วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เมื่อบางอย่างหายไป


เมื่อบางอย่างหายไป
ท้องฟ้าวันนี้
บ่ายวันอังคาร อยู่ ๆ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนไป ดูขมุกขมัวไปทั่วทั้งเมือง ทั้ง ๆ ที่เมื่อเย็นวันจันทร์ตอนไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะใต้สะพานแขวน แล้วก็มานั่งชื่นชมแสงทองของยามเย็น พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า ส่องแสงสะท้อนกับพื้นน้ำ ท้องฟ้าบางขณะยังแบ่งข้างแบ่งฝ่ายเป็นสองสี ฝั่งหนึ่งสีฟ้าคราม ฝั่งหนึ่งสีทองอำไพ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้มายืดแข้งยืดขาที่นี่ จำต้องแวะเวียนมายลโฉมสูดลมกลิ่นน้ำริมเจ้าพระยา แต่แล้ว...เมื่อบ่ายวันอังคารสีสันสวยงาม แสงทองยามเย็นเหล่านั้นกลับหายไป เหมือนมีใครมาขโมยพระอาทิตย์ไป เหมือนมีใครมาแกล้งเอาผ้าผืนใหญ่มาบดบังแสงตะวัน มีเพียงความหมองมัวดูจะหงอย ๆ เศร้า ๆ อย่างไรชอบกล แต่…นี่เป็นธรรมชาติที่บ่งบอกถึงกาลเวลา ลักษณะอย่างนี้เราย่อมรู้ดีว่า ฤดูกาลแห่งลมหนาวกำลังกลับมาเยือนอีกครั้ง และจะหนาวนาน จะเย็นสักกี่วัน ก็สุดจะคาดเดา เพราะบางปีฤดูหนาวก็หายไปจากเราอย่างไร้ร่องรอย


ในเช้าวันพุธอากาศเริ่มเย็นลง หลายคนดีใจที่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ แต่ท้องฟ้าก็ยังคงสลัว ๆ ไม่ว่าท้องฟ้าจะสดใส มืดมน ท้องฟ้าก็ยังคงความงามไว้ได้เสมอ ท้องฟ้าไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่จะเปลี่ยนไปในทุกวันเวลา ท้องฟ้าผืนเดิม แต่ไม่เคยเหมือนกันสักวัน ความแน่นอนจึงมีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่ บนท้องฟ้าไม่มีอะไรแน่นอน แต่เราก็มีท้องฟ้าอยู่คู่โลกและจักรวาลตราบจนวันนี้


ท้องที่ชีวิต
ชีวิตก็เป็นเช่นนั้นมันไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งบนความสัมพันธ์อันเปราะบางของผู้คนสมัยนี้ ยิ่งน่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง ในวันเวลาที่เปลี่ยนผ่าน ยิ่งเติบโตยิ่งดูเหมือนจะโดดเดี่ยว แต่กลับแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อนฝูงน้อยลงแต่เหนียวแน่นกับบางคนมากกว่าเดิม ใจเย็นลง มองเห็นผู้คนอื่นอย่างเข้าใจมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่หายไป แต่ความทรงจำนั้นตราตรึงอยู่เสมอ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวมาก็มาก ถูกหลอกถูกโกหกถูกหักหลังก็บ่อย นี่ก็คือการคัดกรองให้สิ่งดี ๆ มีค่าควรคู่กับวิถีชีวิตของเรา แน่ล่ะ เราแต่ละคนย่อมถูกจริตและอยู่ในกลุ่มก้อนกับผู้ที่มีทัศนคติตรงกัน จะมีบ้างบางเวลาที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มอื่น ไม่นานก็ผ่านห่างหายล้างลากันไป เราไม่จำเป็นต้องเกาะยึด เพราะนั่นมันไม่ใช่สิ่งที่เราแสวงหาเพื่อที่จะพบหนทางแห่งความสุข


หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า ทำไมยิ่งนานวัน เพื่อน ๆ ที่เคยคบกันไปไหนมาไหนด้วยกัน ถึงเริ่มลดลงเรื่อย ๆ หายไปทีละคนสองคน หรือบางครั้งอาจแทบไม่เหลือเลย บางทีเราก็ต้องมาทบทวนดูว่าเป็นเพราะตัวเราหรือเป็นเพราะวิถีทางของแต่ละคนเริ่มมีทางแยก ทางไป ทางที่ต้องตัดสินใจกันมากขึ้น เริ่มจากตัวเราต้องย้อนดูว่าเราอาจจะมีพฤติกรรมอะไรที่เปลี่ยนจากเดิมหรือเปล่า สร้างความไม่ชอบใจโอ้อวดบนโลกโซเชียลมากเกินไปไหม?  เห็นแก่ตัวจนเกินงาม คิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองมากจนเกินไป และเบียดเบียนผู้คน ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนาหรือเปล่า นานวันเข้า ความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนฝูงก็จะค่อย ๆ หายไป ถ้าเป็นแบบนี้เราจะโดดเดี่ยวเดียวดายกลายเป็นคนไร้ความสุข แต่ถ้าเราจริงใจกับทุกผู้คนที่คบหา แม้วันเวลาจะพลัดพรากเพื่อนฝูงไป เราก็ยังมีความทรงจำให้สุขใจได้ เราก็ยังมีวันคืนที่งดงามประทับใจอยู่เสมอ
ท้องถิ่นกลิ่นความสุข
ใช่หรือไม่ หลายคนเริ่มบ่นว่า การดำเนินชีวิตของคนเราในยุคปัจจุบัน ความสุขกำลังเลือนหายไป ทั้ง ๆ ที่เรามีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มีการติดต่อสื่อสารเพียงปลายนิ้วสัมผัส มีเงินทองให้จับจ่าย  อาจจะเป็นเพราะคนเราไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต ไม่รู้จักใช้และมองข้ามคุณธรรม ละเลยความงดงามที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง มีแต่ความสบาย แต่ไร้ซึ่งความสุขและความงดงาม ชีวิตที่มุ่งสร้างแต่เปลือกภายนอก ก็จะได้เพียงเปลือกที่รอวันสูญสลาย หากในชีวิตของคนเราดำเนินไปด้วยคุณธรรม มองเห็นคุณค่าทุก ๆ วินาทีของชีวิต ไม่ปล่อยใจหมกมุ่นอยู่กับความสนุก ความโลภ ความหลง เรียนรู้ที่จะมีศรัทธาและเชื่อมั่นในความรัก ทำดีต่อทุกสิ่งต่อทุกคน สิ่งนี้แหละที่จะนำความสุขที่เคยหายไปให้กลับคืนมา

บางอย่างที่หายไปอาจจะเป็นเพราะการกระทำของเราต่อผู้อื่น หรือเป็นเพราะคนอื่นกระทำต่อเรา ทุกคนย่อมมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น เป็นธรรมดาของวิถีชีวิตนี้ที่วันเวลาจะช่วยคัดกรองความงามและความสมดุล เพื่อให้แต่ละคนมีความสุขบนหนทางตามน้ำพระทัย ตามอัตลักษณ์ที่พระเจ้าประทานมาให้ เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องมองหาและมองให้เห็นสัญญาณผ่านทางกาลเวลา ผ่านทางผู้คนที่ผ่านพบ ผ่านทางความสัมพันธ์ ผ่านทางการกระทำของเราเองและของผู้คน แม้กระทั่ง ผ่านทางการห่างหายสลายไปของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยหัวใจที่เปี่ยมคุณธรรม ด้วยจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เราก็จะพบกับความเที่ยงแท้แห่งความสุขสันติตลอดไป ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นเยี่ยงไร...

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วิจัยเพื่อขัดเกลา


วิจัยเพื่อขัดเกลา
หนึ่งวันในเซินเจิ้น คณะเราออกเดินทางจากเกาะเกาลูนด้วยรถไฟสายสีฟ้า มุ่งหน้าสู่ประเทศจีนทางตอนใต้ ต้องผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ตรวจเช็ควีซ่าใช้เวลาไปร่วม ๆ สองชั่วโมง จากนั้นเราก็นั่งรถไฟใต้ดินมายังตึกสูงระฟ้าหนึ่งร้อยชั้น เพื่อแวะรับประทานอาหารมื้อเที่ยง มีคนรอเข้าคิวเป็นจำนวนมาก ระหว่างทางเห็นรถจักรยานให้เช่าจอดเรียงรายอยู่ทั่วไป ที่รถก็จะมีคิวอาร์โค้ดให้สแกนจ่ายค่าบริการ เห็นคนซื้อตั๋วรถไฟ จับจ่ายสินค้าผ่านทางแอพลิเคชั่นทางมือถือ แทบทุกที่เราจะเห็นคิวอาร์โค้ด เพื่อให้เราเข้าเว็บ ดูข้อมูล เพื่อจ่ายเงิน แม้กระทั่งการให้ทานกับขอทานก็ใช้วิธีสแกนจ่ายทางอินเตอร์เน็ต เรียกว่าที่นี่คือ สังคมจำลองชีวิตเมืองแห่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นความจริงที่เรากำลังพบเจอในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ตามข้อมูลที่ได้ศึกษามา เมื่อเอ่ยชื่อ “เซินเจิ้น” (Shenzhen) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ จะนึกถึงเมืองแห่งของก๊อปปี้ หรือของลอกเลียนแบบ มีตั้งแต่กระเป๋า นาฬิกา ปากกา เสื้อผ้า ไปจนถึงสินค้าเทคโนโลยี ถึงกับมีการพูดกันว่า สินค้าอะไรก็ตามในโลกที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ หากมาที่นี่ก็จะเจอสินค้านั้นแบบเดียวกันแน่นอน เป็นงานระดับ Mirror ไปจนถึงลอกดีไซน์ แต่ดัดแปลงตัวอักษรแบรนด์ หรือเปลี่ยนชื่อแบรนด์
ยุทธศาสตร์ของเมือง “เซินเจิ้น” ไม่ได้ถูกวางให้เป็นมหานครของการก๊อปปี้เท่านั้น เพราะในยุค “เติ้งเสี่ยวผิง” ที่ปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศจีนด้วยนโยบายเปิดประเทศ ได้จัดตั้ง “เมืองเซินเจิ้น” ที่ในอดีตเป็นหมู่บ้านชาวประมง สภาพความเป็นอยู่ยากจน ให้เป็น “เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน” ตั้งแต่ปี 2523 โดยให้สิทธิประโยชน์การลงทุนด้านต่างๆ เช่น ด้านภาษี, ค่าแรงในจีน เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามาสร้างฐานการผลิตที่นี่ ต่อมาเมื่อรัฐบาลจีนยุค “สี จิ้นผิง” ประกาศนโยบาย “One Belt, One Road” หรือ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” เพื่อเชื่อมต่อการค้าการลงทุน และด้านการเงินระหว่างอาเซียน เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา เพื่อพัฒนาประเทศจีน และเซินเจิ้น เป็นหนึ่งในจิ๊กซอว์สำคัญของนโยบาย One Belt, One Road เป็นเมืองท่าเหมาะกับการขนส่ง
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปสินค้าของจีนมีคุณภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางรายติดอันดับบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลก 500 อันดับ หรือ Fortune 500 และบริษัทที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เช่น “Huawei” ที่ปัจจุบันติด 3 อันดับแบรนด์สมาร์ทโฟนที่มียอดขายจำนวนเครื่องสูงที่สุดในโลก, “DJI” ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตโดรน รายใหญ่ ที่มีส่วนแบ่งตลาด 70% ของตลาดโดรนทั่วโลก หนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของ “Huawei” คือ R&D (Research and Development) เพราะเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับด้านการวิจัยและพัฒนามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขอบคุณข้อมูลจาก www..brandbuffet.in.th


มีหลายสิ่งหลายอย่างที่นี่ แม้ว่าจะก้าวหน้าทางด้านเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย แต่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยยังสู้ที่อื่นไม่ได้ แม้จะมีมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าใช้ในการขนอาหารส่งตามบ้าน ตามสถานที่ทำงาน แต่คนขับรถเหล่านี้ก็วิ่งสวนเลน วิ่งบนทางเท้าอย่างไม่ได้เกรงใจคนเดิน ด้วยความเงียบของเครื่องยนต์ หลายครั้งคนเดินก็ไม่รู้ว่ามีรถวิ่งมาข้างหลัง จวนเจียนจะชนคนขับถึงบีบแตร ก็สร้างความตกอกตกในให้กับคนเดินทางเท้าเป็นอย่างมาก ยังเห็นคนมักง่ายนำจักรยานเช่าไปจอดในที่ที่ไม่ควรจอด หรือจอดกันเกะกะ นึกจะจอดตรงไหนก็จอด ใช่หรือไม่ หากเราพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือควบคู่ไปกับการพัฒนาชีวิตให้มีระเบียบ มีวินัย การพัฒนานั้นจะงดงามและยั่งยืน

จากข้อมูลที่ได้อ่านและได้เห็นมากับตา ทำให้มีความคิดว่า คนเราวิจัยสิ่งต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสังคมให้ก้าวไกล แต่เราเคยวิจัยตัวเองกันมากน้อยเพียงใด เรามักฝากความหวังไว้กับความเจริญทางเทคโนโลยี แต่เรามักพบกับความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณ ที่มากับการไร้หัวจิตหัวใจของคน แน่ล่ะ โลกต้องก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ลำพังเราแต่ละคนก็อาจจะไล่ตามไม่ทัน มารู้ตัวอีกทีต่างก็ตกเป็นทาส เป็นเหยื่อดิจิตอลไปเป็นที่เรียบร้อย ในความเป็นจริงเราต่างมีวิถีทางของแต่ละคน ก้าวเดินไปบนหนทางของตัวเอง และบนหนทางนั้นย่อมงดงามเสมอ เพียงแต่ว่า มีไม่มากนักจะค้นพบสัจจะแห่งตนได้อย่างแท้จริง เราต้องพยายามสร้างชีวิตของเราให้อยู่กับความจริงเสมอ อยู่กับผู้คนด้วยความจริงใจ ไม่หลอกลวงกัน รักกันด้วยหัวใจไร้ผลประโยชน์แอบแฝง ความงดงามในชีวิตก็จะเกิดขึ้น และนี่จึงเป็นการพัฒนาคุณค่าชีวิตที่เที่ยงแท้
การวิจัยและพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเราชาวคริสต์ เป็นการให้องค์พระเยซูเจ้าครอบครองใจเรา เป็นการทำให้ความรักของพระคริสตเจ้าเป็นสากล และเมื่อเราแต่ละคนต่างช่วยกันขัดเกลาอาณาจักรใจให้ใสสะอาดสว่างไสว โลกของเราก็ยิ่งน่าอยู่มากยิ่งขึ้น โลกก็จะมีระบบระเบียบเรียบร้อย ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ไม่แก่งแย่งช่วงชิงความดีเอาไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ชีวิตแบบนี้ต่างหากที่เราต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ววัน

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เรียน - โลก - รู้ - รัก


เรียน - โลก - รู้ - รัก
ด้วยความสะดวกและจ่ายไม่แพงในการเดินทางไปต่างถิ่นต่างแดนเหมือนทุกวันนี้ ทำให้เราสามารถที่จะออกไปเรียนรู้โลกที่กว้างได้มากยิ่งขึ้น การเรียนรู้ที่ไม่จำกัดอยู่บนแผนที่แผ่นดินสากลเท่านั้น ความรู้จึงเป็นเรื่องที่เราเสาะแสวงหาได้ เราเรียนรู้เพื่อเข้าใจโลกและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เราเรียนรู้จากวันเวลา ผ่านทางผู้คน เพื่อน้อมรับความสุขทุกข์ที่ย่อมมีมา เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในโลกกับทุกสิ่งอย่างสันติและด้วยใจยินดี และที่สุดเรียนรู้เพราะความรู้ไม่มีที่สิ้นสุด มีมากมายเหลือเกินเมื่อเทียบกับความรู้ที่เรามีนั้นน้อยนิด แต่บ่อยครั้งเราคิดว่าเรารู้ดีแล้ว ทำให้เกินเลยทางด้านวุฒิภาวะ ทำให้เกิดการหยิ่งผยองไม่ยอมใคร จึงต้องให้สิ่งที่เห็นด้วยตากำราบใจที่เย่อหยิ่งให้อ่อนน้อมลง เรามันก็แค่นี้แหละ อย่าอวดดีอวดเก่งนักเลย

การออกเดินทางมาต่างแดนครั้งนี้มีสิ่งหนึ่งคืออยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงสู่ยุคใหม่ของฮ่องกงและเซินเจิ้ล ในประเทศจีน และด้วยการเชิญชวนจากบราเดอร์ แอนโทนี ตาน คณะมาริสต์ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ไปพักกับท่านที่สิงคโปร์ วันนี้บราเดอร์มารับหน้าที่ยังประเทศฮ่องกง ที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสเซเวียร์ ในวัยที่เกษียณแต่พลังยังมีเหลือล้น มีความกระตือรือร้นและความกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ เสนอว่าจะพาท่องเที่ยวชมเมืองตลอดเวลาที่พวกเรามาที่นี่ 5-6 วัน แน่ล่ะฮ่องกงเมืองนี้ เมื่อสักสองปีที่แล้วก็เคยมาท่องเที่ยวตามที่ที่ผู้คนเขานิยมกัน แต่สำหรับครั้งนี้ บราเดอร์แอนโทนี ท่านพาเยี่ยมชมในสถานที่ที่เราไม่คิดว่าจะได้มาเห็น นั่นคือวิถีชีวิตผู้คนในเมืองที่เจริญทางด้านเศรษฐกิจ อีกด้านหนึ่งก็ยังมีคนยากจน มีตลาดขายของแบกะดิน มีตลาดสด มีตลาดที่ให้คนจนยากไร้ได้มีของกินของใช้ หนึ่งวันในรอบสัปดาห์จะมีการบริการฟรีให้กับคนเหล่านี้ในทุกร้านรวง มีสวนธารณะที่ร่มรื่นสวยงาม ด้วยอาคารรูปแบบเก่าแก่ ที่อยู่เคียงคู่กับตึกสูงทันสมัย และที่สุดเราได้รับรู้ถึงการทำงานด้านการศึกษาของคณะมาริสต์มากยิ่งขึ้น
คณะนี้เริ่มก่อตั้งโดยนักบุญ Marcellin  Champagnat ชาวฝรั่งเศส หลังจากได้รับศีลบวชแล้วท่านถูกส่งไปทำงานใน La Valla บนเนินเขา Mont Pilat ที่นี่เป็นชนบทที่มีคนอาศัยอยู่มาก เด็ก ๆ ขาดการศึกษา และเป็นช่วงเวลาที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศสพอดี ทำให้มีการเบียดเบียนศาสนา เกิดความไม่สงบทั้งทางด้านศาสนา การเมืองและเศรษฐกิจ การศึกษาถูกสั่นคลอน  ท่านตระหนักว่าภารกิจของท่านไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือคนยากจนและเด็กที่ไม่รู้หนังสือ ท่านนักบุญได้กล่าวไว้ว่าการเลี้ยงดูเด็ก ๆ อย่างถูกต้องนั้น เราควรรักพวกเขาและรักพวกเขาอย่างเสมอภาค นี่จึงกลายเป็นรากฐานที่สำคัญของการศึกษาภายใต้คณะมาริสต์นี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



ท่านพยายามกระตุ้นเยาวชนที่ได้มาร่วมภารกิจกับท่านให้มีความกระตือรือร้นในการสอนและเผยแพร่พระอาณาจักรแห่งรักของพระเยซูเจ้า ที่อยู่ท่ามกลางพวกเขาในทุกวันเวลา พระองค์ทรงสอนว่าจงภาวนาและเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องผู้ยากไร้ เป็นครูและสอนด้วยชีวิต ท่านนักบุญได้ส่งพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านที่ห่างไกลเพื่อสอนหนังสือเด็ก ๆ และสอนคำสอนผู้ใหญ่ ให้กลับมาดำเนินชีวิตคริสตชน
ในปี ค.ศ. 1818 ท่านนักบุญได้เปิดโรงเรียนแห่งแรกขึ้น จัดทำตารางเรียนเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ปกครองที่ทำการเกษตรกรรม (เช่นการอนุญาตให้เด็ก ๆ กลับจากโรงเรียนเพื่อช่วยปลูกและเก็บเกี่ยว) ท่านนักบุญกำหนดค่าเล่าเรียนตามความเหมาะสมของฐานะทางด้านการเงินของครอบครัวในชนบท ไม่ให้เกินกำลัง และถ้าท่านรู้ว่าครอบครัวไหนไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ ท่านก็ยินดีให้มาเรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งเป็นคณะ พวกบราเดอร์จึงได้ออกมาทำงานในต่างแดนมากขึ้น

คณะบราเดอร์มาริสต์ทำงานด้านการศึกษาในหลายประเทศ ในแถบเอเชียเริ่มต้นจากประเทศจีนต่อมาเมื่อเกิดการเบียดเบียนทางศาสนาจึงย้ายมาที่สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย เป็นต้น (ไม่กี่ปีมานี้คณะมาริสต์ก็มาบุกเบิกงานช่วยเหลือให้กับผู้อพยพและชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานแถวจังหวัดสมุทรสงครามและสมุทรสาคร) การมาฮ่องกงครั้งนี้ บราเดอร์แอนโทนี ตาน ได้จัดที่พักให้พวกเราได้พักที่โรงเรียนเซนต์ฟรังซิสเซเวียร์ ย่านถนน Sycamore เป็นโรงเรียนระดับมัธยมชายล้วน บรูซ ลี นักแสดงภาพยนตร์ชื่อดังก็จบจากโรงเรียนแห่งนี้ เราได้เห็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ ร่วมกันทำ ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว แม้ว่าช่วงเวลากลางวันเราจะออกไปเรียนรู้สังคมรอบ ๆ เกาะเกาลูน ฮ่องกง กลับมาเย็น ๆ พวกเด็กก็ยังทำกิจกรรมให้กับโรงเรียน สิ่งหนึ่งที่เห็นคือการปลูกฝังความรัก ความดีงามลงในหัวใจของเด็ก ๆ ยังคงเป็นภารกิจหลักของคณะนี้เสมอ และจากคำบอกเล่าของบรรดาบราเดอร์ที่อยู่ที่นี่ ทำให้เราเห็นว่า ความรักของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด ไม่เคยหยุดอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แล้วใยเราจะไม่เรียนรู้ที่จะรักกันแบ่งปันกัน แม้ในโลกที่กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะรักเท่านั้นทุกสิ่งรอบข้างจะไม่เปลี่ยนไปแม้ในวันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ไม่สิ้นลม


ไม่สิ้นลม
ยามเช้าช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงมานิดหน่อย มีสายลมอ่อน ๆ พัดผ่านมาพอให้รู้สึกสบาย ๆ สดชื่น เป็นสัญญาณธรรมชาติที่ย้ำเตือนถึงวันเวลากำลังจะผ่านไปอีกขวบปี บรรยากาศแห่งการเริ่มต้นใหม่ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มส่งกลิ่นอายลอยมา อารมณ์แบบนี้มีเพื่อปลอบขวัญให้ชีวิตเรามีหวัง มีกำลังใจก้าวหน้าต่อไป ยิ่งเมื่อวงปีชีวิตเพิ่มมากขึ้นเท่าใด ลมหายใจเข้าออกเริ่มรู้สึกอยากเก็บรักษาและเห็นคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมากวันยิ่งอยากย้อนหลังกลับไปในวันที่ผ่านพ้นมามากขึ้นเท่าทวีคูณ ก็คงเป็นเพียงความทรงจำที่มักพัดผ่านมากับสายลม ชีวิตเราก็เป็นเช่นนี้ ยามว่าง ๆ สิ่งต่าง ๆ มักทำให้เราย้อนยิ้มมีความสุขได้เสมอ สิ่งดีงามที่เก็บไว้ในลิ้นชักความทรงจำชั้นบน ๆ นั้นมีค่าควรนำมารำลึกถึงเสมอ 
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในชีวิตเราแต่ละคนผ่านวันเวลา ผ่านผู้คน ผ่านเรื่องราวมากน้อยไม่เท่ากัน บางช่วงเวลากว่าจะผ่านพ้นไปได้แสนสาหัส บางช่วงเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน บางช่วงเวลาเคร่งเครียด เคร่งครัด ขัดสนหนทางออกจากปัญหา บางช่วงเวลาอาสาปรึกษาแก้ไขให้ผู้อื่นอย่างราบรื่น ใช่หรือไม่ บางทีเรารู้ว่าหนทางแห่งสงบสันติในจิตใจอยู่ตรงไหน? บางทีเรารู้วิธีการที่จะมุ่งหน้าเดินหน้าไปอย่างไร? แต่...บ่อยครั้งเรามักหลงทางเพราะหลงตัว หลงวกวนในความคิดของตัวเองและยึดมั่นมันไว้เป็นที่ตั้ง หลายครั้งเรามักคิดแทนคนอื่น คิดว่าสิ่งดีควรเป็นอย่างที่เราคิด เมื่อไม่เป็นอย่างนั้นก็พาลโกรธ พาลเกลียดกัน และนำพามาซึ่งความขุ่นเคืองให้ร้ายริษยาต่อกัน แท้จริงแล้วชีวิตเรานั้นไม่มีอันใดเป็นของเราเลย รวยล้นฟ้า เก่งเกินใคร ก็มีวันสิ้นลมได้เหมือน ๆ กัน มีบทความบทหนึ่งน่าอ่าน น่านำไปพิจารณาถึงชีวิตเรา ในช่วงวันเวลาแห่งการทบทวนเช่นนี้
นี่ แ ห ล ะ ชี วิ ต
ในแต่ละวัน.. ก็มีเท่ากัน .. ยี่สิบสี่ชั่วโมง
พออัสดง.. แสงอาทิตย์ลง .. ลาลับโลกไป
ผ่านอีกคืน.. เข้าสู่อีกวัน .. ในเช้าวันใหม่
วิ่งไขว่ขว้า.. หาสิ่งปรนใจ .. ต่อไปอีกวัน
ในแต่ละปี .. ผ่านช่วงดีๆ และช่วงเลวร้าย
ผู้คนมากมาย .. ต่างจิต ต่างใจ ดีร้ายปนกัน
ช่วงดีๆ ที่ผ่านเข้ามา .. ก็พา.. '' สุขสันต์ ''
เจอะเรื่องร้ายนั้น .. ดิ้นรนกัดฟันแทบเป็นแทบตาย
นี่แหละชีวิต .. ที่คนทุกคน จะต้องได้เจอ
ยิ่งพลั้งยิ่งเผลอ .. ยิ่งเจอเรื่องราวมากมายร้อยพัน
จุดจบชีวิตอยู่ที่ตรงไหน .. อะไรคือ '' สิ่งสำคัญ ''
ล้วน .. อนิจจัง แปรผันไม่ยั่งไม่ยืน ...
ในแต่ละคืน.. แต่ละนาที .. ยี่สิบสี่ชั่วโมง
หากใจมั่นคง.. จะดีจะร้าย .. ก็ให้ '' อภัย ''
นี่แหละชีวิต.. เกิดแก่เจ็บตาย .. เวียนว่ายกันไป
ทำดีเข้าไว้.. ปล่อยวางให้ได้ .. แล้วใจเป็นสุข
บทความ : ณัฐมา แอลพีเอ็ม

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ในโลกยุคนี้ เราต่างมีมาตรฐานในการดำเนินชีวิตที่มากขึ้น บางทีเราก็ใช้มาตรฐานทางด้านเศรษฐกิจมาวัดค่าความเป็นคน นำเอามาตรฐานทางด้านหน้าที่การงานมาเปรียบเทียบกัน เราวัดความดีด้วยความมั่งคั่งทางทรัพย์สินมากกว่าความมั่งคั่งด้านคุณภาพของจิตวิญญาณ แน่ละสิ่งนี้มองไม่เห็นจึงวัดไม่ได้ แต่เชื่อเถอะในวันข้างหน้าผู้ที่จะรอดปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงของโลกคือผู้ที่มีความมั่งคั่งภายใน บุคคลเหล่านี้จะทำให้สังคมโลกเข้มแข็งขึ้น แล้วเราล่ะจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นหรือไม่? เป็นคำถามที่น่าจะนำมาทบทวนในช่วงเวลานี้ เพื่อนำไปปรับปรุงให้ความดีงอกงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป
สิ่งสำคัญของการดำเนินชีวิตเราอยู่ตรงไหน? ในวันที่ยังไม่สิ้นลม เราควรสิ้นความคิดที่ไม่ดีมีอคติต่อผู้คน ต่อสิ่งแวดล้อม ในวันที่มีลมให้หายใจเข้าออก หมั่นบอกตนเองว่าเราก็เป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ เราหาใช่คนยิ่งใหญ่ แต่เราควรเป็นคนที่มีหัวใจอันยิ่งใหญ่ หัวใจแกร่งกร้า น้อมรับถึงความอ่อนแอของเรา หัวใจที่พร้อมน้อมให้อภัยต่อตัวเองและผู้อื่น หัวใจที่พร้อมจะรับรู้ รับฟังแม้บางครั้งสิ่งนั้นอาจจะไม่ถูกจริตความคิดเรา วันเวลาผ่านไป อย่าปล่อยให้สูญหายไปกับสายลม แต่ควรให้ทุกสายลมที่ผ่านไปเป็นสายลมที่ผสมไปกับความดีงาม ยามเมื่อลมพัดผ่านมาอีกครั้ง เราจะได้มีสิ่งดีงามให้พอชื่นใจได้บ้าง บางทีแค่นี้แหละความสุขสันติของชีวิตเราในวันที่ยังไม่สิ้นลม...

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

หากใจเรามี


หากใจเรามี
ในขณะที่โลกนี้มีเรื่องราวร้ายร้อนให้ได้รู้ให้ได้เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เครื่องบินตก คนดังคนดีจากไปท่ามกลางความอาลัยของผู้คน อีกหลายมุมในโลกคนใจร้ายเข่นฆ่ากันเป็นว่าเล่น รวมถึงความกังวลว้าวุ่นใจกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในชีวิต โดยที่หลายคนหลายแห่งยังไม่มีการเตรียมเนื้อเตรียมตัวอันใดเลย แล้วเราจะทำตัวเช่นไร??? ในโลกที่กำลังก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ยิ่งในสังคมที่ใช้อารมณ์ความสะใจ มากกว่าใช้เหตุผลและความเมตตาต่อกัน ยิ่งทำให้โลกที่จะก้าวไกลในวันข้างหน้าเริ่มอยู่ยากขึ้นทุก ๆ วัน เรามักมองไม่เห็นส่วนดีที่มีมากมายแต่กลับไปเอาเรื่องที่ไม่งามมาใส่มาสาดกันไปมา โลกนี้ยังมีสิ่งสวยงามอยู่เสมอ หากใจเรามีความพร้อมที่จะน้อมรับรู้ 



เที่ยงวันที่ร้อนอบอ้าว ในฤดูที่เขาบอกว่าจะเริ่มต้นหนาว เท้าก้าวเดินออกจากบ้าน เจอแสงอันแสงกล้า จนผิวกายรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ ที่พักพิงข้างหน้าคือห้างเล็ก ๆ ใกล้บ้าน มีร้านอาหารติดแอร์ให้ได้คลายร้อน ระหว่างนั่งทานมื้อเที่ยง ด้านข้างที่โต๊ะถัดไปเห็นคุณลุงคุณป้าสูงอายุคู่หนึ่ง นั่งทานกันแบบเงียบ ๆ สักพักคุณลุงก็ตักกับข้าวใส่ในจานให้กับคุณป้า นั่งชื่นชมความน่ารักของชีวิตคู่ที่อยู่ดูแลกันจนแก่เฒ่า ค่อย ๆ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน กายที่ร้อนจากแดด บัดนี้ มีแต่ใจที่ชุ่มชื้น ตาที่แสบแดดฉ่ำไปด้วยความเอ็นดู โลกวันนี้น่าอยู่ขึ้นอีกมาก บางทีความงามอยู่ไม่ไกลจากเราเลย บางทีเทวดาน้อยก็ล่องลอยวนเวียนอยู่รอบตัวเรา หากใจเรามีและพร้อมที่จะมองเห็นแล้วอ่านเหตุการณ์นั้น


บ่ายวันหนึ่ง เด็กชายวัยห้าขวบคนหนึ่ง จู่จู่ก็บอกกับคุณแม่ว่า แม่..วันนี้ผมจะออกจากบ้าน ไปหาเทวดา
คุณแม่ยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า ได้เลย แต่ต้องกลับมาก่อนอาหารมื้อค่ำนะ
เด็กน้อยคิด อาจจะต้องเดินทางไปไกลมาก จึงจะหาเทวดาเจอ ฉะนั้น จึงเตรียมขนมปัง และเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ใส่กระเป๋าเป้ ออกจากบ้านด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นเต็มเปี่ยม เด็กน้อยไม่เคยออกจากบ้านตามลำพัง เดินผ่านถนนไปสองสาย เขาเห็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ต้นไม้ผลิดอกเต็มไปหมด
เด็กน้อยรำพึงกับตนเองว่า ผมเดินทางมาตั้งไกลแล้ว ที่นี่สวยงามยิ่ง ดีไม่ดีที่นี่ก็คือสรวงสวรรค์
เด็กน้อยเริ่มรู้สึกหิว จึงไปนั่งลงที่ม้านั่งยาวในสวนสาธารณะ เปิดกระเป๋าเป้ออก หยิบขนมปังออกมา กำลังจะกัดกิน ทันใดนั้น เขาเห็นที่ปลายม้านั่งยาว มีคุณยายนั่งอยู่ท่านหนึ่ง กำลังยิ้มให้เขา เด็กน้อยคิดๆ แล้วฉีกขนมปังออกมาครึ่งหนึ่งยื่นให้คุณยาย
ขนมปังนี้ ผมให้คุณยาย คุณยายยิ้มออกมาอีกแล้ว
เช่นนี้แล้ว ทั้งช่วงบ่ายของวันนั้น หนึ่งผู้ชรา หนึ่งผู้น้อย ร่วมแบ่งปันขนมปังและน้ำผลไม้ พลบค่ำ เด็กน้อยกลับมาถึงบ้าน บอกคุณแม่ด้วยความตื่นเต้นว่า
วันนี้ ผมเห็นเทวดาแล้ว เทวดาเป็นคุณยายท่านหนึ่ง
จริงหรือ ? ลูกรู้ได้ยังไงว่า เธอคือเทวดา คุณแม่ถามด้วยความประหลาดใจ
เด็กน้อยตอบอย่างจริง ๆ จัง ๆ ว่า เพราะมีเพียงเทวดาเท่านั้น จึงจะมีรอยยิ้มที่สวยสดงดงาม
คุณยาย ยามนี้ได้กลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน พูดกับผู้เคียงข้างชราของเธอว่า วันนี้ ฉันเห็นเทวดาแล้ว เทวดาคือเด็กชายตัวน้อย ๆ คนหนึ่ง เพราะมีเพียงเทวดาเท่านั้น จึงจะมีรอยยิ้มที่สวยสดงดงามเช่นนี้ (แปลจากบทความภาษาจีนของ 限量版)


ใช่หรือไม่ ภายในจิตใจของเราทุกคน ล้วนมีคุณงามความดีที่ได้รับเป็นพระพรจากพระผู้เป็นเจ้านับตั้งแต่เราปฎิสนธิแล้ว แต่บ่อยครั้งพวกเราก็หลงลืมรากเหง้าพื้นฐานในชีวิตนี้ไปอย่างสิ้นเชิงพลางกลับพร่ำบ่นว่าการกระทำความดี เป็นเรื่องยากลำบากเสียเหลือเกินในยุคนี้ เราอาจจะหาเหตุมาเพื่อเป็นเกราะปิดบังการกระทำไม่ดีไม่งามของเรา แต่เราก็มักเรียกร้องให้ผู้อื่นต้องกระทำความดี เรื่องนี้เป็นทัศนคติย้อนแย้งในสังคมเราเสมอ บางครั้งเราก็มักรอเวลาให้พร้อม ให้ได้มีมากก่อนแล้วจึงเริ่มกระทำความดีเพื่อผู้อื่น โดยลืมไปว่าการกระทำความดีไม่มีราคาค่างวดอันใด มีแต่สร้างสันติให้กันและกัน แท้จริงแล้ว การกระทำสิ่งที่สวยสดงดงาม ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกระทันหัน


แน่ละ เรากำลังก้าวย่างสู่ยุคที่มีแต่เครื่องไม้เครื่องมือ ระบบควบคุมสั่งการที่แทบจะไม่ต้องใช้ผู้คนในการกระทำนั้นเลย วิถีชีวิตกำลังจะเปลี่ยนไป แต่การกระทำดีต่อกันอย่างไรเสียก็ต้องมาจากคนอยู่วันยังค่ำ ระบบที่ปลอดภัยที่สุดคือระบบที่เกิดจากความเมตตาเอื้อเกื้อกูลกัน ความฉลาดที่สุดมิใช่เกิดจากการคำนวนด้วยควอนตั้มคอมพิวเตอร์ที่แม่นยำที่สุด แต่ต้องมาจากหัวใจที่พร้อมรักที่สุดต่างหาก การจะทำให้ทั้งโลกอยู่ภายใต้การควบคุมด้วยระบบความรวดเร็วของดิจิตอลอัลกอริทึม ก็ไม่เท่ากับการเป็นเทวดาของกันและกัน และไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรในการเป็น เทวดาหรือนักบุญของผู้อื่น หากใจเรามีความดีอยู่เป็นนิรันดร์