วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

หามุมต่าง

หามุมต่าง
            ความสุขอีกอย่างหนึ่งคือการได้ท่องเที่ยว หลายปีที่ผ่านมาจึงมักจะใช้ช่วงหลังวันอาทิตย์ปัสกา เป็นช่วงวันหยุดพักผ่อนและออกท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่จะไปท่องเที่ยวต่างประเทศ  ครั้งนี้ก็เช่นกันเลือกเดินทางไปยังแถว ๆ ยุโรป จุดประสงค์ของการเดินทางท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเพื่อหามุมมองใหม่ ๆ หาบทเรียน เรียนรู้ถึงวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คน เรียนรู้ความเป็นมาของผู้คนในท้องถิ่นแดนไกลได้รับรู้ถึงความรักอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระเจ้าต่อผู้คนบนโลกใบนี้ และที่สำคัญในครั้งนี้ที่ได้ไปยังนครปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อพบเจอกับคุณพ่อเกรียงชัย ตรีมรรคา และคุณพ่อนัฏฐวี กังก๋ง คุณพ่อทั้งสองเคยมีวันเวลาอยู่ในอ้อมรั้ววัดเซนต์หลุยส์ด้วยกัน

            ตามกำหนดนัดหมายคร่าว ๆ เรานัดเจอกันที่หอคอยไอเฟล คณะของเราจะเดินทางไปถึงในตอนบ่าย เมื่อเราเดินทางมาต่างประเทศการติดต่อสื่อสารย่อมมีความลำบากมากยิ่งขึ้น  ด้วยว่าหอไอเฟลซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและโด่งดัง ทำให้มีผู้คนมากมายเหลือเกิน จะโทรศัพท์หากันก็ใช้การไม่ได้ ต้องวิ่งหาไวไฟ เพื่อส่งข้อความหากัน สรุปสุดท้ายเป็นไปได้ยากมากที่จะมาเจอกันตรงนั้น จึงมีการนัดหมายใหม่ไปเจอกันที่โรงแรมที่พักค่ำคืนนั้น และจะได้มีเวลานั่งพูดคุยกันได้พอสมควร คุณพ่อทั้งสองฝากความคิดถึงมายังพี่น้องทุกคนในโอกาสนี้ด้วย
            การใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศนั้นหากมีคนไทยไปเยี่ยมเยือน นั่นเป็นความสุขอย่างมากเลยทีเดียว แล้วเราก็ได้รับมุมมองใหม่ ๆ ในการพบกันในต่างแดนเสมอบนความสัมพันธ์เดิม ๆ ที่เติมกำลังใจให้แก่กันและกัน เมื่อพูดถึงมุมมองใหม่ ๆ แล้ว ทำให้อดคิดถึงการท่องเที่ยวที่หอไอเฟลไม่ได้ ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่สี่แล้วที่ได้มาเยือน ในแต่ละครั้งที่มานั้นไม่เคยซ้ำมุมกันเลย ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เราได้มาเดินอยู่ใต้หอคอย มาอยู่ในมุมใกล้ ๆ พอรุ่งขึ้นอีกวันมาลงเรือล่องแม่น้ำแซน ก็เห็นหอไอเฟลอีกมุมหนึ่ง ในแต่ละมุม ต่างมุมมอง ต่างเวลา เราก็พบความงามและความยิ่งใหญ่ของสิ่งเดียวกันที่แตกต่างกันออกไป ใช่หรือไม่ หากเรารู้จักที่จะหามุมเพื่อมองความงามในความต่าง เราย่อมพบความยิ่งใหญ่ของสิ่งสร้างเสมอ

            บนความสัมพันธ์ของคนเราก็เช่นกัน หากเราพยายามที่จะมองทุกผู้คนที่พบผ่าน ที่คุ้นเคยที่คุ้นชิน แล้วเลือกมุมมองที่สวยงามที่พอเหมาะพอควร เราย่อมอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก แต่ก็นั่นแหละ... เมื่อเรามีชีวิตเป็นของตัวเอง เลือกที่จะใช้จริตตนนำหนทางแล้วไซร้ หัวใจก็มักปิดกั้น ไม่ยอมรับในความต่างของผู้อื่น ยิ่งระบบในสังคมแบบใหม่ที่พร้อมจะอยู่บนความคิดของตัวเองฝ่ายเดียว ที่ปลูกฝังความเชื่อมั่นในตัวเองแบบผิด ๆ ที่มักคิดถึงแต่เสรีภาพของตัวเอง ที่เฝ้าแต่เรียกร้องความยุติธรรมเมื่อตัวเองไม่สมประโยชน์ เราจึงมีแต่มุมมองเดิม ๆ ตกอยู่ในสภาวะที่ยึดโยงอยู่แต่ความคิดเห็นของตัวเอง อยู่ในโลกส่วนตัวที่มักกวักมือเรียกให้คนอื่นเดินเข้ามาหาโดยไม่ยอมเปิดประตู ไม่ค่อยคุ้นเคยในการเปิดประตูบ้านแล้วเดินออกไปสานความสัมพันธ์กับผู้คนด้วยหัวใจ จึงมักจะใช้ชีวิตวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นด้วยมุมมองของตัวเอง ด้วยการส่งสารในมุมซ่อนเร้นบนโลกสมมุติโลกเสมือนจริง แล้วเลือกรับสารบนความเชื่อด้านเดียวมุมเดียวมาโดยตลอด วันนี้เราจึงพบแต่คนที่ชอบโอ้อวดความรู้ มากกว่าคนที่แสดงความรู้แจ้ง
            ในนครปารีส นครที่สร้างนักคิดนักเขียน นักปราชญ์ ศิลปิน ที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ คน ท่านเหล่านี้ล้วนมีวิถีชีวิตแนวคิดเป็นตัวของตัวเอง แต่บ่อยครั้งมักนำแนวคิด วิถีชีวิตที่ยึดโยงนั้นมานั่งถกเถียง แลกเปลี่ยนกันตามร้านกาแฟ ตามลานถนน จึงเป็นที่มาของผลงานอันลือชื่อหลาย ๆ ผลงาน การนั่งดื่มกาแฟไม่ใช่นั่งดื่มเพื่อให้ดูดีมีฐานะ ไม่ใช่เพียงเพื่ออวดอ้างรสนิยม แต่เพื่อนั่งจิบกาแฟไป พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันไป ร้านกาแฟเดิม ๆ แต่มักเกิดมุมมอง  แนวคิดใหม่ ๆ เสมอ การเปิดหัวใจรับฟังคนอื่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ เป็นการพัฒนาความเจริญทั้งทางด้านจิตใจ ด้านการเมือง และด้านสังคมมาในทุกยุคทุกสมัย


            แต่พอสมัยใหม่ในสมัยของเรานี้ เรามักเห็นการพัฒนาเพียงด้านเดียว คือการพัฒนาทางด้านเครื่องมือสื่อสาร แต่ไม่มีการพัฒนาด้านการสื่อสารกันเท่าที่ควร ความเจริญด้านจิตวิญญาณเราจึงถอยหลังลงไปมาก เราให้ความสำคัญกับเครื่องมือ เราจึงอยู่กับเครื่องมือไม่ค่อยใส่ใจกับเนื้อหาและแนวคิดใหม่ ๆ ในการดำเนินชีวิตกันเสียเท่าไหร่ เปิดหัวใจแล้วหามุมมองใหม่ ๆ กับสิ่งเดิม ๆ ยังมีอะไรอีกมากมายเพื่อให้เราเรียนรู้ เพื่อให้เราใส่ใจและเข้าใจ กับคนคุ้นเคยรอบข้างกายเรา ลองมองด้วยหัวใจรัก มองใกล้ ๆ ให้ใจสัมผัสใจ แล้วเราจะพบว่าชีวิตเรามีความงามอยู่เคียงคู่เสมอ ก้าวเดินทางไปบนโลกใบเดิมด้วยการหามุมมองที่ต่างออกไป เราจะได้อยู่ในโลกที่มีความสุขสันติด้วยกัน.....

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

เหรียญโลภ

เหรียญโลภ
            หลายคนคงเคยได้รับอีเมล์ ได้รับการแชร์ หรือการเชิญ ให้สมัครทำงานออนไลน์ ทำงานอยู่กับบ้านแล้วจะได้เงินจำนวนมาก ทั้งจากในประเทศและจากที่อื่น ๆ ทั่วโลก คำที่เชิญชวนนั้นก็มักจะยั่วยวนชวนให้ฝันหวานด้วยก้อนเงินตอบแทนก้อนโต พูดเหมือนปลุกระดมให้ออกจากระบบการทำงาน ฟังดูแล้วแสนจะง่ายดาย ก็มีไม่น้อยที่เคลิ้มหลวมตัวเข้าไปทำงานที่ตั้งอยู่บนความโลภแล้วหลอกขายฝันกันไปมา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ก่อนช่วงวันหยุดสงกรานต์มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง นั่นคือการบุกจับบริษัทใหญ่ เป็นบริษัทลงทุนด้วยการซื้อขายเงินสกุลใหม่ เป็นสกุลเงินที่ตั้งขึ้นมาเองแล้วซื้อขายกันเองภายในสมาชิกที่ร่วมลงทุน มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าสกุลเงินนี้จะทำกำไรอย่างมหาศาลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเพราะระบบนี้กำลังกลายเป็นที่นิยมยอมรับ จนสามารถนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ แต่ด้วยลักษณะการหาสมาชิกมาร่วมลงทุนนั้นเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ ใครที่ลงทุนแล้วต้องหาเพื่อนมาต่อขา เพื่อยกระดับของตัวเอง และจะได้ค่าคอมมิชชั่นตอบแทน ยิ่งหาได้มากยิ่งมีเงินเพิ่มขึ้น (ตัวเลขในพอร์ต) และเงินที่เพิ่มก็จะถูกแปลงค่าเป็นพอยท์ point ใครที่หาได้น้อยหรือหาไม่ได้เลยก็จะถูกหัก point จากจำนวนแรกเข้า
            ดังนี้แล้ว ใครที่ลงทุนไปก็จำเป็นต้องหาคนมาต่อทอด ต่อกันไปเรื่อย ๆ ใครหาคนไม่ได้ก็ต้องหาเงินมาเพิ่มเข้าทุก ๆ เดือน บางคนถึงกับต้องขายบ้าน ขายที่ เพื่อรักษาสิทธิ์ให้ค่าเงินสกุลใหม่นั้นคงอยู่ แต่ค่าเงินนั้นมันไม่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยน เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ด้วยว่าสมัยใหม่เราใช้อินเตอร์เน็ต เพื่อออนไลน์ติดต่อสื่อสารกัน รวมไปถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยน และเพื่อไม่ให้ต้องสับสนในอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินที่ขึ้นลงในแต่ละวันจึงมีการกำหนดสกุลเงินดิจิตัลขึ้นมา คล้ายกับค่าของเหรียญที่เห็นกันบ่อย ๆ ในเกมออนไลน์ ในการซื้อ Application ในการซื้อสติกเกอร์ใน  Line ล้วนต้องมีเหรียญซึ่งก็จะมีราคาเทียบกับสกุลเงินดอลล่าร์กำกับอยู่ ดังนี้แล้วจึงมีการคิดค้นค่าเงินดิจิตัลขึ้นมามากมาย แต่ที่พอจะรู้จักนั่นคือ บิทคอยน์ “Bitcoin” สกุลเงินใหม่ในโลกออนไลน์
           
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
จากข้อมูลในเว็บ MThai กล่าวไว้ว่า “BitCoin” เป็นสกุลเงินดิจิตัล หรือเงินที่กำหนดใช้ในโลกออนไลน์ หรือโลกเสมือนจริง “BitCoin”  เปรียบเสมือน เงินธนบัตร แต่ไม่มีการควบคุมจากธนาคารกลางและไม่มีทุนหลักทรัพย์ หรือทองคำใด ๆ มารองรับ เหมือนเงินสกุลอื่น ๆ ทั่วโลก ถึงขนาดที่กลุ่มแฮกเกอร์บอกว่า “BitCoin” เป็นสกุลเงินตราในฝันสำหรับพ่อค้าออนไลน์เลยทีเดียว Bitcoin เป็นสกุลเงินบนโลกออนไลน์ จับต้องไม่ได้ เพราะมันอยู่ในรูปแบบของรหัส มีไว้ใช้ซื้อขายเฉพาะบนเน็ตไม่ผ่านธนาคาร
            การยอมรับของ “Bitcoin” ในเมืองไทยนั้น แม้ว่าจะเริ่มมีเว็บไซต์เกิดขึ้นมาทำการซื้อขายผ่านสกุลเงินดังกล่าวก็ตาม แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกมาประกาศไม่รับรองว่า “BitCoin” เป็นสกุลเงิน ที่ถูกกฏหมายในประเทศไทย เพราะมีความเสี่ยงอย่างมาก มีโอกาสที่บริษัทที่ตั้งขึ้นมารองรับการซื้อขายผ่านระบบสกุลเงิน “BitCoin” จะเจ๊งโดยง่าย เพราะไม่มีหลักทรัพย์ใด ๆ หรือทองคำมารับประกันมูลค่าจริงของ “BitCoin” มูลค่าเงินที่กำหนดก็สูญหายได้ง่าย หากบริษัทล้มละลายขึ้นมา          
            ใช่หรือไม่ โลกยุคใหม่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนชวนให้เกิดกิเลส เกิดความโลภ โลกยุคที่นำความฝันมาเร่ซื้อขาย โดยมีความสะดวกสบาย บ้านหลังใหญ่ รถหรูหราเป็นตัวล่อ และด้วยความง่ายดายในการติดต่อสัมพันธ์กันผ่านโลกเสมือนจริง ต่างคนต่างใส่จริตที่เกิดจากมโนล้วน ๆ เที่ยวสรรหาคำ หาภาพประกอบให้เกิดความน่าเชื่อถือ มาโชว์ให้คนที่อ่อนแอ แต่อยากมีอยากได้มาตกหลุมพราง พอรู้ตัวว่าถูกหลอกแล้วก็ไม่กล้าที่จะยอมรับความจริง กลับสร้างจริตปลอม ๆ ขึ้นมาหลอกลวงคนอื่นต่อไป เพื่อจะลบรอยปมที่เคยถูกคนอื่นหลอกให้โลภมาแล้ว จึงเกิดการหลอกกันไปมา ในโลกแห่งโลภดิจิตัล มีเหรียญที่ใช้เป็นสื่อกลางเพื่อให้เห็นความโลภว่ามีตัวตน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            เมื่อพูดถึงเหรียญแห่งความโลภที่กำลังกลายเป็นสื่อหลอกลวงให้ผู้คน ให้ตกเป็นเหยื่อของคนโลภที่ฉลาดกว่า เพื่อทำให้คนโลภแต่ฉลาดน้อยกว่าต้องสูญเสียทรัพย์สินอันพึงมีพึงได้ไป ทำให้คิดถึงเหรียญที่ยูดาสได้รับมาจากการหักหลังพระเยซูเจ้า จนนาทีสุดท้ายเหรียญนั้นก็ไม่ช่วยให้ฝันของยูดาสเป็นจริง แต่ยิ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า ถึงกลับต้องขว้างทิ้ง และที่สุดก็ต้องสูญสิ้นสลายแม้แต่ชีวิตของตัวเอง ใช่... ความฝันเป็นสิ่งคู่ควรที่เราต้องมี แต่ความฝันนั้นต้องลงมือทำและสร้างด้วยแรงศรัทธา ความมุ่งมั่น หาใช่ต้องมาซื้อขายกัน อย่าให้ความโลภมาทำลายความฝัน เพราะเช่นนั่นแล้วชีวิตของเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

เมื่ออุโมงค์หัวใจเปิดออก

เมื่ออุโมงค์หัวใจเปิดออก
            ไปไหนมาไหนได้ยินแต่ผู้คนบ่นว่า “อากาศร้อนสุด ๆ ” บ่นกันอยู่ 2-3 วัน ฟ้าฝนเห็นใจเลยตกกระหน่ำตั้งแต่เช้า สร้างความชุ่มฉ่ำจนเกินงาม กลายเป็นเพิ่มทุกข์ให้คนกรุงในการสัญจรไปทำงาน ไปทำธุระ จากร้อนสุดเป็นท่วมเจิ่งนองกันทั่วหน้ามหานคร ดูเหมือนไม่มีความสมดุลเอาเสียเลย แต่หากเรามองด้วยใจที่เป็นสุขความทุกข์ร้อนใดเล่าจะมากล้ำกราย  ในสิ่งสร้างนั้นจะมีความยุติธรรมเสมอ เมื่อร้อนสุดย่อมเกิดฝนตกหนักสุดด้วยเช่นกัน ไม่มีใครที่จะบังคับความเท่าเทียมของธรรมชาติได้ มีแต่ต้องน้อมรับปรับตัวให้อยู่กับธรรมชาติให้ได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนเตือนให้คนเราต้องคิดว่า เราเองก็ทำร้ายธรรมชาติมามากเพียงใด เมื่อสิ่งที่ปกป้องเราถูกทำลายแล้วเราจะมีอะไรเป็นเกราะคุ้มกันเล่า
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ในแง่ของการดำเนินชีวิตก็เช่นกัน เราเป็นผู้ทำลายความสมดุลในตัวเรามากน้อยเพียงใด ยิ่งเราทำลายล้างมาก ความอ่อนแอย่อมมีมากมาย ภูมิคุ้มกันย่อมบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องของจิตวิญญาณ หากเราปล่อยให้จริตความอยาก ความโลภ ความหยิ่งยโส เข้ายึดครอง หัวใจแห่งเมตตาย่อมลดหายไป ความว้าวุ่นก็จะตามมา เมื่อนั้นหัวใจแห่งซาตานก็จะงอกเงยขึ้นและเข้าครอบครองจนเรากลายเป็นสมุนของมันอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่เราเกิดมาพร้อมกับความงดงาม แต่ยิ่งวันความงามกลับยิ่งห่างหายไปจากชีวิต เราอาจจะบ่นว่าเพราะมีปัจจัยล่อลวงมากมายก่ายกองจนไม่สามารถจะบังคับจิตใจได้ เพราะสิ่งแวดล้อมนำไปจึงต้องเลยตามเลย เราไม่กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งทำลายด้านคุณงามความดีไปจากชีวิตเรา เพราะคิดว่า ทำดีไปก็เท่านั้น เมตตาไปก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีตามมา ให้อภัยก็ไม่เห็นการสำนึกผิด
            เมื่อพูดถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึงห้วงเวลาก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน ท่ามกลางคนร้ายสองคนนั้น ท่ามกลางคนที่ทำลายพระองค์ด้วยการทรมานอย่างแสนสาหัส แต่พระองค์กลับตรัสว่า “ให้อภัยพวกเขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่าได้ทำอะไรลงไป” ดูเหมือนว่าเป็นคำพูดของเทพ ของพระเจ้าที่สามารถพูดได้ แต่ ณ เวลานั้นพระองค์คือมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีเลือดมีเนื้อและกำลังเจ็บปวดจากเลือดเนื้อนั้นอยู่ เราอาจจะคิดว่าเพราะนั่นเป็นแผนการไถ่กู้ที่พระองค์รู้ว่าอย่างไรเสียต้องเป็นเช่นนี้ และพระองค์ต้องเตรียมใจรับสภาพนี้มาก่อนแล้ว ใช่หรือไม่บางทีการรู้ว่าอะไรจะเกิดกับเราก่อน ยิ่งสร้างความเจ็บปวดมากกว่าการที่ไม่รู้อะไรเลย พระองค์ยอมเจ็บปวดกว่าคนธรรมดาอย่างเรา ๆ เป็นหลายเท่า แต่พระองค์ก็ให้อภัย เพราะหัวใจของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่และพระองค์ก้าวข้ามผ่านหัวใจของตัวเองเพื่อเปิดกว้างให้ผู้อื่นอย่างเต็มหัวใจ เหมือนดั่งที่ปากอุโมงค์ฝังพระศพเปิดออก แล้วแสงสว่างก็บังเกิดขึ้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            สิ่งเหล่านี้ใครที่มีหัวใจประเสริฐย่อมข้ามผ่านความเจ็บปวดจากความทุกข์ได้ ในขณะที่ได้ฟังเหตุการณ์พระมหาทรมานเมื่อวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์นั้น ทำให้นึกถึงข่าว ๆ หนึ่ง ที่มีพระหมอถูกยิงตายต่อหน้าต่อตาหลวงปู่สุขผู้เป็นพระพ่อ ทั้งสองรูปออกบวชพร้อม ๆ กัน จนพระหมอ (ลูกชาย) ได้เป็นเจ้าอาวาสในวัด ๆ หนึ่งในจังหวัดอุดรธานี จนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป อยู่ ๆ ก็มีคนร้ายมาลอบยิงในขณะที่ทั้งสองออกบิณฑบาต พระลูกชายสิ้นใจท่ามกลางอ้อมอกของพระพ่อที่ประคองร่างที่ไร้วิญญาณ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ และได้นำตัวชายคนนั้นถือดอกไม้ธูปเทียน มากราบขอขมาหลวงปู่สุข พร้อมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าผมผิดไปแล้วครับ
            จากนั้นได้ถวายดอกไม้ธูปเทียนให้กับมือหลวงปู่สุข แล้วกราบ 3 ครั้ง โดยทางหลวงปู่สุขได้แตะมือชายคนนั้น พร้อมกับกล่าวเทศนาว่าก็รู้สึกว่าเป็นผู้ที่รู้บุญรู้บาป รู้จักสำนึกบุญบาป สิ่งใดที่ทำไปแล้ว แม้จะได้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ หลวงพ่อก็ขออโหสิกรรมให้ โดยไม่มีความติดใจหรืออาฆาตมาตร้ายแต่อย่างใด ทุกคนสัตว์โลก ไม่ว่าสัตว์หรือมนุษย์ หลวงพ่อก็มีแต่เมตตา มีแต่ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง สิ่งใดทำไปแล้ว ก็ขอให้เป็นสิ่งที่จบไป ขอกุศลผลบุญอันนี้ จงส่งให้ผู้ที่สำนึกผิดนี้ จงได้รับผลบุญอานิสงค์ ที่ได้สำนึกว่า ได้พลั้งเผลอกระทำไป แม้จะได้ตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม ขอให้ท่านจงประสบความสุขความเจริญในอนาคตข้างหน้า โดยทั่วทุกทั่วหน้ากาลนานเทอญ

           
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลวงปู่สุขไม่เพียงให้อภัย ยังให้พรอีกด้วย หัวใจของคนเช่นนี้ยิ่งใหญ่นัก แม้พระท่านจะเป็นเพียงพระสงฆ์ที่ชราธรรมดารูปหนึ่ง แต่การกระทำเช่นนี้ของท่านมันยิ่งใหญ่เท่าเทียมกับวีรบุรุษคนหนึ่งเลยทีเดียว เห็นใช่ไหมว่า คน ๆ หนึ่งหากข้ามผ่านความทุกข์ของตัวเองได้ เปิดอุโมงค์หัวใจออกแสงสว่างแห่งการเกิดใหม่ย่อมบังเกิดขึ้น เมื่อร้อนยังมีฝนฉ่ำ เมื่อฝนตกหนักก็ยังมีวันหยุด ทุกข์หนักแค่ไหน เปิดใจรับมัน เมื่อถึงเวลามันก็จากชีวิตเรา จะให้จากไปด้วยหัวใจที่อิ่มเอม หรือจากไปเพราะจำใจ จากไปอย่างไรนั้น เราสามารถเลือกได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการเปิดอุโมงค์หัวใจของเรา...อัลเลลูยา

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

รำพึงถึง...เรา ภาคจบ

รำพึงถึง...เรา ภาคจบ 
           
สถานการณ์ที่ 9 บาดแผลของผู้ชนะ  (พระเยซูเจ้าทรงหกล้มครั้งที่สาม)
            ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับเราในทุกย่างก้าวของชีวิต โดยมีปัจจัย  วันเวลาและสถานที่ที่แตกต่างกันออกไป แต่สำหรับคนที่มีหัวใจที่มุ่งมั่นย่อมรู้ว่านี่เป็นบาดแผลของผู้กล้าที่พร้อมจะลุกขึ้น คนที่สู่จุดหมายความสำเร็จได้นั้น ไม่มีใครเลยสักคน ที่เคยล้มเพียงครั้งเดียว มีแต่ยิ่งล้มยิ่งเข้มแข็งและกล้าแกร่งยิ่งขึ้น บาดแผลและความเจ็บปวดของพระเยซูเจ้าที่เกิดจากการหกล้มลงนั้นน้อยนัก เมื่อเทียบกับบาดแผลจากความผิดบาปของเรา แต่พระองค์ไม่เคยซ้ำเติมเราเลย
            สถานการณ์ที่ 10 หยุดสร้างสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น (พวกทหารเปลื้องพระภูษาของพระองค์)
            ​การทับถม ซ้ำเติม เพื่อความสะใจในชะตาทุกข์ของผู้อื่นนั้น หลายครั้งมันก็ก่อเกิดเป็นความสุขได้อีกชนิดหนึ่ง แต่คงเป็นความสุขแบบจอมปลอม สิ่งเหล่านี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกทหารปลายแถวเหล่านั้นที่รุมกันเข้ามาแย่งเสื้อผ้าของพระเยซูเจ้า ทั้ง ๆ ที่เสื้อตัวนั้นก็เต็มไปด้วยเลือด และน้ำลายของพวกเขาที่ได้ถ่มใส่พระองค์ ทหารพวกนั้นหวังเพียงความสะใจ หวังสร้างสุขบนซากทุกข์ของผู้อื่น บางห้วงเวลาทหารพวกนั้นอาจจะวนเวียนอยู่ในตัวตนของเรา...
            ​สถานการณ์ที่ 11 กางแขนออกน้อมรับความอนิจจังของโลก  (พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน)
            ​เมื่อทุกข์ถึงขั้นวิกฤต สิ่งที่ทุกคนจะพึงกระทำ คือ การน้อมรับต่อความทุกข์นั้นโดยดุษฎี กางแขนออก พร้อมน้อมรับเผชิญหน้าอย่างมั่นคง สถานการณ์ที่สุดแห่งความทุกข์จึงเป็นการเริ่มต้นสู่ความเข้มแข็งและมั่นคง ไม่มีชีวิตของคนใดที่จะปราศจากหนทางกางเขน แต่กับคนที่พร้อมกางแขนรับกางเขน น้อมรับความสาหัสของวิถีทุกข์ของชีวิต คนผู้นั้นย่อมกลายเป็นคนที่สมบูรณ์
สถานการณ์ที่ 12 จบครั้งนี้เพื่อความสมบูรณ์ในวันข้างหน้า (พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน)
            จะมีสักกี่คนบนโลกนี้ที่จะกล้าพูดว่าจบบริบูรณ์แล้วใครที่เดินบนทางทุกข์ด้วยใจที่เป็นสุข เดินบนโลกด้วยหัวใจแห่งรักและเสียสละ ย่อมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าชีวิตสมบูรณ์แล้ว แต่สังคมทุกวันนี้ เรามักพบแต่คนที่พูดว่า ชีวิตยังไม่สมบูรณ์ และยังคงไขว่คว้าหาความสมบูรณ์บนเส้นทางทุกข์กันต่อไป และเมื่อวันที่ดินกลบหน้า ใครบ้างเล่าที่ปรารถนาให้มีแต่คำกล่าวร้าย วันนั้นควรจะเป็นวันที่ความสมบูรณ์ของชีวิต แล้ววันนี้เราเริ่มทำเพื่อวันนั้นหรือยัง
            สถานการณ์ที่ 13  เพื่อนตายนั้นหายากจริงหรือ? (เชิญพระศพพระเยซูเจ้าลงจากกางเขน)
            หากในชีวิตเราไม่ได้เตรียมตัวรองรับความผิดพลาด ความผิดหวัง ไม่พร้อมที่จะรับความเจ็บปวด และเมื่อวันนั้นมาถึง ก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด สัจธรรมของโลกอีกอย่างหนึ่งที่สอนเราเสมอมาว่า วันที่เราอ่อนแอที่สุด เราจะเหลือเพื่อนน้อยมาก แต่เราจะได้ความรักอย่างแท้จริงจากคนไม่กี่คน และคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างเรา พร้อมยอมรับเราทุกวินาที คนคนนั้นก็คือ พ่อ แม่ ความรักของ พ่อ แม่ เป็นความรักของเพื่อนแท้ที่หาได้ในโลกนี้
            สถานการณ์ที่ 14 ฝังลงในผืนดิน (พระเยซูเจ้าถูกฝังไว้ในคูหา)
            มีปราชญ์ชาวอินเดียกล่าวว่ามีโคนมทั้งฝูง คนเราก็กินนมได้เพียงสองแก้ว มีทุ่งนากว้างขวางปลูกข้าวได้หลายเกวียน คนเราก็กินข้าวอิ่มได้เพียงสองชามสามมื้อ มีปราสาทราชวัง บ้านเรือนใหญ่โต คนเราก็นอนได้เพียงครึ่งเตียงสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถนำไปเป็นสินบนและเป็นค่าทางผ่านเข้าประตูบ้านพระบิดาได้ ความรักและคุณงามความดีต่างหาก ที่จะเป็นเครื่องยืนยัน คือกุญแจทองที่จะไขเข้าสู่สวรรค์ เมื่อร่างกายถูกฝังลงดิน กลิ่นของคุณธรรม และผลของความดีของคนผู้นั้นต่างหากที่จะล่องลอย หอมหวน อบอวล ต่อไปบนโลกนี้ เราพร้อมหรือยังที่จะฝัง ความโลภ โกรธ หลง ลงในดิน ก่อนที่ร่างเราจะถูกฝังลงในดิน
            สู่สถานการณ์สุดท้าย ความสุขที่ได้รับจากการข้ามผ่านความทุกข์ (พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชนม์ชีพ)

            เมื่อปากพระคูหาเปิดออก สัจธรรมก็ถูกเผยออก คำสอนของพระคริสต์ถูกแพร่กระจายขจรไปทั่วโลก การสิ้นพระชนม์ของพระองค์นำมาซึ่งการเกิดใหม่อันรุ่งโรจน์ของพระศาสนจักรตราบจนถึงทุกวันนี้ เช่นกัน เมื่อเราเปิดหัวใจของเราให้กับผู้คนรอบข้าง ให้อภัยกันและกัน โลกใบนี้ก็จะเปิดกว้าง เราสามารถข้ามผ่านความทุกข์ด้วยการเปิดใจ แล้วเมื่อนั้นความสุข สันติสุข แสงทองของชีวิตใหม่ก็จะบังเกิดขึ้นในชีวิตของเรา อัลเลลูยา