วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563

อย่าลืม


อย่าลืม
ปีใหม่จีนเวียนมาอีกคำรบหนึ่ง คนไทยกับคนจีนผสมผสานจนกลายมาเป็นชุมชนคนบ้านเดียวกัน กาลเวลาหล่อหลอมให้ทุกคนเป็นหนึ่ง และเป็นไปตามกระแสวิถีแห่งยุคสมัย แต่รากเง้าและวัฒนธรรมหลายอย่างยังคงได้รับการปฏิบัติสืบทอดกันมา แม้โลกเปลี่ยน สิ่งต่าง ๆ ขับเคลื่อนพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องและเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนก่อให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ ๆ ตามมา จนหลายคนกลัวว่าคนรุ่นใหม่จะหลงลืมรากลืมแก่นที่ปู่ย่าตายายสั่งสอนมา เรื่องของคุณธรรมและความขยันหมั่นเพียร คือสิ่งที่คนจีนยึดถือมายาวนานนับเป็นร้อย ๆ ปีควรที่จะเป็นสิ่งสอนใจเราตลอดไป คนจีนมักสั่งสอนว่า 5 คำต่อไปนี้ไม่ควรที่เราจะกล่าวออกมา

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
“ยาก” หากเราคิดว่า “ยาก” จะเกิดการปิดกั้นความเป็นไปได้ของสิ่งที่เรากำลังทำในทันที และจะลดความสามารถในการลงมือลงหลายระดับ ลองคิดกลับกันว่าถ้าแทนที่จะพูดคำว่า “ยาก” เปลี่ยนเป็นคำว่าทำได้ หรือไม่ยากมากเกินไป อาจทำให้รู้สึกไม่เครียด และเอาชนะปัญหาได้ในที่สุด
ปัญหาหนึ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในยุคที่เรามีเครื่องมือช่วยเหลือแทนเราหมด แต่เอาเข้าจริงในบางสถานการณ์เราก็มิอาจจะใช้เครื่องมืออุปกรณ์เข้ามาทำให้ชีวิตเราก้าวเดินต่อไปได้ เรามักจะได้ยินคำนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งว่ามันยากเกินไปทำไม่ได้หรอก มันยากเกินกำลังสำหรับคนอย่างฉัน แล้วก็มิกล้าลงมือทำ หรือเมื่อพูดว่ายาก ก็มักจะมีคนหยิบยื่นมาทำให้จนกลายเป็นคนที่ทำอะไรไม่เป็นต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่ร่ำไป
“ทำไม่เป็น” 不会做 คำว่าทำไม่เป็นนั้นควรเก็บไว้ชั่วคราว ไม่ควรให้คำนี้ยืนหยัดกับชีวิตไปตลอด แน่นอนว่าไม่มีใครเกิดมาทำเป็นตั้งแต่เกิด หากต้องเรียนรู้พัฒนากันไป คนที่เก่งกว่าคนอื่นไม่ใช่เพราะเขาเก่งมาแต่เกิด เพียงแต่พวกเขาพยายามพัฒนามากกว่าคนอื่น ๆ
ด้วยว่าเทคโลโนยีสมัยใหม่ทำให้การดำเนินชีวิตดูง่ายขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น เราเพียงใช้ปลายนิ้วเขี่ยไปมาสิ่งที่เราต้องการมากองอยู่ตรงหน้า วิถีชีวิตแบบนี้บ่อยครั้งทำให้คนเรามิได้ฝึกฝนทักษะอย่างอื่น บางเหตุการณ์ที่ฉุกเฉินจริง ๆ ก็มักทำให้ชีวิตเราเดินต่อไปไม่เป็น เพราะว่าเราทำอะไรก็ไม่เป็น เมื่อถึงเวลานั้นเราก็มักท้อแท้และสิ้นหวัง เกิดความอ่อนแอในใจ

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
“ท้อ” 灰心 คำว่าท้อเป็นคำที่ห้ามพูดเวลาที่เราเจอกับอุปสรรคในชีวิต เพราะจะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายกับปัญหา รู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว สู้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จเขาเกิดความท้อแท้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาไม่มัวแต่พูดว่า “ท้อ” แต่เก็บรวบรวมกำลังใจฮึดสู้เอาชนะอุปสรรคไปได้เสมอ
โรคซึมเศร้าเร้ารุมคนรุ่นใหม่ จนกลายเป็นโรคระบาดที่ไม่ได้เกิดจากการติดต่อ และเกิดมาจากการติดตัวของคนที่ไม่มีกำลังกายกำลังใจในการต่อสู้กับอุปสรรค มักท้อโดยยังมิทันสู้อะไรเลย เนื่องด้วยเพราะขาดภูมิ ไร้ความอดทนอดกลั้น อยู่กับตัวเองไม่เป็น กลัวและไม่กล้าที่จะเผชิญความจริง รับไม่ได้กับการผิดหวัง เพราะมักตั้งความหวังไว้ในอากาศ แต่ไม่เคยที่จะลุกขึ้นไขว่คว้าแสวงหา ความท้อมักจะคู่มากับความขี้เกียจ และไร้การฝึกฝนนั่นเอง
“ขี้เกียจ” คำว่าขี้เกียจนั้นอันตรายยิ่งนัก หากใช้บ่อยครั้งจะทำให้ชีวิตดิ่งลงเหวอย่างแน่นอน เราจะได้ยินเรื่องราวแห่งความพยายามอุตสาหะและขยันทำมาหากินอยู่เสมอ ด้วยเพราะไม่มีต้นทุนในชีวิตมาแต่เดิม มีแต่เพียงเสื่อผืนหมอนใบหอบข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีนทำให้คนจีนยุคก่อนจึงไม่มีความขี้เกียจอยู่เลย
บางทีเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน คนยุคหนึ่งเคยลำบากลำบนจึงไม่อยากให้ลูกหลานต้องเป็นเช่นตัวเอง จึงมักเลี้ยงลูกอยู่บนความสบาย ความสบายจึงนำมาซึ่งความขี้เกียจ ทำอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่สู้ ชอบอยู่สบาย ๆ  ไม่มีหนทางใดปราศจากกางเขน ไม่มีชีวิตของคนใดเลยที่ไม่เคยลำบากทุกข์ยาก คนที่ไปไม่เป็น ไม่ต่อไม่ไหว ล้มลงกลางทาง เพราะเหนื่อยง่าย บ่นเก่ง ชีวิตแบบนี้จึงไม่พบกับความสุขที่แท้จริง
“เหนื่อย” คนที่พร่ำบ่นว่าเหนื่อยออกมาจะทำให้พละกำลังของตนเองลดลงในทันที ชีวิตคนจีนสมัยก่อนต้องพบแต่ความยากลำบาก ต้องปากกัดตีนถีบ เรื่องเหนื่อยจึงต้องพบเจอเป็นประจำ แต่พวกเขาเลือกที่จะทำงานต่อไป โดยไม่พูดคำว่าเหนื่อยออกมา จนสามารถเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบายได้
บางทีก็น่าเห็นใจคนที่ต้องรับภาระ ทำงานหลายอย่างต้องฝ่าการจราจรอันจลาจลทุกวัน กว่าจะได้มาซึ่งเงินทอง เพื่อใช้จ่าย ความอ่อนล้าทางกายย่อมมี แต่ก็มีหลายคนบ่นตลอดเวลา บางคนยังไม่ทันจะทำอะไรก็บ่นแล้วว่า “เหนื่อยจัง ตังค์ก็อยากได้” ก็เพราะเราทำทุกอย่างเพียงเพื่อสนองตัวเอง แต่สำหรับคนที่ต้องทำเพื่อคนอื่นด้วยความรัก มักจะไม่มีคำบ่นว่าเหนื่อยออกมาให้ได้ยิน มีแต่ความยินดีที่จะทำ เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่บนรอยยิ้มของคนอื่น

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
วันนี้ตรุษจีนได้นำสิ่งเหล่านี้มาแบ่งปัน เพื่อให้ชีวิตเราเติบโตขึ้นไปกับวันเวลาอย่างสมบูรณ์ ความอดทน ขยันมั่นเพียรและเพียงพอ ในยุคที่ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยน วิถีชีวิตกำลังปรับ แต่คุณธรรมเหล่านี้ไม่ควรที่เราจะหลงลืม เราต้องทำทุกสิ่งด้วยความรัก เพราะหากเราไร้รักก็ไร้ใจที่จะทำให้ชีวิตพบกับสันติสุข ขอให้ทุกคนร่ำรวยความรัก ร่ำรวยความสุขทุกวันเวลา.

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

แค่คิด


แค่คิด
เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนนอนได้มีโอกาสชมข่าวสารด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นข่าวที่ Elon Musk หนึ่งในซีอีโอระดับโลกที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้ เป็นหนึ่งในคนที่กำลังจะทำให้โลกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เขาคือผู้พลิกโฉมวงการรถยนต์และอวกาศด้วยการก่อตั้งบริษัท Tesla พัฒนานวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไร้คนขับ ระบบกักเก็บพลังงาน และแผงโซล่าเซลล์ อีกทั้งบริษัท SpaceX ผู้บุกเบิกด้านการสำรวจอวกาศ พัฒนาการให้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายดาวเทียมและจรวดส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร และบริษัท Neuralink ซึ่งบริษัทนี้ ลงทุนไปแล้วกว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อค้นคิดพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมสมองของคนเรากับคอมพิวเตอร์ได้มีการสาธิตเทคโนโลยีนี้ โดยตัวกลางที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสมองและ คอมพิวเตอร์เรียกว่าThreads” หรือ สายใยสื่อประสาท ทำมาจากโพลิเมอร์ มีคุณสมบัติหลัก ๆ  คือ มีความยืดหยุ่นสูง มีขนาดเล็กกว่าเส้นผม 10 เท่า ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้ามากถึง 3,072 ขั้ว ซึ่งต่อสายใยประสาท 96 สาย เหตุผลที่ต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ นั่นก็เพราะว่า ความยืดหยุ่นและความบาง จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับสมอง และขั้วไฟฟ้าจำนวนมากจะทำให้ประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลดีขึ้น
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจไม่ต้องพิมพ์ตัวอักษรบนคีย์บอร์ด เราอาจไม่ต้องคุยโทรศัพท์เพื่อสื่อสารเพราะ สิ่งที่เราทำก็แค่คิด เช่น คิดว่าจะกินอะไร ก็มีคนมาส่ง คิดว่าจะหาของที่หายไป ก็แค่ย้อนความทรงจำกลับไปดู ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่า มนุษย์ในอนาคตกำลังจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง ที่แม้แต่ตัวมนุษย์เองก็จินตนาการไม่ถึง..(บางส่วนจาก Blog ลงทุนแมน)
นั่งทบทวนก็ชวนให้เรามีคำถามต่าง ๆ เกิดขึ้น แค่คิดจะกินอะไรก็มีคนมาส่ง และของที่กินจะให้พลังงานเท่าไร มีน้ำตาลมีแร่ธาตุวิตามินมากน้อยต่อความต้องการของคนเราแต่ละคนเท่าไร ทุกสิ่งแค่คิดก็ถูกเครื่องคำนวณให้เสร็จสรรพ แต่แล้วเราก็ต้องมีเงินเพียงพอต่อการใช้บริการเหล่านี้ด้วย มนุษย์สามารถจะย้อนความทรงจำได้ แต่มิอาจจะย้อนที่จะไม่กระทำสิ่งที่ผิดได้ ไม่สามารถที่จะ Undoในสิ่งที่เราผิดพลาดไปแล้วได้ มีเพียงแต่การสำนึกผิดและเสียใจ และความทรงจำที่เสียใจนี้จะถูกลบล้างได้หรือเปล่า?
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
สิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มีทั้งด้านดีและด้านที่ชวนให้ขนลุกขนพอง เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของมนุษย์ สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยอาการทางสมอง ผู้พิการทางร่างกายสามารถสั่งงานแขนหรือขาหุ่นยนต์ให้สามารถหยิบจับเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ตามสมองสั่งการ การติดต่อสื่อสาร การสั่งงานผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ เพียงแค่คิดเครื่องก็ติดต่อไปยังบุคคลที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย รวมไปถึงเพิ่มขีดความสามารถด้านการเข้าถึงข้อมูลความรู้ การตัดสินใจของมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือดีกว่าเทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสามารถที่จะซ่อมแซมสมองส่วนที่เสื่อมสภาพตามวัยตามอายุให้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิมได้อีกด้วย
สิ่งที่ชวนให้ขนลุกขนพองแค่ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าบริษัทโฆษณาซื้อสิทธิ์ในการส่งสัญญาณบางอย่างไปให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงอารมณ์ร่วมที่แตกต่างกันเมื่อเห็นโฆษณา มูลค่าของมันจะมหาศาลขนาดไหน จะมีการแย่งชิงขายของกันขนาดไหน คิดต่อไปว่าถ้าโทรศัพท์ของเราหาย ก็เตรียมตัวกดชัตดาวน์สมองตัวเองได้เลย เพราะสิ่งนี้จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน นี่อาจจะเป็นเพียงจินตนาการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ และใครจะเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้บ้าง? เมื่อวันหนึ่งเทคโนโลยีแบบนี้ถูกวางจำหน่าย สังคมจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งทันที ฝั่งที่เข้าถึง และฝั่งที่ไม่สามรถเข้าถึง ฝั่งที่เข้าถึงจะสามารถพัฒนาความสามารถของตนเองไปได้ไกลกว่าเดิม จะสามารถเข้าถึงโอกาสและหยิบฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้นกว่า สิ่งที่เกิดตามมาคือช่องว่างของผู้คนที่ถูกถ่างออกจนแทบเทียบกันไม่ติด อาชีพการงาน โอกาสในสังคม รายได้ และระดับคุณภาพชีวิต สิ่งเหล่านี้ผู้ด้อยโอกาสจะยิ่งถูกกดให้ต่ำลง จนอาจจะไม่สามารถลืมตาอ้าปากในสังคมได้
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
นี่คือความเป็นไปได้และยิ่งตอกย้ำประเด็นทางสังคมอันเปราะบางที่โหดร้ายยิ่งนัก แค่คิดและนั่งทบทวนตลอดเส้นทางสายนี้ที่เห็นและเรียนรู้เทคโนโลยีตลอดมา เห็นการเปลี่ยนแปลง และเป็นคนในยุคเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ยุคดิจิตอล และกำลังก้าวสู่ยุค AI ปัญญาประดิษฐ์ สิ่งใหม่ ๆ ก็ยังไม่อาจจะทำให้จิตใจมนุษย์เราพัฒนาสูงส่งขึ้นเลย แถมกำลังสวนทางเสียด้วยซ้ำไป เมื่อคนได้ครอบครองเทคโนโลยีทำให้เห็นแก่ตัว เห็นแต่ความคิดของตัวเองมากขึ้น หากเชื่อมโยงสมองกับคอมพิวเตอร์ได้ ข้อมูลแห่งความเห็นแก่ตัวนี้คงเป็น BigData ที่อาจจะนำไปสู่ความทะเยอทะยานในรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีกำลังปูทางใหม่ให้ผู้คน อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ลบล้างความเป็นมนุษย์ของเราบางคนลงไปด้วย ทุกสิ่งที่กำเนิดมาในโลกล้วนเป็นสิ่งที่ดี และพระเจ้าย่อมให้เสรีภาพสำหรับเรามนุษย์ในการค้นคิด ค้นคว้า เพื่อพัฒนาโลก แต่เรามักติดหล่มกับความเห็นแก่ตัว นี่แหละที่ไม่สามารถจะใช้อุปกรณ์ใด ๆ มาแก้ไขได้ โลกแห่งสันติสุขก็จะห่างไกล เพราะสมองคนจะกลายเป็นสมองกลที่ปราศจากจิตสำนึกและมโนธรรม แค่คิด..ก็สงสารพระเจ้าจับใจ

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563

ดับไฟในใจเรา


ดับไฟในใจเรา
ตื่นขึ้นมาในวันแรก ๆ ของปีใหม่ ปีที่ทุกคนหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการพัฒนาอย่างมโหฬาร จะมีเครื่องไม้เครื่องมือมาอำนวยความสะดวก มาต่อเติมเสริมแต่งให้ชีวิตมนุษยชาติมีความผาสุกมากยิ่งขึ้น แต่ที่ไหนได้...เรากำลังติดกับดักและต้องเผชิญอยู่กับสิ่งที่มาทำร้ายเราอย่างคาดไม่ถึง เรามีความหวังจะเห็นแสงสว่างของการเปลี่ยนผ่าน แต่กลับมาพบเปลวไฟที่ร้ายแรง ไฟสงคราม ไฟทำลายป่าไหม้ และไฟแห่งโรคระบาด เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า มีเพียงสี่อย่างที่จะทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับลงได้ นั่นคือ สงคราม ภัยธรรรมชาติ โรคระบาดและอุบัติเหตุ ทั้งสี่อย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันมาในช่วงต้นปีนี้ เป็นเหมือนสัญญาณอะไรหรือเปล่า? คงไม่ใช่ทั้งหมด นี่เป็นเพียงสิ่งตักเตือนให้เราไตร่ตรองทบทวนว่า มีสิ่งใดเล่าที่จะยังคงค้ำจุนโลกนี้ได้ในทุกกรณี

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ในแต่ละปีมนุษย์เราล้มหายตายจากอุบัติเหตุหลายล้านคน ดูแค่เพียงประเทศไทยเราในทุกช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ๆ เราก็มักจะสูญเสียมวลชนคนไทยไปราว ๆ 300-500 ต่อครั้ง ถึงขั้นตั้งชื่อเพื่อรณรงค์ เจ็ดวันอันตราย เมาไม่ขับกลับบ้านอย่างปลอดภัย จนแล้วจนรอดก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ จึงมีการคิดแบบใช้จิตวิทยาเปลี่ยนชื่อให้เป็น เทศกาลแห่งความสุข อะไรแบบนี้ ในความเป็นจริงเราต้องแก้ที่ต้นตอคือ แก้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนในชาติให้ได้ ความสุขกับสุราหาใช่สิ่งที่ต้องไปด้วยกัน ความเห็นแก่ตัวที่มีมากต่างหากที่นำมาซึ่งไฟแห่งการสูญเสีย เราไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้อื่น เราก็ยิ่งลดคุณค่าของตัวเราเองเท่านั้น
แม้ว่าโลกจะพยายามปฏิวัติเรื่องการขับขี่เพื่อลดการสูญเสียมาอย่างยาวนาน ก็ยังหาจุดที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการนี้ให้สำเร็จลงได้ เครื่องยนต์ไร้คนขับเริ่มขยับมีให้เห็น รถยนต์มีอุปกรณ์ความปลอดภัยสูงถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ก็ยังมิอาจจะยับยั้งความมักง่ายของผู้คนชนของโลกนี้ลงได้...

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
สงครามคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ แต่ก็ไม่เคยหยุดที่จะก่อไฟกองนี้ใส่กัน เริ่มจากสงครามระดับบ้าน ระดับที่ทำงานลามไปจนถึงระดับประเทศ โดยมีคำอ้างอย่างสวยหรูว่า“ทำสงครามเพื่อสันติภาพ ฆ่าคนเพื่อหยุดสงคราม” ผ่านปีใหม่ไปไม่กี่วันประเทศยักษ์ใหญ่ใช้โดรนถล่มผู้นำอันดับสองของอีกประเทศหนึ่ง ที่กำลังจะไปเจรจาความในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความไม่พอใจ โกรธเคือง และต้องการจะแก้แค้นเพื่อตอบโต้อย่างสาสม จวนเจียนจะเกิดสงครามโลกขึ้นมา สร้างความตระหนกทั่วทุกมุมโลก ไฟสงครามเริ่มจากไฟโกรธ เริ่มจากไฟแห่งความเกลียดชิงชัง จากหนึ่งกลายเป็นร้อยเป็นล้าน
แม้ว่าโลกนี้จะมีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อหยุดสงคราม แต่เครื่องมือเหล่านั้นมักถูกนำมารับใช้สงครามเสียมากกว่า เครื่องมือสมัยใหม่ไล่ล่าทำลายกันอย่างไร้เงื่อนไข หรือว่าความโหดร้ายของคนเรามาคู่กับการพัฒนา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในวันข้างหน้าคือความเลือดเย็นในการเข่นฆ่ากันกระนั้นหรือ!!! ไฟสงครามจะทำให้ไฟในใจเราไร้การรับรู้ถึงความโหดร้ายกระนั้นหรือ...

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ไฟป่าทั่วประเทศออสเตรเลียกำลังลุกโชน จนทำให้สูญเสียจิงโจ้ และสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิดจำนวนหลายล้านตัว ผู้คนได้รับควันพิษก่อให้เกิดโรคร้ายอีกนับไม่ถ้วน เพลิงไฟที่ลุกลามไปทั่วจนทุกพื้นที่จนกลายเป็นสีแดง ภัยธรรมชาติครั้งนี้ร้ายแรงจนยากที่จะหยุดลงได้ ต้องขอความร่วมมือจากต่างชาติเพื่อมาช่วยดับไฟ ท่ามกลางความร้อนที่สูงขึ้น จากการเปลี่ยนไปของชั้นบรรยากาศโลก ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่นับวันยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากป่าไม้ที่สมบูรณ์กลายเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้อย่างดี เราเห็นภาพที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงวิ่งหนีเปลวไฟไปมา ยิ่งสงสารและต้องทำให้เราทบทวนกันมากขึ้นว่าเราทำร้ายธรรมชาติจนก่อเกิดภัยกันเองใช่หรือเปล่า ?
การพัฒนาบางทีก็นำมาซึ่งการทำลายธรรมชาติอย่างไม่ตั้งใจ เราพยายามสร้างเครื่องมือที่ล้ำสมัยเพื่อง่ายต่อการทำงาน โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันก็ง่ายต่อการเกิดมลภาวะที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เราหวังว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวล้ำ แต่เราไม่เคยมองย้อนกลับไปว่าผลเสียที่ตามมานั้นมันก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เราสร้างโลกใหม่เพื่อทำลายโลกเก่ากันอยู่หรือเปล่า?

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และร้ายแรงในจีนกำลังก่อตัวขึ้น และนี่จะกลายเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ คุณหมอท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า โลกของเราทุกวันนี้มีเชื้อร้ายก่อเกิดขึ้นทุกวัน จนการแพทย์การรักษาตามแทบไม่ทัน เชื้อตัวหนึ่งพัฒนากลายเป็นเชื้ออีกตัวหนึ่ง ผลกระทบมาจากสภาพแวดล้อมที่เราสร้างขึ้น ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ยังคงแพร่กระจายในอากาศของเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียง ก็นำมาซึ่งเชื้อโรคร้าย ที่อาจจะกลายเป็นการระบาดได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แม้ว่าเราพยายามจะใช้เทคโนโลยีในการรับมือกับโรคร้าย โดยที่ตั้งเป้าหมายจะให้ชีวิตคนเป็นอมตะ ผู้คนจะอายุยืนยาวเกินร้อยปี สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงได้หรือถ้าหากจิตใจของผู้คนยังจมอยู่กับความมักง่ายและเห็นแก่ตัว
ความรัก ความเมตตา กรุณา” ยังคงเป็นสิ่งที่โลกต้องการเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาทุกอย่างในทุกบรรทัดข้างบน มิใช่เทคโนโลยีที่กอบกู้โลกแต่เมตตาธรรมต่างหากที่จะค้ำจุนโลก มาช่วยกันดับไฟในใจเราก่อน ดับด้วยน้ำใจ เพื่อเราจะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการรักษาอาณาจักรที่พระเจ้ามอบหมายให้เราดูแลนี้ ให้เป็นสวนสันติสุขตลอดไป...

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563

พักตรงนี้


พักตรงนี้
ก็หวังว่าช่วงวันหยุดในหลายวันที่ผ่านมา หลายคนคงใช้เวลาได้หยุดพักผ่อน เดินทางไปกับครอบครัว หาที่พักกายพักใจ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หยุดพักจากการงาน การดิ้นรนขวนขวาย เพื่อให้ร่างกายและจิตใจได้บรรเทาจากความเหนื่อยล้าลงบ้าง บางคนเลือกที่จะพักผ่อนในเมืองที่ดูจะสงบเงียบปีละครั้งสองครั้ง ต้องกอบโกยความสะดวกสบายของการสัญจรในเมืองหลวงให้เต็มที่ ถนนหนทางแบบโล่งปลอดโปร่งก็สุดที่ตามแต่ละคนจะสรรหาการพักผ่อน


การเดินทางไปต่างที่ต่างถิ่น ออกไปพร้อม ๆ กันหลายหมื่นคนด้วยรถหลายพันคัน เป็นเรื่องที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่รถราจะติดขัดกันเป็นทิวแถว ค่อย ๆ ขยับเขยื้อนกันไป แม้จะลำบากหลายคนก็ต้องพยายามไปให้ถึงที่หมาย เพราะมันมีความหมายและความสำคัญกับชีวิต เป็นเหมือนกับการจุดประกายเพิ่มเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนชีวิตในวันหน้า หลายคนปีละหนที่ต้องกลับคืนสู่อ้อมกอดของแผ่นดินถิ่นเกิด เพราะตลอดทั้งปีต้องทำงานและทำงาน สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้หนทางร่วมกันความเห็นแก่ตัว ความมักง่ายนำมาซึ่งความเดือดร้อนของเราเองและของผู้อื่น สิ่งนี้ต้องฝึกฝนกันอย่างหนักเพื่อเราจะได้มีเวลาพักที่งดงาม ปราศจากอันตราย และอุบัติเหตุ


โดยส่วนตัวก็เลือกวันที่คิดว่าการจราจรจะลดความหนาแน่นลงบ้าง กลับไปกราบขอพรจากผู้หญิงอันเป็นที่รักยิ่ง ไปร่วมกันทานข้าวกับพี่ ๆ น้อง ๆ และร่วมเดินทางไปพักผ่อนด้วยกันที่ริมแก่ง นอนชมดวงดาว ดวงจันทร์ท่ามกลางอากาศเย็นสบายกลางหุบเขา แต่ก็ใช่ว่าจะได้รับความสงบดังที่หมาย เสียงเพลงที่ร้องไม่ตรงคีย์รบกวนบรรยากาศ ก็คิดเสียว่าเป็นเรื่องที่สร้างสีสันอีกรูปแบบหนึ่งในการหยุดพักตรงนี้ในครั้งนี้ บางทีการที่มาพักตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิดว่าจะเจออะไรเหมือนกันต้องถือเสียว่าได้มาพักก็ดีแล้ว ดีกว่าอีกหลายชีวิตที่ต้องเดินทางรอนแรมหาที่พัก เพราะทุกที่เต็มหมดในสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้คิดถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่ว่า ชีวิตแห่งการเดินทางต้องพักบ้าง อย่าวิ่งมุ่งหน้าไปอย่างเดียวโดยไม่เหลียวแลอะไรเลย!!!
นานมาแล้ว มีพระราชาพระองค์หนึ่งได้ตรัสกับคนขี่ม้าว่า “ถ้าเจ้าสามารถขี่ม้าไปครองพื้นที่ได้มากเท่าไรก็ตาม เราจะยกที่ดินผืนนั้นให้เจ้า”
คนขี่ม้าจึงควบม้าของตนไปอย่างรวดเร็ว เพื่อครอบครองที่ดินให้มาก เท่าที่จะทำได้ เขาเร่งควบม้าไปเรื่อย ๆ เร็วเท่าที่ม้าจะรับไหวเมื่อเขาหิวหรือเหนื่อย เขาก็จะไม่หยุดควบม้า ดื่มกินบนหลังม้า เหตุเพราะต้องการครอบครองดินแดนให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง ทั้งเขาและม้าก็หมดแรงและกำลังจะตาย
เขาจึงถามตัวเองว่า “ทำไมเราถึงกดดันตัวเองอย่างหนัก เพื่อให้ได้ครอบครองผืนดิน? ตอนนี้เรากำลังจะตาย และเราก็ต้องการเพียงแค่ที่ดินเล็ก ๆ เพื่อฝังศพตัวเอง”
นิทานเรื่องนี้ก็เหมือนกับการเดินทางของชีวิตคนเรา ที่ผลักดันตัวเองเพื่อให้ได้เงินทองของมีค่าให้มาก ๆ ต้องการมีตำแหน่งแห่งหนมีตัวตนเป็นคนมีอำนาจ เป็นที่ยอมรับของทุกคน ต่างจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่ได้หยุดแหงนหน้าชื่นชมดวงดาว ไม่ได้เบาเท้าฟังเสียงเรียก เพื่อให้เข้าใจความหมายของชีวิตที่แท้จริง ต่างละเลยที่จะดูแลสุขภาพร่างกายของตน และคนรอบข้างเรา ไม่มีแม้เวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาแวะชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัว หรือแม้กระทั่งไม่มีเวลานั่งลงอ่านหนังสือสักเล่ม ฟังเพลงไพเราะเสนาะหูที่ร้องถูกคีย์บรรเลงถูกโสตศิลป์

ในวันข้างหน้าวันที่เราต้องประสบพบเจอการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกโดยรวม วันที่อยู่ท่ามกลางผืนดินที่ใหญ่กว่าใหม่กว่า เราจะมีพละกำลังกาย มีกำลังใจที่จะบากบั่นก้าวข้ามผ่านไปหรือเปล่า หากว่าเราไม่เรียนรู้ที่จะหยุดพักตรงนี้วันนี้บ้าง อย่าให้ต้องเป็นว่า เมื่อได้มองย้อนกลับไป ต้องมาสำนึกเสียใจในสิ่งที่ต้องการนั้นจริง ๆ เรากลับไม่ได้มันมาทั้ง ๆ ที่มันอยู่ใกล้เหลือเกิน สิ่งที่เราขวนขวายและพยายามไขว่คว้ามัน กลับไม่ได้ให้อะไรกับชีวิตเราเลย ทุกอย่างว่างเปล่า สูญหายไปกับวันเวลา ความรัก มิตรภาพ สันติสุข หดหายไปเสียสิ้น
แต่เมื่อเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้กับสิ่งที่เราผ่านพ้นมาแล้วในชีวิต ก็จงเริ่มทำปัจจุบันให้ดีขึ้น อย่าลืมว่าชีวิตคือความสมดุล ครอบครัวและส่วนตัว ส่วนรวม ชุมชน เราก้าวเดินไปข้างหน้านั้นเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต มิใช่สะสมความหายนะของชีวิต เดินทางเพื่อให้พบกับความสุข เพราะแท้จริงแล้ว ความสุข คือความหมายและจุดมุ่งหมายของชีวิต ความสุขสร้างขึ้นได้ง่าย ๆ โดยทำในสิ่งที่ต้องการจะทำ และซาบซึ้งกับความงามตามธรรมชาติ


        ชีวิตคนเรานั้นเปราะบางและแสนสั้นนัก จงใช้ชีวิตอย่างสมดุล และในฐานะเราผู้เป็นศิษย์พระคริสต์ได้รับการเลือกสรร เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงพอพระทัย พระองค์ได้ประทานพระหรรษทานแก่เราทุกคนเพื่อสานต่อภารกิจแห่งรักที่มิใช่เพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่สำหรับเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างทุกคน ในท่ามกลางที่มืดมิดของความขัดแย้งทั้งทางด้านความคิดและอุดมการณ์ของแต่ละคน เราต้องพร้อมที่จะเป็นเครื่องมือที่ฉายแสงแห่งรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เพื่อนำผู้คนที่ตกอยู่ในความมืด ให้ได้พบกับแสงสว่างแท้จริงและกลับมาพักพิงกับพระองค์