วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เพราะได้เห็นและได้ยิน


เพราะได้เห็นและได้ยิน
ตีห้าของวันใหม่ วันที่นอนต่างที่ต่างถิ่น เสียงพิณ เสียงไวโอลิน เสียงแคน และดนตรีอีกหลายชิ้นดังแผ่วแว่วมา ค่อย ๆ เริ่มบรรเลงปลุกคนเมืองที่นอนอยู่ในเต็นท์ให้ลืมตาตื่นรับแสงแห่งวันใหม่ เสียงใสๆ เริ่มประสานขับขานเป็นบทเพลง


โอ่...โอ้...โอ...โอ่...
 แสงแห่งยามเช้าส่องกระทบตัว หมู่หมอกสลัวทอดยาวขาวพราวตา วิหคเจ้าผกผินบินล้อลอยลมบน เหมือนดั่งชีวิตคนออกทำมาหากิน ป่าดงพงไพรกว้างใหญ่เหลือคณา ฉันเดินออกค้นหาเส้นเสียงแห่งเสรี อย่ามัวรีรอคอยฟ้าคอยฝนดล เกิดมาเป็นคนอย่าจนจิตใจ  ไปเถิดเราไปเรียนรู้โลกกว้างใหญ่ ผ่านเป็นบทเพลงกู่ร้องกล่อมไพร
โอ่...โอ้...โอ...โอ่...
เรียนรู้ร้องบรรเลงบทเพลงตามป่าเขา ฉันดีดสีตีเป่า เอ้าภูเขามาร้องมา ปลูกผักพืชพันธุ์เอาไว้เลี้ยงกายไม่อับจน สุดท้ายไม้เลี้ยงคนก่อเกิดเกื้อกูลกัน อยู่บนวิถีสุขขีแสนสำราญ ฉันร้องเพลงขับขาน ฝากไปกล่อมไพรเอย เรารวมพลังสร้างสรรค์งาน ผ่านเป็นบทเพลงขับขานออกไป เดินพวกเราเดินเติมฝันอันยิ่งใหญ่ สื่อเป็นบทเพลงกู่ร้องกล่อมไพร (คีตา วาริน)


ทำไมช่างไพเราะเช่นนี้ ทั้งเนื้อหาบทกวีและท่วงทำนอง เพลงจบลงอย่างเงียบ ๆ ได้ยินเสียงผู้คนเริ่มเคลื่อนไหว แต่เราก็ยังคงนอนเคลิ้มในบทเพลงไปอีกสักพัก เมื่อเปิดออกจากอู่นอนน้อย ๆ ภาพที่เห็นคือ เหล่าเด็ก ๆ ในค่ายแห่งโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง กำลังเดินสมาธิตามขอบขั้นคันนา เงาสะท้อนกับพื้นน้ำในบ่อน้ำใสชวนมองชวนสงบสันติในจิตใจเป็นยิ่งนัก


และแล้วเมื่อพวกเราตื่นมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน ทุกคนต่างพูดถึงบทเพลงที่ปลุกและดังขึ้น เมื่อเช้านี้ บางคนบอกว่าที่นี่มีเครื่องเสียงที่ดีมาก เสียงใส ๆ ไพเราะเสนาะโสต แต่เมื่อความจริงปรากฏว่านั่นคือการบรรเลงสด ที่เหล่าเด็ก ๆ ตื่นนอนมา แล้วค่อย ๆ ไปนำเครื่องดนตรีของตนมาประจำที่ประจำทาง เริ่มบรรเลงบทเพลงด้วยความพร้อมเพรียง เมื่อจบบทเพลงก็นำไปเก็บเข้าที่ ทำธุระส่วนตัวจึงเริ่มกิจกรรมยามเช้าใหม่ เมื่อได้รับรู้เช่นนี้ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้งในความมีวินัย และความสามารถทางด้านดนตรี และด้วยเหตุนี้กระมังทำให้พวกเราที่ร่วมกันไปแบ่งปันงานศิลปะ และงานดนตรีผ่านทางกิจกรรมต่าง ๆ ตลอด 2-3 วันนี้เกิดความมั่นใจขึ้นมาทันทีว่าสิ่งที่เราปรารถนาจะเห็นความคิดสร้างสรรค์จากเด็กน่ารัก ๆ เหล่านี้จะก่อให้เป็นงานศิลปะและเส้นเสียงดนตรีอย่างงดงามยิ่งนัก แม้ว่าพวกเราจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมแก่เวลาและตามสถานการณ์แห่งความเป็นจริง พวกเราก็ไม่กังวลเลยที่จะร่วมกันทำกิจกรรมเหล่านี้ให้เกิดคุณค่ามากที่สุด เพราะคุณค่าที่เราได้เห็น เราได้ยินจากเมื่อเช้านี้นั้น คือความงามที่พร้อมให้เราก็ต่อเติมอีกสักเล็กน้อย

ผ่านทางกิจกรรมที่ทำกันตามใต้ร่มไม้ชายทุ่ง ห้องเรียนรู้ถูกเลื่อนไปตามวิถีแห่งแสงส่อง บางเวลาแดดแสงแรงมาก ก็มิอาจจะทำให้แรงฝันแรงบันดาลใจของพวกเขาลดลงได้เลย จากใบไม้ ต้นหญ้า ขวดน้ำ กระดาษ เชือก สิ่งที่เหลือใช้ถูกทิ้งร้างข้างทาง ต่างถูกนำมาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวออกมาเป็นงานศิลป์รูปแบบของหุ่นที่เหมือนมีชีวิต เสียงดนตรีจากอีกกลุ่มอีกมุมที่มาจากถ้วยชาม จากท่อพีวีซี ดังประสานในบทเพลงที่เรียบง่าย ทำให้ท้องทุ่งกว้างแห่งนี้คือแดนวิหารแห่งความสุข ทั้งจากผู้ให้ที่กลายเป็นผู้รับ และจากผู้รับบัดนี้เป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่
แม้เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผลแห่งการสร้างสรรค์ถูกนำมาประติดประต่อร่วมกันเป็นการแสดงเล็ก ๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลงมา อย่างกับจงใจพุ่งตรงลงมายังพื้นที่นำเสนอผลงานอย่างไงอย่างงั้น เมื่อทำกิจกรรมเสร็จ จิตวิญญาณเสรีของเด็กน้อยถูกปลดปล่อยลงในสระน้ำน้อย ต่างแหวกว่ายเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน หนึ่งในกลุ่มของพวกเรามีน้องคนหนึ่งเป็นลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส ได้ร่วมเดินทางไปด้วย และหนุ่มน้อยคนนี้ร่วมนำกิจกรรมให้กับเด็ก ๆ อย่างกลมกลืน สร้างรอยฝันและแรงบันดาลใจใหม่ให้กับกลุ่มเด็กสามสิบกว่าคนนี้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ค่ายเล็ก ๆ ในความฝันอันยิ่งใหญ่ มีเพียงหัวใจที่เอื้อเกื้อกูลกัน ข้าวปลาอาหารมีมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มพลังให้กับพวกเขา นี่เป็นการแบ่งปันกันตามวิถีท้องถิ่นที่ไม่มีที่ใดในโลกหล้าจะเสมือนเมืองไทยเราได้


ใช่หรือไม่ บางครั้งชีวิตเราได้รับสิ่งที่งามตามตาเห็นและหูที่ได้รับฟังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งหากใจเราเปิดกว้างรับสิ่งเหล่านี้โดยที่ไม่มีอะไรมากำกับมาบดบัง พลังแห่งความงามและความดีก็บังเกิดขึ้น วิถีแห่งความเรียบง่าย วิถีแห่งชีวิตท้องทุ่งที่มิได้มุ่งหวังอยู่แค่การทำมาหาเก็บสะสม และการแข่งขันเอาเป็นเอาตายของชีวิตเมืองที่เฟื่องฟูหรูหราเพียงเปลือก เราย่อมได้พบกับความอิ่มเอมในหัวใจได้มากกว่ามาก แม้จะเป็นเพียงสองสามวันที่ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในวิถีนั้น แต่ก็ทำให้พบหนทางที่ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปบ้าง ทำให้เราเรียนรู้ว่า แม้โลกจะพัฒนาเปลี่ยนสู่ยุคใหม่อย่างรวดเร็วเพียงใด ถ้ามีหัวใจที่เปิดกว้าง เราย่อมพบเห็นกับทางแห่งสันติสุขได้เสมอ

#โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

พร้อมที่จะให้ ไม่ใช่ให้เมื่อพร้อม


พร้อมที่จะให้ ไม่ใช่ให้เมื่อพร้อม
การขับรถตามเส้นทางระหว่างภูเขาลูกหนึ่งไปอีกลูกหนึ่งจากเชียงใหม่ไปเชียงราย ระหว่างเส้นทางถ้ำเขาหลวง ผ่านดอยผาหมี ดอยผาฮี้ มาทะลุดอยตุง จวบจนเส้นทางขึ้นแม่กำปอง และจากอำเภอแม่วางขึ้นดอยอินทนนท์ เส้นทางเหล่านี้เต็มไปด้วยถนนที่คดโค้ง เลี้ยวไปเลี้ยวมา บางโค้งหักศอกบางที่บางแห่งสูงชัน ถนนแคบ ๆ ต้องระมัดระวังประคับประคองพวงมาลัยให้นิ่ง ต้องให้ทาง ต้องหยุด รู้ผ่อน รู้เร่ง เพื่อความปลอดภัยของเราและผู้ร่วมเดินทาง โดยมีความหวังว่าเราจะได้ไปพบกับความสวยงาม ความสดชื่นที่รอเราอยู่ ณ เป้าหมายปลายทาง การขึ้นไปสุดยอดดอย ได้สูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่น ได้สัมผัสความเย็นในฤดูปลายฝนต้นหนาว แม้ในบางจังหวะมีสายฝนโปรยปรายลงมาบ้าง เส้นทางชีวิตเราก็เป็นเช่นนี้มีสุขมีทุกข์ มีราบเรียบมีคดโค้ง มีร้อนมีหนาว คละเคล้ากันไป เพียงแต่อยู่ที่ว่า เราจะเดินไปอย่างมีสติ ก้าวหน้าต่อไปอย่างรู้เนื้อรู้ตัวมากน้อยเช่นไร เพื่อให้ตัวเองและผู้อื่นรอบข้างเราเดินไปด้วยกันอย่างปลอดภัย


 ได้มีเวลานั่งดื่มด่ำรสชาติกาแฟสด ชาอุ่น ๆ ในช่วงหยุดพักระหว่างทาง มองเห็นความเขียวขจีบนยอดเขา มองเห็นเมฆหมอกหยอกล้อกับยอดไม้บนดอยภู ยิ่งดูยิ่งเพลิน ยิ่งเนิ่นนานยิ่งชื่นบานในหัวใจยิ่งนัก ใยธรรมชาติช่างสร้างสมดุล เกื้อกูลกันได้เช่นนี้หนอ ต่างกับผู้คนที่นับวันยิ่งต้องการความยิ่งใหญ่แบบไม่ต้องลงทุนลงแรง แข่งขันช่วงชิงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมีได้ ละเลยความสุขที่แท้ ละเว้นความสงบ และไม่ใช้หัวใจที่จะช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน เราสามารถสร้างสมดุลในสังคมที่เราอยู่ได้ด้วยการรู้จักให้ ยิ่งให้เรายิ่งมีมากขึ้น

การได้ขึ้นไปเชียงรายครั้งนี้ยังได้พบเจอกับคุณพ่อบัญชา อภิชาติวรกุล (คุณพ่อเคยมาช่วยทำมิสซาวันอาทิตย์ให้กับวัดเซนต์หลุยส์ของเรา และคำเทศน์สอนของคุณพ่อก็เป็นที่ชื่นชอบของหลายคน) คุณพ่อได้อาสาพาไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ตามตารางเวลาที่คุณพ่อพอจะว่าง ได้เห็นถึงงานอภิบาลในดินแดนที่ห่างไกล ได้เห็นถึงวิถีชีวิตผู้คนบนภู ความรักความเมตตาของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นในกิจการที่ผ่านการ “ให้” โดยที่ไม่มีมิติของเวลา ฐานะ โดยที่ไม่มีคำอ้างเอ่ยว่ารอให้พร้อมก่อน ทำให้นึกย้อนถึงเรื่องราวหนึ่งที่ได้อ่านผ่านตาจำใส่ใจไว้ เป็นเรื่องที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องของการให้ได้ดีทีเดียว
ต้นไม้แก่ขอฝนจากเมฆก้อนน้อย เมฆก้อนน้อยตอบเพียงว่า น้ำฝนมีอยู่น้อย กลัวว่ามันคงจะไม่พอให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ วันต่อมาเมฆก้อนน้อยก็ยังคงบอกเช่นเดิม มันน้อยไป จึงไม่พร้อมที่จะให้...!!!
เมฆก้อนน้อยจึงเดินทางและพยายามสะสมฝนเพื่อที่จะให้มันมากพอ...!!! และพอที่จะทำให้ต้นไม้แก่ได้ชื่นใจ เมื่อมีปริมาณมากพอเมฆน้อยจึงกลับมา แต่สิ่งที่พบข้างหน้ามีเพียงซากต้นไม้แก่ที่ตายแล้ว เมฆน้อยได้แต่ร้องไห้แล้วถามว่า ทำไม? ความพยายามของฉันไม่มีค่าเลยเหรอ...!?! 
ชายหนุ่มที่นั่งใต้ต้นไม้จึงได้แหงนหน้า แล้วบอกเมฆน้อยไปว่า การที่เราจะให้อะไร? แก่ใครสักคนที่เรารักนั้นมันไม่ต้องรอให้มากพอ หรือรอความพร้อมอะไรหรอก ให้เท่าที่มี ก็ทำให้คนรับชื่นหัวใจได้ ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็มีเวลาเป็นเงื่อนไข !!!
อย่าไปรอให้รวย !!! ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
อย่าไปรอให้พร้อม !!! ถึงจะทำอะไรให้คนที่เรารัก
เพราะคนที่เรารัก อาจไม่มีเวลามากพอที่จะรอเรา !!!
แล้วก่อนที่ต้นไม้แก่จะจากไป เขาฝากบอกเธอไว้ว่า ถ้าเห็นเธอผ่านมา ให้บอกเธอว่า เขารักเธอ เมฆน้อยได้แต่หลั่งน้ำตา ออกมาเป็นเม็ดฝนอย่างไม่ขาดสายให้กับต้นไม้ที่ไม่มีวันแตกใบให้ได้เห็นอีกต่อไปตลอดกาล !!! (บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน 2001 ตึกเวิรด์เทรดถล่ม หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย)



ในเส้นทางชีวิตของเราแต่ละคนไม่มากก็น้อยจะต้องพบพานกับความรู้สึกที่ว่า สายไปแล้วเพราะเรามักจะรอให้พร้อมทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะเริ่มลงมือทำ และก็ไม่เคยรู้สึกถึงความพร้อมสักที จนกระทั่งในวันที่เราต้องสูญเสียสิ่งที่รักไป เราจึงเกิดความเสียดายที่ยังไม่ได้ให้ความรักและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และคิดไปเองว่า สิ่งที่เราพยายามให้พร้อมนั้นจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ไม่มีความพร้อมใดจะยิ่งใหญ่เท่ากับใจที่พร้อม การให้ไม่จำเป็นต้องรอให้มี รอให้พร้อม การให้ต้องไม่หวังว่าจะได้นั่งในตำแหน่ง ไม่หวังว่าจะได้รับการชื่นชมสรรเสริญ ให้ด้วยใจ ย่อมสุขใจ หากให้ด้วยเปลือกคงได้แค่เปลือก แล้วสิ่งใดเล่า? ที่เราปรารถนาจะมีความสุขอย่างแท้จริง อย่ารอเวลาเพราะทุกเวลาคือพระพรที่จะมอบให้กันและกัน...


วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

รอบรู้เพียงรอบรั้ว


รอบรู้เพียงรอบรั้ว
ช่วงปิดเทอม เด็ก ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ มีจังหวะชีวิตที่ดูจะผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากที่ต้องคร่ำเคร่งกับการสอบปลายภาคเรียน ซึ่งต่างก็บ่นว่าข้อสอบยากมากไม่รู้จะได้คะแนนดีหรือเปล่า!!! คะแนนไม่สำคัญอยู่ที่ว่าเราเรียนและเตรียมตัวสอบเต็มที่หรือเปล่า ถ้าเต็มที่แล้วนั่นถือว่าทำดีที่สุดแล้ว แค่นี้ก็น่าที่จะภาคภูมิใจเป็นที่สุด ก็เป็นวิธีที่ปลุกขวัญให้พวกเขาเดินหน้าต่อไป และเมื่อพวกเขามีเวลาว่างเช่นนี้ ก็ต้องหากิจกรรมผ่อนคลาย ภารกิจหนึ่งคือพาหลาน ๆ ไปในที่ที่พวกเขาปรารถนาจะไป หลานสาวคนหนึ่งอยากจะมาทดสอบฝีมือด้านดนตรีที่โรงเรียนสอนดนตรีที่ดีแห่งหนึ่ง เพื่อพัฒนาด้านศิลปะ ส่วนอีกคนหนึ่งบอกอยากไปเที่ยวท้องฟ้าจำลอง เพราะอยากไปศึกษาเรื่องดวงดาว เลยจัดสรรเวลาพาไปเช่นกัน 


จำได้ว่าการมาท้องฟ้าจำลองในสมัยก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ยากและไกลมา แต่เดี๋ยวนี้สะดวกนั่งรถไฟฟ้าไม่นานก็ถึง หลายครั้งที่ผ่านแถวนี้ก็ไม่เคยแวะเวียนเข้าไปดู ก็ถือโอกาสมากับหลานสาวนี่แหละ ภายในศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งนี้ร่มรื่นดี มีหลายตึกหลายอาคารให้เดินดูเดินชมก่อนที่จะถึงเวลาเข้าไปดูเรื่องราวของดวงดาว ตามอาคารต่าง ๆ แบ่งเป็นโซน มีห้องนิทรรศการอยู่หลายห้อง หลานสาวได้ทบทวนความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องชนิดลักษณะก้อนหิน เรื่องเวลาและพื้นที่ มีอุปกรณ์ให้ทดสอบเรียนรู้ เช่น อุโมงค์ที่มีไฟวิ่งวน ๆ ไปมา เมื่อเดินเข้าไปจะหลอกสายตาทำให้เกิดอาการเซไปเซมา ก็เป็นที่สนุกสนานพอสมควร มีผู้เข้าชมไม่มากไม่น้อย แต่ก็มีบางส่วนอยู่ในระหว่างการปรับปรุง บางอย่างก็ใช้งานไม่ได้ ก็อย่างว่าแหละครับ ศูนย์แห่งนี้เปิดบริการมาอย่างยาวนาน และเปิดบริการแทบทุกวัน ทำให้บางสิ่งบางอย่างต้องชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ความรู้ในรอบรั้วศูนย์แห่งนี้ยังคงมีให้เราได้เรียนรู้อยู่เสมอ 

เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าห้องดูการจำลองเรื่องดวงดาว ที่จัดขึ้นให้เข้าชมเป็นรอบ ๆ เท่าที่รู้ในแต่ละช่วงจะมีการฉายเรื่องราวที่แตกต่างกันไป ในครั้งนี้มีชื่อเรื่องว่า การเกรี้ยวกราดของจักรวาล เมื่อเราเข้าไปในห้อง เก้าอี้จะถูกปรับให้เราสามารถแหงนหน้าขึ้นไปบนเพดาน ที่เป็นเสมือนท้องฟ้า เริ่มด้วยการบรรยายให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนในช่วงนี้ว่าเราจะเห็นหมู่ดาวอะไรบ้าง นี่คือความงามที่ถูกแต่งแต้ม เป็นศิลปะบนท้องฟ้า ที่เราผู้อยู่ในเมืองไม่มีโอกาสที่จะเห็นหมู่เดือนดาว เมืองใหญ่โตแต่ไม่มีที่ว่างพอที่จะให้เรานอนแหงนหน้าวาดจินตนาการบนฟากฟ้าได้ ความสว่างของแสงสีในเมืองบดบังเส้นสายลายทางกาแล็คซี่ ความหนาแน่นของตึกรามบ้านช่อง ปิดกั้นศิลปะนภาฟ้ายามค่ำคืน คงต้องอาศัยท้องฟ้าจำลองนี่แหละช่วยชดเชยเพื่อให้เห็นความอัศจรรย์ของจักรวาลอันไกลโพ้น
หลังจากนั้นจึงฉายการจำลองของจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยหลายกาแล็คซี่ที่มนุษย์เราไม่สามารถจะรู้ได้ เพียงได้แต่คาดคะเน ความน่ากลัว ความรุนแรง ของอุบัติการณ์แห่งฟากฟ้า มีการบอกเล่าว่า คงจะมีสักวันที่โลกจะพบกับความรุนแรงแห่งจักรวาล ด้วยการถูกเฉี่ยวชนจากดาวดวงอื่น จากอุกกาบาต และจากการเคลื่อนที่อย่างไม่หยุดนิ่งของทุกหมู่ดาว เสียงเด็กที่แรก ๆ ดูช่างตื่นเต้นฮือฮากับภาพดวงดาวจำลองน้อยใหญ่ บัดนี้เงียบลง ทุกคนต่างได้รับรู้ ถึงความกว้างใหญ่ไพศาลและมิอาจจะคาดคะเนถึงความน่าจะเป็นไปได้ในเหตุการณ์รุนแรงต่าง ๆ ที่ถูกนำมาเสนอ ถึงกลับอาจจะทำให้โลกมนุษย์สลายหายไป คงมีไม่น้อยเกิดความกลัวหลังจากได้รับรู้จากสารคดีสั้น ๆ เรื่องนี้

เมื่อดูจบระหว่างทางกลับบ้านก็ได้ถามหลานสาวว่าได้รับความรู้อะไรบ้าง? มีความรู้สึกอย่างไรกับความเกรี้ยวกราดที่ถูกนำมาเสนอนั้น หลานบอกว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าไม่รู้!!! เพราะเราไม่รู้อะไรถึงจักรวาลมากนัก จึงรู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้กังวล คำตอบนั้นทำให้เกิดความคิดในหลายสิ่งหลายอย่าง ใช่หรือไม่ มนุษย์เราเพียงแค่ในโลกนี้เรายังไม่รู้ความจริงอีกตั้งมากมาย ทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกเปลี่ยนเมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความรู้ใดเล่าที่เที่ยงแท้ ความรู้ของใครเล่าที่จะรอบรู้ทุกเรื่อง ทฤษฎีเรื่องจักรวาลวันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปอีก ความรู้หนึ่งที่เรามีอาจจะกลายเป็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ ใครที่มัวแต่ยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรู้ก็อาจจะกลายเป็นหลุมดำดูดให้จมหายไปในกาลข้างหน้าก็เป็นไปได้ การยึดมั่นถึงความรู้หลักการเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งมิอาจจะทำให้เราพบความจริงได้ การเรียนรู้ แสวงหาความรู้ใหม่ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดคือสิ่งที่เราควรมี เพื่อนำมาปรับปรุงตัวเรา โดยไม่ยึดติดกับความคิดและความรู้นั้นอย่างเหนียวแน่น เอาเข้าจริงเราก็รอบรู้เพียงแค่รอบรั้วที่เราอยู่ ไกลออกไปยังมีเรื่องราวอีกมากมายให้ค้นหา
ที่สุดแล้ว การมีความรู้ควรนำมาซึ่งความสุภาพ ยอมรับว่ายังมีสิ่งที่เราไม่อาจจะหยั่งรู้ได้อีกมากมายนัก แล้วเรายังจะอวดรู้ โชว์ภูมิกันเพื่ออะไรเล่า??? อย่าทำให้เกิดหลุมดำด้วยการนำความรู้มาช่วงชิงความได้เปรียบกันอยู่เลย ใช้ความรู้ที่เรามีเพียงน้อยนิดเป็นเครื่องมือที่จะนำพาเราไปสู่ความรักและสันติสุขอันยิ่งใหญ่ถาวรด้วยหัวใจสุภาพด้วยกันเถิด...

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ใครทำให้วัยใสหายไป


ใครทำให้วัยใสหายไป
ได้รับหนังสือเล่มใหญ่จากคุณพ่อโกสเตที่เคารพนับถือ คุณพ่อเคยเล่าถึงหนังสือเล่มนี้หลายครั้งหลายหน ปรารถนาจะทำเป็นหนังสือภาษไทยให้คนได้อ่าน หนังสือเล่มนี้ขายดีมากในประเทศสเปน ต่อมามีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ผ่านมาหลายปีกว่างานเล่มนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างในภาคภาษาไทย ด้วยการผลักดันของคุณพ่อ ในวันที่สุขภาพของคุณพ่อก็ไม่สมบูรณ์เหมือนแต่ก่อน ในวันที่หนังสือไม่ค่อยมีคนอ่านจากรูปเล่ม จะมีสักกี่คนที่จะได้รับรู้เรื่องราวของพระเยซูเจ้าในมุมมองทางประวัติศาสตร์ แม้แต่ตัวผู้เขียนเองเมื่อเห็นความหนาความใหญ่ มีแต่ตัวอักษรของหนังสือเล่มนี้แล้วยังคิดในใจว่า จะอ่านไหวอ่านจบหรือเปล่า ครั้นเมื่อได้นั่งลงอ่าน ก็อ่านได้เรื่อย ๆ ไม่สนุกแต่มีมนต์บางอย่างที่ต้องอ่านต่อไปและต่อไป แม้จะหยุดคั่นด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “พระเยซูเจ้า ในประวัติศาสตร์” เขียนโดยคุณพ่อ อันโตนิโอ ปาโกลา แปลเป็นภาษาไทยโดย เซอร์มารีย์ หลุยส์ พรฤกษ์งาม จัดพิมพ์โดย คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระสงฆ์ ผ่านทางคุณพ่อวรยุทธ กิจบำรุง และสำคัญสุดคือคุณพ่อโกสเต ผู้ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้หนังสือเล่มนี้ออกมาให้ได้ ด้วยความสุภาพคุณพ่อยังหวังว่าคนไทยควรจะได้อ่าน...

ในขณะที่อ่านในบทที่ 2 ชาวนาซาเร็ธ ที่กล่าวไว้ว่า “ เช่นเดียวกับเด็ก ๆ ชาวนาซาเร็ธทุกคนพระเยซูเจ้าทรงใช้เวลา 7 หรือ 8 ปีแรกของชีวิตในความดูแลของมารดาและสตรีในเครือญาติของพระองค์ในหมู่บ้านกาลิลี เด็ก ๆ เป็นกลุ่มที่อ่อนแอ พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากความหิวโหย การขาดอาหาร และโรคภัยจำนวนเด็กเสียชีวิตมีสูงมาก นอกจากนี้ผู้ที่เข้าสู่วัยรุ่นก็มักสูญเสียพ่อหรือแม่ไป แน่นอนว่าเด็ก ๆ แม้แต่เด็กกำพร้าจะได้รับความรัก แต่ชีวิตของพวกเขาต้องประสบความยากลำบากมาก เมื่อเด็กผู้ชายอายุได้ 8 ขวบ เขาจะเข้าสู่โลกแห่งอำนาจของบุรุษอย่างไร้รอยต่อ พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะแสดงความเข้มแข็ง ได้รับการปลูกฝังความกล้าหาญ ความก้าวร้าวทางเพศและเล่ห์เหลี่ยม ภายหลังพระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติต่อเด็ก ๆ ด้วยท่าทีที่ผิดธรรมดา ในสังคมเช่นนี้เป็นเรื่องผิดปกติ ที่บุรุษมีเกียรติคนหนึ่งจะให้ความสนใจเด็ก ๆ และรับฟังพวกเขา ท่าทีนี้ปรากฏในพระวาจาที่ว่า จงปล่อยเด็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเขาเลย เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของผู้ที่เหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้ (หน้าที่ 49) ทำให้เราเห็นภาพว่า ทำไมพระองค์จึงเชิดชูเด็ก ๆ มากถึงเพียงนี้ เพราะความซื่อ ความสดใสในวัยของพวกเขาสูญเสียไปกับการแย่งชิงอำนาจ จนทำให้หัวใจของเด็ก ๆ หลุดหายไป ในกระแสกระหายหาอำนาจ พระองค์ปรารถนาให้ความใสซื่อคืออาณาจักรพระเจ้าในชีวิตของทุกผู้คน

เมื่อเห็นภาพเด็ก ๆ ในสมัยนั้นที่ต้องสูญเสียความน่ารักสดใสไปกับความทุกข์ยากจากการช่วงชิงอำนาจ หันกลับมามองเด็ก ๆ ในวันนี้ เด็กหลายคนก็ต้องสูญสิ้นความสดใสแห่งวัยไปกับค่านิยมสมัยใหม่เช่นกัน ค่านิยมที่เห็นแต่เปลือก จนทำให้เด็กโตเกินวัย โตด้วยความฟุ้งเฟ้อ โตด้วยความอยากมีอยากเด่นอยากดัง จากบทความเรื่อง ยิ้มเปลี่ยนโลก ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่านิยมติดดอกไม้มุราคามิ ไอเทมสุดฮิตฮอตที่วัยรุ่นยกเป็น "ของมันต้องมี" (แต่ไม่จำเป็นต้องใช้) ซื้อมาติดกันในราคาที่แสนแพง กระทั่งมีการสำรวจการแต่งตัวของเด็กวัยรุ่นแถวสยาม ราคาเสื้อผ้าที่ใส่มาเดินเที่ยว ตั้งแต่หัวจรดเท้า ว่าแต่ละชิ้นเป็นของยี่ห้ออะไรและมีราคาเท่าไรบ้าง ซึ่งเด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะสวมใส่ของแบรนด์เนมมากันทั้งนั้น  ที่มีราคาหลักพันไปจนถึงหลักหมื่น รวมถึงแบรนด์ที่หรูหรา ก็มีใช้กันอย่างเป็นปกติ เสื้อผ้าทั้งตัวร่วมแสน สูงสุดที่ 4 แสนบาท มีหลายคนตั้งคำถามว่าพวกเขาใช้เงินจากไหนมาซื้อ จากพ่อแม่ที่ร่ำรวยเลี้ยงลูกด้วยเงินหรือ จากการกู้ยืมเงินอนาคตมาใช้หรือ หรือว่าพวกเขามีความสามารถทางธุรกิจการค้าขายมากกว่าคนสมัยก่อนจึงมีเงินจับจ่ายใช้สอย และโตเร็วได้ถึงเพียงนี้ 

https://mpics.mgronline.com/pics/Images/561000009961401.JPEG


วัยใสซื่อวัยสดใส ของเด็กมีอยู่ในช่วงอายุเท่าไร ทางการแพทย์และจิตวิทยาพัฒนาการ บอกว่าน่าจะอยู่ในช่วง 10-22 ปี เริ่มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์และร่างกายเป็นอย่างมาก แต่ก่อนหน้านั้นคือวัยที่น่ารัก เป็นวัยที่เราควรจะปลุกฝังความดีงามลงในจิตใจ ในพฤติกรรมและทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตมากที่สุด ถ้าหลุดจากนี้แล้ว จะไม่มีเกราะป้องกันตัวจากสิ่งรอบข้างซึ่งจะเป็นฝ่ายชักจูงไป เด็กคนไหนที่มั่นคง พื้นฐานครอบครัวแข็งแกร่งจะสามารถรอดพ้นจากกระแสนิยมได้ สงสารเด็กบางคนที่ตกอยู่ในภาวะจำยอม หรือมีบ้างหลายคนยอมตกลงไปในกระแส โดยที่เหล่าบรรดาผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ผู้ที่ทำร้ายวัยอันน่ารักของเด็ก ๆ ไปอย่างไม่รู้ตัว ที่สุดแล้ว เราก็ควรที่จะฝึกจิตฝึกใจให้กลับมามีความซื่อใส พร้อมรับนำวิถีทางแห่งรักเมตตาของพระคริสต์พระอาจารย์ของเราไปดำเนินชีวิตให้เกิดผลแห่งสันติสุขให้ได้...
ปล.หาซื้อหนังสือเล่มนี้ได้ที่ คณะกรรมการคาทอลิกเพื่อพระสงฆ์ 122/1 ซอยนาคสุวรรณ ช่องนนทรี ยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 โทร. 0-2681-3900 ต่อ 1410 E-mail: thaipriest@cbct.net