วันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2566

แผ่นดินแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง

 

แผ่นดินแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง

>>> แผ่นดินพระสัญญาแท้จริงอยู่ในใจเรา ใยต้องฆ่ากันเพื่อยึดครองทางกายภาพด้วยเล่า <<<

สถานการณ์การสู้รบกันของอิสราเอล กับกองกำลังฮามาส ปาเลสไตน์ ยังไม่จบสิ้นและจ้องทำท่าว่าจะลามเป็นสงครามใหญ่ สื่อมวลชนแต่ละที่ต่างก็ขุดเอาประวัติดินแดนบริเวณนี้มานำเสนอ ซึ่งเป็นความเชื่อทางศาสนาของแต่ละชนชาติ ว่าดินแดนแห่งนี้ (คานาอัน) คือ ดินแดนที่พระเจ้ามอบให้ ต่างคนต่างพยายามเข้ายึดครองตามคำกล่าวอ้าง ทั้ง ๆ ที่ความจริงพระเจ้ามิทรงมีเจตนาที่จะทำให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน เพราะทุกคนคือบุตรพระเจ้า อิสราเอลในพระคัมภีร์เป็นคำที่แทนมวลมนุษยชาติ หาใช่กลุ่มชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะหากยึดเพียงคำตามตัวอักษรมันก็คือความเห็นแก่ตัว และแทนที่ดินแดนแห่งนี้จะสงบสุข ที่เต็มไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง กลับกลายเป็นดินแดนแห่งหยดน้ำตาและเลือดหลั่งนอง ….


ใช่หรือไม่ พระเจ้าเป็นของทุกคน เป็นองค์ความรัก เราทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงกรรมสิทธิ์บางอย่างเพียงเท่านั้นหรือ
? เราช่วงชิงความเป็นเจ้าของความรักของพระองค์มายึดครองเพียงผู้เดียวหรือ? เราคิดเอาเองว่า การนับถือพระเจ้าตามแบบของแต่ละศาสนา คือ การทำเพื่อพระเจ้าหรือ? พระเจ้าของใครกันเล่า? พระองค์คงไม่ปลื้มที่เราต้องสังเวยด้วยชีวิตเด็ก สตรี และคนชราที่ไร้ทางสู้ ที่กลายเป็นเครื่องต่อรองของการช่วงชิงอำนาจ… มันเศร้าใจนัก ที่ข่าวสารทำให้เราต้องเลือกข้าง เศร้าใจนักที่ไม่รู้ความจริงหนึ่งเดียวคือเช่นไร

สิ่งที่เราต้องช่วยกันทำให้เกิดแผ่นดินแห่งพันธสัญญาอันแท้จริง นั่นคือ การทำจิตใจของเราให้เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร เต็มไปด้วยความรัก การเห็นใจกัน รู้จักแบ่งปันกัน สร้างแผ่นดินในใจเราให้เต็มไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง เมื่อนั้นแหละพระเจ้าจะทรงพอพระทัยยิ่งนัก เพราะเราทำให้แผ่นแห่งพันธสัญญากลายเป็นสรวงสวรรค์....

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2566

คนของพระจริงหรือ???

 

คนของพระจริงหรือ???

>>> คนของพระเจ้าย่อมมีความรักปักในใจ เสียสละตนได้แม้ชีวิตส่วนตัว <<<

ทั้งโลกต่างตกใจกับการที่กลุ่มฮามาส(ปาเลสไตน์) ยิงจรวดถล่มใส่อิสราเอลหลายพันลูก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ เป็นจำนวนมากและกำลังจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นมาอีกขั้วหนึ่ง ทางยูเครนรัสเซียยังไม่จบ โลกนี้ไม่เคยสงบจริง ๆ หลายคนคงเป็นแบบเดียวกันที่เห็นข่าวอิสราเอลก็คิดเข้าข้างทันที เพราะว่าเป็นประเทศต้นกำเนิดความเชื่อของพวกเรา และเชื่อว่าเป็น “คนของพระ” ใช่หรือไม่ พระเจ้าคงไม่ปรารถนาให้มนุษย์มาเข่นฆ่ากันเช่นนี้ เป็นคนเรานี่แหละที่แอบอ้างเอาพระเจ้าเป็นของตัวเราฝ่ายเดียว คนอื่นเป็นปิศาจไปหมด ขึ้นชื่อว่าสงครามอย่างไรเสียก็ต้องฆ่ากัน แค่นี้ก็ผิดต่อความรักของพระเจ้าแล้ว อย่าคิดเพียงว่าเราเป็นคนของพระ เป็นบุตรพระเจ้าเพียงฝ่ายเดียว

           
เพราะเหตุใดเล่าสงครามจึงมิเคยหมดไปจากโลกใบนี้เพราะใจคนเรามักมาก จิตไม่สงบ ความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว ไม่เคยเห็นใจคนอื่น ใช้ความเป็นคนของพระไปเคร่งครัดต่อคนอื่น แต่ละเลยต่อตัวเองด้วยมีเหตุผลนานาประการ เอาดีใส่ตัว อ้างความชอบธรรม อ้างคนของพระละเลยอะไรก็ได้ ไม่เคยปฏิบัติตัวในความรัก แต่มักปฏิบัติด้วยการสร้างภาพลักษณ์ บำรุงบำเรอเสพสุข บนกองทุกข์ของคนอื่น อ้างบุญกุศลที่แฝงเร้นไปด้วยหวังเพียงชื่อเสียงและการยกย่อง เราพากันก้าวพลาดให้สิ่งปรุงภายนอกรุกรานภายในแบบสมยอม เช่นนี้แล้วสันติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
? วอนขอความสงบจะเกิดขึ้นได้เช่นไรเล่า ?

สร้างสันติในจิตวิญญาณของเราให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อลดภาวะสงคราม หยุดสิ่งที่ปฏิบัติแบบผิด ๆ กันเสียบ้าง สวดด้วยจิตวิญญาณบริสุทธิ์ สร้างความสงบโดยสยบยอมถ่อมตัวเราลงบ้าง มองเห็นความทุกข์ของคนรอบข้างด้วยหัวใจชอบธรรม เห็นคุณค่าของผู้คน อย่าเอาคำว่า “คนของพระเจ้า” เอาเปรียบคนอื่น ออกจากตัวเองให้มาก เพื่อสันติสุขจะได้เกิดขึ้น อย่าให้ภาวะสงครามเข้าครอบงำจิตใจจนเกินจะเยียวยา ประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม ยิ่งถ้าคิดว่าเราเป็นคนของพระจริง ๆ ยิ่งต้องสละตนเองเพื่อสันติสุข เช่นนั้นแล้วเราก็เป็นคนของพระเพียงในนามเท่านั้น….

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2566

เด็กวันนี้ที่เจ็บปวด

 

เด็กวันนี้ที่เจ็บปวด

>>> หัวใจเด็กที่ปวดร้าว เพราะก้าวเร็วไปตามที่สิ่งผู้ใหญ่ต้องการ <<<

เหตุการณ์กราดยิงในห้างโดยเด็กอายุเพียง 14 ปี เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อว่าสังคมไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ? มันหดหู่ หมดหวัง เห็นแต่เชื้อร้ายที่กำลังเข้ามาทำลายสังคมแห่งสันติ มันเจ็บปวด ที่เห็นเด็กวันนี้กำลังเดินไปบนทางแห่งความรุนแรง จะโทษอะไรดี!!! โทษเกมส์ก็ไม่ใช่ โทษความเจริญที่รวดเร็วเกินไปก็ไม่เชิง โทษตัวเราทุกคนนี่แหละ ที่ปล่อยให้เชื้อชั่วเข้ามาสู่ชีวิตโดยมิได้ช่วยกันสร้างภูมิ เพราะมัวเอาแต่ตัวใครตัวมัน เสพสุขส่วนตัวอย่างเดียว

ลองหันมาจริงจังกับการปลูกฝังเด็ก ๆ โดยการคำนึงถึงว่า เราปรารถนาจะให้เด็กเป็นอย่างไรเราก็ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ไม่จำเป็นต้องไปกดดัน บังคับ ให้พวกเขาทำตามใจเรา ดังที่ โดโรธี ลอว์ โนลตฺ นักเขียนชาวอเมริกัน เขียนบทกวีนี้ไว้


ถ้าเด็กอยู่กับการวิพากษ์วิจารณ์
  เขาเรียนรู้ที่จะตำหนิติเตียน ถ้าเด็กอยู่กับความเป็นอริ เขาเรียนรู้ที่จะสู้ ถ้าเด็กอยู่กับความหวาดกลัว เขาเรียนรู้ความวิตกกังวล ถ้าเด็กอยู่กับความสงสาร เขาเรียนรู้การเสียใจในตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับการหัวเราะเยาะ เขาเรียนรู้ความประหม่าขัดเขิน ถ้าเด็กอยู่กับความริษยา เขาเรียนรู้ความอิจฉา ถ้าเด็กอยู่กับความละอาย เขาเรียนรู้ที่จะรู้สึกผิดในตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับการให้กำลังใจ เขาเรียนรู้ที่จะมั่นใจในตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับขันติ เขาเรียนรู้ที่จะอดทน ถ้าเด็กอยู่กับคำชมเชย เขาเรียนรู้จักการชื่นชม ถ้าเด็กอยู่กับการยอมรับ เขาเรียนรู้ที่จะรัก ถ้าเด็กอยู่กับการเห็นดีเห็นงาม เขาเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ถ้าเด็กอยู่กับการเห็นพ้องยอมรับ เขาเรียนรู้ว่า มันดีที่จะมีเป้าหมาย

ถ้าเด็กอยู่กับการแบ่งปัน เขาเรียนรู้ความโอบอ้อมอารี ถ้าเด็กอยู่กับความซื่อสัตย์ เขาเรียนรู้การมีวาจาสัตย์ การพูดความจริง ถ้าเด็กอยู่กับความเป็นธรรม เขาเรียนรู้ความยุติธรรม ถ้าเด็กอยู่กับความเมตตากรุณา เขาเรียนรู้การเคารพนับถือ ถ้าเด็กอยู่กับความจริงใจ เขาเรียนรู้ที่จะมีศรัทธาในตัวเองและในคนอื่นรอบตัว ถ้าเด็กอยู่กับความเป็นมิตร เขาเรียนรู้ว่าโลกนี้เป็นสถานอันน่าอยู่  (วิภาดา กิตติโกวิท แปล)