ้นเรื่อย ๆ มีการพัฒนานาทีต่อนาทีจึงทำให้ง่ายในการเข้าถึงข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ และทักษะกันได้ง่ายขึ้น จึงเห็นชัดขึ้นว่าความซื่อสัตย์เป็นความสำคัญลำดับแรก ๆ ที่ทุกองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ก็เห็นข่าว ๆ หนึ่งตามหน้าสื่อสมัยใหม่ เป็นข่าวที่น่าชื่นชมของนักร้องขวัญใจวัยรุ่น หนุ่มตูน อาทิวราห์ คงมาลัย หลังจากวิ่งจบรายการก้าวคนละก้าว 400 กิโลเมตร เพื่อหารายได้ช่วยเหลือโรงพยาบาลที่บางสะพาน และได้รับเงินร่วมบริจาคเป็นจำนวนมาก แต่เขายังคงออกไปวิ่งระยะทาง 27 กิโลเมตร ซึ่งหลายคนคิดว่าเป็นการออกกำลังกายตามปกติ แต่เขาบอกว่า “เพราะตอนที่เข้าเส้นชัยที่โรงพยาบาล ดูที่นาฬิกามันไม่ครบระยะ 400 กม. อย่างที่บอกไว้ว่ากรุงเทพ บางสะพาน 400 กม. มันขาดอีกประมาณ 27 กม. เลยต้องมาวิ่งให้ครบ 400 กม.” เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ความซื่อสัตย์กำลังงอกงามในแผ่นดินไทย

 ภาพ : http://pantip.com/topic/33703431

“ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญเพราะหากขาด ความซื่อสัตย์ที่ว่านี้ รวมไปถึงการมี สัจจะ พูดจริงทำจริง ไม่โกหกหรือพูดเหลวไหล พูดคำไหนเป็นคำนั้นด้วย คนเช่นนี้ไปที่ใด ย่อมเป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นคนมีเกียรติ และถ้าทุกคนทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ก็ย่อมจะทำให้สังคม และประเทศชาติมีความมั่นคง สงบสุข
“ความซื่อสัตย์” เป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อทุกสังคม ไม่ว่าจะเป็นความซื่อสัตย์ในระดับตัวเอง ระดับครอบครัว ในที่ทำงานและระดับประเทศชาติ เราต้องร่วมกันปลูกฝัง สอนเยาวชนคนรุ่นหลังให้ประพฤติปฏิบัติจนกลายเป็นนิสัยประจำชาติให้ได้ เพราะหากคนในสังคมขาดคุณธรรมนี้เมื่อใด ก็จะวุ่นวาย ไม่สงบ ผู้คนก็จะเอารัดเอาเปรียบกันและเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เราอยากจะเห็นประเทศชาติเป็นอย่างนั้นอีกหรือ!!

            เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเงินทองของโลกธรรมแล้ว ผู้ใดจะวางใจมอบสมบัติแท้จริงให้ท่านดูแลเล่า”     (ลก 16:11)...

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๗

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๗


บทที่ ๗หนังสือเป็นออมสิน
“หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้าย ๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๔)
เคยมีคนตั้งคำถามบ่อย ๆ ว่า นำเอาอะไรที่ไหนมาเขียนบทความได้เกือบทุกสัปดาห์ มักจะตอบกลับไปว่า “ได้มาจากสิ่งที่อ่าน” ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา การอ่านคือกิจวัตรประจำวัน ที่พยายามทำมาตลอด อาจจะเป็นเพราะแบบอย่างที่เห็นจากพ่อเมื่อครั้งวัยเด็ก ถ้าพ่อมีเวลาว่างพ่อจะหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน อ่านในทุกหน้า แม้กระทั่งหน้าโฆษณา อ่านแม้กระทั่งถุงใส่กล้วยทอด อ่านหนังสือทุกอย่างทุกประเภท พ่อเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ถ้าถามเรื่องการบ้านการเมือง เรื่องต่างประเทศพ่อมักมีคำตอบที่น่าสนใจเสมอ สิ่งนี้จึงเป็นมรดกตกทอดในเรื่องของการอ่าน การซื้อหนังสือคือสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ไม่เคยคิดเสียดายที่ได้จ่ายเงินออกไป ผลจากการอ่านหนังสือทำให้การคิดเรื่อง การผลิตคำที่จะเขียนที่จะพิมพ์ออกมาเป็นเรื่องไม่ยากนัก เพราะคำในคลังที่เราอ่านมานั้นมันเก็บสะสมเอาไว้ในธนาคารสมองที่พร้อมจะออกดอกผลเมื่อเราคิดถึงเรื่องราวนั้น ครั้นยุคสมัยเปลี่ยนแปลง การอ่านเปลี่ยนไป จากหนังสือก็หาอ่านจากอินเตอร์เน็ตและทางสื่อสมัยใหม่มากขึ้น การอ่านจากหนังสือเริ่มน้อยลงต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความหลากหลายทำให้สมาธิการอ่านลดน้อยลง
การอ่านก็เหมือนกับการออกกำลังกาย แต่เป็นกำลังสายตา และกำลังสมอง สมองก็ต้องการการออกกำลังเพื่อให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีอยู่เสมอเช่นเดียวกับร่างกาย การอ่านหนังสือทำให้สมองของเราได้คิดและได้ทำงานตลอดเวลา ซึ่งทุกครั้งที่มีความทรงจำใหม่ ๆ สมองก็จะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ และเรียกกลับมาเมื่อเราต้องการใช้งาน ยิ่งอ่านหนังสือมาก สมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำก็จะได้ทำงานมากขึ้น ทุกอย่างที่ได้อ่านจะเป็นการเพิ่มเติมความรู้ทั้งสิ้น แน่นอนเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องนำความรู้เหล่านั้นออกมาใช้เมื่อไร? ยิ่งมีความรู้มาก ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างชาญฉลาด อ่านหนังสือมากก็อ่านผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆได้ไม่ยากนัก สิ่งของหรือเงินทอง อาจถูกขโมยไปได้ แต่ความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเอาไปได้
การอ่านช่วยให้มีทักษะในการคิดเชิงวิเคราะห์นำมาซึ่งความรอบคอบสุขุมในการคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ เราจะเห็นว่าในยุคเฟื่องของข้อมูลข่าวสาร จริงบ้างเท็จก็ไม่น้อย มีนับร้อยนับพันอ่านกันแบบเพียงผ่าน ๆ แล้วก็นำไปพูดนำไปวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นแบบผิด ๆ มีมากขึ้นทุกวัน การอ่านแบบนี้จึงไม่ช่วยให้เราพินิจพิเคราะห์สิ่งที่ผ่านตาเราได้เลย ความหลากหลายในการสื่อสารเช่นนี้ดูเหมือนทำให้เกิดการอ่านมากขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับตรงข้ามมันทำให้เราเสียสมาธิ มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ดึงดูดความสนใจของเรา เช็กอีเมล เช็กข้อความ แชทกับเพื่อน อ่านสเตตัส ดูโทรศัพท์มือถือ ทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดลง และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ การอ่านหนังสือควรอ่านเรื่องหนึ่ง เล่มเดียว ก่อนเริ่มทำอย่างอื่นสัก 1520 นาที สามารถช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น และทักษะเชิงวิเคราะห์ก็จะตามมา
อีกสิ่งหนึ่งหนังสือยังเป็นตัวจุดประกาย และเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เราก้าวหน้าก้าวเดินต่อไป ใช้ชีวิตแบบมีคุณค่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น อยากทำนั่นอยากทำนี่ แต่ก็มีกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานอีกหลายอย่างที่ขวางกั้นไม่ให้เราทำทุกสิ่งได้ดังใจหวัง การอ่านจึงเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ทางอ้อมให้กับเรา ใครล่ะจะรู้ว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ประสบการณ์ทางอ้อมที่เราได้รับจากการอ่านจะช่วยเราไว้ได้

เมื่อพูดถึงการอ่านหนังสือ ต้องคิดถึงคนญี่ปุ่นที่อ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ 40-50 เล่มต่อปีเลยทีเดียว การอ่านหนังสือสำหรับคนญี่ปุ่นนั้นได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จะเห็นว่าเด็กญี่ปุ่นเติบโตมากับหนังสือตั้งแต่การอ่านการ์ตูนมังงะ ที่มีภาพประกอบซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กอยากอ่านหนังสือมากขึ้น และอีกทั้งมีเนื้อหาที่สนุกสนาน และก็กลายเป็นนิสัยติดตัวชาวญี่ปุ่นมาจนโต เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นละทิ้งการอ่านหนังสือเลย นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดงานที่เรียกว่า สัปดาห์แห่งการอ่านหนังสือของญี่ปุ่นด้วย เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนึกถึงคือ “การอ่านหนังสือ” การส่งเสริมการอ่านหนังสือเป็นนโยบายทางการศึกษาที่รัฐบาลญี่ปุ่นทุ่มงบประมาณอย่างเต็มที่

การอ่านหนังสือที่มีเรื่องราวดี ๆ สิ่งดีก็จะถูกเก็บสะสมเอาไว้ และพร้อมที่จะเกิดดอกออกผล และถ้าหากเราปรารถนาที่จะเป็นคนดี เป็นคนที่มีคุณค่าเราก็ต้องเริ่มสะสมสิ่งที่ดี ๆ ที่มีคุณค่าตั้งแต่วันนี้ สำหรับเราคริสตชนเรื่องราวที่ดีมีให้เราอ่าน ให้เราฟังมาอย่างยาวนานแสนนาน หากเราตั้งมั่นในปณิธานในการก้าวสู่ความดีงาม หนังสือพระคัมภีร์คือสิ่งที่เราควรหยิบมาอ่านเพื่อให้ความดี ความรัก ดำรงอยู่ในตัวเรา และกระจายออกไปสู่สังคมรอบตัวเรา สร้างความผาสุกให้กับทุกผู้คนตลอดไป

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เรียน(เลียน) คำสอนพ่อ ๖

เรียน(เลียน) คำสอนพ่อ ๖


บทที่ ๖.พูดจริง ทำจริง
“ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม”(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๐)
เมื่อได้ไตร่ตรองในเรื่องของการ พูดจริง ทำจริง มีสองสิ่งที่ผุดขึ้นมานั่นคือ “ใจนักเลง” และการยึดมั่นต่อ “คำสัญญา”
ความเป็นนักเลงที่จะนึกถึงไม่ใช่นักเลงในด้านลบที่เที่ยวตบตีวิ่งปล้น หรือประเภทที่ยกพวกรุมทำร้ายผู้อื่น แบบนั้นเป็นพวกนักเลงที่เพียงอวดเบ่ง อวดอำนาจ และคิดเพียงว่าความร่ำรวยจะช่วยให้ตัวเองอยู่เหนือทุกสิ่งได้ ตรงกันข้ามความเป็นนักเลงในด้านบวกที่จะกล่าวถึงคือการกล้าทำดี กล้ายอมรับผิดรับชอบ กล้าที่จะยืนเคียงข้างความถูกต้อง ปกป้องคนที่อ่อนแอแต่จะมีสักกี่คนที่ทำแบบนี้ได้หากไม่ได้รับการฝึกฝนภายในมาดีพอ เรามักเห็นคนพูดดีมากกว่าพูดจริง บางคนพูดดีเพียงเพราะเป็นคนพูดเก่งพูดมาก พูดถ้อยคำที่มีประโยชน์แต่ปฏิบัติตามถ้อยคำที่พูดไม่ได้พูดเสียงดังเป็นนักเลงอวดใหญ่
วิธีสังเกตคนได้ดีอย่างหนึ่ง คือ การดูคำพูด คนดีแต่พูดมักพูดให้คนเคลิบเคลิ้ม พูดใหญ่โตพูดให้คนลุ่มหลง พูดเกินความจริง พูดเอาดีเข้าตัว คนดีจริง ทำได้จริงแล้วจึงค่อยพูด อะไรที่ทำได้มากก็พูดแต่น้อย อะไรที่ทำไม่ได้ก็ยอมรับไม่โอ้อวด ไม่พูดเกินความจริงส่วนคนดีแต่พูดนั้น พูดไม่จริงทำไม่จริง ทำไม่ได้อย่างที่เคยพูด ไม่นานพอผู้คนรู้เท่าทันความจริง ต่างก็ถอยห่างหนีหายกันหมด แต่สำหรับคนดีจริง พูดจริง ทำจริง ทำดีตามที่พูดผู้คนย่อมสรรเสริญ พบแต่ความเจริญ เป็นนักเลงตัวจริงที่ไม่ต้องพึ่งพิงอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ต้องใช้คำพูดเป็นอาวุธ มีแต่ความจริงใจเป็นเกราะป้องกัน
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระลึกถึงคือการรักษาคำมั่นสัญญา ที่ต้องอาศัยความซื่อสัตย์ ที่รวมไปถึงความซื่อตรงต่อหน้าที่ คือการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา โปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างไม่ใช้อํานาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว สังคมที่ทรุดพังเพราะความคดโกง รุกล้ำรุกรานเพียงเพื่อความสุขของตัวเองและไม่ซื่อตรงต่อภารกิจรับใช้ และเพื่อเราจะทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุผล เราต้องซื่อตรงต่อเวลา การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีความรับผิดชอบ ไม่ทําให้เสียงานไม่ทําให้ผู้ที่นัดหมายเสียความรู้สึก ทําให้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากผู้คน ท้ายที่สุดเพื่อที่จะรักษาสัญญาให้คงมั่นตลอดไปเราต้อง ซื่อตรงต่อตนเอง คนเรานั้นจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีความจริงใจ ความสุจริตใจ มีความเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราต้องซื่อตรงต่อตนเองตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม รู้จักตัวเอง ซื่อตรงต่อตนเองในการดำเนินชีวิตบนหนทางแห่งความดีงาม
ใช่หรือไม่ ในบรรดาความดีงามทั้งหลายทั้งปวงนั้นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งสําคัญที่สุดเมื่อไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนดีได้ นิสัยพูดจริง ทำจริง เป็นนิสัยประจำตัวของบุคคลที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ในสิ่งที่มุ่งหวัง นิสัยพูดจริง ทำจริง นอกจากจะช่วยให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว ยังจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ คนรอบข้างมีความเชื่อถือ เชื่อมั่น และที่สำคัญคนที่พูดจริงทำจริงมักคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

ภาพ : https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com

ท่ามกลางวันเวลาแห่งกลลวง ข่าวลือ สร้างข่าวสร้างคนสร้างผลงาน เราจึงมักเห็นแต่คนพูดอย่างทำอย่างมีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป และการที่เราจะเป็นคนพูดจริง ทำจริง ให้ได้นั้น เราต้องทำตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้ เป็นการทำให้จิตใจมีความเข้มแข็ง เพราะสัจจะคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การดำเนินชีวิตเป็นไปในทางที่ถูกที่ควร และแน่นอนการให้สัญญาอะไรกับใครนั้นสิ่งแรกที่เราจะต้องประเมินว่าสิ่ง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องอันพึงกระทำหรือไม่ เป็นสิ่งที่ดีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ต่อมา ต้องประเมินว่า เรามีความสามารถพอที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่ อย่าไปสัญญาพร่ำเพรื่อ เพราะหากเราทำไม่ได้เราจะเสียคน และผลสุดท้ายเมื่อเราประเมินแล้วว่าสามารถทำได้จริง ก็เพียงทำตามที่ได้พูดได้กล่าวได้สัญญา แต่หากสิ่งที่จะต้องทำเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ผิดธรรมเนียมประเพณี เป็นเรื่องไม่เหมาะไม่ควร ก็ต้องรู้จักที่จะปฏิเสธและถอยห่างออกมา

หากคุณเป็นคนดีตามที่พ่อหลวงได้ทรงสอนไว้ ก็จะต้องรักษาคำพูด พูดจริง ทำจริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ พ่อแม่ที่เคยให้สัญญากับลูกหลานก็ต้องทำตามนั้น อย่าเพียงแต่พูดเพื่อปัดความรำคาญ ยิ่งเราสัญญากับพระเอาไว้ก็อย่าลืมและซื่อสัตย์ต่อคำสัญญานั้น แล้วเราก็จะเป็นคนที่ น่าเชื่อถือ คนที่พูดจริงทําจริงซื่อตรงต่อคํามั่นสัญญาจะได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากทุกผู้คน รวมถึงทุกคนจะได้รับความรักความเมตตาจากพระเจ้าผ่านการกระทำของเราด้วยเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๕

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๕

บทที่ ๕ อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ


“ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม” (พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๖)

ในทุกวันนี้เราต่างเห็นสิ่งต่าง ๆ มีความรวดเร็ว ทันใจทันทีทันใด เกิดขึ้นในแทบทุกวินาที จึงพลอยทำให้การดำเนินชีวิตของเราต้องเร่งรีบติดตามไปด้วย เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ในความรวดเร็วเร่งรีบนี้ก็มักมีความรวบรัดตัดความเข้ามาผสมโรงสื่อสมัยใหม่ที่นำสารส่งผ่านมีมากมายกลายเป็นตัวเร่งให้คนรับข่าวสารมิมีเวลาพินิจพิเคราะห์ให้รอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อหรือเลือกรับในสิ่งที่เป็นความจริง ในความเร่งรีบนำมาซึ่งอารมณ์ที่รุ่มร้อนของผู้คน ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลในการตัดสิน จะเห็นว่าโรคโมโหร้ายมีมากขึ้น และกำลังฝังลึกลงในนิสัยของผู้คนในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ใจผู้คนแข็งกระด้าง มักชอบที่จะเอาชนะคะคาน ชอบหยามเหยียดเบียดเบียนผู้อื่น อันเป็นที่มาของความเห็นแก่ตัว หัวจิตหัวใจดั่งถูกไฟแห่งความขุ่นเคืองเผาไหม้ หาเรื่องอยู่มิเว้นวาย เมื่อจิตใจผู้คนเป็นเช่นนี้จึงหาความสุขสันติในสังคมไม่ได้ ซ้ำร้ายยังพยายามหาตัวช่วยที่เป็นปัจจัยภายนอก หมดเวลาไปกับการวิ่งวุ่นดิ้นรนขวนขวาย สุดท้ายเหนื่อยเปล่า ร่างอ่อนล้าใจอ่อนแอ และหยาบกระด้าง หากถามว่าอะไรเล่าคือความสำคัญกับชีวิตคนเรา ต่างก็ตอบว่า สุขภาพ ครอบครัว และ ความรัก เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เราให้เวลากับสิ่งเหล่านี้มากที่สุดหรือยัง???
บางทีที่เราทำเป็นเข้มแข็ง กร้าวแกร่งนั้น ก็เพียงเพื่อกลบลบปมแห่งความอ่อนแอข้างในของเรา ตรงกันข้ามหากเรามีความอ่อนโยนภายในเรามักมีความกล้าหาญที่จะเผชิญต่อปัญหาและหาทางแก้ไขอย่างสุขุมรอบคอบ ความอ่อนโยนจึงเป็นคุณสมบัติภายใน เป็นเรื่องของท่าทีหรือทัศนคติของผู้ที่มีความตระหนักรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่เป็นคนดี ไม่ได้พร้อมไปเสียทุกอย่าง ย่อมมีข้อบกพร่องที่ต้องได้รับการแก้ไข และยินดีที่จะน้อมรับข้อติติงน้อมรับคำสอนจากพ่อแม่ ครู อาจารย์ หรือจากผู้หวังดีที่เราเคารพนับถือ และพร้อมที่ปรับปรุงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ในบางช่วงเวลาเราก็มักมีความหยิ่ง ไม่ชอบที่จะให้ใครพูดถึงความบกพร่องของตน ใช่หรือไม่ ถ้ามีใครสักคนหนึ่งมาพูดถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเราทันทีทันใดของขึ้นหน้าดำหน้าแดง ต่อมโมโหทำงานเต็มสูบ แสดงความไม่พอใจถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม เพราะเราทุกคนมีสัญชาตญาณของการปกป้องตนเองอยู่แล้วบ่อยครั้งที่เรามีคำพูดคำจาที่รุนแรง ทำเสียงดังเข้าขู่ ท่าทางขึงขังเข้าข่มเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ความอ่อนโยนทำไปเพียงเพื่อปกปิดความผิดพลาดและมีรากฐานมาจากความกลัวเมื่อเรากลัวก็พยายามทำให้คนอื่นหวาดกลัวมากกว่าตัวเอง ยิ่งทำบ่อยครั้งเข้า จิตใจเราจึงขาดความอ่อนโยนแสดงกริยาไม่อ่อนน้อมออกมา เราทุกคนย่อมมีช่วงจังหวะเวลาแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้นไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่จะช่วยเราให้รู้สำนึกรู้สึกตัวเราอย่างรวดเร็ว คือการฝึกฝนให้จิตใจมีสัมผัสแห่งความอ่อนโยนเสมอเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ต้องให้อภัยต่อตัวเองเราต้องปกปักรักษาจิตใจให้งดงาม หาใช่ปกป้องตัวเองให้ดูขาวตลอดกาล

ภาพ : http://www.churchofjoy.net
สัมผัสอันอ่อนโยนนั้น หมายถึง การเห็นความทุกข์ยากลำบาก และไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น ความอ่อนโยนเกิดขึ้นจากการใส่ใจและการใส่ใจนั้นต้องอาศัยเวลา คนที่มีเวลาใส่ใจกับสิ่งต่าง ๆ และผู้คนรอบข้างสนใจในรายละเอียด ซึมซับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายคนมองข้าม จึงเป็นคนอ่อนโยนการให้เวลาใส่ใจและทำความเข้าใจคนอื่นทำให้คนเราอ่อนโยนขึ้น การได้เรียนรู้ความรู้สึกลึก ๆ ที่ละเอียดอ่อนของคนอื่นก็ช่วยขัดเกลาความรู้สึกของเราให้ละเอียดขึ้นเช่นกัน ความอ่อนโยนและความรักอย่างจริงใจต่อสิ่งต่าง ๆ นำมาซึ่งความงดงามของทุกสรรพสิ่ง
ในทุกวันนี้ เราพยายามดำเนินชีวิตคล้อยตามกระแสของสังคมจนไม่มีเวลาให้กับสิ่งต่าง ๆรอบตัว ลองทำชีวิตให้ช้าลงบ้างในบางช่วงเวลาเราก็จะเห็นความงดงามของสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้าเรา เปิดใจและกล้าปฏิเสธความเชื่อหรือกระแสสังคมบ้าง รู้จักจับจังหวะชีวิต จริงใจกับชีวิต เสียสละบ้าง ยอมรับผิดแม้จะต้องเสียหน้าและถูกหยามหยันบ้าง เพื่อรักษาความดีงามตราบใดที่เรายังไม่จริงใจกับตัวเอง เราก็ยังไม่สามารถมีชีวิตที่ละเอียดอ่อนได้ และไม่มีทางสัมผัสความอ่อนโยนที่แท้จริงถ้าอยากจะให้ชีวิตเป็นสุขและได้เห็นความงดงามของโลกนี้ก็อย่าทำให้ใจแข็งกระด้าง ดื้อดึง ดันทุรัง แต่จงมีจิตใจอ่อนโยน พร้อมรับฟัง พร้อมเรียนรู้ พร้อมแก้ไขปรับปรุงชีวิตตลอดเวลา

คนที่สุภาพอ่อนโยนก็เป็นสุข เพราะเขาทั้งหลายจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดกมัทธิว 5:5 

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรียน(เลียน)คำสอนพ่อ ๔

เรียน(เลียน)คำสอนพ่อ ๔
บทที่ ๔ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้


“คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วย เมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๒๑)

ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมโลกที่พบเจอทั้งภัยธรรมชาติ สงครามไล่ล่าอาณาดินแดนเพื่อครอบครองทรัพยากรแหล่งพลังงาน การชุมนุมประท้วงต่อต้านผู้นำ การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาจากความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวของคนเพียงไม่กี่คน ที่ส่งผลต่อคนหมู่มาก ในสังคมโลกที่ตกอยู่ในกระแสของการบริโภคเป็นใหญ่ บูชาวัตถุเป็นเอก ชีวิตของคนเป็นสิ่งสุดท้าย มองไม่เห็นความหมายในคุณค่าของกันและกัน มีแต่กอบโกยเก็บเกี่ยว พอไม่ได้ดังใจก็เรียกร้องต้องการที่จะเป็นฝ่ายได้ถ่ายเดียว เพราะเราไม่ได้เรียนรู้ที่จะรับและให้แก่กันและกัน เรามีแต่คอยที่จะคิดว่าทำอะไรต่อมิอะไรแล้วจะ“ขาดทุนหรือได้กำไร” หรือเปล่าเพียงเท่านี้ การ“รับและให้” ถูกแปรรูปอยู่ในระบบทุนนิยม แทนที่จะเป็นธรรมนิยม นี่จึงเป็นความถดถอยของสังคมโลกที่พร้อมจะกลายเป็นสงครามโลกได้ทุกเมื่อ
ในความเป็นจริงของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” นั้นเกิดมาพร้อมกับการรับและการให้ เราได้รับความรักจากพ่อแม่ จากคนในครอบครัว คนรอบ ๆ ข้าง เราทุกคนเคยเป็นคนน่ารักที่ทุกสายตาทุกการพบเห็นต่างเอ็นดูมาด้วยกันทั้งนั้น สิ่งนี้คือการเริ่มต้นของการได้รับ ในขณะเดียวกันในวินาทีนั้นเราก็เป็นผู้ให้ ให้ความน่ารัก ให้รอยยิ้มความอิ่มเอมใจหลายต่อหลายคน เป็นการรับและให้อย่างบริสุทธิ์ อย่างไม่มีอะไรปรุงแต่ง ทั้งรับและให้นี้เกิดมาจากสิ่งเดียวนั่นคือ “ความรัก” เป็นเพราะความรัก ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่นิ่มนวล แม้จะสัมผัสได้แต่ก็ยากที่จะหาคำมาอธิบายพรรณนา ความรักอาจจะเป็นความรู้สึกที่ดี และมันก็คงจะดียิ่งกว่าถ้าหากความรักถูกนำมาแปรให้กลายเป็นรูปธรรม เป็นคำพูด เป็นการกระทำ เป็นการให้ หรืออะไรบางอย่างที่มองเห็นผลผลิต
ยิ่งเราเติบโตขึ้นท่ามกลางการได้รับความรักจากครอบครัว จากคนรอบกายเราก็ยิ่งพร้อมจะเป็นผู้ให้ความรักนี้ต่อคนอื่น การให้สุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ ความสุขของผู้รับคือ ความยินดีที่ได้รับสิ่งที่มอบให้ ในขณะที่ผู้ให้คือ ความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือและแบ่งเบาความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การให้ที่ปราศจากเงื่อนไข เป็นการให้ที่ทำให้ทั้งผู้ให้และผู้รับมีความสุข ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความเต็มใจ และเปี่ยมไปด้วยเมตตาเอื้ออาทร ไม่รู้สึกเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่ให้ไปนั้น และการได้รับสิ่งตอบแทนกลับคืนมานั้น เป็นเพียงผลพลอยได้จากการให้ การให้เป็นการยกระดับฝ่ายจิตวิญญาณ  ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลายดังที่พ่อหลวงในดวงใจของเราได้ทรงกระทำไว้เป็นต้นธารธรรมทาน
ภาพ : http://truemetamorphosis.com
สิ่งที่เราให้ออกไปคือสิ่งที่เราได้กลับมา  ถ้าให้สิ่งที่ดี  ก็จะได้รับสิ่งที่ดีกลับคืนมา  ยิ่งให้มาก  ก็ยิ่งได้รับมากหรือได้กลับคืนมาเป็นสิบเท่า ถ้าให้อยู่เรื่อย ๆ ก็จะมีเรื่องดีงามบังเกิดอยู่ร่ำไป  ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ  และหนึ่งในกฎของการมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จก็คือ  การที่ให้โดยปราศจากความเห็นแก่ตัวแล้วเราก็จะได้รับผลตอบแทนที่แท้จริง  พยายามคิดถึงเรื่องการให้แทนที่จะคิดแต่เรื่องการรับ เราจะรู้สึกปลอดโปร่งและมีความสบายใจ  ให้ในสิ่งที่มีคุณค่าแก่ผู้ที่รู้จักคุณค่าหรือผู้ที่สมควรได้รับ

หลายคนใช้ชีวิตขวนขวาย อุทิศเวลาเพื่อการงาน โดยหวังเพียงเพื่อตัวเอง เพื่อความสุขที่ตนปรารถนา รู้จักเพียงแค่การฉกฉวย แก่งแย่ง หรือแบมือรับ คนเหล่านี้เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสียบ้างคงอาจจะรู้สึกหนักหนาเอาการ แต่ถ้ารู้จักให้ถึงต้องเสียก็พอทำใจที่จะรับได้ คุณค่าของการให้คือการที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์ข้างในไม่ให้โลภ ไม่ใช่มุ่งแต่อยากได้ใคร่มีจนหูตาลาย การให้ไม่ได้เป็นการสูญเสีย เป็นเพียงการแบ่งปัน เป็นการแลกเปลี่ยน เป็นการรับในเชิงคืนกลับ เพราะผู้ให้คือผู้ที่ได้รับความรักจากคนที่ถูกให้ อย่าอยู่เพียงเพื่อมองตัวเอง ลองเหลียวแลผู้คนรอบข้าง แล้วเราจะรู้ว่าสังคมน่าเวทนาในขั้นวิกฤติค่านิยมที่ผิด ๆ ครอบงำร้ายกว่าถูกโจมตีด้วยสงครามเสียอีก คนที่รู้จักให้และมีคุณธรรมอยู่ในใจเท่านั้นที่จะพาสันติสุขคืนสู่สังคม การให้มิได้เป็นเพียงคุณค่า แต่เป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องเสียสละ ทุ่มเท ด้วยหัวจิตหัวใจ และการให้ที่สูงสุดคือการให้ชีวิตตนเพื่อชีวิตของคนอื่น ใช่หรือไม่ 70 ปีแห่งพระภารกิจแห่งการให้ด้วยชีวิตของพ่อหลวงที่ทำให้คนไทยทั้งปวงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในวันนี้ เป็นผลผลิตของพระองค์ท่านอย่างเป็นรูปธรรม เราเป็นหนึ่งในนั้น....

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๓

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๓
บทที่ ๓ ความรู้ตน
“เด็ก ๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบ และคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่าง ๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญให้แก่ตนเองและส่วนรวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน” (พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ประจำปี ๒๕๒๑)


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายครั้งหลายหนที่เปิดโทรทัศน์ ได้รับชมรายการพิเศษที่นำภาพยนตร์เกี่ยวกับพ่อหลวงผู้คืนสู่ฟากฟ้า ที่ทำให้ปวงประชาอยู่ดีมีสุข จนทำให้น้ำตาคลอหน่วยโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบเคยเห็นกับตา แต่ภาพทรงจำเหล่านั้น นำมาซึ่งความคิดถึงในความดีงามของพระองค์มากมาย จนถึงกับหลั่งน้ำตามาแบบไม่รู้ตัว ใช่หรือไม่ บางสิ่งบางอย่างในชีวิตมักเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว ทั้งในแง่ดีงามและในด้านเสื่อมทราม
ถึงตรงนี้แล้วทำให้ต้องนำคำพ่อสอนในเรื่อง “ความรู้ตน” มาไตร่ตรองกับชีวิตจริงของเราในปัจจุบัน ที่มากมีสิ่งต่าง ๆ เอื้อให้เรามักทำอะไรลงไปแบบไม่รู้ตัว ด้วยความเห็นแก่ตัว การรู้ตนรู้ตัวนั้นต้องได้รับการฝึกฝนฝึกหัดจึงจะเกิดขึ้น ส่วนความเห็นแก่ตัวนั้นจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ มีแต่เราต้องหัดต้องคอยกำราบปราบให้มันสงบสุข เพื่อให้ชีวิตเราเจริญวัฒนายิ่งขึ้น
การรู้จักตนคือ การเข้าใจความรู้สึกของตนเองและจุดมุ่งหมายของชีวิตทั้งระยะสั้นและระยะยาว รู้จักจุดเด่นจุดด้อยของตนเองอย่างไม่ลำเอียงเข้าข้างตนเอง มีความเข้าใจตนเองในระดับหนึ่ง การรู้จักฐานะที่ตนเองเป็นอยู่ การประพฤติตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน การปฏิบัติหน้าที่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ก้าวล่วงสิทธิและหน้าที่ของผู้อื่น เป็นการเคารพในศักดิ์ศรีของตัวเอง สิ่งเหล่านี้เมื่อได้รับการฝึกฝนบ่อย ๆ ก็จะทำให้ใจเราเปิดกว้างยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
การรู้จักตนเองยังรวมไปถึงการรับรู้และรู้จักความสามารถของตัวเราเองด้วย รู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เก่งอะไร ไม่เก่งอะไร เมื่อรู้ตัวก็จะไม่โอ้อวด โชว์เก่งเหนือผู้อื่น และที่สำคัญเราต้องรู้อารมณ์ของตนเอง การรู้จักตนทำให้เราเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้นและสามารถระงับความโกรธได้ ในการที่ได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดของคนอื่น มีจิตใจที่รู้จักให้อภัยเมื่อได้รับการขอโทษอย่างจริงใจ รู้จักระงับความโกรธไม่ให้เตลิดระเบิดใส่ผู้อื่น
ใช่หรือไม่ จากเหตุการณ์ที่โด่งดังในเรื่องการไม่ยอมลดราวาศอก เห็นสิ่งของ(รถมินิ)สำคัญกว่าชีวิตคน บูชาวัตถุจนหลงลืมตัว ปล่อยให้ไฟแห่งความโมโหครอบงำ จนนำชีวิตเดินไปสู่ไฟที่กลับมาเผาไหม้ตัวเอง หลายคนที่ปล่อยให้ชีวิตไปผูกพันกับปัจจัย รู้และรักแต่สิ่งภายนอก จนลืมที่จะเรียนรู้ภายในตัวเอง หลงคิดว่าโลกนี้คือพื้นที่ของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่โลกนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ยิ่งในยุคปัจจุบันเรามีกระจกวิเศษที่คอยจะสะท้อนให้เราเห็นภาพตัวเองในวันที่เราหลุดจากความเป็นตัวเองจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เราจึงถูกสื่อสมัยใหม่มาควบคุมแทน นี่เป็นการปรับสมดุลย์เพื่อไม่ให้คนเราถลำลึกมากไปกว่านี้ บางทีสื่อสมัยใหม่ก็มีประโยชน์ที่ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักแบบต้องเจ็บช้ำเสียด้วย



ผู้ที่รู้จักตนเองฝึกใจตนให้มีความมุ่งมั่นแต่ยืดหยุ่นได้ เรียนรู้เข้าใจและเข้าถึงตนเอง จึงเข้าใจผู้อื่นและเข้าใจโลก คนที่รู้จักตนเองไม่ใช้ชีวิตแบบเห็นแก่ตน และไม่เอาแต่ใจตัวเองจนเดือดร้อนตนเองและคนรอบข้าง การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของคนหมู่มากนั้น ย่อมมีความแตกต่างของแต่ละปัจเจกเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ที่รู้จักตนเองมักจะให้ความสำคัญและให้คุณค่ากับตนเองและผู้อื่น
ผู้เข้าใจตนเองจะทบทวนตนเอง หาทางทุกวิธีที่จะเรียนรู้ความชอบ ความถนัด บุคลิก พฤติกรรมของตนโดยให้เวลาในการใช้เวลาอยู่กับตนเอง ฟังเสียงภายใน มโนสำนึกวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เพื่อสำรวจตน การรู้จักตนเองต้องใช้ความกล้าตัดสินใจ กล้าเลือก กล้าเรียนรู้ กล้าทำในสิ่งที่บางครั้งเป็นการเปลี่ยนแปลง มีความแตกต่างแต่ถูกต้องและรอบคอบที่สุดเมื่อรู้ตนย่อมต้องรู้เข้าใจผู้อื่นด้วย

การเข้าใจผู้อื่น คือความสามารถรับรู้อารมณ์ผู้อื่น เข้าใจถึงมุมมองทัศนคติของผู้อื่น เป็นความรู้สึกแบบ เอาใจเขามาใส่ใจเรานี่จึงจะทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกระดับหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรมาวัดค่าได้ นอกจากความอิ่มเอมเปรมปรีดิ์ หากเรารักและคิดถึงพ่อหลวงของเรา เพียงนำคำสอนง่าย ๆ เหล่านี้ไปฝึกปฏิบัติ ความผาสุกของคนในชาติก็จะบังเกิดขึ้น แล้วเราจะก้มกราบกันได้อย่างงดงาม

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๒

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ ๒

บทที่ ๒ ความพอดี
“ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้น จะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ
เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับ ผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน” (พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๐)



ตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่เราคนไทยต่างตกอยู่ในภาวะแห่งการสูญเสีย ต่างก็เศร้าโศกในการจากไปของพ่อหลวง แต่เพราะด้วยกิจการดีที่พระองค์ท่านได้ทรงทำไว้นั้นกำลังเจริญงอกงามออกดอกผล คนในชาติแปรงความสูญเสียเป็นเสียสละ มอบน้ำจิตน้ำใจใฝ่ดีต่อกัน การให้มากมายจนท่วมท้องสนามหลวง เป็นประวัติการณ์ที่คนให้มากกว่าคนรับ จนถึงกลับต้องบอกกล่าวเน้นย้ำคำสอนพ่อในเรื่องความพอดี ความพอเพียง คำสอนนี้จึงเกิดผลทันทีอย่างไม่มีการเกี่ยงงอน แอบหวังลึก ๆ ว่าเราเลียนแบบพระองค์ เรียนคำสอนพระองค์ท่าน ให้กลายเป็นรากฐานของคนไทยนับจากวันนี้จนตลอดไป สังคมเราจะน่าอยู่แม้ในวันที่ไม่มีพ่อคอยสอนแล้ว
พูดถึงความพอดีเรามักจะคิดถึงการดำเนินชีวิตทางด้านเรื่องการเงิน ๆ ทอง ๆ การสร้างความร่ำรวยมาเป็นอันดับแรก และสิ่งที่นึกถึงควบคู่กันไปนั่นก็คือ “ความทะเยอทะยาน” ซึ่งเราทุกคนมีเหมือนกันหมด จะต่างกันก็คงเพียงแค่ใครจะมากใครจะน้อยกว่ากัน เป็นความทะเยอทะยานที่อยากจะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่สูงสุด ดีที่สุด จนบางครั้งก็กลายเป็นกิเลสที่ทำให้คนเราอยากได้อยากมีเมื่อได้แล้ว มีแล้ว ก็อยากได้ อยากมีอีก ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีความพอดีในชีวิต ไม่สมบูรณ์แบบสำหรับชีวิตเสียที แทนที่ความทะเยอทะยานจะช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนให้ชีวิตเดินทางไปถึงเป้าหมาย นำพาเราไปสู่ความสำเร็จของชีวิต กลับกลายเป็นสิ่งที่คอยทิ่มแทงชีวิตให้ทุกข์ทรมาน ให้เจ็บปวด ต้องดิ้นรนแสวงหาอยู่ร่ำไป
หากเราไม่ยึดติดอยู่กับความสะดวกสบายมากนัก ใช้ชีวิตธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่สามารถมีความสุขในชีวิตได้ มีชีวิตที่เรียบง่าย กินอาหารแต่ละมื้อได้อย่างอิ่มหนำ มีห้วงเวลาที่ได้อยู่ ได้ท่องเที่ยวเกี่ยวก้อยกับคนที่เรารัก ได้ทำอะไรดี ๆ สังสรรค์กับครอบครัว ทำให้คนในครอบครัวมีความสุข และไม่ต้องใช้ชีวิตด้วยการเร่งรัด รีบร้อน วัน ๆ มีแต่เหนื่อยกับเฉื่อยเท่านั้น
อีกหนึ่งความพอดีในขั้นของชีวิตภายใน หลายคนก็ไม่รู้จักความพอดี  จึงมักทำอะไรที่ขาด ๆ เกิน ๆ หาตรงกลางไม่ได้ ทำดีก็เกินเหตุ จะพูดคุยตักเตือนก็มากไปจนน่ารำคาญ เอาเรื่องบางเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นธุระมาเป็นธุระ แล้วก็ทิ้งในเรื่องสำคัญ ๆ ไป ไม่เคยแยกแยะว่าตรงไหนคือระดับของความเหมาะสม ซึ่งหมายถึงเหมาะสมสำหรับตัวเองและเหมาะสมสำหรับผู้อื่นด้วย ความไม่พอดีลักษณะนี้คือการไม่รู้จักกาลเทศะ ความพอดีแบบนี้เป็นการขัดเกลามนุษย์ ให้รู้จักความเหมาะความควร


คนเราจะเสาะหาความพอดีพบและดำเนินชีวิตด้วยความพอดีได้นั้น ต้องมีความอ่อนน้อมและความรอบคอบ ความอ่อนน้อมทำให้ไม่ลำพอง ไม่โอ้อวด ไม่ถือโทสะเพื่อเอาชนะคะคาน อวดเบ่ง หรืออวดเก่ง หรือจ้องแต่จะแข่งขันกันอย่างบ้าคลั่ง ส่วนความรอบคอบนั้นจะรู้ได้ว่าจะไม่ทำอะไร ที่มากล้นเกินไป รู้ที่รู้ทางรู้กาลเวลา ไม่ถือเอาใจของตัวเองเป็นสำคัญ

ไม่ว่าจะทำอะไร ความพอดีเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ความพอดีคือ ไม่มาก ไม่น้อยไม่วุ่นวาย ใช่หรือไม่ การยกฐานะจากยากจนให้มั่งมีนั้นทำได้ไม่ง่าย บางคนตลอดชีวิตนี้อาจจะทำไม่สำเร็จ แต่การยกระดับใจให้มั่งมีนั้นทำได้ทุกคน เมื่อมีความมุ่งมั่นจะทำจริง คนรู้จักพอไม่ใช่คนเกียจคร้าน และคนเกียจคร้านก็ไม่ใช่คนรู้จักพอ ความพอดีมีอยู่ในความวางใจพระเจ้าทุกกรณีนั่นเอง...

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ

เรียน (เลียน) คำสอนพ่อ
บทที่ ๑
          เกริ่นนำ... ในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าของเหล่าปวงชนชาวไทยที่หัวใจเสาหลักบ้านเมืองลาลับกลับไปสู่ฟากฟ้ายังสรวงสวรรค์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คงจะไม่มีกระจิตกระใจเขียนถึงเรื่องราวอื่นใดได้ นอกจากเรื่องของพระองค์ท่าน จึงขออัญเชิญพระบรมราโชวาทตามที่ต่าง ๆ เพื่อนำพาชีวิตเราให้พบกับความสุขสันติในยุคปัจจุบัน ในคอลัมน์นี้จึงขอนำเสนอคำสอน ๙ ข้อ ๙ บท เพื่อนำมาไตร่ตรองร่วมกัน เป็นเข็มทิศให้ชีวิตเราก้าวเดินต่อไปในภาวะแห่งอาลัยนี้
ความเพียร
              “การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุด คือความอดทน คือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่า ทำให้ดีไม่ครึ ต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง” (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯ วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖)

          ในทุกวันนี้เรามักเห็นผู้คนเบื่อง่าย เหนื่อยหน่าย และก็พร่ำบ่น ในทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนเป็นมนุษย์ยุคที่ความอดทนน้อย มักจะกล่าวโทษสิ่งอื่นไปทั้งหมด ยกเว้นตัวเอง เราไม่ค่อยที่จะเพียรพยายามที่จะก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคด้วยความอดทน ร้อนก็บ่น ฝนก็เบื่อ เมื่อหนาวก็หดหู่ ไม่รู้จะต้องทำอย่างไรกับชีวิต รอคอยโอกาสในอากาศวิ่งเข้ามาหา อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดที่มักจะเข้าใจว่า ความเพียรกับความหวังความปรารถนาเป็นเรื่องเดียวกัน ใช่หรือไม่การตั้งความหวัง ความปรารถนาอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเพียรเลย ถ้าเป็นเพียงหวังและฝันไปแบบลอย ๆ เพราะความเพียรต้องลงมือปฏิบัติ ความเพียรที่แท้จริง คือ เครื่องมือสร้างความสำเร็จอย่างแท้จริงตามความฝันและความปรารถนา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมพ่ายแพ้แก่ความเพียรพยายามที่สม่ำเสมอ เพราะไม่มีสิ่งไหน จะต้านทานความเอาจริงของคนเราได้ ต้องหมั่นถามตัวเองว่า เราสู้จริงหรือเปล่า

          ความเพียร ต้องฝักใฝ่ ทุ่มเท และบากบั่นฟันฝ่า เพื่อเป้าหมายระยะยาว ความเพียร คือ ความทรหดอดทน ความเพียร คือ การมุ่งมั่นไปข้างหน้า วันแล้ว วันเล่า ไม่เพียงแค่สัปดาห์ ไม่เพียงแค่เดือน แต่เป็นปี ๆ และทำมันอย่างหนัก เพื่อให้อนาคตที่ฝันกลายเป็นจริง ความเพียร คือ การใช้ชีวิตแบบวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้น ความเพียรต้องใช้หัวใจที่เข้มแข็ง ไม่มัวแต่ท้อแท้ เมื่อทำงาน ก็เพื่อสร้างงานไม่ใช่สร้างเรื่อง เพื่อสร้างอนาคตไม่ใช่ทำแบบไร้อนาคต เราจะต้องทำด้วยความเพียร มีความพยายามอย่างสม่ำเสมอ ทำโดยไม่หักโหม ค่อย ๆ ทยอยทำ เพราะเมื่อเราเพียรพยายามอย่างแท้จริงแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนเราคืนมาได้ นอกไปเสียจากความสำเร็จ

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ลานกว้างในใจเรา

ลานกว้างในใจเรา
ละครเรื่อง “นาคี” กำลังเป็นที่ถูกอกถูกใจของหลาย ๆ คน มีการพูดถึงกันอยู่ในเกือบทุกวงสนทนา จึงอดไม่ได้ขอลองดูบ้าง ในวันที่ได้นั่งดูได้มีการกล่าวถึง “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้ในชั้นวางพอดิบพอดี จำไม่ได้ว่าซื้ออ่านมาตั้งแต่ปีไหน!!! ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ออกจะสีเหลือง ๆ จึงได้นำมาอ่านใหม่อีกรอบ

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นยุคที่รุ่งเรืองด้านการค้าและการต่างประเทศ  มีการส่งคณะราชทูตเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์ ทรงส่งราชทูตออก พระวิสูตรสุนทร หรือ โกษาปาน ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และคณะทูตชุดนี้ ก็กลับมาพร้อมกับซิมง เดอ ลาลูแบร์ การเข้ามาของลาลูแบร์ในกรุงศรีอยุธยานั้นเพียง 3 เดือนกับอีก 6 วันในฐานะราชทูตไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเขียนหนังสือขนาดหนากว่า 600 หน้า (จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม ฉบับแปลไทยโดยสันต์ โกมลบุตร) เพราะเนื้อหาของหนังสือได้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การบริโภค เครื่องแต่งกาย อาหารการกิน ภาษา และรวมถึงภาพวาดต่าง ๆ และอื่น ๆ
มีสิ่งหนึ่งที่ในบันทึกนี้เขียนถึงบ่อยครั้ง นั่นคือความเรียบง่ายของคนในสมัยอยุธยา การสร้างบ้านเรือนที่มักจะสร้างเรือนในพื้นที่กว้าง ๆ และตั้งอยู่ให้ห่างกันพอสมควร ทั้งนี้ในจดหมายเหตุได้กล่าวไว้ว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องภายในครอบครัวแพร่งพรายให้คนอื่นได้ยิน และลานกว้างนั้นบ่งบอกถึงความมีน้ำใจที่มีไว้ใช้ต้อนรับแขก มานั่งคุย นั่งเล่นร้องรำทำเพลง นั่งทานข้าว หุงหาอาหารด้วยกัน คนสมัยนั้นจะกินอยู่แบบง่าย ๆ กินข้าวกับปลาและผักต่าง ๆ ไม่ชอบที่จะนำเนื้อสัตว์อื่นมาทำเป็นอาหาร ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ทำให้ผู้คนไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกันทำมาหากิน ต่างก็มีน้ำใจอาทรต่อกัน และต่อคนต่างถิ่นด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อคณะมิชชันนารีเข้ามาถึงดินแดนแถบนี้ ได้รับพระราชทานที่ดิน เพื่อให้ก่อตั้งวัด โรงเรียน และชุมชน (วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา) ผู้คนในสมัยนั้นมิได้เห็นโลกกว้างแต่กลับมีจิตใจที่กว้างยิ่งนัก


เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยน ระบบการปกครอง การสื่อสารมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนมีมากขึ้น กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ในเมืองอุตสาหกรรม ไม่สามารถจะอยู่ได้ด้วยการกินอยู่แบบง่าย ๆ ชีวิตต้องประกอบไปด้วยความหลากหลายมากขึ้น เรื่องในครอบครัวกลายเป็นเรื่องสาธารณะเอามาบอกกล่าวเล่าขานในโลกออนไลน์ให้ผู้คนกล่าวขวัญถึงแบบไม่ต้องปกปิด หรือระมัดระวังกันอีกต่อไป ความมีน้ำใจหดหายท่ามกลางโลกที่กว้างขึ้น วิถีสมัยใหม่มิได้ทำให้เราเห็นใจกันและกันแต่กลับรำคาญที่จะช่วยเหลือกัน “เราถูกทำให้เคยชินไปกับวัฒนธรรมไม่สนใจคนอื่น เราจำเป็นต้องวอนขอพระหรรษทานสำหรับการสร้างวัฒนธรรมแห่งการพบหน้ากันขึ้นมาอีกครั้ง การพบหน้าและพูดคุยกันจะช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีการเป็นลูกของพระเจ้าให้กลับมาอีกครั้ง” (สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส) นี่คือการสร้างลานกว้างให้เกิดขึ้นในใจของเรา

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ตัวตนคนจริง

ตัวตนคนจริง
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ ได้มีห้วงเวลาที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนท้องถนนมากที่สุด เป็นเทศกาลแห่งการถูกเท ฝนกระหน่ำหลายชั่วโมง น้ำท่วม ถนนกลายเป็นคลองเพื่อให้เม็ดฝนรวมพลังก่อเป็นมวลน้ำได้ไหลผ่าน เราจึงจำต้องรอกันอยู่ในรถ เรือเท่านั้นถึงจะกลมกลืนกับน้องน้ำ นำความทุกข์ความเครียดมาสู่มหาชนในมหานครแห่งนี้ หลายคนก็บ่นถามหาว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรบางคนถึงขั้นอวดอ้างทางแก้ไขปัญหาโดยหลงลืมว่าแท้จริงแล้ววิกฤตการณ์นี้เกิดขึ้นจากเหตุใดกันแน่!!! ใช่หรือไม่ วิกฤตต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าปัญหาสิ่งแวดล้อม การทำลายทรัพยากร ปัญหาความเครียด ความทุกข์ ล้วนมีรากเหง้ามาจากวิกฤตการณ์ทางจิตวิญญาณ หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือ มีสาเหตุมาจากปัญหา “ตัวตน”
ภาพ : https://encrypted-tbn3.gstatic.com
ปัญหาตัวตนเป็นปัญหาสำคัญของคนยุคนี้ มีความไม่พอใจในตัวตน คนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ถูกทำให้รู้สึกไม่พอใจในตัวตนของตน จึงอยากจะมีตัวตนใหม่ ประจวบเหมาะกับสื่อสมัยใหม่ที่กลายเป็นสนามให้ผู้คนมีพื้นที่แสดงตัวตน แต่อีกมุมหนึ่งหากไม่รู้จักกาลเทศะที่ควรที่เหมาะสม ก็จะกลายเป็นการแสดงตัวตน ที่ไร้ตัวตนอย่างแท้จริง เราจึงเห็นความคิด เห็นทัศนะอคติมากมายล่องลอยอยู่ในโลกออนไลน์ และเพื่อความโดดเด่นของตนจึงจำเป็นต้องหาวัตถุปัจจัยภายนอกมาเสริมเติมแต่ง จนกลายเป็นความหลงใหลไปกับเปลือก หลงลืมคุณค่าที่แท้จริงของเราคืออะไร ชีวิตภายใน ความสงบถูกละเลย ลืมเลือนจนจืดจางห่างหายไปหมดสิ้น สิ่งที่แสดงออกมาจึงเป็นเพียงเพื่อเรียกร้องการยอมรับ หาใช่สาระที่แท้จริงของชีวิตไม่
แน่ละ..มนุษย์เราเปาะบางเกินกว่าที่จะอยู่เพียงลำพังได้ ต้องอาศัยการยอมรับจากคนรอบข้าง เพื่อสร้างความมั่นใจ มีความรู้สึกดีกับตัวเอง แต่...ในบางครั้ง กับบางคนต้องการมี ตัวตนและเป็นที่ยอมรับ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วตัวตนของเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ จึงจำเป็นต้องสร้าง ตัวตนอีกแบบหนึ่งขึ้นมา จนในบางครั้งเขาเหล่านั้นอาจไม่แน่ใจว่าสิ่งใดคือ ตัวตนที่แท้จริงของเขา คนเหล่านี้หลงลืมรากฐาน ลืมว่าพระพรของแต่ละคนย่อมมีแตกต่าง เพื่อสร้างความสวยงามให้กับโลก และที่สุดหลงลืมที่จะขอบคุณในความเป็นตัวเอง ทำตัวเสมือนคนที่วิ่งหนีเงาตัวเอง วิ่งนี้เท่าไรก็มิอาจจะจากกันได้ ยอมรับในสิ่งที่มี ขอบคุณในสิ่งที่เป็น
ภาพ : http://www.bloggang.com
/data/praewkwun/picture/1190012573.jpg
ลองกลับมามองย้อนแล้วฉุดรั้งตัวตนที่แท้จริงของเราให้กลับคืนมา “เป็นเราแบบที่เราเป็น” อย่าให้ความเชื่อใหม่ๆ กระแสนิยมใหม่ๆ ทำให้ตัวตนที่แท้จริงของเราหายไป ให้จิตวิญญาณเดิมของเราเป็นฐาน แล้วสร้างยอดขึ้นไปอย่างมั่นคงด้วยศรัทธา คนเรานั่นหน่ะไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้โดยการเป็นแบบคนอื่น คนทุกคนมีความเป็นตัวเองอยู่แล้ว พัฒนาตัวเองในระดับจิตวิญญาณ และไม่ต้องไปใส่ใจกับตัวตนระดับความคิดและการกระทำมากนัก เพราะความเชื่อและจิตวิญญาณจะนำพาเราไปเองอาจจะไม่เห็นผลในระยะสั้น เพราะตัวตนที่แท้จริงและมั่นคงต้องมาจากการสร้างฐานด้วยกาลเวลาและความคงเส้นคงวา เคารพในการกระทำ ซื่อสัตย์ในภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

การสร้างตัวตนใหม่ เพื่อเรียกร้องความสนใจ ด้วยวัตถุปัจจัยภายนอกนั้นหาได้ยั่งยืนไม่ เป็นเพียงภาพลักษณ์ ไม่คงทนและล้าสมัยง่าย  วัตถุและสิ่งประดับภายนอกจึงไม่สามารถให้ความพึงพอใจได้อย่างแท้จริง เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนได้อย่างแท้จริงด้วยการแสดงออกให้คนเห็น หากต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ “ตัวตนอันแท้จริง” มาจากการฝึกฝนให้มีความสามารถและคุณธรรม ที่สำคัญก็คือการแก้ปัญหาตัวตนที่ได้ผลอย่างแท้จริงมิได้อยู่ที่การแสวงหาตัวตนใหม่ที่ดีกว่าเดิม หากอยู่ที่การก้าวพ้นจากเรื่องของตัวตน สละตัวตนโดยตระหนักเสมอว่าเราก็เพียงสิ่งเล็ก ๆ ที่มีตัวตนบนโลกนี้ชั่วคราว ตัวตนที่ไม่หลงลืมตนนั้นคือวิถีแห่งคนจริง

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

ผลสอบมิใช่คำตอบ

ผลสอบมิใช่คำตอบ
ก้าวสู่ต้นเดือนตุลาคม เดือนที่เด็ก ๆ หลายคนเฝ้ารอคอย เพราะจะถึงเวลาที่ได้ปิดเทอม เป็นเวลาที่พวกเขาจะได้พักจากการเล่าเรียน เป็นเวลาที่จะได้พักผ่อนและทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ก่อนหน้านั้นคือช่วงเวลาที่ทุกคนต่างคร่ำเคร่ง เตรียมสอบต้องอ่านหนังสือ ทบทวนความรู้เพื่อสู่สนามสอบ เพราะคิดว่าต้องทำคะแนนให้ดีที่สุด หลายครั้งสถานการณ์แบบนี้ก็นำความเครียดมาสู่พวกเขาโดยไม่รู้ตัว พ่อแม่มักคาดหวังให้ลูกหลานของตนสอบได้คะแนนดี คะแนนมาก ๆ เด็กก็เลยจำต้องแบกรับความคาดหวังนั้นเอาไว้ พอๆกับการแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วยตำรับตำราเวลาไปเรียนหนังสืออย่างไงอย่างนั้นเลย แน่ล่ะบางทีเราก็คิดว่าการสอบได้คะแนนสูงจะเป็นหนทางที่จะนำเด็ก ๆ ไปสู่อนาคตที่ดี จะได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคง จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน นี่เป็นแนวคิดที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนาน
 ภาพ : http://www.tlcthai.com/
แต่ในสภาพความเป็นจริง หลายครั้งเมื่อเติบใหญ่ขึ้นเราก็มักค้นพบความจริงว่า สิ่งที่เล่าเรียนมานั้นบางครั้งแทบไม่ได้นำมาใช้เลย แต่ละคนมีสิ่งที่ชื่นชอบและชำนาญในสาขาอาชีพที่แตกต่างกัน ที่นั่งเรียนนั่งท่องนั่งสอบมานั้นแท้จริงแล้วเป็นแค่การพัฒนาสมองเพื่อเพิ่มความเฉลียว เพิ่มวิธีคิดให้เราสามารถเลือกสู่หนทางแห่งตนได้ ผลสอบบางครั้งมิใช่เป็นคำตอบของการสู่โลกแห่งความเป็นจริง ฉะนั้นแล้ว สิ่งสำคัญสำหรับความเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา คือการที่เราต้องช่วยกันให้กำลังใจและอธิบายถึงความสำคัญในการเล่าเรียน ไม่ใช่ไปเน้นที่ผลสอบ อย่าไปเพิ่มความกังวลให้พวกเขามากเกินไป จะทำให้เด็กไม่พบความสุขในวัยแห่งการเรียนรู้ เรื่องแบบนี้กำลังเกิดขึ้นในหลายๆที่ ในหลายประเทศ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนได้อ่าน จดหมายจากผู้บริหารโรงเรียน แห่งหนึ่งในสิงคโปร์ถึงผู้ปกครองนักเรียนช่วงก่อนสอบ เป็นคำแนะนำและเตือนสติพ่อแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม
            เรียนท่านผู้ปกครองทั้งหลาย
            ช่วงเวลาแห่งการสอบของเด็กๆ ใกล้เข้ามาแล้ว เรารู้ว่าพวกท่านคงรู้สึกวิตกกังวล อยากให้เด็กๆ ของท่านทำได้ดีในการสอบ แต่โปรดอย่าลืมว่า ในบรรดาเด็กนักเรียนทั้งหลายที่จะต้องมานั่งทำข้อสอบเหล่านี้ อาจมีว่าที่ศิลปิน ผู้ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าใจลึกซึ้งในวิชาคณิตศาสตร์ อาจจะมีว่าที่เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ผู้ซึ่งไม่จำเป็นต้องสนใจในวิชาประวัติศาสตร์ หรือวรรณกรรมภาษาอังกฤษ อาจมีว่าที่นักดนตรี ซึ่งผลคะแนนในวิชาเคมีไม่ได้มีความสำคัญกับเขา อาจจะมีว่าที่นักกีฬา ผู้ซึ่งความแข็งแกร่งของร่างกายสำคัญกว่า ทฤษฎีกายภาพ
 ถ้าบุตรหลานของท่านทำคะแนนสอบได้ดี นั่นก็ยอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ได้โปรดอย่าพรากความมั่นใจในตนเองของพวกเขา  โปรดบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร มันก็แค่การสอบครั้งหนึ่ง พวกเขายังมีสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกมากมายในชีวิต บอกพวกเขา ไม่ว่าคะแนนสอบจะออกมาเป็นเช่นไร คุณจะรักเขาและไม่ตัดสินใดๆ
 โปรดทำเช่นนั้น และคอยเฝ้าดูพวกเขาประสบความสำเร็จในเส้นทางของเขาบนโลกใบนี้ การสอบเพียงหนึ่งครั้ง หรือผลคะแนนที่ต่ำจะต้องไม่ทำลายความฝันและพรสวรรค์ของพวกเขา และโปรดอย่าคิดว่า หมอกับวิศวกรเท่านั้นคือคนที่มีความสุขบนโลกใบนี้
ด้วยความนับถือ
ผู้อำนวยการจาก : Forward LINE
           

ภาพ : http://www.tlcthai.com/education/wp-content/uploads/2015/02/onet.jpg
ในโรงเรียนนั้นนอกจากมีการเรียนการสอน การสอบตามตำราแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมให้เด็กๆโตขึ้นเป็นคนที่มีค่าต่อสังคม โรงเรียนคือสถานที่ฝึกการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ มีการช่วยเหลือกัน เป็นที่ที่ฝึกฝนเพื่อให้เห็นถึงความเป็นตัวตน เป็นสถานที่ฝึกฝนเรื่องคุณธรรม จริยธรรมที่จะนำทางชีวิตในวันข้างหน้า บางทีเราก็หลงไปกับกระแสแห่งการแข่งขัน เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบความเป็นที่หนึ่งแบบไม่รู้ตัว และก็ใส่ลงไปในความคิดของคนรุ่นใหม่ ถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อรุ่น ทำให้เกิดสังคมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ สังคมที่มือใครยาวสาวได้สาวดี แท้จริงแล้วชีวิตที่งดงามมิได้อยู่ที่ผลสอบ มิได้อยู่ที่ผลการแข่งขัน แต่อยู่ที่ผลของคุณธรรมในหัวใจของทุกคน อย่าลืมที่จะนำทางลูกหลานในเรื่องเหล่านี้เพื่อสังคมที่ดีงามและน่าอยู่มากขึ้น...

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

มีเหมือนกันแต่แตกต่างตรงที่...

มีเหมือนกันแต่แตกต่างตรงที่...
หลายครั้งในชีวิตเรา มักจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมีสิ่งที่คนอื่นเป็น แล้วกลับมามองย้อนตัวเองว่า “ทำไมเราไม่มี ไม่เป็นอย่างเขาบ้าง?” บางคนก็โทษชะตาฟ้าลิขิต โทษเวรกรรมแต่ปางก่อนเก่า และนั่งเศร้าจมโศกในสิ่งที่มี ที่เป็น เดิม ๆ โดยไม่ได้ใช้ความพยายาม ไม่แสวงหาที่จะใช้พรสวรรค์ และสิ่งที่เราชำนาญ เพื่อค้นให้พบแนวทางของตัวเอง
มนุษย์เราถูกสร้างมาให้มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือน ๆ กัน แต่มีอิสรภาพในการใช้สิ่งเหล่านั้นที่แตกต่างกัน และความแตกต่างตรงนี้แหละนำมาซึ่งความงดงาม ก่อให้เกิดความสุข ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ภาพ : http://issue247.com/wp-content/uploads/2015/04
เรามีดวงตาที่เหมือนกัน แต่กลับมี “มุมมอง” ที่ต่างกัน แต่ละคนมีสายตาที่มองเห็นสิ่งต่างๆไม่เหมือนกัน บางคนผ่านแค่สายตาแล้วตัดสินทันที กับบางคนมองทุกสรรพสิ่งสร้างผ่านทางหัวใจ ย่อมมีมุมมองที่ลึกและสัมผัสความเป็นจริงได้ดีกว่า
เรามีใบหูที่เหมือนกัน แต่กลับมี “วิธีฟัง” ที่ต่างกัน บางคนมีหูก็จริงแต่มักไม่ค่อยฟังใคร ถือเอาตัวเองเป็นที่หนึ่งที่ตั้ง มีหูแค่ได้ยินแต่ไม่ได้ใช้เพื่อการ “รับฟัง” บ่อยไปชีวิตต้องพังลงเพราะไม่เรียนรู้หาวิธีฟังเพื่อให้เข้าใจคนอื่น
เรามีปากที่เหมือนกัน แต่กลับมี “วิธีพูด” ที่ต่างกัน คำพูดที่ออกจากปากคือสิ่งที่ก่อให้เกิดสงครามก็มากมาย ก่อให้เกิดสันติสุขก็ไม่น้อย บางคนใช้ปากเปล่งวาจาเพื่อสร้างฐานให้กับชีวิต บางคนใช้วาทกรรมเป็นหอกทิ่มแทงคนอื่น ใช่หรือไม่คำพูดที่ออกจากปากเราควรจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างกำลังใจ ปลุกแรงบันดาลใจให้ผู้สนทนาลุกขึ้นร่วมกันสร้างสิ่งดีงาม
เรามีเวลาเหมือนกัน เท่ากันในแต่ละวัน กลับมี “วิธีใช้” เวลาที่ต่างกัน บางคนตื่นเช้าเพื่อสูดรับวันใหม่ด้วยความเบิกบาน บางคนปล่อยวันและคืนผ่านไปปีแล้วปีเล่า ด้วยการเฝ้ารอคอยความช่วยเหลือจากผู้อื่น บางคนไม่มีเวลาสำหรับความดี แต่มีเวลาสำหรับเรื่องบันเทิงเริงใจ เวลาที่ผ่านมาผ่านไป ไม่เคยหยุดรอคอยมีแค่เดินก้าวหน้าตลอดไป 
ภาพ : http://www.omsschools.com/filesAttach/large/1433860114.jpg

เรามีดวงใจที่เหมือนกัน แต่กลับมี “วิธีคิด” ที่ต่างกัน วิธีคิดหรือทัศนคติต่อการมีชีวิตคือสิ่งที่จะทำให้เราค้นพบหนทางแห่งตน บางคนใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่นเพราะคิดว่าภารกิจของชีวิตนี้มีเพื่อผู้อื่น บางคนคิดเพียงเพื่อตัวเอง เสพติดและหลงใหลในตัวเอง โอ้อวดว่าความสำเร็จของชีวิตคือการได้มีได้เก็บสะสม มีคนล้อมหน้าล้อมหลังไปไหนคนยกมือไหว้ หัวใจยังพองโตคิดไปเองว่าเรานี่คือสุดยอดไม่มีใครเทียบ มีอีกไม่น้อยที่ถ่อมตนแม้จะมีอำนาจ มีทรัพย์สมบัติ และเสียสละแบ่งปันสิ่งที่มีให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ 

ในโลกนี้มีความยุติธรรมเสมอ ทุกอย่างเรามีเหมือนกัน ที่แตกต่างเพราะ “วิธีการ” ที่จะนำพาชีวิตของแต่ละคนไปในทิศทางไหน นี่คือเสรีภาพ อิสรภาพที่เราได้รับมาเหมือนกัน เพียงแต่ใครจะใช้อิสรภาพนี้เพื่อให้ความยุติธรรมนั้นเป็นไปตามครรลองและก่อให้เกิดความงามขึ้นในชีวิตได้มากกว่ากัน ....

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

โรคร้ายสายพันธุ์เก่า

โรคร้ายสายพันธุ์เก่า
                          ไข้หวัด “ซิกา” ระบาดหนักแถวสาทร เมื่อได้ยินข่าวนี้รู้สึกตกใจว่าในเขตวัดของเราจะเป็นเขตแพร่เชื้อไปด้วยหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบยังไม่มีรายงานข่าวแต่อย่างใด วัดยังเป็นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราเสมอ เป็นที่น่าสังเกตว่าโรคร้ายใหม่ ๆ มักเกิดขึ้นได้เสมอ มีไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ เกิดขึ้นทุกปี อันเนื่องมาจากการเชื่อมโลกและการเดินทางติดต่อกันได้สะดวกมากขึ้นทำให้รับเชื้อจากที่หนึ่งมาอีกที่หนึ่งจึงเกิดการระบาดง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการป้องกัน มีการหายาเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ เหมือนเป็นการต่อสู้กันระหว่างเชื้อโรคกับการรักษาอยู่ตลอดเวลา และเราเองก็ต้องรู้จักที่จะป้องกันตัวเองให้รอดจากเชื้อร้ายใหม่เหล่านี้ด้วย
ภาพ : http://news.mthai.com/hot-news/world-news/477142.html

                          ในขณะที่เราเห็นเชื้อโรคใหม่เข้ามาจู่โจมสังคมที่ใกล้ตัวเรา แต่ก็ยังมีเชื้อบางอย่างที่แอบซ่อนเร้นอยู่กับพวกเราในทุกวี่วัน เป็นเชื้อของความเห็นแก่ตัว เชื้อชั่วแห่งความซื่อสัตย์ ที่กัดกินสังคมจนสั่นคลอน เชื้อนี้อาจจะซ่อนอยู่ในตัวเราเพื่อรอวันพัฒนา เราต้องหมั่นที่จะตรวจเช็คอยู่เสมอ ความซื่อสัตย์อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามไป เพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครองวัตถุภายนอก โดยมิพักสนใจใยดีในเรื่องอื่นๆ คนอื่นทำได้ทำไมเราจะทำไม่ได้ โกงนิดโกงหน่อยไม่ตายหรอก ค่านิยมเหล่านี้ควรถูกฆ่าให้ตายไปจากจิตใจของเราได้แล้ว แน่ล่ะ มนุษย์มีชีวิตเพื่อการดำรงอยู่ แล้วอยู่อย่างไรจึงจะสมศักดิ์ศรีเล่า ซื่อสัตย์ในทุกเรื่อง ทุกนาทีแห่งลมหายใจจะช่วยให้เราพบศักดิ์ศรีที่แท้จริงพร้อมกับสังคมที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น
                          มีผู้เฒ่าชาวจีนคนหนึ่งมีสุขภาพแข็งแรงดี มีกิจการที่เจริญก้าวหน้า เมื่อคิดจะหาลูกหลานไว้สืบทอดกิจการของตน จึงมอบเมล็ดพันธุ์พืชแก่ลูกที่มีทั้งหมด 15 คน คนละ 1 เมล็ดโดยบอกให้แต่ละคนนำไปปลูกไว้ เมื่อถึงวันเกิดก็ให้นำผลผลิตที่ได้มามอบให้แก่ตน วันเวลาผ่านไปดอกไม้ของลูก ๆ ต่างพากันเติบโต ออกดอกสวยสะพรั่งคงเหลือแต่เสี่ยวเหลียงจือซึ่งไม่มีสิ่งใดเติบโตออกจากกระถางเลยแม้ว่าจะหมั่นรดน้ำพรวนดินเพียงใดก็ตาม
                          จนกระทั่งถึงวันที่กำหนด ลูกแต่ละคนต่างนำกระถางดอกไม้ที่มีดอกไม้งดงาม สวยสะพรั่ง ชูช่อเบ่งบานอย่างเต็มที่มามอบแก่บิดาผู้ชรา ชายชราเดินตรวจตราพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความสุข
                               จนกระทั่งมาถึงเสี่ยวเหลียงจือ ซึ่งถือกระถางเปล่าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพรากลงออกมาเป็นทางด้วยความเสียใจที่ไม่สามารถนำดอกไม้สดมาให้พ่อของเขาได้ แต่ชายชรากลับแย้มยิ้มอย่างเป็นสุขยิ่งกว่า ชายชรากล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า
                          “ลูกเอ๋ย….สิ่งที่เจ้ามอบให้พ่อนั้นมีค่ายิ่งกว่าดอกไม้ทั้งมวลนักเพราะสิ่งที่พ่อต้องการคือความซื่อสัตย์” และมอบทรัพย์สมบัติให้แก่เสี่ยวเหลียงจือ เพราะเมล็ดทุกเมล็ดที่เขาให้ไปนั้น เขาได้เอาไปคั่วจนสุกแล้วจึงมอบให้แก่ลูก ๆ (จากหนังสือมังกรสอนลูก)

                          ความซื่อสัตย์แม้จะไม่มีมูลค่าเท่าเพชรพลอยภายนอก แต่นี่คือคุณธรรมที่ส่งเสริมคนที่ถือครองให้สว่างสุกใสกว่าอัญมณีใด ๆ ในโลกนี้...