วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2562

เมตตาพาดับร้อน


เมตตาพาดับร้อน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น อากาศร้อนถึงขั้นเผาผลาญความสุขของคนไทยให้ละลายหายไป ใครที่อยู่กลางแดดนาน ๆ ได้ ผิวหนังคงไหม้เกรียม กลายเป็นคนแก่แดดไปโดยปริยาย อากาศร้อนแรงนำพามาซึ่งความร้อนร้ายของอารมณ์ผู้คน เราหงุดหงิดฉุนเฉียวกันง่ายขึ้น ความอดทนน้อยลง ยิ่งในวันนี้ที่สังคมมีแต่ความสับสนวุ่นวาย เอารัดเอาเปรียบ และชิงดีชิงเด่น เอาชนะคะคานกันให้ได้ดังใจ คิดถึงแต่ความเก่งของตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล พระอาทิตย์เลยหมั่นไส้ แสดงตนให้โลกรู้ว่า แท้จริงแล้วไม่มีใครยิ่งใหญ่เกินธรรมชาติไปได้หรอก หยุดความหยิ่งยโส หยุดความอวดโอ้โม้ความรู้ความเป็นเลิศกันเสียที มาสร้างความเห็นอกเห็นใจ ให้โอกาสและให้อภัย เพื่อสร้างสังคมให้ร่มเย็นสู้กับอากาศที่ร้อนแรง เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่โลกนี้ได้จารึกเรื่องราวดีงามในนามของความเมตตาเอาไว้
ผู้กำกับชาวบราซิลชื่อดัง  “Walter Salles” กำลังค้นหาตัวนักแสดงที่เหมาะสมสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา “Central do Brasil” มีผู้มาให้คัดตัวมากมาย  แต่ก็ยังไม่ถูกใจเขา วันหนึ่งระหว่างออกไปทำธุระ ผ่านสถานีรถไฟ  มีเด็กผู้ชายวิ่งมาถามเขาว่า “ขัดรองเท้าไหมครับท่าน” เขามองดูรองเท้าตัวเอง  ซึ่งก็เพิ่งขัดมาไม่นาน  จึงตอบปฏิเสธไป  แต่เด็กน้อยก็เดินตามเขาไป  พร้อมพูดกับเขาด้วยแววตาวิงวอนว่า  “วันนี้ทั้งวันยังไม่มีเม็ดข้าวตกถึงท้องเลย  อยากขอยืมเงินไปซื้อข้าวกินหน่อย  ผมสัญญาว่าจะจ่ายเงินคืนให้ภายในหนึ่งอาทิตย์ครับ”  เขาเห็นว่ามันเป็นเงินเล็กน้อย  และเหตุการณ์เด็กเร่ร่อนมาขอเงินก็เกิดขึ้นบ่อย ๆ  เขาจึงควักเงินให้เด็กน้อยไป

เวลาผ่านไปครึ่งเดือน  เขาลืมเรื่องนี้ไปหมดสิ้นแล้ว  วันนั้นเขาก็ผ่านมาใช้สถานีรถไฟนั้นอีกครั้ง  มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาหาเขาแต่ไกลพร้อมตะโกนว่า  “คุณครับ  รอแป๊ปนึง” เมื่อเด็กน้อยวิ่งมาใกล้แล้ว  เขาจึงจำหน้าเด็กที่เคยมาขอเงินคนนั้นได้  เด็กน้อยพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “คุณครับ  ผมมารอคุณตั้งหลายวันแล้ว  ขอบคุณที่ให้เงินผมยืมครับ”  พร้อมยื่นเงินเหรียญหลายเหรียญคืนใส่มือของเขา  เขามองดูเหรียญในมือ บังเกิดความรู้สึกดี ๆ กับเด็กน้อยคนนี้
ผู้กำกับก้มมองดูหน้าเด็กน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์  เกิดความรู้สึกว่า  เด็กคนนี้ช่างเหมาะกับบุคลิก “เด็กน้อย” ในภาพยนตร์ของตนที่กำลังค้นหานักแสดงอยู่  เขาพูดกับเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มว่า  “พรุ่งนี้หนูลองมาทดสอบหน้ากล้องที่บริษัทหน่อย  อาจทำให้หนูมีโอกาสได้ดีใจครั้งใหญ่ในชีวิต”
รุ่งขึ้นตอนเช้า  พนักงานขึ้นมารายงานผู้กำกับว่า มีเด็กกลุ่มใหญ่มารออยู่หน้าประตูบริษัท เขาออกไปดูเหตุการณ์ ก็พบเด็กน้อยวิ่งมาหาเขาด้วยความตื่นเต้นพร้อมพูดกับเขาว่า  “คุณครับ  เด็กเหล่านี้ก็เป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนผมที่ไม่มีพ่อแม่  ผมอยากขอให้พวกเขามีโอกาสได้ดีใจแบบเดียวกับผมบ้าง เลยชวนมาทั้งหมด  อยากขอโอกาสให้พวกเขาทุกคนด้วยครับ” ผู้กำกับรู้สึกตื้นตันในน้ำใจของเด็กคนนี้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า  จะได้เจอเด็กเร่ร่อนที่มีจิตใจเมตตาปราณีได้ดีงามถึงเพียงนี้  ในเมื่อพวกเขาก็มาพร้อมกันอยู่ที่นี่แล้ว  เขาจึงสั่งให้ลูกน้องจัดการทดสอบหน้ากล้องพร้อมทดสอบการแสดงออกของเด็กทั้งกลุ่ม ในที่สุด เด็กหลายคนถูกคัดเลือกออกมา  พวกเขาดูมีความพร้อมและเหมาะสมกว่าเด็กน้อยคนนั้นของผู้กำกับเสียอีก
แต่สุดท้าย ผู้กำกับก็ตัดสินใจเลือกเด็กน้อยคนเดิมไว้ เขาบรรจงเขียนข้อคิดเห็นบนข้อมูลเด็กน้อยคนนั้นว่า  “ความเมตตา ไม่ต้องผ่านการทดสอบ” เด็กน้อยที่มีอายุแค่ประมาณสิบขวบ  แม้ชีวิตจะอยู่ในภาวะขัดสน  แต่กลับยอมนำเอาโอกาสดี ๆ ของตนมาแบ่งปันกับเพื่อน ๆ  นี่ช่างเป็นความเมตตาที่งดงามและยิ่งใหญ่จากมนุษย์ตัวน้อย ๆ คนนี้  เขาแน่ใจว่า  เด็กน้อยคนนี้แค่ใช้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแสดงออกมา  แค่นั้นก็เพียงพอโดยไม่ต้องมีการปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วเด็กน้อยก็สามารถตีบทแตกอย่างสุดยอดในบทบาทที่น่าประทับใจที่สุด
จากบทบาทในภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลให้ Viniclus de Oliveira กลายเป็นดาราดังชั่วข้ามคืน ภาพยนตร์ได้กวาดรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกรวม 36 รางวัล (1998-99) มีแต่เสียงชื่นชมจากทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์  เด็กน้อยกลายเป็นนักแสดงที่ดังเป็นพลุแตกในชั่วข้ามคืน  และสามารถกลายเป็นนักแสดงยอดนิยมของประเทศบราซิล กลายเป็นนักแสดงระดับแนวหน้า  และยังเป็นประธานบริษัทในวงการภาพยนตร์  (Cr. ขจรศักดิ์)


คนที่มีใจเมตตาปราณี มักจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตเสมอ อย่ามัวแต่เรียกร้องโหยหาความสุข แต่ต้องนำพาความเมตตาออกมาจากชีวิต เพื่อให้ชีวิตผู้คนที่ผ่านพบได้พบกับความร่มเย็นเป็นสุข พระเมตตาจะยิ่งใหญ่เมื่อมีผู้นำไปทำให้เกิดผล

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2562

ทุกนาทีมีชีวิตใหม่


ทุกนาทีมีชีวิตใหม่

ในขณะที่เรากำลังนอนหลับใหล ในพื้นที่อื่นของโลกก็เกิดสิ่งใหม่ ๆ  ทั้งดี ทั้งร้าย เกิดขึ้นแทบทุกนาที ในค่ำคืนของวันที่ 15 แต่เป็นเวลายามเย็นที่กรุงปารีส ก็เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตกใจ และช็อคให้กับทุกคนทั่วโลก เมื่อเห็นไฟไหม้อาสนวิหารโนทเทรอะ-ดาม แห่งปารีส เวลาผ่านไปไม่นาน เพลิงยิ่งลุกไหม้ ยอดของอาสนวิหารแม่พระแห่งกรุงปารีสได้หักลงมา ตื่นมาเห็นภาพข่าวนี้ยิ่งสลดหดหู่ คำว่า “ม่านพระวิหารฉีกขาด” ดังขึ้นในหัว มหาวิหารที่สวยงามยาวนานถึง 850 ปีแห่งนี้ได้ทลายลง (บางส่วน) ในความอลหม่านนั้น เราก็ได้เห็นกลุ่มคนชาวฝรั่งเศสแสดงความเชื่อด้วยการรวมตัวกันสวดภาวนาและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผ่านไปไม่นานเศรษฐีคนหนึ่งพร้อมที่จะบริจาคเพื่อฟื้นฟูอาสนวิหารขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นได้มีการบูรณะแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องด้วยขาดปัจจัยและความไม่ชัดเจนของงบประมาณ ในร้ายมีดีเกิดขึ้นในทุกเหตุการณ์ ย่อมมีบทเรียน และในทุกความเชื่อ ย่อมมีทางออกเสมอ
ในทุกวัน ทุกชั่วโมงนาทีมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น มีรอยยิ้มแห่งความรักและความหวังผุดขึ้นในลมหายใจใหม่ของทารกน้อยที่ปรากฏกายขึ้นบนโลกนี้ มีความยินดีที่ได้ต้อนรับผู้สืบสานภารกิจแห่งรัก ความงดงามผลิดอกออกรวงผล และขณะเดียวกันในทุกนาทีก็ย่อมมีทุกข์ลำเข็ญเกิดขึ้น แต่เมื่อเราผ่านพ้นไปได้ ความปิติย่อมตามมา ในโลกนี้ความปรีดามีมากยิ่งนัก เรามีสิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน แต่...บางทีที่เรามองไม่เห็นเพราะเราตกอยู่ในความเคยชิน หมกมุ่นวุ่นวาย จนลืมที่จะมองเห็นทุกสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม ในชีวิตเรามีปัสกาให้เราก้าวผ่านเพื่อพบสิ่งใหม่ได้ทุกวัน อย่ามองวันเดิม ๆ ด้วยสายตาเดิม ๆ แต่จงมองด้วยหัวใจ สิ่งใหม่จะผ่านพบมาให้เห็นตลอด อย่าทำให้ความจำเจต้องจองจำเราให้อยู่ในความนิ่งเน่าและสงสัยตลอดเวลา


ท้องฟ้าเมื่อสามโมงเย็นของวันศุกร์ วันที่พระเยซูเจ้าถูกตอกตรึงกับไม้กางเขน ในฐานะนักโทษ กับท้องฟ้าเมื่อเช้าวันอาทิตย์ วันที่หญิงสาวพากันไปที่พระคูหา แล้วต้องพบกับสิ่งมหัศจรรย์ใจ ร่างของพระจารย์หายไป เช้านั้นฟ้าเปิดเกิดสิ่งใหม่ทำให้ความเชื่อของสานุศิษย์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ฐานเริ่มต้นแห่งพระศาสนจักรกำลังถูกฝังราก ทำให้เกิดวิหารแห่งใจกับคนหลายล้านคนทั่วโลกจนถึงวันนี้ เมื่อแหงนหน้าดูท้องฟ้าครั้งใด ก็มักเห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ท้องฟ้ายังมีเมฆหมอก มีสีสันไม่เคยเหมือนกันเลยสักวัน ใยต้องเห็นแต่สิ่งเดิม ๆ อยู่เล่ามุมมองใหม่ ๆ ด้วยทัศนคติที่งดงาม เราจะได้มีจิตวิญญาณที่พัฒนาขึ้น ในโลกนี้มีความงามมากมาย เพียงแต่มักถูกปิดบังด้วยภาพบังใจเสมอ 
อาร์เทอร์ รูบินสไตน์ นักเปียโนชาวยิว-อเมริกัน มักจะเดินทางไปพบปีกัสโซ่อยู่เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาร์เทอร์เห็นปีกัสโซ่วาดภาพเดิม ๆ ในที่เดิม ๆ เป็นเวลานานหลายเดือน องค์ประกอบในภาพมีระเบียงที่เป็นราวเหล็กดัด มีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีขวดไวน์และกีต้าร์อยู่หนึ่งอัน
เมื่อปีกัสโซ่วาดภาพเดิม ๆ เป็นเวลาถึง 50 ภาพ อาร์เทอร์จึงอดทนต่อไปอีกไม่ไหว เขาได้ถามเพื่อนรักว่า
นายวาดรูปเดิม ๆ ทุกวันไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือยังไง?”
ปีกัสโซตอบอาร์เทอร์ว่า
นายพูดอะไรผิดหรือเปล่า? นายไม่รู้จริง ๆ หรือยังไงว่า ในทุก ๆ นาที ก็มิใช่ฉันคนเดิม ทุกนาทีมีแสงใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ แม้เราจะเห็นระเบียงอันเดิม ขวดไวน์อันเดิม กีตาร์อันเดิม แต่ฉันเห็นสิ่งที่แตกต่างกันออกไปทุกขณะเวลา ฉันเห็นขวดไวน์ที่ไม่เหมือนเดิม เห็นโต๊ะที่ไม่เหมือนเดิม เห็นชีวิตที่แตกต่างกันไปบนโลกใบนี้ ในสายตาของฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม ”
จากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่อาร์เทอร์เล่นเปียโน เขาก็ได้ท่วงทำนองใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอไม่ขาด


หากเราเตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะก้าวผ่านสิ่งเดิม เปลี่ยนมุมมองดู จะรู้ว่าโลกเรายังคงงดงามอยู่ดังเดิม ในวันนี้ที่เรามีสิ่งใหม่เรื่องเทคโนโลยีอยู่แทบทุกชั่วโมง จนทำให้เรามองข้ามเรื่องของความเชื่อและความศรัทธา จนนำไปสู่ความสงสัยที่มักจะหาคำตอบให้ออกมาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ต้องพิสูจน์ให้ได้เป็นรูปธรรม ธรรมะในใจจึงจืดจางหายไป ที่สุดเราก็ให้ความใหม่ ๆ ของภายนอกปิดครอบความงามด้านภายในของกันและกันจนหมดสิ้น มองข้ามความงามของกันและกันไป มองไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น หรือมองไม่เห็นความสำคัญของคำสอนของธรรมะในศาสนา บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกำลังให้บทเรียนที่สำคัญ เมื่อถึงที่สุดแล้ว ความเชื่อความศรัทธาคือแสงสว่างอยู่ด้านหน้าอุโมงค์นั่นเอง 
หากมนุษย์มัวแต่พะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เราจะเชื่อและรู้จักคุณค่าของ “สิ่งที่อยู่เบื้องบน” ได้อย่างไร? ความเชื่อจะนำชีวิตใหม่ให้เรา และทุกนาทีถ้าเราเชื่อ เราจะพบกับสิ่งใหม่ที่งดงามในความเดิม ๆ เสมอ หันหน้ามองคนรอบข้างกายด้วยหัวใจแห่งความเชื่อ เราจะได้พบความงามแห่งอาณาจักรสวรรค์ปรากฎอยู่ตรงหน้าเรา

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2562

บนความเปราะบาง


บนความเปราะบาง
ในวันนี้เรามีความรวดเร็วและความก้าวหน้า มีสิ่งประดิษฐ์ที่จะเอื้ออำนวยความสะดวกสบายเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ แทบทุกวัน ดูเหมือนว่า ชีวิตของผู้คนจะดีงาม แต่เอาเข้าจริงทุกซอกทุกมุมโลก ต่างก็ประสบพบเจอปัญหาที่คล้าย ๆ กัน เป็นเหมือนกับดักทางจิตวิญญาณที่นำพาให้ชีวิตภายนอกดูสบายภายในกลับย่ำแย่ โดยเฉพาะในสังคมเมือง ที่เฟื่องฟูด้วยเครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวก กลับมีผู้คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้นและส่งผลให้เกิดการทำร้ายชีวิตตัวเอง เพียงสัปดาห์เดียวเราพบเห็นการจบชีวิตด้วยตัวเองของเด็กวัยรุ่นหลายราย บางคนถึงขั้นถ่ายทอดวิธีการไปยังจุดจบของชีวิตให้คนอื่นได้ดู ต้องการประชด ต้องการสร้างความสะใจก่อนลาจากโลก ใช่หรือไม่ สมัยนี้ผู้คนเปราะบางทางจิตวิญญาณเหลือเกิน คงเนื่องมาจากความรู้สึกโดดเดี่ยวในโลกที่เต็มด้วยผู้คน หาคนรับฟังความคิดได้น้อยเต็มที มีแต่ต่างคนต่างจับจองความคิดของตัวเองไว้อย่างแข็งขัน และไร้พื้นที่ส่วนรวมที่จะร่วมกันพูดคุย รับฟัง เราต่างขับไล่ผู้คนออกจากตัวเราโดยไม่จำเป็น และเลือกที่จะเป็นคนที่ “หมกมุ่นอยู่กับตนเอง” ยิ่งทำให้ผู้คนเปราะบางมากขึ้น เพราะไม่มีอะไรคอยทำให้ผ่อนคลายความรู้สึกที่อยากตอบสนองต่ออารมณ์ส่วนตัว และไม่มีอะไรที่จะทำให้รู้สึกได้ถึงจังหวะหรือถึงพื้นที่ที่ควรจะหยุดสิ่งที่ตนปรารถนาได้แล้ว ผู้คนในสังคมจึง “เปราะบาง” และเกิดคดีที่มาจากการระเบิดของอารมณ์ดิบส่วนตัวมากขึ้น  “หัวร้อน” ทุกสิ่งเรามิได้กระทำเพื่อส่วนรวมนอกจากส่วนตัวล้วน ๆ


ในวันนั้น *** “การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม โดยการขึ้นหลังลานั้นมีความหมายมากกว่าสุนทรพจน์ยาว ๆ พระองค์แสวงหาพระอาณาจักรแห่งสันติภาพและอาณาจักรแห่งความยุติธรรมสำหรับทุกคน มิใช่อาณาจักรที่สร้างขึ้นบนความรุนแรงและการกดขี่ข่มเหง การขึ้นบนหลังลาซึ่งพระองค์ทรงปรากฏต่อสายตาผู้จาริกแสวงบุญ เป็นเหมือนประกาศกที่นำระเบียบใหม่แตกต่างมาให้ตรงข้ามกับระเบียบที่บรรดานายพลทหารโรมันบังคับใช้ พวกเขาขึ้นบนหลังม้าที่ใช้ในสงคราม....ชาวโรมันมิได้ชื่นชมการกระทำของพระองค์เลย เราไม่ทราบผลของการกระทำที่เป็นสัญลักษณ์เช่นนี้ของพระเยซูเจ้าท่ามกลางฝูงชนมากมายนี้ อย่างไรก็ตาม การเสด็จเข้าเมืองแบบ “ต่อต้านชัยชนะ” ที่ผู้คนชายหญิงโห่ร้องสนับสนุนพระองค์ กลายเป็นการล้อเลียนที่สามารถทำให้จิตใจฝูงชนเร่าร้อนขึ้น การกระทำของพระเยซูเจ้าต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ซึ่งประกาศต่อต้านอาณาจักรด้วยสันติ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พระองค์ถูกตัดสินประหารชีวิต” 



ในวันนี้ แม้ว่าผู้คนในสังคมจะเปราะบางมากขึ้นเพราะหา “พื้นที่รวมกัน” ไม่พบ ทั้ง ๆ ที่เราต่างยังโหยหาพื้นที่ที่จะเข้ามามีส่วนสร้างสรรค์อยู่ แต่เรากลับถูกทำให้เชื่อว่าอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวนั้นปลอดภัยที่สุด เอาเข้าจริงเราก็รู้แล้วว่า ความต้องการพื้นฐานของเราอย่างหนึ่ง ก็คือ ต้องการสร้างสัมพันธภาพ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้อย่างที่ควรจะเป็น ก็คือ ความละอายใจและความกลัว ที่มักมาจากความคิดที่อยู่ลึก ๆ ว่า “ฉันยังไม่ดีพอ” หรือ “ฉันไม่มีคุณค่าพอ”จึงกลัวเสมอ เมื่อจะต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคน ฉะนั้นแล้วทำเช่นไรเล่าเราถึงจะทำให้ผู้คนยอมรับในคุณค่าของตัวเองในพื้นที่ส่วนรวม ต้องให้เกียรติกัน เคารพต่อกัน การให้ที่มีค่าที่สุดคือการให้ค่าแก่ทุกคนที่เรารู้จัก บนความเปราะบางที่เกิดขึ้นในสังคมอยู่ที่เราไม่เคยเห็นคุณค่ากัน เรากระทำต่อกันด้วยการวัดระดับทางตำแหน่งหน้าที่ เราใช้บรรทัดฐานทางสังคมเพื่อยกตนให้เหนือผู้อื่น และบีบให้คนทั้งหลายจนมุม แล้วเราก็มีชัยชนะอย่างโดดเดี่ยว นี่มิใช่คุณค่าที่แท้จริง แต่ยิ่งกลับเพิ่มความเปราะบางต่อไปยิ่งทียิ่งมากขึ้น
ในวันนั้น พระเยซูเจ้าให้คุณค่าที่ล้ำค่าแก่สานุศิษย์ทุกคน*** “พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นและทรง “ล้างเท้าบรรดาสานุศิษย์” ในเรื่องนี้พระเยซูเจ้าทรงกระทำเพื่อมอบแบบอย่างแก่ทุกคนและทำให้พวกเขาทราบว่า ผู้สานต่องานของพระองค์จะต้องดำเนินชีวิตด้วยท่าทีแห่งการรับใช้ซึ่งกันและกัน “จงล้างเท้าของกันและกัน” .... พระองค์ทรงย้ำหลายครั้งว่า “ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน” พระเยซูเจ้าทรงกระทำให้เห็นชัดเจนในเรื่องนี้ ด้วยการล้างเท้าบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์ พระองค์ทรงแสดงพระองค์เป็นผู้รับใช้และทาสของทุกคน ในไม่กี่ชั่วโมง พระองค์จะสิ้นพระชนม์ ถูกตรึงกางเขน ในความทรมานที่ถูกกำหนดไว้สำหรับพวกทาส”
***(หนังสือ พระเยซูเจ้าในประวัติศาสตร์ เขียนโดย คุณพ่อโฮเซ อันโตนิโอ ปาลา แปลโดย เซอร์มารีย์ หลุยส์ พรฤกษ์งาม)


            ในวันที่เราต่างพบเจอกับความเปราะบาง ด้วยเพราะเรากักขังจิตวิญญาณของเรามิให้มีความอ่อนน้อม มิให้ยอมที่จะออกจากตัวตนของเรา เราต้องไม่กลัวที่จะเดินออกจากกำบังที่เราซ่อนเร้นอยู่เพื่อก้าวออกมาเผชิญหน้า พร้อมหน้ากันในพื้นที่ส่วนรวม อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ต้องเจ็บปวด แต่เมื่อเรายอมอดทน ยอมรับผู้อื่น ยอมเป็นผู้รับใช้มิใช่เป็นเพียงผู้รีบใช้ เราก็จะมีความเข้มแข็ง และที่สุดเราต้องช่วยกันดูแล ใบอ่อนที่เริ่มผลิช่อใบ อย่าปล่อยให้พวกเขาเปราะบางจนร่วงหล่นลงพื้นดินก่อนวัยอันควร รับฟังพวกเขา ส่งเสริมพวกเขา ให้คุณค่าอย่าผลักดันพวกเขา แล้วเราจะได้พื้นที่ที่เรียกว่า “อาณาจักรสวรรค์” เพิ่มขึ้นในสังคม...

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

ชานชรา


ชานชรา
อย่าแปลกใจในชื่อเรื่อง ที่ตั้งใจจะเขียนแบบนี้ อาจจะไม่ถูกต้องกับคำที่คุ้นชินว่า “ชานชาลา”(รถไฟ) ก็เพราะว่ากำลังเห็นความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของสังคมเป็นอย่างมาก อันเกี่ยวกับทัศนคติช่วงวัยของผู้คน ยิ่งเห็นเด็ก ๆ แถววัดเราในวันก่อนวันนี้กลับเป็นหนุ่มสาว สู่วัยทำการทำงาน เริ่มมานึกว่าแล้วเราล่ะ กำลังถูกวันเวลาไล่ล่า จากเคยเป็นหนุ่มน้อยคล้อยไปแป๊บเดียวเป็นหนุ่มเหลือน้อยเสียแล้ว หลายครั้งเราก็มักได้ยินว่าเรากำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ที่จะมีคนอาวุโสมากขึ้น ๆ จนทำให้มีจำนวนมากที่สุดในสังคม ขณะที่ความเปลี่ยนของสังคมโลกเกิดขึ้นนั้นเพื่อสนองตอบต่อคนรุ่นใหม่ ที่อาจจะมีไม่มาก แต่กำลังมีอิทธิพลจนทำให้พวกเขาเริ่มหลงลืมรากฐานจากคนรุ่นเก่าก่อน ความแตกต่างเช่นนี้ค่อย ๆ เข้าครอบงำทำให้เราเริ่มเห็นรอยร้าวระหว่างวัยเกิดขึ้น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย บางคนก็ไม่สามารถเข้าใจในวิถีคนรุ่นใหม่ และแน่นอนคนรุ่นใหม่ล่าสุดกำลังทอดทิ้ง ปล่อยให้ผู้ผ่านวันมาก่อนเหล่านั้นออกมานั่งเหม่อลอยอยู่นอกชานเรือน ไม่ให้มีส่วนร่วม รู้สึกรำคาญ พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง

แท้จริงแล้ว เราทุกคนต่างก็มีคุณค่าในตัวตน ในวันวานด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ หากไม่มีพวกเขาวันนั้นก็ไม่มีพวกเราวันนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสไว้อย่างน่าฟังว่า “ผู้อาวุโสคือปรีชาญาณของลูกหลาน” ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมว่า “ลูกหลานคือพลังขับเคลื่อนต่อยอดสังคมที่มีมา” แล้วเราจะต้องทำเช่นไรเล่า? เพื่อให้คนสองวัย ใจต่างรุ่นอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก สิ่งนั้นคือ การยอมรับเข้าใจซึ่งกันและกัน ให้ความอดทนและใส่ใจต่อความคิดเห็นโดยมิต้องแสดงออกอย่างดื้อรั้น แล้วชานชรานั้นจะให้ความร่มเย็น จะไม่มีการนั่งเดียวดาย มีตัวอย่างที่ดีงามเรื่องหนึ่งที่ขอนำมาเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่ง โดยเขาได้เล่าว่าบ่ายวันหนึ่ง พ่อลูกนั่งอยู่บนม้าหินในสวนหน้าบ้าน พ่อนั่งข้างลูกชายที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ จู่ ๆ ก็มีนกกระจอก บินมาเกาะที่พุ่มไม้ พ่อถามว่า “นั่นอะไรน่ะ” ลูกชายเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ และตอบว่า “นกกระจอกครับ” แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป พ่อพยักหน้าสายตายังคงมองดูนกกระจอกต่อไป
นกกระจอกบินไปเกาะพุ่มไม้อีกพุ่มหนึ่ง พ่อก็ถามอีกครั้งว่า “นั่นอะไรน่ะ” ลูกชายเริ่มรำคาญตะคอกใส่พ่อ “ก็บอกว่านกกระจอกไง นก-กระ-จอก !”  ผ่านไปสักพักพ่อถามซ้ำอีกครั้ง “นั่นอะไรน่ะ” ครั้งนี้ลูกชายยืนขึ้นพร้อมกับปิดหนังสือพิมพ์วางบนโต๊ะ ตะคอกเสียงดัง “ก็บอกว่า นกกระจอก จะถามอีกกี่รอบ ตั้งใจฟังบ้างไหม!” พ่อลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง พ่อยื่นให้ลูกชายให้อ่านให้ฟัง ลูกชายเปิดหนังสือออกมาดูก็พบว่าเป็นไดอารี่ลายมือของพ่อ
“วันนี้ลูกชายของผมอายุสามขวบแล้ว เรานั่งเล่นกันอยู่ในสวน มีนกกระจอกตัวหนึ่งบินมาตรงหน้าเราสองคน ลูกชายถามด้วยคำถามซ้ำ ๆ กว่า 21 ครั้งว่า “มันคืออะไรครับพ่อ” ผมตอบลูกไป 21 ครั้งว่า “นกกระจอกครับลูก” ทุกครั้งที่เขาถามผม ผมจะกอดเขาทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ผมไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญเลย กลับรู้สึกว่าลูกช่างน่ารักไร้เดียงสาเสียจริง”

เมื่ออ่านจบพ่อยิ้มให้กับลูกชาย ตอนนั้นในตาของเขามีแต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม โผกอดผู้เป็นพ่อ รู้สึกโกรธตัวเองที่ทำกับพ่อแบบนั้น เพียงแค่คำถามซ้ำกันเพียงสี่ครั้ง เขาก็รำคาญพ่อได้มากขนาดนี้ เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พ่อตอบคำถามลูกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง (แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR)
และจากเรื่องนี้ผู้เขียนเองก็มีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน เมื่อแม่อายุเข้าหลักแปดร่างกายเจ็บออด ๆ แอด ๆ และสมองเริ่มทำงานช้าลง ความจำเลือนหาย ถามคำถามเดิม ๆ ทั้งวันจนรำคาญ ช่วงแรกจึงเกิดภาวะกระทบกระทั่งจนกระเทือนทั้งครอบครัว แต่ด้วยพระพรแห่งความรักที่พระประทานมาทางบุคคลที่เรารู้จัก แนะนำคุณหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องผู้สูงวัยคุณหมออธิบายว่าอาการนี้เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเป็นเรื่องธรรมดา พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการอยู่กับแม่อย่างเข้าใจและใส่ใจ การรักษาที่ดีที่สุดอยู่ที่เราลูกหลานต้องช่วยกัน อย่าได้ถือโทษโกรธท่าน อย่าได้รำคาญ หรือรำคาญได้แต่อย่าแสดงออกให้แม่เห็น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ลูก ๆ หลาน ๆ นับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้แม่ต้องรำคาญ แต่แม่ไม่เคยแสดงออกให้เราได้รับรู้ บทเรียนแห่ง “ชานชรา” ได้นำความสุขมาสู่ครอบครัว เราต่างมีความสุขตามสภาพที่รับได้ ใช่หรือไม่ ถ้าไม่มีแม่ เราจะมีความรักความสามัคคีกันเช่นนี้หรือ??? อย่าปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงของโลกมาเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนเราเลย ณ ชานชาลา แห่งรักจะต้องไม่มีคนมานั่งรอคอย อย่าปล่อยให้ชานชราต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะพวกเขาได้สร้างโลกให้เราได้อยู่มาอย่างสมบูรณ์แล้ว


อีกประการหนึ่ง เราก็มักจะเปรียบเทียบในสิ่งที่เรามีกับสิ่งที่คนอื่นมีเสมอ แล้วมักคิดเสียด้วยว่าทำไม บ้านเรา พ่อแม่เรา ปู่ย่าตายายเราไม่เหมือนของบ้านนั้นบ้านนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริง เราล้วนมีสิ่งดีงามด้วยกันทั้งนั้น อย่าปิดหัวใจ อย่าเห็นเรือนชานคนอื่นงดงามกว่าของเรา เพราะแต่ละที่ย่อมมีดีไม่เหมือนกัน