วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

อวดกิน อวดเก่ง อวดเกียรติ

 

อวดกิน อวดเก่ง อวดเกียรติ

>>> ขอเพียงให้เรารู้จักความพอดี รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งที่เรามี อย่างมีความสุข <<<

ในวันนี้เราหลายคนตกหลุมพลาง ล่องลอยไปในกระแสธารแห่งการเสพติด การบริโภคเกินงาม แล้วนำมาโอ้อวดกัน ใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเรามีของกินที่เกินอิ่ม เพียงเพื่อต้องการบอกคนอื่นถึงความอู้ฟู้ ทั้ง ๆ ที่ บางทีเราเพียงต้องการกินอิ่มเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น มิใช่กินอัดจนอึดอ้วน สนุกตอนกิน ทุกข์ตอนโรคมาเยือน สังคมบ่งเพราะเราให้บริโภค ทั้งอาหารการกิน ทั้งข้อมูลข่าวความบันเทิงที่เกินงาม ความวุ่นวายทั้งหลายมันก็มาจากการเกินความพอดี เก็บ กอบโกย กินโกง เอามาเป็นของตนคนเดียว ก็รู้อยู่ว่า ไม่มีใคร หรือสิ่งไหน ๆ คงอยู่ตลอดไปโดยไม่สูญสิ้น แต่เราก็ทำกันจนชิน และกลายเป็นนิสัยที่ต้องอวดออกสื่อโซเชี่ยล


ไม่มีใครเก่งทุกเรื่อง เพียงแค่ว่า รู้ก่อนรู้หลัง ก็เท่านั้น แต่ทุกวันนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ เรามีผู้รู้เต็มบ้าน มีผู้สันทัดกรณีเต็มเมือง แล้วก็เอามาอวดด้วยการหยิบยกความนั้นมากดทับคนอื่น มาวิจารณ์ด่าทอกล่าวหากัน ในความเป็นจริงของโลกตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เรารู้ว่า “การพูด” มีคุณค่า แต่หลายครั้ง “การไม่พูด” กลับมีคุณค่ายิ่งกว่า มันอยู่ที่ว่า เราสามารถ เข้าถึงสิ่งนั้นได้แท้จริงหรือไม่ เราลึกซึ้งกับความรู้นั้นเพียงใด คนเก่งที่เป็นตำนานกล่าวขานถึงวันนี้ ส่วนมากเก่งเพื่อคนอื่น เก่งแบบกล้าหาญ มิใช่เก่งแบบก้าวร้าว

สิ่งที่อ่อนโยนที่สุดในใต้หล้า กลับสามารถสยบสิ่งที่แกร่งที่สุดในปฐพี และได้รับเกียรติอย่างแท้จริง ไม่เหมือนเกียรติจอมปลอมที่เราต่างก็แสวงหามาประดับสวมใส่กัน เราต้องการการยอมรับ จนเลยเถิดกลายเป็นหลงในเกียรติยศ แล้วคิดว่านั่นคือความสำเร็จที่สุดของชีวิต บ่อยครั้งไปคนที่ได้รับเกียรติโดดเด่นก็กลายเป็นคนโดดเดี่ยว  ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่ทุกคนที่คู่ควรที่จะอยู่ในชีวิตเรา ไม่ใช่ทุกคนที่ดีอย่างที่เราเห็น และไม่ใช่ทุกคนที่เป็นอย่างที่เราคิด แต่เราต่างหากต้องเป็นเราที่ไม่พยายามไขว่คว้าหาความสุขในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อยู่กับปัจจุบันให้ได้ อยู่กับใจของเราที่สงบให้เป็น แล้วเราจะรู้ว่า ความสันติสุขแห่งจิตวิญญาณนั้นงดงามเพียงใด

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ทุกการเปลี่ยนผ่าน

 

ทุกการเปลี่ยนผ่าน

>>> การเปลี่ยนแปลงทำให้เจ็บปวด แต่หากไม่เปลี่ยนแปลง อาจเจ็บปวดตลอดไป >>>

เช้าวันพุธและวันพฤหัสฯที่ผ่านมา ฝนโปรยโรยร่วงลงมา อย่างไม่ลืมหูลืมตา จากที่เมืองกรุงปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงพิษ เป็นเมืองในม่านหมอก ฝนที่ฟ้าประทานลงมาก็ทำให้อากาศดูจะแจ่มใส ไร้มลพิษได้บ้าง บางทีการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะนำมาซึ่งความดีงาม หากแต่ชีวิตจริงของคนเรามักไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะติดยึดกับสิ่งที่เคยเป็นอยู่ ทั้ง ๆ ที่ทุกวินาที โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นเราเองต่างหากที่ยังจมอยู่กับที่

เป็นเรื่องยากที่ใครคนใดคนหนึ่งจะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงโดยที่ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปแล้วชีวิตจะดีขึ้นไหม เรามักจะกังวล กระวนกระวายเสมอ โดยเฉพาะในสายตาคนอื่น เปลี่ยนแล้วหากไม่ได้ดีขึ้นคนจะสมน้ำหน้าไหม เปลี่ยนแล้วจะเป็นดังหวังดังที่คุยไว้ จะถูกเยาะเย้ยหรือเปล่า เรามักฝากชีวิตไว้กับความคิดคนอื่น ไม่ต่างอะไรกับลิงน้อยตัวนี้

ลิงน้อยตัวหนึ่ง ต้องการเป็นมนุษย์ มันรู้ การจะเป็นมนุษย์ได้ ต้องตัดหางของตัวเองทิ้ง เจ้าลิงน้อยตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะตัดหางของตัวเอง ขณะที่มันกำลังจะตัดหางของมันนั้น มันก็ถูกความกังวล 3 ประการรุมเร้า

ประการแรก ตัดหางของตัวเองมันเจ็บปวดและทรมานมากนะ  ประการถัดมาหากตัดหางออกไป เราจะยังวิ่งไปมาอย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิมได้หรือไม่? และสุดท้ายหางอยู่กับเราตั้งแต่เกิด ตัดหางไปก็เหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง ที่สุด ลิงก็ยั้งมือไว้ และก็โยนมีดทิ้ง ด้วยเหตุผลที่มันคิดไปนานัปการ  (Cr:นุสนธิ์บุคส์)


การเปลี่ยนแปลง คือ ความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงมักลำบากใจเสมอ แต่มันก็อาจจะเพียงขณะหนึ่งเท่านั้น เหมือนดอกไม้จะมีสวยงามที่สุดก็ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นเหี่ยวเฉาไป แต่คุณค่าของมันย่อมตรึงตาตรึงใจในช่วงยามที่เบ่งบานที่สุด แต่สำหรับเราแล้ว พระเจ้าประทานเวลาให้เรายาวนาน เพื่อเราจะรู้จักเปลี่ยนและเบ่งบานความดีได้หลายช่วงเวลา พร้อมทั้งหากเรามั่นใจในพระองค์ เราก็กล้าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเราให้ดีขึ้นเสมอ แม้จะเจ็บปวดบ้างในบางครั้ง.....

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ใจร้อนกันจัง

 

ใจร้อนกันจัง

<<< ชนะก็มีคนรัก แพ้ก็มีคนไล่ >>

แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในตุรกีและซีเรียทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ขอเราร่วมกันภาวนาส่งใจไปให้เพื่อนร่วมโลกของเราผ่านพ้นความทุกข์ยากเหล่านี้ไปโดยเร็ววัน…. ในวันที่เรามีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทำให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย สามารถจะติดต่อสื่อสารกับคนทั้งโลก ย่อโลกให้แคบลง ลดขั้นตอนการสื่อสารสั้นลง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ เราต่างใจร้อนใจเร็วกันมากขึ้น เอาแต่ใจ เต็มไปด้วยคำด่าทอ ความคิดเห็นและการวิจารณ์ที่ไม่ได้ผ่านการพิจารณาด้วยวิจารณญาณ ลามไปถึงวงการกีฬา จ้องแต่จะให้ทีมที่ตนรักที่ตนเชียร์ต้องชนะตลอดเวลา เรื่องการบริหารบ้านเมือง หากไม่ได้ดังใจเป็นต้องไล่ออก เราไม่ค่อยให้โอกาสกัน ความสวยงามก็เลยหายไปจากหัวจิตหัวใจของเรา บางทีความงามไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เห็น แต่มันอยู่ที่การให้โอกาสและความพยายามของเราต่างหาก


นักเดินทางคนหนึ่ง ขึ้นเขามาเพื่อดูสวนดอกไม้ แต่สวนนั้นกลับไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดหวังไว้ ใกล้ ๆ มีเด็กชายนั่งพักเหนื่อยอยู่ นักเดินทางจึงระบายให้เด็กเด็กชายฟังไปว่า “พี่ขอบ่นอะไรหน่อยนะ เดินมาก็เหนื่อย กระเป๋าก็หนัก แล้วยังไง ขึ้นมากลับไม่ได้สวยงามขนาดที่หวังไว้ น่าผิดหวังจริง ๆ  วันนี้ถือเป็นวันแย่ แล้วรู้ไหม กว่าที่พี่จะมา กว่าจะลางาน ทะเลาะกับแฟน ไหนเงินที่จะไม่พอใช้สิ้นเดือน แล้วไงความสบายใจกับสวนดอกไม้ไม่มีเลย เซ็งจริง ๆ น้องว่าไหม” นักเดินทางพูดอย่างอารมณ์เสีย

เด็กชายยิ้มแล้วถามกลับว่า “สวนดอกไม้ไม่สวยขนาดนั้นเลยเหรอครับ แต่ผมว่ากลิ่นมันหอมมาก ๆ เลยนะครับ และผมก็แสนจะภูมิใจที่ผมเดินทางขึ้นมาถึงที่นี่จนได้” นักเดินทางงงในคำพูดของเด็กชาย เมื่อมองใกล้ ๆ จึงพบว่า เด็กชายตามองไม่เห็น และขาข้างซ้ายของเด็กชายก็เป็นขาเทียม นักเดินทางพูดอะไรไม่ออก เด็กชายจึงพูดต่อไปว่า “คนทั้งหลายต่างพร่ำที่จะเล่าเรื่องความทุกข์ของตัวเอง จนลืมไปว่า หากเราเลือกที่จะเป็นผู้ฟัง ฟังเรื่องของคนอื่นสักนิด ปัญหาชีวิตที่เราเผชิญอยู่ อาจกลายเป็นแค่เรื่องเศษผงเลยก็ได้นะครับ พี่โชคดีกว่าผมนะครับ แต่ผมไม่ใช่คนโชคร้ายหรอก แค่ผมต้องพยายามมากกว่าปกติแค่นั้นเอง ทุกครั้งเมื่อความพยายามมันสำเร็จ ผมจึงมีความสุขมาก ๆ ครับ” เด็กชายตอบพร้อมสูดกลิ่นดอกไม้หอม ๆ อย่างชื่นใจ นักเดินทางไม่ตอบอะไร ได้แต่นั่งลงข้าง ๆ หลับตาแล้วสูดกลิ่นดอกไม้หอมพร้อมกับพูดว่า “พี่ว่าพี่คุ้มแล้วล่ะ ขอบคุณนะไอ้น้องชาย” เครดิต  :  นิทานยิ้มหวาน

การให้ที่สำคัญคือการให้โอกาส ทั้งต่อตัวเองและคนอื่น ลดการต่อว่าต่อขานทุกสิ่ง หยุดมองหยุดไตร่ตรองในทุกเหตุการณ์ ในวันนี้มันอาจจะยากสักหน่อย แต่พยายามทำกันเถอะ เพื่อเราจะพบสันติสุขในชีวิตมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

รักพระเจ้าในบางเวลาหรือเปล่า

 

รักพระเจ้าในบางเวลาหรือเปล่า

>>>ไม่ว่าอุปสรรคใด ๆ ล้วนมีพระจ้าให้โอกาสทำให้เราได้แก้ไขก้าวข้ามผ่านไป<<<

ทุกวันที่ 1 กับวันที่ 16 ดูเหมือนจะเป็นวันแห่งความหวังของใครหลายคน ยามเช้าฝันหวานวาดฝัน วางแผนหากถูกรางวัล พอตกเย็นก็จะดูห่อเหี่ยวแห้ง โรคซึมเศร้าถามหา บางคนก็ต่อว่าโชคชะตา แต่เมื่อถึงรอบต่อไปก็เริ่มใหม่  บ่อยครั้งบนหนทางชีวิตของคนเรา ไม่ว่าเราย่างก้าวได้ราบรื่นเพียงใด ทว่า..ขอเพียงเราประสบพบเจอเรื่องบางเรื่องที่ไม่ราบรื่น ก็มักจะมีความเคยชินบ่นตำหนิพระเจ้าหรือชะตาฟ้าดินกลั่นแกล้ง ไม่ให้ความเป็นธรรม ครั้นเมื่อเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ไปต่อไม่เป็น ก็จะวิงวอนพระเจ้า ขอพละกำลังช่วยให้เราก้าวผ่านพ้นอุปสรรค ก็จะวนเวียนเช่นนี้ตลอดมา แต่..ในความเป็นจริงแล้ว พระเจ้านั้นยุติธรรมเสมอ เป็นเราเองที่จะเลือกคิดถึงพระองค์ในยามทุกข์ในยามมีปัญหามากกว่า  ทั้ง ๆ ที่ทุกสถานการณ์พระองค์ไม่เคยจากเราไป “เราอยู่ที่นี่” 


 

แล้วเราจะเห็นพระเจ้าบ่อย ๆ ได้อย่างไร เอาง่าย ๆ ในความมีเมตตา ในการทำความดีด้วยการสละแรงกายแรงใจเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เป็นวิถีที่ทำให้เราได้เข้าใจการประทับอยู่ของพระเจ้า ที่มีเมตตาและปรารถนาดีต่อทุกสรรพสิ่ง ไม่มีแบ่งแยก ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความเมตตาและความปรารถนาดีได้ทั่วถึง เมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เพียงแต่คนเหล่านั้นที่จะได้รับประโยชน์จากการเสียสละของเรา แต่ตัวเราเองก็จะได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมาอย่างมากเช่นกัน

ใช่...ความสมบูรณ์พูนสุขอาจไม่อยู่ตลอด ความตกต่ำอาจจะกลับมาเยือน เมื่อเราได้ดีแล้วจงเปิดทางรอดให้คนอื่นบ้าง เผื่อถึงคราวเรา จะทำให้เราไม่พบเจอทางตัน เมื่อเราเป็นสุขแล้วจงช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์บ้าง ครั้นถึงคราวเรา จะทำให้เรามีหมู่มิตรคอยช่วยเหลือ เมื่อเราอิ่มแล้ว ก็จงช่วยให้คนอื่นพ้นจากความหิวโหยบ้าง เพราะเมื่อถึงคราวเรา จะทำให้เราไม่ตกอับ เราทำอะไรออกไป ก็จะได้กลับคืนมาอย่างนั้น อย่ามัวแต่เป็นฝ่ายขอและรอรับ ต้องรู้จักให้และแบ่งปัน นี่แหละพระเจ้าอยู่กับเรา ทรงรักเราเสมอ เพียงแต่เราจะเลือกรักและคิดถึงพระเจ้าในเวลาใดบ้าง???