วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

คนงามงามที่ใด

คนงามงามที่ใด
            เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมามีการประกวดนางงามจักรวาล หรือ มิสยูนิเวิร์ส 2014 ครั้งที่ 63 โดย PAULINA VEGA ( พอลิน่า เวก้า ) วัย 22 ปี ตัวแทนนางงามจากประเทศ Columbia ชนะใจกรรมการ คว้าตำแหน่ง มิสยูนิเวิร์ส 2014 ไปครอง ในโลกไซเบอร์ก็เต็มไปด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์เหมือนเดิม บ้างว่าสวยงามเหมาะสม บ้างก็ว่าน่าจะเป็นคนนั้นคนนี้ที่เหมาะสมกว่า เอาเข้าจริงแล้ว ความงามในนามของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะความงามทางด้านสรีระ ย่อมขึ้นอยู่กับรสนิยมของใครของมัน
            ความงามทางรูปร่างหน้าตาของสตรีกลายมาเป็นสินค้าชั้นยอดในระบบทุนนิยม การจัดการประกวดประชันจึงกลายเป็นมาตรฐานหนึ่งของโลกที่มาใช้วัดความงาม ทั้ง ๆ ที่ความงามย่อมมีอยู่ในทุกคน ใช่หรือไม่ ยุคที่เราสามารถที่จะถ่ายรูปตัวเองได้ เราทุกคนก็ย่อมรู้ว่าตัวเรามีมุมใดบ้างที่เรางามที่สุด ตัวเราย่อมรู้ว่าความงามทางร่างกายของเราอยู่ตรงไหน และถ้าพูดจริงจังสักหน่อย ความงามของคนเรามิอาจจะใช้เพียงรูปร่างหน้าตาวัดได้ ยังประกอบไปด้วยความงามทางด้านจิตใจ ที่ต้องใช้เวลา ใช้คุณธรรม ในการวัด
ภาพ :  อินเตอร์เน็ต
            ซีอีโอบริษัทแห่งหนึ่ง ต้องการลองใช้ชีวิตเหมือนกับคนทั่วไปที่นั่งรถเมล์ไปทำงานดูบ้าง รถเมล์สายที่วิ่งผ่านบริษัทของเขามาถึง มีที่นั่งว่างอยู่ เมื่อรถเมล์วิ่งไปได้สักพักก็มีผู้โดยสารมากขึ้น เขาหลับตาลงเพราะไม่รู้จะมองอะไรจู่ๆก็มีเสียงตะโกนขึ้นว่า แหม! หน้าตาก็ดี ไม่น่าแล้งน้ำใจเลยนะ ดูสิ!ทำเป็นแกล้งหลับ เมื่อเขาลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กอยู่ แต่เสียงที่ตวาดเขาเมื่อครู่นี้ เป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง กำลังจ้องเขม็งมาที่เขา นี่คุณ คนที่ฉันพูดถึงก็คือคุณนั่นแหละ งง ๆ อยู่ได้ไม่อายหรือไง?” คนที่อยู่บนรถต่างพากันมองมาที่เขาเป็นสายตาเดียว เขาหน้าแดง โกรธและอายมาก จึงรีบลุกขึ้นยืนและให้แม่ลูกอ่อนคนนั้นนั่งแทน จากนั้นเขาก็ตัดสินใจกดกริ่งเพื่อลงยังป้ายถัดไป
            วันนี้เป็นวันสอบสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด คณะบริหารจำนวน 5 ท่าน รวมถึงเขาที่ทำหน้าที่สอบสัมภาษณ์ แล้วเขาก็ต้องมาสะดุดกับผู้มาเข้าสอบสัมภาษณ์เป็นหญิงคนหนึ่ง เธอเองก็จ้องมองมาที่เขา ด้วยสายตาตะลึงอย่างนึกไม่ถึงเหมือนกัน ที่แท้เธอก็คือผู้หญิงหน้าตาธรรมดาคนนั้นที่ต่อว่าเขาบนรถเมล์เมื่อเช้านี้เขาจึงคิดหาทางแก้แค้น เธอเองก็รู้สึกเสียววาบขึ้นมา เมื่อเห็นสีหน้าและรอยยิ้มเยาะของซีอีโอคนนี้
            “ผมขอให้คุณช่วยก้มลงเช็ดรองเท้าของคณะกรรมการทุกท่านที่อยู่ในห้องนี้ หากคุณทำได้ ผมตกลงรับคุณเข้าทำงานทันทีโดยไม่ต้องสอบสัมภาษณ์!”ทุกคนต่างพากันตะลึงกับคำพูดของกรรมการผู้จัดการ เธอเองก็ยืนนิ่งอยู่กับที่เช่นกัน พอเห็นเธอยืนนิ่งเป็นนานสองนาน ก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่กล้าทำในสิ่งที่เขาเสนอเป็นแน่ แต่จู่ ๆ เธอก็ตอบตกลง ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เธอนั่งลงกับพื้นลงมือขัดรองเท้าให้คณะกรรมการทีละคน และเมื่อมาถึงเขาแกล้งยกเท้านั่งไขว่ห้าง และพูดออกมาเบาๆว่า คุณไม่ได้เก่งเหมือนเมื่อเช้าเลยนะ เธอไม่ได้พูดอะไร เอาแต่เช็ดและขัดรองเท้าให้ ยิ่งเธอไม่ตอบโต้ เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ เพราะเมื่อเช้านี้ เธอทำเพื่อผู้อื่น ไม่ได้เพื่อตัวเธอเอง เขาเอื้อมมือไปหยิบดูประวัติและข้อเขียนของเธอ จึงทำให้เขารู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา ผลการสอบข้อเขียนของเธอได้เป็นอันดับหนึ่ง
            เมื่อเธอเช็ดรองเท้าให้ทุกคนเสร็จ เขาจึงลุกขึ้นยืนและประกาศให้ทุกคนทราบว่าบริษัทรับคุณเข้ามาทำงาน คุณเริ่มงานได้ในวันพรุ่งนี้เธอไม่ได้แสดงสีหน้าดีใจอะไรเลย ได้แต่ก้มหัวให้คณะกรรมการทุกคนและกล่าวเพียงคำว่า ขอบคุณค่ะ
            เมื่อเธอเข้ามาทำงานในบริษัท เธอก็แสดงให้ทุกคนรู้ว่าเธอมีดี และตั้งใจทำงานและเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่เข้ามาติดต่องานกับบริษัท อีกทั้งอัธยาศัยไมตรีของเธอ จึงทำให้ทุกคนในบริษัทต่างก็รักและชื่นชมในตัวของเธอ
            วันหนึ่ง กรรมการผู้จัดการได้เรียกเธอเข้ามาสอบถาม ที่ผมทำกับคุณตอนนั้น คุณรู้สึกคับแค้นใจไหม?” “ที่ดิฉันคุกเข่าลงในวันนั้น ก็เพื่อโอกาสที่จะได้เงยหน้าขึ้นในวันนี้ค่ะ”(คัดย่อมาจาก : www.facebook.com/NusonBooks)
ภาพ :  อินเตอร์เน็ต

            ใช่หรือไม่ หลายคนเสียเวลาและสาละวนอยู่กับความงามภายนอกมากเกินไปจนหลงลืมว่า ยังมีความงามอีกแบบหนึ่งที่สามารถสร้างโลกนี้ให้งดงามได้มากกว่า นั่นคือ ความงามทางด้านจิตใจ งามอย่างมีคุณค่า มีเมตตาต่อผู้อื่น ความงามแบบนี้แม้จะไม่มีการประกวดแข่งขัน แต่มีไว้เพื่อแบ่งปัน เพื่อคงความงามของดาวสีน้ำเงินดวงนี้ให้น่าอยู่ต่อไป 

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2558

บนความฉาบฉวย

บนความฉาบฉวย
            ในโลกที่เต็มไปด้วยการสื่อสารสมัยใหม่ ข้อมูลข่าวสารไหลหลั่งดั่งกับสายฝนที่ไม่มีวันหยุดโปรยลงมา ทุกวินาทีมีความเปลี่ยนแปลง รับรู้เรื่องราวข้ามโลกในเสี้ยวนาที ด้วยความรวดเร็วเช่นนี้  จึงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องเกิดการแข่งขันเพื่อให้บริการข่าวสาร การบริการจึงกลายเป็นธุรกิจเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรมใหม่เกิดขึ้นตามมา ใครเร็วกว่าในการให้บริการ ย่อมส่งผลต่อยอดกำไร ใช่หรือไม่ เมื่อต้องการความรวดเร็วก็ย่อมต้องเกิดความหละหลวม ละเลย ใส่สีสันเอามันเข้าว่า เบี่ยงเบนประเด็นหรือจุดประเด็นเติมเชื้อไฟให้ลุกโชน เพียงหวังยอดคนอ่านคนชมเพียงเท่านั้น นี่เป็นความฉาบฉวยของสำนักข่าวบางสำนักในโลกยุคปัจจุบัน
            การใส่ใจการคัดกรองตรวจสอบความถูกต้อง ถูกละเลย ความอ่อนด้อยทางด้านศีลธรรม ความลึกซึ้งเชิงคุณค่าในความดี ความงามของชีวิตหล่นหายไปในจรรยาบรรณของอาชีพนักการสื่อสาร บวกกับความมักง่ายในการแปลภาษาหนึ่งสู่อีกภาษาหนึ่ง ด้วยการใช้เทคโนโลยีตัวช่วยสมัยใหม่ให้แปลงภาษา เพียงต้องการความรวดเร็วให้ไวกว่าสำนักอื่น ความผิดเพี้ยนจึงเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน และเพื่อให้เกิดความสะใจจุดไฟใส่ประเด็น จึงได้มีการนำถ้อยคำแปลงสารเหล่านั้นมาสรุปแบบรวบลัด ผู้รับข้อมูลข่าวสารอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ จึงกลายเป็นผู้รับรู้ข่าวสารมือสอง มือสาม ไปโดยปริยาย
           
ภาพ  :  อินเตอร์เน็ต
ประจวบกับการอ่านของหลายคนที่ไม่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ที่เรียกกันว่า “อ่านหนังสือไม่แตก” เห็นเพียงหัวข้อข่าวก็หลงเชื่อในข้อมูลข่าวสารนั้นแล้วก็ยึดมั่นว่านั่นคือความจริง แต่ความจริงแล้ว นี่คือ เหยื่ออันโอชะของระบบการแข่งขันบนระบบธุรกิจการสื่อสาร และแน่นอนในสังคมออนไลน์สังคมเครือข่าย ที่พร้อมรับความรวดเร็วมีไม่น้อยเลยที่ปรารถนาจะเป็นหนึ่งในการแสดงออกถึงความคิดความเห็นของตัวเองบนหน้ากระดานสาธารณะ หลายครั้งหลายคนจึงไม่ได้อ่านให้จบครบถ้อยขบวนความ ไม่ได้อ่านให้แตกฉาน ไม่ได้วิเคราะห์แต่กลับใช้การวิจารณ์เอามันเอาสะใจ ได้แสดงออกถึงอารมณ์เอาไว้ก่อน ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นผลเสีย กลายเป็นการแสดงถึงความไม่รอบคอบ และความน่าอายในการไม่รู้จริงแล้วนำไปกระเดียด
            ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาที่องค์สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสร็จสิ้นภารกิจนายชุมพา ในการเสด็จเยือนประเทศศรีลังกาและฟิลิปปินส์ พระองค์ได้ประทานสัมภาษณ์แก่นักข่าวบนเครื่องบินกลับไปยังกรุงโรม เป็นเวลาถึง 56 นาที มีหลายเรื่องหลายหัวข้อที่สำคัญ ๆ แต่หลายสำนึกข่าวเลือกที่จะพาดหัวข้อข่าวเรื่องการมีลูกมาก และลามไปถึงการการคลุมกำเนิด ที่เป็นจุดแข็งของพระศาสนจักรคาทอลิก ทั้ง ๆ ที่คำสัมภาษณ์นั้นย้ำถึงความรับผิดชอบของความเป็นพ่อแม่ ลองดูการพาดหัวข่าวในสื่อออนไลน์ “โป๊ปชี้ คาทอลิกที่ดีไม่จำเป็นต้องมีลูกมาก”  อีกสำนักข่าวหนึ่ง “โป๊ปแนะคาทอลิกที่ดีไม่ควรมีลูกมากเหมือนกระต่าย” แท้จริงแล้วเนื้อหาข่าว คือ

            นักข่าวถามสมเด็จพระสันตะปาปาว่า : “ลูกมากไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือพ่อแม่รับผิดชอบที่จะเลี้ยงหรือเปล่า”
            พระสันตะปาปา: “การเปิดรับชีวิตที่จะเกิดมาคือเงื่อนไขสำหรับศีลสมรส” พระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 ทรงศึกษาเรื่องนี้เอาไว้ พระองค์ทรงปฏิเสธเรื่องการคลุมกำเนิด ... สิ่งนี้ ไม่ได้หมายความว่า คริสตชนต้องมีลูกคนเดียวนะ พ่อเคยดุผู้หญิงคนหนึ่งที่ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 8 โดยที่เธอเคยผ่าท้องคลอดลูกมาแล้ว 7 ครั้ง! พ่อถามเธอไปว่า “นี่คุณต้องการให้ลูกๆ เป็นเด็กกำพร้าเหรอ คุณอย่าผลักภาระ(เลี้ยงลูก)ให้พระเจ้านะ” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า ครอบครัวหนึ่งมีลูก 3 คนกำลังดี แต่สิ่งที่พ่ออยากเน้นย้ำคือความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อแม่ ขอโทษนะ บางคนคิดว่าการเป็นคาทอลิกที่ดี เราต้องแพร่พันธุ์ให้เหมือนกระต่าย มันใช่เหรอ? ไม่เลย  เราต้องเป็นพ่อแม่ที่มีความรับผิดชอบต่างหาก ( แปลโดย : PopeReport)
            ในความฉาบฉวยของยุคสมัยใหม่โลกที่ฉาบด้วยเปลือกและฉกฉวยหาประโยชน์ใส่ตน เป็นตัวเร่งให้เกิดความขัดแย้งของผู้คน ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น หากเราหลงกลไปกับความฉาบฉวย โดยไร้ภูมิต้านทาน เราก็จะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะ หลงเชื่อในเรื่องผิด ๆ แล้วนำเรื่องเท็จไปบอกต่อ นำไปแบ่งปันแถมใส่จริตของตนเข้าไปอีก นี่จึงเป็นการส่งเสริมความฉาบฉวยให้เบ่งบานมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เราทำได้ นั่นคือ ต้องเสริมความแข็งแกร่งในจิตสำนึก อ่านอะไรก็อ่านอย่างละเอียดใช้มโนสำนึก (พระจิตเจ้า) ชี้ทางว่าอะไรถูกอะไรผิด ความเร่งรีบอาจจะทำให้ไปถึงที่หมายได้โดยเร็ว แต่ก็อาจจะทำให้พลาดความงาม ความดี และชีวิต ระหว่างทางได้

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

รอยแผลเก่า

รอยแผลเก่า
            ชื่อบทความนี้อาจจะเหมือนหนังละครเก่ายอดฮิตของคนไทย แต่สิ่งที่เป็นรอยแผลเก่ากำลังจะถูกเปิดออกใหม่สด ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกในวันนี้ ที่ดูเหมือนว่าโลกของเรายังก้าวไม่พ้นความดิบเถื่อน ชอบแก้ปัญหาความต่างด้วยการสร้างรอยแค้นเคืองกันมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และสิ่งที่แตกต่างอันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สามารถนำมาจุดไฟแห่งความโกรธเคืองได้อย่างดีนั่นคือหนีไม่พ้นเรื่องศาสนา เป็นที่แปลกใจไม่น้อย ในเมื่อหลักศาสนานั้นมุ่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ใฝ่คว้าหาสันติสุข แต่ก็มีคนบางกลุ่มบางคนที่นำหลักธรรมไปหาเรื่องสร้างความแค้นเคือง จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่กำลังลุกลาม แผลเก่าแผลนี้จึงถูกเปิดให้เจ็บช้ำกันอีกหน
          
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
         เมื่อต้นปีที่ผ่านมามีคนร้ายใช้ปืนไรเฟิลบุกยิงสำนักพิมพ์การ์ตูนเสียดสีรายสัปดาห์ ชาร์ลี เอ็บโด ในกรุงปารีส ฝรั่งเศสทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 12 ราย เพราะไม่พอใจที่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ตีพิมพ์การ์ตูนล้อเลียนศาสนาอิสลาม จากนั้นเหตุการณ์ก็บานปลายมีการไล่ล่าคนร้ายที่กำลังหลบหนี มีการจับตัวประกัน จนถึงขั้นฆ่าตัวประกันไปหลายราย ที่สุดคนร้ายทั้งหมดก็ถูกวิสามัญฆาตกรรม
            เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความวิตกให้กับหลายฝ่ายว่าอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงในประเทศต่าง ๆ เนื่องด้วยเพราะคนบางกลุ่มจะนำเอาเรื่องของศาสนามากล่าวอ้างเพื่อสร้างความชิงชังให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้คน ซึ่งไม่เป็นผลดีเอาเสียเลย ใช่หรือไม่ความเชื่อความศรัทธาในองค์ศาสดานำมาซึ่งคำสั่งสอนที่งดงาม ที่นำมาขัดเกลาจิตใจให้อ่อนละไม หาใช่นำมาเป็นสิ่งยั่วความชั่วของกิเลสตน จนทำให้เกิดความแค้นเคือง แน่ล่ะ บนความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องแยกแยะให้ออก บางประเทศมีการเปิดกว้างในทุกเรื่อง หากว่าเรื่องไหนทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจก็ฟ้องร้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ใช้อาวุธสงครามเป็นเครื่องตัดสิน ซึ่งไม่มีอยู่ในคำสอนของศาสนาใด ๆ เลย ในอีกด้านหนึ่งของบางวัฒนธรรม การเคารพเทิดทูนในศาสนานั้นถือว่าเป็นสิ่งสูงสุด ไม่สามารถที่จะนำมาเป็นสิ่งล้อเล่นล้อเลียน หากคนทั้งโลกใฝ่ใจที่จะเคารพความต่าง เรียนรู้วัฒนธรรมของกันและกัน โดยไม่ถือจริตแห่งชนชาติ สังคมโลกที่ถูกเชื่อมด้วยการสื่อสารก็จะเป็นสังคมแห่งการให้อภัยกันได้
ภาพ: อินเตอร์เน็ต
          คงจะเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายแห่งจริตตน ความคิดเป็นของตัวเอง ของกลุ่มใครกลุ่มมัน แล้วยึดมั่นถือมั่นอย่างมั่นคง กลุ่มคนที่มีความคิดที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อเรียกร้องสันติก็มีอยู่ไม่น้อย ที่ประเทศไนจีเรีย เมืองบากา ก็ถูกกองกำลังติดอาวุธอิสลาม ในนามของกลุ่ม “โบโกฮาราม” บุกกราดยิงผู้คน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2,000 ราย สภาพเมืองบากาในตอนนี้ถูกทำลาย นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่นำศาสนามาเป็นธงหลัก นำพาให้ผู้คนหลงเชื่อ มีด้วยหรือ ? คำสอน หลักธรรมใดที่สอนเรื่องการเข่นฆ่า คือสิ่งถูกต้อง
            และในขณะโลกกำลังปั่นป่วน มีการนำความต่างของศาสนามาเป็นเครื่องมือเพื่อมุ่งสู่ชัยชนะ จนขาดหลักยึดว่า โดยแท้จริงแล้ว เราควรจะทำเยี่ยงไร สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ซึ่งได้เสด็จมายังประเทศศรีลังกาและฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 12-19 มกราคมนี้ พระองค์ได้ตรัสถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “มันเป็นโศกนาฏกรรมอย่างต่อเนื่องในโลกของเราที่สังคมจำนวนมากต้องทำสงครามกันเอง การไร้ความสามารถที่จะประนีประนอมความแตกต่างและการไม่ลงรอยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ ก็ได้ทำให้เกิดความตึงเครียดต่อชาติพันธุ์และศาสนาต่าง ๆ ตามมาด้วยการปะทุของความรุนแรง เป็นเวลานานหลายปีที่ศรีลังกาเป็นที่รู้จักเกี่ยวกับความน่ากลัวของความขัดแย้ง และในตอนนี้ ประเทศแห่งนี้กำลังแสวงหาการรวบรวมความสงบและการรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่งานที่ง่ายเลย        ที่จะเอาชนะมรดกแห่งความขมขื่นของความอยุติธรรม ความเป็นศัตรูกัน และความไม่ไว้ใจกันที่ถูกทิ้งไว้จากความขัดแย้ง สิ่งนี้สามารถบรรลุได้ด้วยการชนะความชั่วด้วยความดีเท่านั้น (โรม 12:21) และโดยการปลูกฝังคุณธรรมที่ส่งเสริมให้เกิดการคืนดีกัน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และสันติภาพ กระบวนการของการเยียวยารักษายังจำเป็นต้องมีการแสวงหาความจริง การแสวงหานี้ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์จากการเปิดแผลเก่าที่เกิด แต่มันเป็นวิธีการที่จำเป็นต่อการส่งเสริมความยุติธรรม การเยียวยารักษา และความสามัคคีกัน”
Pope Report

            “เมื่อใดที่ประชาชนรับฟังกันและกันด้วยความสุภาพและเปิดใจ เมื่อนั้น คุณค่า ค่านิยม และความปรารถนาที่พวกเขาแบ่งปันกันก็จะปรากฏเด่นชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ความหลากหลายไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นบ่อเกิดของความอุดมสมบูรณ์(ของชาติ) เป็นหนทางนำไปสู่สันติ การคืนดี และความเป็นพี่น้องกันในสังคม จะกลายเป็นเรื่องที่เห็นได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น” (Pope Report)

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

ชีวิตคนบนถนน

ชีวิตคนบนถนน
            ในช่วงวันหยุดยาวระหว่างปีเก่ากับปีใหม่หลายคนคงมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในรถบนท้องถนนเหมือนๆกัน บางคนอาจจะเดินทางกลับไปเยือนท้องถิ่นดั้งเดิม บางคนอาจจะเดินทางเพื่อท่องเที่ยว  มีบ้างบางคนจำต้องเดินทางเพื่อทำภารกิจ ธุรกิจ แต่ทุกคนล้วนแล้วแต่พบเจอสิ่งที่เหมือน ๆ กัน นั่นคือสภาพที่รถติดยาวเหยียด ใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หรือมากกว่านั้น                      และด้วยความคิดที่ว่าเห็นผู้คนเดินทางออกจากเมืองกรุง ศูนย์กลางกันมามากตั้งแต่หลายวันที่ผ่านมา วันส่งท้ายปีเก่าคงจะมีน้อยคนเดินทาง จึงเป็นวันเวลาอันเหมาะที่เลือกจะเคลื่อนล้อมุ่งสู่บ้านเก่าถิ่นเกิด ยิ่งเห็นสภาพการจราจรที่เคลื่อนคล่องในถนนกลางเมือง ยิ่งคิดว่าวันนี้สบายล่ะ คงถึงเป้าหมายตามเวลาเหมือนทุกครั้งที่กลับบ้าน แต่...ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ รถเริ่มมากองอยู่บนทางออกของทางด่วน ระยะทางจ่ายเงินอยู่ข้างหน้าเพียงหนึ่งกิโลเมตร ผ่านไป 30 นาทีจึงจะพ้นผ่านไปได้ เริ่มหาทางลัดเลาะ ทางที่คิดว่าน่าจะคล่องตัว เลี้ยวเข้าถนนนั้นเห็นทันทีเลยว่าหลายคนคิดเหมือนกัน รถยังคงเยอะทำความเร็วได้เรื่อย ๆ จากที่เคยเดินทางเพียง 1.30 -2.00 ชั่วโมง วันนั้นก็ใช้ไปร่วม ๆ 3 ชั่วโมง
         
ภาพ :  อินเตอร์เน็ต
   ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันกลับเข้าเมืองกรุง ทุกคนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงตั้งแต่วันแรกของปี ในวันที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 รถยังคงติดยาวใช้เวลานานถึงนานมาก และด้วยความที่ไม่ชอบนั่งจับพวงมาลัยให้นานเกินไป จึงเลือกที่จะพักกลางทาง เพราะคิดว่าช้าไปอีกวัน ดีกว่าต้องนั่งอดตาหลับขับรถแบบไม่ได้นอน ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ยังไงก็ได้ถึงที่หมาย เป็นที่น่าสังเกตว่ารถในเมืองไทยมีจำนวนมากขึ้นในทุกปี แต่ถนนนั้นยังมีใหม่ไม่ทันตามจำนวนรถที่เพิ่มขึ้น เมื่อปีที่แล้วรถอาจจะติดเพียง 2-3 วันเท่านั้น ปีนี้ติดนานขึ้นและติดต่อกัน 4-5 วัน ปีหน้าคงติดเป็นสัปดาห์ และอาจจะกลายเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่ทุกวันหยุดยาวเราต้องมาร่วมฉลองกันบนท้องถนน  ไม่นานเราคงชินกับสภาพการณ์ดังนี้
            ในระหว่างที่รถติดนั่งมองและรอให้รถเคลื่อนอย่างช้า ๆ อยู่นั้น มองซ้ายมองขาว มองหน้ามองหลัง ใช่เลย สิ่งที่บังเกิดตรงหน้ามันคือการเดินทางของชีวิต หากจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ชีวิตคือการเดินทาง ที่ต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุดในแต่ละวัน เราอาจจะก้าวไปในเส้นทางที่เราเลือกจะไป เลือกที่จะเป็นโดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ทางข้างหน้าจะเป็นยังไง เลือกผิดบ้างถูกบ้างคละเคล้ากันไป ทางผิดจดจำไว้ว่าอย่าได้มาได้ใช้อีก ทางถูกบันทึกไว้ในความทรงจำว่าทางนี้มีดีพาเราสู่จุดหมายปลายทาง 
          
ภาพ :  อินเตอร์เน็ต
  เห็นรถบางคัน บางคน ร้อนร้น วิ่งลงไหล่ทางแซงซ้ายเพื่อไปปาดหน้าเข้าขวา จากที่ติดอยู่แล้วก็ยิ่งติดเพิ่มขึ้นอีก แถมยังก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายเต็มท้องที่
            เห็นเราในบางวันเราก็ก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เร็วจนแทบจะวิ่ง ด้วยความเชื่อมั่นโดยมิรู้เลยว่าอาจจะไปสร้างความเดือดร้อน ขุ่นข้องให้กับใจใครไว้บ้าง
            เห็นคนในรถบางคัน ดูจะหมดอาไรตายหยากกับสถานการณ์ตรงหน้า ต่างคนต่างนิ่งเงียบงัน ครั้นจะพูดคุยก็หมดเรื่องที่ยกมาเล่าขานไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องก็ยังนิ่งอยู่อย่างนั้น ต่อให้คนคุยเก่งแค่ไหนก็ต้องมีบ้างที่หมดแรง
            ในบางวันใจดวงเดิมของเรามันก็กลับฝ่อ เหี่ยวเฉาลง จนแทบจะหยุดนิ่ง หมดแรงไม่เข้าใจกับหลาย ๆ สิ่ง จนพาลจะทำให้โรคซึมเศร้าถามหา ต่อให้คิดว่าเก่งสักเพียงใด เมื่อมาเจอกับสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดเอาไว้  บางทีก็ง่อยรับทานได้เหมือนกัน
            ในเวลานี้ ขอเพียงแค่รถขยับเคลื่อนไปในอัตราคงที่ตลอดก็ถือว่าโอเคมากแล้ว ใจหนึ่งก็พยายามหาทางลัดเลาะ ทางที่จะพาเราไปให้ไกล ๆ กับสภาพแบบนี้ ใจหนึ่งก็กลัวว่าถ้ามีทางนั้นจริง ๆ จะลองเสี่ยงดูไหม จะไม่อ้อมมากกว่านี้หรือ ไม่กลัวหลงทางหรือ รถยิ่งติดยิ่งคิดเพื่อหาทางออก
            ใช่หรือไม่ ในบางวัน เราก็อยากเดินให้ช้าลงซักนิดเพื่อที่จะได้มีเวลาคิด ทบทวน เรื่องราวระหว่างทางบ้าง จะได้รู้ตัวว่ามาไม่ผิดทางหรือกำลังหลงทางอยู่หรือเปล่า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ได้เจอกับทางออก เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ลองไปในที่ที่ไม่เคยไปหรือเราอาจจะกำลังไปในที่ที่ไกลกว่าเดิมก็อาจจะเป็นไปได้
ภาพ :  อินเตอร์เน็ต

            หากชีวิตคือการเดินทางจริง ๆ เมื่อมีเริ่มต้นก็ต้องมีจุดหมายปลายทางและมีทางออกในทุกเส้นทางเสมอ ให้เวลากับถนนหนทางชีวิต แล้วจะพบเจอกับเรื่องใหม่ ๆ และแม้บางครั้งเราอาจดูเหมือนไม่ได้ก้าวไปไหน หรือดูเหมือนย้อนกลับมาเจอเรื่องเดิม ๆ อาจจะเสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ หงุดหงิดบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะทุกขณะเวลาที่ผ่านไปนั้น คือบทเรียนเพิ่มขึ้นมา เราต้องไม่ย่อท้อต่อการเดินบนถนนสายชีวิตนี้ และเมื่อเราไปถึงปลายทาง เราจะได้สิ่งที่ล้ำค่ากลับมาเสมอ

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

มุมเล็ก ๆ สร้างโลกให้งดงาม (ตอน 2)

มุมเล็ก ๆ สร้างโลกให้งดงาม
(ตอน 2)
               จากตอนที่แล้วเราได้เห็นน้ำใจของผู้คนในมุมเล็ก ๆ ที่ผ่านทางการให้ มันทำให้หัวใจของเราพองโตไปด้วยความสุข เป็นไปได้ไหม? หากว่าเราจะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการมอบน้ำใจไมตรีต่อกัน โดยไม่แบ่งแยกฐานะ หน้าที่ การงาน ยศตำแหน่ง ถ้าเราเริ่มต้นด้วยความดี ความดีย่อมส่งผลให้ผู้คนที่พบเห็นตระหนักรู้ตระหนักคิด และนำไปทำตาม ความงามเช่นนี้ถ้าเกิดขึ้นในหลาย ๆ มุมโลก ดาวเคราะห์สีน้ำเงินนี้คงเป็นดวงดาวที่สวยงามที่สุดในจักรวาล
            อีกหนึ่งตัวอย่างของการมีน้ำใจที่ไม่เลือกชนชั้น ฐานะความเป็นอยู่ : มหาเศรษฐีเกาหลีใต้ สร้างความฮือฮาและได้รับการชื่นชมยกย่อง ในประเทศบาห์เรน ด้วยการออกมาเก็บขยะบนถนนทุกวัน เพื่อช่วยรักษาความสะอาดบนท้องถนน ในเมืองที่เขาอยู่อาศัย                  ชาวบาห์เรนต่างยกย่องหนุ่มเกาหลีใต้รายนี้ ซึ่งมีชื่อว่า นาย “โย”  ซึ่งมีการปฏิบัติตนอย่างน่ายกย่องชมเชย ด้วยการกวาดเก็บขยะบนท้องถนนในเมืองหนึ่งเป็นประจำทุกวัน เขาเป็นนักลงทุนมหาเศรษฐีที่เดินทางมาพำนักในบาห์เรน เขาตื่นมาทุกเช้าเพื่อทำความสะอาดถนน ซึ่งเต็มไปด้วยขยะมากมาย และทำให้ผู้คนสะอิดสะเอียน และกลายเป็นปัญหาของเมือง มหาเศรษฐีเกาหลีใต้ผู้นี้ ได้ทำความสะอาดถนนมากว่า 10 ปีแล้ว ถือได้ว่า เขาได้สร้างวัฒนธรรมการทำความสะอาดให้เกิดขึ้นแก่สังคมประเทศบาห์เรน



            ผู้คนที่รู้เรื่องราวและพบเห็นเขา ต่างพากันยกย่องชื่นชอบมหาเศรษฐีเกาหลีใต้ผู้นี้ โดยบางรายบอกว่า เขาเป็นตัวอย่างของความสมถะ ความเรียบง่าย และการกระทำที่งดงาม
            หยิบยกความงามตามมุมต่าง ๆ ของโลกมาหลายเรื่องแล้ว ลองหันกลับมาดูมุมงามของไทยเราบ้าง ซึ่งก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว ในยุคข้าวยากหมากแพง การจะหาอะไรรับประทานให้อิ่มท้องในราคาเพียงแค่ 5 บาท ดูจะเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก แต่ทว่า...ในมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งของสังคม ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปีคนหนึ่งประกอบอาชีพหาบเร่ขายกับข้าวมานานกว่า 30 ปีแล้ว และยังคงตรึงราคาเดิมที่ 5 บาท แม้ว่าข้าวจะยาก หมากจะแพง น้ำมันจะปรับขึ้นราคา แต่ "ป้าแดง บุญยัง พิมพ์รัตน์หรือที่ทุกคนเรียกแกว่า "ป้าหาบ" แม่ค้าในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3 ก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดปรับขึ้นราคา
            "นึกถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ" ป้าหาบกล่าวด้วยใบหน้าอิ่มบุญ
            เพราะความที่ป้าหาบเคยอัตคัดขัดสนมาก่อน แต่ ณ วันนี้ แกสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนพอมีพอใช้อย่างพอเพียงแล้ว ก็ได้เวลาที่จะแบ่งปันความอิ่มท้องให้กับผู้อื่นบ้าง โดยป้าหาบบอกว่า ชีวิตของแกสุขสบายดี ไม่เป็นหนี้ ไม่ลำบาก ก็ไม่เป็นจำเป็นที่จะต้องเอากำรี้กำไรอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน สู้ "ให้ผู้อื่น" จะดีกว่า
           

            เห็นไหมว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคข้าวยากหมากแพงดูแล้วมีความสุขและน่าอยู่ขึ้นมาถนัดตา

            ใช่หรือไม่ ในมุมเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในทุ่งหญ้าชายขอบเมืองเบ็ธเลแฮ็ม จากหัวใจที่เปิดรับอย่างกว้างขวางของมารีย์และโยเซฟ จากน้ำจิตน้ำใจของผู้เอื้อเกื้อกูลให้สถานที่บังเกิด จากไออุ่นของบรรดาสัตว์เลี้ยงของคนเลี้ยงสัตว์ จากความอาทรของเขาเหล่านั้นช่วยกันจุดฟืนก่อไฟไล่แมลงไล่ความหนาว จากความพยายามของผู้แสวงหาพระผู้ไถ่จากแดนไกล ที่ตามดาวนำทางมาเพื่อมอบของขวัญล้ำค่าแด่กุมารน้อย สิ่งเหล่านี้ในค่ำคืนนั้นนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่บนคำสอนที่ให้เรามีความรักต่อกัน รักทุกคนเหมือนรักตัวเอง จากน้ำใจสู่ความยิ่งใหญ่ จากการให้สู่ความเบิกบานใจและสันติสุข
            “แบบอย่างของแม่พระและนักบุญโยเซฟคือการเชื้อเชิญเราให้ต้อนรับพระเยซูอย่างเปิดใจ พระเยซูเสด็จมาเพื่อนำของขวัญแห่งสันติมามอบให้ นั่นคือ สันติสุขบนโลกนี้และสันติสุขแด่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน ดังที่ทูตสวรรค์ได้ขับร้องเพลงนี้ต่อหน้าคนเลี้ยงแกะ ของขวัญล้ำค่าของคริสต์มาสคือสันติสุข พระคริสตเจ้าคือสันติที่แท้จริง พระคริสตเจ้ากำลังเคาะประตูหัวใจของเรา เพื่อมอบสันติให้กับเรา ดังนั้น ขอให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ด้วยพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ตรัสไว้
            วันเวลาแห่งการเห็นแก่ตัวของเราควรที่จะค่อยๆหมดลงไปได้แล้ว สันติสุขจะบังเกิด ถ้าเราเริ่มเปิดใจให้แก่ทุกคนที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต สร้างมุมเล็ก ๆ ของเราให้งดงาม เพื่อความสุขของมวลมหาชน สุขสันต์ปีใหม่แด่ทุกท่าน