วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เอาความไม่มีมาหุ้มห่อ

 

เอาความไม่มีมาหุ้มห่อ

>>>หลายครั้งหลายคน พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะมีตัวตน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเลย อาจจะเป็นเพราะคนรอบข้างสอพลอ ไม่พูดความจริง ยิ่งหลงเข้ารกเข้าป่า บางที การเป็นคนใหญ่คนโตนั้น ก็ช่างหามิตรภาพและความจริงใจได้ยากเหลือเกิน >>>

ยอดผู้ป่วยโควิด-19 มีแต่ทรงกับขึ้นอย่างน่ากลัว เป็นการระบาดที่หนักหนาสาหัส ก็ไม่รู้ว่าเราจะเดินไปถึงจุดไหนกัน หลายคนตั้งข้อเสนอ หลายคนตั้งตัวเป็นผู้รู้ ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เข้าเอาจริง จะมีสักกี่คนในโลกนี้รู้เรื่องนี้แบบจริง ๆ จัง ๆ เพราะนี่คือ โรคอุบัติใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราจะมาอวดอ้าง เราจะชิงความเด่นดังรอบรู้กันเกินไปก็ใช่ที่ มีอย่างเดียว คือ เราต้องเริ่มจากตัวเรา รักตัวเอง รักษาดูแลตัวเองอย่างระมัดระวังเท่าที่ทำได้ให้ดีเสียก่อน โรคนี้กำลังสอนผู้คนให้ลดละความเห็นแก่ตัวลง ยิ่งหลงยิ่งโอ้อวด ยิ่งซ้ำเติมเพิ่มเชื้อติดกันมากขึ้น เราต่างคนต่างก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่ากัน เราคิดอย่างเรา แต่ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นคิดเหมือนเรา

           เราอยู่ในสังคมที่อวยกันมามาก เราอวยเขา เขาอวยเราจนหลงลืมตัวตนกันหมด เราล้วนมีแต่เปลือกนอกที่นำมาห่อหุ้ม และยึดเอาว่านี่คือ สิ่งที่สวยงาม แต่กลับปล่อยให้สิ่งภายในนอนนิ่งจนเริ่มเน่า เราต่างยกย่องสิ่งภายนอกกัน บ่อยครั้งก็ไร้ความจริงใจต่อกัน หน้าไหว้ลับหลังก็นินทา ทุกสิ่งดูปลอม ดูหลอก เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งและผลประโยชน์แห่งตนเท่านั้น บางครั้งเราก็หลงไปกับคำยกย่อง ลมปากที่คนอื่นเปล่งชื่นชม และคิดคล้อยตามไปว่าเราเป็นคนเก่ง เป็นคนที่มีบารมีสูงส่งจริง ๆ สุดท้ายวันหนึ่งถึงเวลาที่ลำบากที่สุด ก็พึ่งพาใครไม่ได้ นอกจากเรียกร้องหาพระ และพระเจ้าก็ทรงพระทัยดีต่อเราเสมอ ให้โอกาส เรียกเราให้ลุกขึ้น ไม่นานเราก็กลับไปทำแบบเดิม ๆ อีก ไม่ฟังเสียงบริสุทธิ์ภายในที่บอกเรา ว่า “ท่านกำลังเปลือยเปล่าอยู่นะ” เหมือนในนิทานคลาสสิกเรื่องนี้

พระราชาองค์หนึ่งผู้หลงใหลในอาภรณ์ที่สวมใส่ ทรงอยากมีฉลองพระองค์ชุดเก่งที่ไม่มีใครซ้ำแบบ ออกประกาศหาช่างตัดเย็บ จึงมีพวกต้มตุ๋นมาเสนอตัวว่าจะตัดฉลองพระองค์สุดเท่ถวายให้ วันเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีผู้ใดเห็นฉลองพระองค์ชุดนั้นเลย เมื่อพระองค์ทรงอยากเห็นและลองเสื้อผ้านั้น ช่างตัดเสื้อจอมแสบก็ทำทีท่าเอาเสื้อผ้ามาสวมให้ลองดู  โดยที่พระองค์ไม่ทรงเห็นมีอะไรเลย แต่ช่างเจ้าเล่ห์ก็บอกว่า “นี่เป็นเสื้อผ้าล่าสุดจากสรวงสวรรค์ ซึ่งคนมีบุญเท่านั้นจึงมองเห็นเสื้อผ้าชุดนี้”

พระราชากลัวว่าตนเองจะกลายเป็นคนไม่มีบุญ จึงต้องทำเป็นมองเห็นเสื้อผ้าชุดเก่งนั้นด้วย  แม้แต่ข้าราชสำนักทุกคนต่างก็กลัวจะหลุดจากตำแหน่ง เพราะความเป็นคนไม่มีบุญ จึงทำเป็นยกย่อง สรรเสริญชุดที่พระองค์สวมใส่ที่ไม่ได้ใส่ เกิดจินตนาการหมู่ ในที่สุด วันสำคัญก็มาถึง เมื่อช่างตัดเสื้อขอให้พระองค์ทรงสวมฉลองพระองค์ชุดเก่งนั้น แล้วขึ้นรถม้าเสด็จไปตามท้องถนนเพื่อให้ประชาชนชื่นชมพระบารมี ระหว่างที่เสด็จไปท่ามกลางประชาชนซึ่งแห่แหนคอยเฝ้าอยู่สองข้างทาง ด้วยเรือนร่างที่เปลือยเปล่าไม่สวมอาภรณ์ใด ๆ เลยนั้น ประชาชนก็ไม่กล้าพูดความจริง ต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญถวายพระพรกันเซ็งแซ่ จนกระทั่งเด็กน้อยคนหนึ่งได้เห็นพระราชา ก็ร้องตะโกนขึ้นเสียงดังว่า  ทำไมพระราชาไม่สวมอะไรเลย?!  (ผู้แต่ง : ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน)


ใช่หรือไม่ ทุกคนย่อมรักชีวิต ต่างต้องเอาตัวรอดในสังคม เราก็เลยห่วงกันแต่เรื่องภาพลักษณ์ ต่างก็โดนหลอกได้อย่างง่ายดาย นิทานเรื่องนี้ ทำให้เราได้รู้จุดอ่อนของมนุษย์ ที่เป็นคนใหญ่โต ที่มักขาดคนจริงใจอยู่ข้างกาย และมันก็ทำให้คนคนนั้นไม่อาจรับรู้ความจริง เราเห็นกันอยู่ทุกที่ เราจึงต้องมั่นปลุกจิตสำนึกให้มีความซื่อสัตย์ต่อตัวอง รู้จักฟังเสียงเล็ก ๆ ภายใน รู้ที่จะทำกิจการทุอย่างด้วยความรัก สิ่งนี้จำเป็นเพื่อนำมาห่อหุ้มจิตวิญญาณของเราในภาวะของโลกที่กำลังระบมด้วยโรคร้าย

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ส่องเพื่อ…?

 

ส่องเพื่อ…?

>>> หนังสือกับมือถือ เราเปิดส่องอ่านอะไรมากกว่ากัน???>>>

วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่เสียเวลาไปกับการถู ๆ ไถ ๆ มือถือไปมากเลยที อ่านหนังสือกันน้อยลง เพราะคิดว่าเอาเวลาไปอ่านบนโทรศัพท์ดูจะทันสมัยมากกว่า แต่เอาเข้าจริง แม้แต่ตัวผู้เขียนเอง อ่านบนสื่อใหม่ในมือถือนี่ก็อ่านได้ไม่นาน ไร้สมาธิ เพราะมันเหมือนมีแรงดึงดูดให้เราต้องไปเปิดนั่นเปิดนี้ วันดีคืนดีก็เข้าไปสอดส่องความเคลื่อนไหวของคนอื่นของเพื่อนฝูง จะด้วยคิดถึง ใส่ใจ หรือเพียงอยากปรารถนารู้ความเคลื่ินไหวของคนอื่นกันแน่ จนติดเป็นนิสัยไร้วินัย ทั้งยามว่างและทุกยามเป็นต้องหยิบมือถือ ส่อง ๆๆๆ ดู ๆๆๆ เลื่อนไปเลื่อนมา เลื่อนขึ้นเลื่อนลง ดูวนไปเวียนมา  นี่เลยเข้าทางของสินค้าทั้งหลายที่มักแฝงอยู่ในสิ่งที่เราอ่าน ที่เราส่อง จนทำให้เสพติดการใช้จ่ายเกินตัว



เมื่อวันก่อนนั่งฟังไลฟ์สดของอาจารย์ปิง ประกิต สิริวัฒนเกตุ อาจารย์ได้พูดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้จ่ายของประชาชนว่าจ่ายไปเพื่อสิ่งใดบ้าง? เห็นแล้วใจหาย เราซื้อสิ่งภายนอกกันเยอะแยะมากมาย บ้าน รถ มือถือ บัตรเครดิต รับประทาน เสื้อผ้าหน้าผม แต่ให้กับค่าการศึกษาเพียง 2.2% เราได้รับการปลูกฝังให้ซื้อ ๆๆ เพราะเราเข้าเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ ก็เห็นเพื่อนอวดรวย อวดสุข อวดกิน อวดรถ กันเต็มหน้า ทุกคนต่างประกาศมีอันนี่ใหม่ อันนั้นใหม่ กินหรูอยู่สบาย จ่ายดอกบาน(ไม่บอกใคร) เราเห็นเราเสพบ่อย ๆ ก็เกิดความอิจฉา อยากจะมีบ้าง เรียกมันว่าแรงบันดาลใจต้องทำบ้าง กระเสือกกระสนดิ้นรนกันเพื่อให้ได้มา เพื่อสร้างสตอรี่ ใช่หรือไม่ แล้วคนเรามักชอบเลียนแบบกัน เอาง่าย ๆ องค์กรต่าง ๆ ก็ช่างขยันทำงบเพื่อใช้จ่ายเงิน ปั้นโครงการที่มีแต่สร้าง ๆ ๆ ๆ ภาพ ไม่ได้นำเงินมาทำโครงการส่งเสริมความรู้ ส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีความรู้ออนไลน์ หรือทำโครงการส่งเสริมความชำนาญด้านวิชาชีพ จะมีคิดแบบนี้สักกี่ที่ เห็นแต่ทำตาม ๆ กัน สร้างเสาไฟฟ้าแบบต่าง ๆ ไร้สาระไร้ประโยชน์สิ้นดี เห็นแล้วก็เหนื่อยใจกับการใช้จ่ายเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง



วันนี้เป็นเรื่องยากทีเดียวที่เราจะลดพฤติกรรมการส่อง การเสพ การซื้อลง จะทำอย่างไร พูดตามความจริง เราต้องรู้จักที่จะส่องตัวเอง ตรวจสอบตัวเองให้เป็น เข้าใจ รักตัวเอง ไม่อวดตัวเอง ใช้ความรักของพระเจ้าให้เกิดประโยชน์ต่อคนอื่น ลดเรื่องภายนอกลงบ้าง หันมาเสริมสร้างจิตใจ จิตวิญญาณ ฝึกหัดขับเคลื่อนให้มโนสำนึกนำทางชีวิต จะได้ไม่หวาดหวั่นหวาดกลัวอะไรง่าย ยามภัยมาจะได้ไม่ไปเที่ยวร้องเรียกหาความช่วยเหลือ เราต้องเป็นแสงส่อง มิใช่แต่สอดส่องเรื่องของชาวบ้าน เราต้องเสพความดีงาม มิใช่เสพติดชีวิตอันหรูหราหมาเห่า เราต้องจ่ายเพื่อศึกษา การเรียนรู้ เพื่อวันหน้า มิใช่ซื้ออยู่ซื้อกินเพื่อวันนี้ ในช่วงที่เราปรับตัวเข้ากับวิถีใหม่ เราก็ต้องละเลิกวิถีเก่าลงกันบ้าง หันมาดูแลคนใกล้ตัวให้มากขึ้น สร้างความรักที่ยิ่งใหญ่มากกว่าสร้างบ้านเรือนให้โอฬาร ให้เมตตานำทางมิใช่ให้รถหรูนำพาไปสู่ความตาย ให้ความเอื้ออาทรของเราเป็นอาหารแก่ผู้ผ่านพบ ชีวิตจะจบลงตรงไหนเมื่อไร??? เรามิรู้ได้ ใยต้องสร้างภาพให้ดูดีกันด้วยเล่า

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ไม่ต้องคิดแทนกันก็ได้

 

ไม่ต้องคิดแทนกันก็ได้

 

<<<เรื่องบางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องคิดแทนคนอื่น

เพราะบางทีคนที่เราคิดแทน สิ่งเขาทำไปเขาไม่คิดอะไรเลย…>>>>

ในความสัมพันธ์ทางอากาศเรามีเพื่อนมากมาย บางคนคุยกันไม่กี่ครั้ง โทรศัพท์ติดต่อกันไม่กี่หน ระบบอัตโนมัติก็เพิ่มความเป็นเพื่อนให้อยู่ในสังคมอากาศไปเสียแล้ว วันดีคืนดีก็มีการส่งข้อมูลข่าวสาร บางเรื่องที่เราคิดว่าไม่จำเป็นสำหรับเราเลย  ข้อมูลบางอย่างก็ออกจะเกินความเป็นจริง แต่คน ๆ นั้นเขาเชื่อ แล้วพยายามยัดเยียดความคิดความเชื่อให้เราคล้อยตาม หรือคิดว่าเราคงคิดแบบเดียวกันกับเขาเสียกระมัง แบบนี้ทำไปทำมาก็สร้างความรำคาญ รกรุงรังรบกวนกันเปล่า ๆ บางทีเราไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นเชื่อและคิดชอบเหมือนเราก็ได้ บทความที่เขียนก็ไม่อยากจะไปใส่ความคิดเห็นส่วนตัวเพื่อชี้นำ ไปคิดแทน แต่พยายามเขียนให้คนอ่านแตกความคิดมากกว่า เรื่องบางเรื่องถูกวันนี้ อาจจะผิดในวันหน้า ในทางกลับกัน เรื่องบางเรื่องที่ทุกคนเห็นชอบ อาจจะเห็นชั่งเห็นชั่วเมื่อกาลเวลาผ่านไป ฉะนั้นแล้วไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำให้คนอื่นมาคิดเหมือนเรา ขอให้เรามอบความรักความเมตตากับคนอื่นอย่างพอเหมาะพอดี เพียงเท่านี้


ความวุ่นวาย ความสับสน ของคนในสังคมก็มาจากสิ่งนี้ ต่างฝ่ายต่างบังคับให้คนอื่นคิดไปในทางเดียวกับเรา พอไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ เกลียด เครียด แค้นใส่กัน มันใช่หรือ การเคารพในความต่าง การส่งเสริมในความเป็นของคน ๆ นั้น ต่างหาก ที่เราต้องช่วยกันสร้างให้เกิดขึ้น ลูกไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนพ่อแม่ก็ได้ แต่ลูกต้องแสดงความดีงามของพ่อแม่ต่อทุกคนที่พบผ่าน ครูไม่จำเป็นต้องให้นักเรียนคิดแบบเดียวกัน แต่ส่งเสริมให้เด็กคิดต่อยอดจากความคิดของครูพัฒนาสู่สิ่งที่สูงกว่า หรือกว้างไกลออกไป อย่าขีดวงจำกัดด้วยความคิดของเรา เพราะนี่คือสิ่งอันตรายสุดในสังคมวันนี้

มีกบตัวหนึ่งที่เฝ้าสังเกตการเดินของตะขาบตัวหนึ่งอยู่เสมอ เวลาผ่านไปนานเข้าก็เกิดเป็นความงุนงงสงสัยขึ้นมาในใจ ครุ่นคิดว่า

“ตัวข้าเองมีเพียง 4 ขา ยังเคลื่อนไหวไปมาได้ยากลำบาก แต่ไฉนตะขาบที่มีขานับร้อย จึงเดินได้อย่างปลอดโปร่งเพียงนี้ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ยามเดินเหิน ตะขาบทราบได้อย่างไร ว่าจะหยุดขาข้างไหน ขยับขาข้างไหน จากนั้น ก้าวขาไหนตามออกไปกันเล่า ?”

กบจึงตัดสินใจออกไปขวางทางเดินของตะขาบเอาไว้จากนั้นเอ่ยถามว่า “ข้าถูกเจ้าทำให้งุนงงสงสัยไปหมดแล้วว่า ในแต่ละวันเจ้าเดินเหินได้อย่างไร ด้วยขาที่มากมายขนาดนี้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้”

ตะขาบตอบว่า “ข้าเดินแบบนี้มาโดยตลอด ไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ในเมื่อวันนี้ เจ้าถามขึ้นมา ข้าก็จะขอเวลาคิดดูสักครู่ แล้วค่อยตอบคำถามของเจ้า”


ตะขาบยืนนิ่งอยู่พักใหญ่เพื่อขบคิดว่า ที่ผ่านมาตนเองเดินอย่างไร จากนั้นเจ้าตะขาบก็พยายามขยับขาโน้นขยับขานี้ แต่ไม่สำเร็จ เพียงลากขาไปข้างหน้าได้ 2-3 ก้าว พอหมดสิ้นหนทาง จึงหมอบลง สุดท้าย ได้แต่กล่าวกับกบขี้สงสัยว่า

“ต่อไปเจ้าโปรดอย่าได้เอ่ยถามข้อสงสัยข้อนี้ของเจ้า ให้ตะขาบตัวอื่นใดได้ฟังอีก ที่ผ่านมา ข้าเพียงเดินไปข้างหน้า ไม่เคยเกิดปัญหา แต่ตอนนี้ เจ้าทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากแล้ว ข้าไม่สามารถก้าวเดินได้ เพราะข้าไม่รู้ว่าจะขยับขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ด้วยขากว่าร้อยขาที่มีอยู่นี้” (จากนิทาน เซน)

เรื่องบางเรื่อง ขบคิดมากเกินความกลับมีแต่เพิ่มปัญหา สิ่งที่ควรทำ คือ การใช้ชีวิตประจำวันตามธรรมชาติ ตามที่ควรจะเป็นอย่างพอเหมาะพอควร ไม่ครอบงำ แต่กระทำความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อยให้กลายเป็นต้นต่อความดีงามที่มั่นคงเสมอไป นี่คือ สิ่งที่เราทุกคนควรกระทำที่สุด ณ เวลานี้

วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2564

จริงที่แปลกปลอม

 

จริงที่แปลกปลอม

เคยไหม??? ที่รู้สึกกับใครสักคนที่เคยเชื่อถือมานาน แล้ววันหนึ่งมีเหตุทำให้เรารู้

ความจริงว่า ที่เราเชื่อถือนั้นเป็นสิ่งปลอม>>>

 

ในทุกวันนี้เรามักเห็นข้อความที่ผู้คนต่างส่งเข้าประกวดประชันกันในโลกเสมือนจริง ถ้อยคำข้อความเหล่านั้น ต่างก็แสดงโอ้อวด อวดรู้ อวดรวย อวดเก่ง เห็นคนอื่นเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น บ้างก็ใช้คำพูดที่หยาบคายต่อผู้อื่นจนเกินงาม จนกระทั่งต้องมีกฎหมาย พรบ.คอมพิวเตอร์และกฎการบูลลี่ทางออนไลน์ออกมากำกับ หลายคนต้องเสียเงินเสียทองเสียเวลากับคำพูดที่ไปดูถูกดูหมิ่นคนอื่น เพียงเพราะแค่ต้องการอวดตัว อวดภูมิเท่านั้น เรื่องบางเรื่องก็เพียงได้ยินได้อ่านในสิ่งที่เขาเล่าว่า และเชื่อเป็นตุเป็นตะว่านี่คือข้อมูลวงใน เอาไปแสดงความอวดเก่ง เอาไปกล่าวร้ายออกสาธารณะอย่างไม่รู้ตัว คนเราก็เช่นนี้ คิดว่ารู้ทุกเรื่อง แต่กลับไม่เคยรู้ตัว

ในยุคที่เต็มไปด้วยของปลอม ยุคที่เต็มไปด้วยคนที่อยากมีตัวตน เพื่ออยากจะดัง อยากจะเด่น เห็นแล้วก็เพลียใจ ในความเป็นจริงนั้น คนจริงมักนิ่งเป็น อยู่อย่างมั่นคง ไม่เที่ยวโอ้อวดสารพัด เพราะเขามีมโนธรรมเตือนตนเสมอว่า ชีวิตคนเราไม่เก่งทุกเรื่องไม่จำเป็นต้องโชว์เก่ง อวดรู้ เพียงมีความสุขในวันเวลา เพียงมีชีวิตเพื่อผู้อื่นบ้าง ใยต้องไขว่คว้าหาเรื่องที่ตัวเองไม่อาจจะคาดเดาได้ด้วยล่ะ

หนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งจูงสุนัขพันธุ์ธิเบตตัวโตราคาเป็นล้านออกมาเดินเล่น เมื่อเจอผู้คนก็จะโอ้อวดว่าสุนัขของตนดีอย่างนั้นอย่างนี้คนที่ไม่มีพละกำลังจริงๆจะไม่สามารถต้านทานแรงฉุดกระชากของมันไดั

ยามนี้.....ที่ริมถนนมีชายชราผู้หนึ่งข้างกายมีสุนัขเฒ่านั่งอยู่ด้วยขนของมันหลุดร่วงเกือบหมดแล้ว สุนัขธิเบตเห่าใส่สุนัขเฒ่าไม่หยุด แต่สุนัขเฒ่ากลับมิได้สนใจใยดีสุนัขพันธุ์ธิเบตแม้แต่น้อยนิด เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาเขาได้พูดว่า.....

“ตาเฒ่า.....สุนัขของคุณตัวใหญ่เบ้อเริ่มเป็นพันธุ์อะไร? เรานำมาสู้กันสักตั้งดีไหม? ถ้าสุนัขคุณแพ้จ่ายให้ผม 500 แต่...ถ้าสุนัขธิเบตผมแพ้ผมจ่าย 2,000”

ชายชราจึงพูดขึ้นว่า.....

“ผมกำลังทุกข์ใจเกี่ยวกับค่าอาหารของเพื่อนซี้เก่าแก่อยู่พอดี.....จะพนันก็ต้องพนันกันเยอะหน่อย! หากสุนัขของผมแพ้ ผมจ่าย 5 หมื่นถ้าสุนัขคุณแพ้ จ่ายให้ผม 3 หมื่น”

ชายหนุ่มอารมณ์เดือดขึ้นทันที

“สุนัขของผมเป็นเชื้อสายพันธุ์ธิเบตที่บริสุทธิ์.....อย่าหาว่าผมไม่บอก ตกลงผมรับคำท้า”

สุนัขทั้งสองตัวต่อสู้กันไม่ถึง 2 นาที สุนัขพันธุ์ธิเบตก็พ่ายแพ้ไม่กล้าที่จะเห่าหอนอีก! ชายหนุ่มยื่นเงินให้ 3 หมื่น ท่าทางซึมเศร้าอย่างยิ่ง เขาถามชายชราขึ้นว่า

“ท่านผู้เฒ่า.....สุนัขของท่าน มันเป็นสุนัขอะไร? ทำไมถึงได้ดุร้ายเช่นนี้”

ชายชรานับเงินไปและตอบว่า

“ผมก็ไม่รู้ว่า....ตอนนี้มันเป็นสุนัขอะไร  แต่ก่อนที่ขนมันจะหลุดร่วง เรียกว่า...สิงโต”

ชายหนุ่มได้ยินเช่นนั้นร้องไห้ก็ไม่ได้ หัวร่อก็ไม่ออก


ไม่ว่าเวลาใดจงอย่าได้โอ้อวดจงรู้จักการถ่อมตนและถ่อมตน การโอ้อวดแท้จริงแล้วหมายถึง การขาดสิ่งนั้น ผู้ที่มีความสามารถที่แท้จริง ที่เป็นของจริงในโลกหล้าล้วนอยู่ในภาวะที่สงบนิ่ง สัจธรรมอย่างหนึ่งที่ผู้คนได้ยินอยู่บ่อยครั้ง คนเก่งจริงไม่โอ้อวด คนโอ้อวดมักไม่เก่งจริง” แต่วันนี้เรากลับทำตัวยอกย้อนกับสัจธรรมที่กล่าวถึง ทั้ง ๆ ที่รู้แต่เราก็ทำ เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก หากผู้คนยังหยิ่งทนงถือตัวเองเป็นของจริงที่แปลกปลอมกันอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะหลงลืมองค์แห่งความจริง ที่พลีเลือดเนื้อเพื่อเราทุกคน พระองค์ตายจริง เจ็บจริง แต่ความรักความจริงในคำสอนของพระองค์กำลังถูกผู้คนเอามาอวดอ้าง หากไม่เคยปฏิบัติตามคำสอนก็จงอย่านำมาอวดอ้างกันเลย….