วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เพียงรอยยิ้ม

เพียงรอยยิ้ม
            เที่ยงกว่า ๆ ณ บ้านพักหลังถาวร “ศานติคาม” ท่ามกลางคนคุ้นเคย ญาติพี่น้อง มารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อส่งเรือนร่างที่ไร้ลมหายใจให้พักผ่อนตลอดนิรันดร อดที่จะใจหายไม่ได้เมื่ออยู่ ๆ คนที่รู้จักมักจี่ คนที่เคยคุย เคยเล่น หยอกล้อ ต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันพบหน้ากันอีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ “แม่นุสรา” ของพวกเราก็ห่างหาย ไม่ค่อยได้พบปะกันเป็นแรมปี นานทีจึงเห็นหน้าทักทายกัน เนื่องเพราะร่างกายที่อ่อนโรยลงไปจากโรคภัยคุกคาม จวบจนมาทราบข่าวว่า “แม่นุสรา” นอนอยู่โรงพยาบาล และไม่ปรารถนาจะบอกใครให้ล่วงรู้ เพราะความเกรงใจ ไม่อยากรบกวนผู้ใด พอทราบข่าวเราจึงรวมตัวกันได้กลุ่มใหญ่ทีเดียวและพากันไปเยี่ยม ได้เห็น “รอยยิ้ม” บนใบหน้าที่อิ่มเอม ความเปรมปรีดิ์ การพูดคุย การสวดร่วมกันสร้างกำลังใจให้คนป่วยได้เข้มแข็งขึ้น ทำให้คิดว่า อีกไม่นานเราคงจะได้ยิ้มแย้มจากความน่ารักและอารมณ์ขันของ “แม่นุสรา” แต่... ที่ไหนได้ผ่านไปเพียงสองสัปดาห์เรารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อมาสวดอุทิศแด่ดวงวิญญาณและมาร่วมฝังร่าง อย่างเศร้า ๆ

            ขณะที่ร่วมสวดและเดินไปเพื่อวางดิน ดอกไม้ ลงในหลุม ภาพเหตุการณ์ย้อนกลับไปในอดีต ภาพรอยยิ้ม เสียงพูด กริยาท่าทาง ความสุขที่เคยร่วมกันไหลมาอย่างรวดเร็ว คน ๆ นี้ที่สร้างโลกใบนี้ให้น่าอยู่ด้วยรอยยิ้ม และความซื่อ ๆ สร้างบรรยากาศด้วยเรื่องราวหรรษายามได้พูดคุยทุกครั้งครา การร่ำลาที่กว่าจะแยกย้าย บอกลาแล้วลาอีก เป็นเอกลักษณ์ ทำเอาฮาได้ทุกครั้งไป รอยยิ้ม ที่ได้รับแม้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ชีวิตที่ติดขัดได้รับการบรรเทาลง ในช่วงจังหวะเวลาที่พบกัน

            ใช่ ในชีวิตจริงย่อมมีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามา ทั้งทุกข์ ทั้งสุข ทั้งดีใจเสียใจปะปนกันไป แต่...อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะเก็บสิ่งใดไว้ในใจเรา บางคนเลือกที่จะมีรอยยิ้มกับความสุขที่ผ่านมา แต่ก็มีไม่น้อยกลับเลือกที่จะเจ็บปวดกับความเสียใจในอดีตที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั้น อีกไม่นานมันก็จะจากเราไป เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ความทรงจำกับวันเวลาปัจจุบันที่เป็นอยู่ ทำไมเราไม่เลือกที่จะเก็บรอยยิ้มนี้ไว้ รอยยิ้มที่จะสร้างสุขให้กับทุกผู้คนได้พบเจอ เราไม่สามารถทำเรื่องใหญ่โตเพื่อสร้างโลกได้ เพียงรอยยิ้มที่มีให้กันอาจจะพลิกชีวิตผู้คนบนโลกนี้ได้
            เรื่องราวของการยิ้มนี้ มีนักวิจัยท่านหนึ่งชื่อ สจ๊อต ซูทเธอแลน วิจัยแล้วพบว่า คนเรายิ้มได้ตั้งแต่เป็นทารกอายุไม่กี่สัปดาห์ และจะเป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีการฝึกสอนอะไรทั้งสิ้น  และยังพบอีกว่ารอยยิ้มของเด็กแรกเกิด 8 สัปดาห์เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ที่สุดในชีวิต  หลังจากนั้นหากอายุที่เพิ่มขึ้นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์จะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของสังคม บางคนยิ้มเพื่อทักทายกัน  บางคนยิ้มเพื่อสร้างมิตรภาพ เพื่อให้ดูดีมีเสน่ห์ ยิ้มเพื่อปลอบใจตัวเองเมื่อเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่  หรือกระทั่งบางคนฝืนยิ้มแก้ปัญหาในสถานการณ์คับขัน
            โบราณท่านว่า “เราจะรู้ว่าเป็นมนุษย์ก็ที่ยิ้มเป็น  หัวเราะได้ จะรู้ใจกว้างขวางก็ที่เอื้อเฟื้ออารี  จะรู้ม้าดี ก็ที่หู จะรู้มณีก็ที่รัศมี    นี่ยิ่งทำให้เรารู้ชัดว่ามนุษย์เท่านั้นที่ยิ้มเป็น   การยิ้มเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ เป็นประดุจแสงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง มายังพื้นโลก ให้ความร่าเริงแก่ชาวโลก  ผู้รู้ยังกล่าวไว้ว่า “อาการยิ้มแย้มนั้นเป็นลักษณะแห่งโสมนัสหรรษากอปรด้วยเมตตาการุณย์”
            โลกเรานี้ก็เปรียบเสมือนกระจกเงา เมื่อเรายิ้มเขาจะยิ้มตอบ เมื่อเราหน้าบึ้งเขาจะบึ้งตอบเรา ใช่...ทุกคนชอบหน้ายิ้มและเกลียดหน้าบึ้ง   เพราะยิ้มเป็นคุณก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวและคนอื่นมากมาย ทำให้ผู้รับได้กำไร และผู้ให้มิต้องสิ้นเปลืองอะไร ยิ่งให้ไปเท่ากับยิ่งได้รับกลับมามากยิ่งขึ้น  การยิ้มช่วยสร้างสรรประโยชน์อย่างมากมาย


            สร้างโลกด้วยรอยยิ้ม ดีกว่าสร้างโลกด้วยรอยหยิ่ง ที่ยิงอารมณ์เกลียด แค้น ใส่กัน โลกที่เราอยู่วันนี้หารอยยิ้มยากยิ่ง เพราะเรามักยึดโยง เกาะเกี่ยวพื้นที่ส่วนตัวเอาไว้กับตัวเองให้แน่นที่สุด ใครเข้ามาใกล้ก็พร้อมที่จะเขม่นหน้าบึ้ง หน้าเข้มเข้าขู่ โลกที่ดูถูกความซื่อ ๆ ไร้เดียงสา โลกที่ข่มเหงความด้อยของคนอื่นเพราะคิดว่าเราเด่นอยู่เพียงผู้เดียว โลกที่วัดค่าราคาคนกับคำพูดที่สวยหรู ที่พรั่งพรูด้วยเล่ห์กลลวง คือ โลกยุคที่เรากำลังเดินวนเวียนอยู่ ที่ต่างคนต่างสร้างรอยด่างดำ สร้างบาปกรรมให้กันอย่างไม่สิ้นสุด แล้วเมื่อไรจึงจะหยุดการกระทำเหล่านี้ รอจนวันตายจากกันหรือ? รอยยิ้มและความซื่อ ๆ ที่มีของคนหนึ่งได้จากไป ทำให้เราต้องย้อนกลับมาดูตัวเราว่า ความสุขที่เราตามหานั้น มันห่างไกลออกไปเพราะเราหลงทาง แท้จริง สุขเริ่มจากใบหน้า สุขอยู่ตรงหน้า นี่คือ สุขที่ซื่อหาซื้อจากไหนไม่ได้แล้ว ยิ้มให้กันบ้าง แม้ว่าจะมีคนมองว่า บ้า ถึงจะบ้าแต่ว่าไม่ทุกข์ร้อน ขอบคุณคุณค่าของชีวิต “แม่นุสรา” ที่สอนให้รู้ถึงคุณค่าในเรื่องเล็ก ๆ ที่สร้างสุขในชีวิตอย่างยั่งยืน... (มารีอา ภัทรภร(นุสรา) แซ่เฮ้ง อดีตกรรมการสภาภิบาลและนักขับร้องวัดเซนต์หลุยส์)

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กว่าจะไปถึงจุดนั้น

กว่าจะไปถึงจุดนั้น
            "เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไง" เป็นอีกหนึ่งวลีฮิตติดปากอยู่ในขณะนี้ จากโจอี้ บอย นักร้องแร็พเปอร์คนดัง
เมื่อได้ยินแล้วทำให้คิดได้ทั้งด้านลบด้านบวก จริง ๆ แล้วคำถามนี้น่าจะเกิดขึ้นกับเราบ่อย ๆ เพื่อเป็นเครื่องย้อนย้ำกลับไปว่า ชีวิตเราเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ผ่านอะไรมาบ้างมายืนตรงจุดนี้ได้เพราะอะไรที่ทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในการสร้างครอบครัว ในการเป็นคนดีคนที่มีส่วนช่วยสังคม คงมีหลากสิ่งหลายอย่างมากมายที่หนุนนำ ส่งเสริมให้เรามายังจุดนี้ได้ หรือถ้าใครยังคิดว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้ถึงจุดนั้นเหมือนคนอื่น ๆ ก็คงต้องกลับมาค้นหาบทเรียนตัวอย่างเพื่อนำไปสู่การพัฒนาชีวิตให้ก้าวหน้าต่อไป
           
ในระหว่างทางกว่าจะไปถึงจุดนั้น แต่ละคนย่อมใช้เวลา ใช้ปัจจัยไม่เหมือนกัน สั้นบ้างยาวบ้าง ผ่านการล้มลุก ล้มเหลว ผ่านความเจ็บปวด เหนื่อยล้า มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน พอเรามาถึงจุดนี้ย่อมแข็งแกร่งพอที่จะเดินหน้าต่อไปอย่างมิหวาดหวั่น สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราก้าวผ่านจุดล้มมาได้เสมอนั่นคือความอดทน และการรอคอยอย่างมีความหวัง มีความศรัทธาในสิ่งที่ทำ ใช่หรือไม่ มีไม่น้อยเหมือนกันที่ล้มละลายก่อนถึงปลายทางเพราะขาดหัวใจหรือไม่ใช้หัวใจของนักสู้ ยอมแพ้ท้อแท้และเลิกราที่จะก้าวต่อไป
            หากมองในภาพรวมของโลกใบนี้ที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมนุษยชาติมีความเชื่อมั่นในความฉลาดล้ำในสมองของมนุษย์และมักตั้งคำถามว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร" จึงทำให้เกิดการค้นคิดเพื่อย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิดแรกสุดนั่นคือ การก่อเกิดของสรรพสิ่ง เพื่อที่จะค้นหาคำตอบ จึงได้มีการศึกษาทั้งสิ่งที่อยู่ในโลกและนอกโลก สิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น ดังเช่น ที่เราได้เห็นได้อ่านได้ชมจากสื่อต่าง ๆ ถึงความก้าวหน้าในการย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มของสิ่งสร้าง
            ช่วงนี้เป็นข่าวใหญ่ในวงการดาราศาสตร์ เมื่อยานอวกาศ New Horizons ของ NASA บินผ่าน ดาวพลูโต (Pluto) ซึ่งยานลำนี้ได้ปล่อยไปสำรวจดาวพลูโตเมื่อ 9 ปีก่อน ใกล้ถึงดาวพลูโตแล้ว โดยเมื่อ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ยานอวกาศ New Horizons ได้ส่งภาพพื้นผิวพลูโตกลับมายังโลก โดยมีภาพพื้นผิวที่มีลักษณะคล้ายหัวใจ
            พลูโตนั้นเป็นดาวที่มีขนาดเล็กมาก เล็กกว่าดวงจันทร์ของเรา พลูโตถูกปลดออกจากการเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ คงเหลือดาวเคราะห์เพียง 8 ดวง เนื่องจากพลูโตไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่นอกระบบสุริยะได้ และให้ถือว่าเป็นดาวเคราะห์แคระ
            พลูโต จะช่วยเราในการศึกษาถึงที่มาของดาวหินที่เป็นดาวเคราะห์ชั้นใน ไม่ว่าจะเป็น ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และ ดาวอังคาร ซึ่งเคยผ่านการเป็นดาวเคราะห์หินโล้น ๆ เหมือนพลูโตมาแล้ว และด้วยการค้นพบ แถบไคเปอร์ ทำให้พลูโตยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก ซึ่งคาดว่าหินที่ได้มาชนโลกเราจนก่อให้เกิดพัฒนาการครั้งใหญ่ทำให้โลกของเราเอื้ออำนวยต่อการมีชีวิต ดังนั้นการที่เราเข้าใจธรรมชาติของพลูโต ก็จะยิ่งทำให้เราเข้าใจถึงการกำเนิดโลกได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
            และอีกข่าวหนึ่งซึ่งเป็นการค้นหาคำตอบในเรื่องที่ใกล้เคียงกันแต่ทำการทดลองบนโลกนี้ โดยองค์กร CERN ประดิษฐ์เครื่องชนอนุภาคแอลเอชซี และทำการทดลองมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดยืนยันการค้นพบอนุภาคใหม่ "เพนทาควาร์ก"
            นักวิทยาศาสตร์ซึ่งทำการทดลองด้วยเครื่องชนอนุภาคแอลเอชซีแถลงว่า มีการตรวจจับอนุภาคชนิดใหม่ที่มีชื่อว่า "เพนทาควาร์ก" (pentaquark) ในระหว่างการทดลองได้ โดยอนุภาคชนิดนี้ได้เคยมีการทำนายว่ามีอยู่ โดยใช้วิธีการคำนวณในทางทฤษฎีมาแล้ว เมื่อปี 1964 อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีผู้ที่สามารถทำการทดลองพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัดว่า อนุภาคดังกล่าวมีอยู่จริง
            ทั้งนี้ เพนทาควาร์กเป็นสถานะหนึ่งของควาร์ก หรืออนุภาคมูลฐานระดับย่อยที่สุด ซึ่งประกอบไปด้วยควาร์กห้าตัวรวมกัน โดยมีควาร์กปกติ 4 ตัว และแอนติควาร์กอีกหนึ่งตัว(สำนักข่าว : บีบีซี ไทย)

            จากเหตุการณ์ข่าวใหญ่ระดับมนุษยชาติทั้ง 2 ข่าว กับคำถามที่ว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง" ทำให้เรามองย้อนกลับเข้ามาในชีวิตจริงของเรา แน่ล่ะ ทั้งหลายทั้งปวงในชีวิตเราย่อมมีที่มาที่ไป เราจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องหรือไม่ จำเป็นต้องจำทุกสิ่งที่วิ่งผ่านเข้ามาหรือไม่ ไม่เลย เรารู้แค่บางเรื่องที่ดีงาม จดจำความงดงามก็เพียงพอ ยามท้อพักลงมองกลับไปในสิ่งเหล่านี้ ใช่...เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะความรัก ความเพียร ความศรัทธาในการทำดี เราจึงเห็นถึงความยิ่งใหญ่และคุณค่าของ "ชีวิต" แล้วลุกขึ้นเดินหน้าต่อไปสู่สันติสุขอีกครั้ง และอีกครั้ง... 

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่ทิ้งไว้กลางทาง

สิ่งที่ทิ้งไว้กลางทาง
            บทเพลงใหม่ของวง Potato ที่มีชื่อว่า “ทิ้งไว้กลางทาง” กำลังโด่งดังในหมู่วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว เพราะมีเนื้อหาโดนใจ ในยุคที่ความเหงากัดกินจิตใจคน Gen Y เรามักเห็นหลายคนทุรนทุรายกับความรัก ดูเหมือนว่าทุกคนจะเทิดทูนความรักกันมากมาย ยามรักกันต้องโชว์โอ้อวดผ่านสื่อส่วนตัวเพื่อให้โลกส่วนรวมชื่นชม ยามรักตรมน้ำตาขม ก็พร่ำเพ้อโลกใจร้าย โลกอยู่ยากบ้าง หาคนจริงใจรักแท้ได้จากไหนบ้าง คิดไปคิดมาการที่โลกวันนี้หาสิ่งที่เรียกว่า “รักแท้” ได้ยากนั้น เพราะเราให้ค่าของความรักเพียงเปลือกที่เปราะบาง มองสิ่งภายนอกที่ใช้แทนค่าของรักมาลำดับต้น ๆ ใช้เพียงความชอบในเรือนร่างมากกว่าความงดงามของจิตใจ เราใช้เรื่องเพศแทนค่าสิ่งที่รักกันมากเกินไป...บางสิ่งที่เราเห็นว่ามันยิ่งใหญ่ในวันนี้วันหน้าจะกลายเป็นเรื่องขี้ผง หากเราเข้าใจในความรักที่ต้องใช้หัวใจในการดูแลรักษา เราจะตระหนักได้ว่า บางสิ่งเราควรต้องทิ้งลงไปในระหว่างทางบ้าง
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            โดยเฉพาะสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ต้องพยายามทำให้เป็นผงเพื่อที่จะสลัดมันทิ้งลงไป แน่ล่ะพูดง่าย แต่เอาเข้าจริงเจอทุกข์โถมเข้าใส่ บางทีเราก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยการฝึกฝนหัวใจให้กล้าแกร่ง ต้องรู้จักที่จะบริหารชีวิตไม่ให้ทุกข์มาทำลายการเดินทาง เราควรทิ้งความทุกข์ไว้ในระหว่างทาง หาใช่ปล่อยตัวทรุดจมกองทุกข์ในระหว่างทาง ตลอดการเดินทางของชีวิตมีบ้างบางครั้งเราต้องหาจุดยึดที่จับเพื่อจะลุกแล้วก้าวต่อไปให้ได้ การปล่อยให้ชีวิตจมอยู่ไประหว่างทาง แล้วเห็นคนอื่นเดินทางห่างออกไปยิ่งทำให้เราทุกข์มากขึ้น อ่อนแอมากขึ้น ลองดูตัวอย่างเพื่อทำให้ชีวิตเราเข้มแข็งขึ้น จากเรื่องนี้
            ลูกสาวพ่อครัวคนนี้ทุกข์ตลอดเวลา ทุกข์กับคนนั้น ทุกข์กับคนนี้ อยู่ที่โรงเรียนก็ทุกข์ อยู่ที่บ้านก็ทุกข์ ทุกข์ง่ายสุขยาก อะไรที่จะเป็นทุกข์ได้ ก็อยากจะเป็นทุกข์กับเรื่องนั้น พ่อก็เป็นห่วงลูก ลูกมาปรับทุกข์กับคุณพ่อ ฟังแล้วก็น่าสงสาร พ่อคิดพิจารณาว่าจะสอนลูกอย่างไรดี
            พ่อฉุกคิดได้ พาลูกเข้าไปในห้องครัว เอาหม้อมาสามหม้อ ใส่น้ำไว้แล้วก็ตั้งไฟทั้งสามหม้อ รอให้น้ำเดือด หม้อตั้งไว้ดีแล้ว ก็เอาของออกจากตู้ มีแครอท ๑ หัว ไข่ไก่ ๑ ฟอง เมล็ดกาแฟสดจำนวนหนึ่ง
            พอน้ำเดือด พ่อครัวเอาแครอทลงไปในหม้อที่ ๑ ไข่ไก่ลงไปในหม้อที่ ๒ เมล็ดกาแฟสดลงไปในหม้อที่ ๓ แล้วก็ปล่อยให้เดือดพล่าน สัก ๑๐ กว่านาที พอเสร็จก็เอาแครอท ไข่ไก่ และเมล็ดกาแฟสดออกมา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            พ่อชี้ให้ลูกเห็น ดูสิลูก ธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน เดิมทีแครอทเป็นผักที่แข็ง แต่พอเจอน้ำเดือดกลายเป็นของอ่อนปวกเปียก
            ส่วนไข่ไก่ เดิมเป็นของแตกง่าย ข้างในอ่อน แต่พออยู่ในน้ำเดือดนาน ๆ มันกลายเป็นของแข็งเลย
            ส่วนเมล็ดกาแฟสด ใส่ลงไปในน้ำอย่างไรเอาออกมาก็อย่างนั้น มันไม่เปลี่ยน ยังรักษาความเป็นเมล็ดกาแฟของมันไว้ กลายเป็นน้ำต่างหากที่เปลี่ยนเป็นน้ำที่มีรสและกลิ่นหอม
            จิตใจของมนุษย์ก็เหมือนกันนะลูก พอมีการขยายความ บางคนดูแข็งแกร่ง แต่พอเจอความทุกข์ซึ่งพ่อเปรียบเหมือนน้ำร้อน ก็หมดกำลังใจ อ่อนปวกเปียกเหมือนแครอท บางคนเริ่มต้นอ่อนไหว เปราะบาง พอเจอปัญหา เจอความทุกข์ ก็เปลี่ยนเป็นคนแข็งกระด้าง ขึงขัง ตึงเครียด เหมือนไข่ไก่ที่ต้มน้ำแล้ว
            แต่บางคนเหมือนเมล็ดกาแฟ เจอน้ำร้อนก็ไม่เปลี่ยนสภาพความเป็นเมล็ดกาแฟ และยังสามารถปล่อยรสชาติเข้าไปในน้ำได้ ทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนเป็นน้ำที่มีรสน่าดื่ม น้ำที่หอม ตัวเมล็ดกาแฟก็เหมือนเดิมให้ลูกคิดดี ๆ ว่าต้องการเป็นคนแบบไหน ต้องการเป็นคนแบบแครอทไหม หรือจะเป็นคนแบบไข่ไก่ หรือจะเป็นคนแบบกาแฟสดดี
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ลูกก็ยอมรับว่าเหมือนกาแฟสดดี คือเราจะอยู่ในโลกที่ไม่มีปัญหา อย่าไปหวังเลยเหมือนกับหวังให้ทะเลไม่มีคลื่น ทะเลต้องมีคลื่น ชีวิตต้องมีปัญหา โลกสรรเสริญอยู่ที่ไหน นินทาอยู่ที่นั่น ลาภอยู่ที่ไหน เสื่อมลาภอยู่ที่นั่น อย่าไปหวังจะเอาแต่กำไรคือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อย่างเดียว โดยไม่ต้องขาดทุนเลย คิดอย่างนี้เจอทุกข์แน่ ๆ  (ที่มา: หนังสือ Why ไหว้ชยสาโรภิกขุ)

            ในโลกยุคก้มหน้ากดปุ่ม ผู้คนมักแสวงหาเทคนิควิธีที่ง่ายและเร็ว เพื่อแก้ปัญหาหรือทำเรื่องต่าง ๆ ให้ทันใจ ทว่าหลายเรื่องในชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ไม่มีสูตรสำเร็จ เราต้องเรียนรู้จักที่จะสลัดทุกข์ออกมาทิ้งไว้กลางทางบ้าง แล้วเดินหน้าต่อไป เจอทุกข์คราวใดก็ทำแบบนี้ ชีวิตย่อมเดินสู่ปลายทางอย่างเป็นสุข...

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อย่าปล่อยให้โลกสวยด้วยการยืนดู

อย่าปล่อยให้โลกสวยด้วยการยืนดู


            เวลากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดริมน้ำเจ้าพระยา ที่ที่จะต้องไปยืนมองยืนดูอยู่เป็นประจำทุกครั้งก็คือ ริมตลิ่งและมักจะเห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำ สีของน้ำ ทิศทางและร่องน้ำ ยิ่งช่วงปีหลัง ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา เริ่มเห็นสิ่งสร้างที่เรียกว่าผนังกั้นน้ำ แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า “เขื่อน” กำลังถูกก่อสร้างเป็นแนวยาวออกไปเรื่อย ๆ ตามข้างขอบตลิ่ง เพื่อเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันน้ำท่วม และเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาก็กลับมาที่เดิมนี้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ไปถึงช่วงบ่าย ๆ มีโอกาสไปยืนดูเห็นคนงานกำลังทำงาน เห็นความคืบหน้าไปมากทีเดียว แต่มีสิ่งที่สังเกตเห็น มันมีอะไรบางอย่างขัดแย้งในตัวมันเอง มีการก่อสร้างผนังกันน้ำ แต่น้ำในแม่น้ำกลับแห้งขอด ถ้ามองแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ก็คงต้องบอกว่า มันใช่เรื่องหรือ? ที่ต้องทำตอนนี้ ในวันที่น้ำท่าไม่มีและคงจะแล้งอีกเป็นปี น้ำท่วมคงไม่เกิดแน่ ๆ อันนี้เป็นความคิดเห็นแบบโลกวันนี้ ที่เห็นอะไรแล้วคิดออกมาทันทีทันใด แต่ในความเป็นจริงแล้วโครงการนี้มีมานาน เพื่อป้องกันดินริมตลิ่งพังทลาย ป้องกันน้ำที่จะท่วม และทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ เป็นปีแล้วเพื่อให้ครอบคลุมทั้งตำบล

            สิ่งนี้นี่เองที่ทำให้มานั่งคิดว่า หลายเรื่องราวในชีวิตหากเราไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว พูดไปก่อน ก็อาจจะทำให้สิ่งที่เห็นกับความจริงคลาดเคลื่อน ส่งผลร้ายให้กับผู้อื่นได้ ใช่หรือไม่ ในสังคมเราวันนี้มักเกิดเรื่องราวเช่นนี้มากมาย เรามักสร้างโลกให้สวยตามความคิดฝันของเราจากการมองเห็นเพียงครั้งแรก จากการยืนดู แต่ไม่เคยลงมือลงแรงทำหรือสืบสาวราวเรื่อง พินิจพิเคราะห์ให้ดีเสียก่อน บางสิ่งจึงไม่เป็นอย่างที่เราเห็นเสมอไป
            ในยุคที่ผู้คนเสพติดสังคมออนไลน์ ยุคสังคมก้มหน้า จ้องมองแต่หน้าจอจนเกินกินเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตไปอย่างสิ้นเปลือง และน่าเสียดาย เรื่องราวข่าวคราวไหลลื่นรูดดูรูดอ่านเกือบทุกวินาที ยิ่งหากใครมีเพื่อนในวงสังคมมากก็ยิ่งต้องไล่เรียง ไล่ล่าอ่านข้อความที่เพื่อนส่ง เพื่อนแชร์อยู่ตลอดเวลา หากใครรับข่าวสารผ่านทางสำนักข่าวต่าง ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เพราะว่าในแต่ละที่ต่างแข่งขันขยันส่งข่าวกันเสียเหลือเกิน ยิ่งส่งมามากยิ่งยั่วให้เราต้องเปิดอ่าน นั่งไล่อ่านที่มีความเคลื่อนไหวบนหน้ากระดานไฟฟ้าตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะตกข่าว ตกเทรนด์ กลัวเป็นคนล้าหลังตามเพื่อนไม่ทัน ยิ่งใครมีข้อมูลมากยิ่งดูเหมือน ขอย้ำว่า ดูเหมือนจะเป็นคนเก่งกว่าคนอื่น เราถูกค่านิยมนี้แฝงฝังแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
            เท่านั้นยังไม่พอ เราชอบที่จะหลงเข้าไปอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ของใครก็ไม่รู้ที่เข้ามาแสดงทัศนะเกี่ยวกับเรื่องราวข่าวคราวอันนั้น ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของคนดัง คนมีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดงด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าไปสรรหาคำมาจากไหนกันนักหนา พูดก็พูดเถอะ ถ้าคนในสังคมออนไลน์ใช้ความขยันแบบนี้ไปรังสรรค์การงาน ไปคิดสร้างสรรค์สังคมรอบ ๆ ข้างตัวเอง คงจะเป็นการทำให้โลกนี้ศิวิไลซ์ ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
            แต่เอาเข้าจริงหาใช่เป็นเช่นนั้นน่ะสิ เพราะเห็นแต่คนชอบพูดชอบแสดงทัศนะ แต่ไม่มีทักษะในการสร้างสรรค์ เพราะสิ่งที่เราเห็นที่เราพูดวิพากษ์วิจารณ์นั้นมันง่าย ให้ทำจริง ๆ มันยากยิ่งนัก เหตุเพราะสิ่งที่เราเห็นมันเป็นเพียงภาพในชั่วขณะนั้น แต่ก่อนหน้าและหลัง อะไรคือที่มาที่ไป เราแทบไม่ได้รู้ได้เห็นเลย ฉะนั้นแล้ว การที่เราจะไปประเมินค่า กล่าวดีกล่าวร้ายใครนั้น ไม่ใช่เพียงดูผิวเผินเท่านั้น แม้แต่จะรู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องมองให้ลึกลงไปอีกขั้น เราต้องดูที่เจตนาในการกระทำ ต้องดูด้วยว่ากระทำเพราะเหตุใดเพื่อช่วยผู้อื่นหรือเพื่อตัวเขาเอง ไม่ง่ายเลยที่เราจะเห็นแล้วพูด ยิ่งเป็นการมักง่ายไปที่อ่านข้อความเพียงไม่กี่บรรทัดและเอาบรรทัดฐานตัวเองไปตั้งค่าให้คนอื่น
           
ในชีวิตจริงเรามักจะเห็นหลายคนเก่งตอนที่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว และพูด “ว่าแล้ว” เหมือนกับคนซื้อหวยที่มักมาตีตัวเลขตรงหลังหวยออกแล้วทุกครั้งไป จับโน้นนี่นั่นมาเพื่อกลับไปกลับมาจนเลขตรงกับหวยที่ออก ก่อนหน้านั้นคิดไม่ได้ เหมือนกับเรานั่งเชียร์กีฬาหน้าจอ หรือบนที่นั่งในสนาม แล้วก็ใส่อารมณ์ว่า “ทำไมไม่เล่นอย่างนั้น อย่างนี้ ทำไมไม่แก้เกมโน้นนี่นั่น” ใช่หรือไม่ การอยู่วงในกับวงนอกมันแตกต่างกัน การลงไปในสนามย่อมมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามและเล่น หรือแก้เกมได้ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น นี่กระมัง ที่ทำให้เราติดนิสัยที่เห็นเรื่องราวต่าง ๆ แล้วก็เที่ยวบอกว่าทำอย่างนั้นสิ ทำอย่างนี้สิ เก่งอยู่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งกลายเป็นนิสัยไม่ยอมรับความสามารถของผู้อื่นไป หรือไม่ก็ชอบยืนมองแล้วพูดให้สนุกปาก พูดเพื่อสะใจเท่านั้นเอง

            หลายคนสร้างโลกสวยผ่านทางการพูดมากกว่าการลงมือทำ ผ่านทางข้อความที่สวยงาม ผ่านทางทัศนะคติที่บรรเจิด ผ่านการขยายความตามทัศนะของข้าพเจ้าแล้วข่มให้คนอื่นคล้อยตาม แต่ไม่เคยลงมือทำอะไรเลย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเตือนว่า “คริสตชนที่ดีต้องหยุดเป็นโค้ชหรือคนดู แต่ต้องลงไปในสนามจริง ๆ” แล้วเราเป็นคริสตชนที่ดีแล้วหรือยัง ...