เรียน (เลียน)
คำสอนพ่อ ๗
บทที่ ๗หนังสือเป็นออมสิน
“หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา
ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้าย ๆ
ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้” (พระบรมราโชวาท
พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๔)
เคยมีคนตั้งคำถามบ่อย
ๆ ว่า นำเอาอะไรที่ไหนมาเขียนบทความได้เกือบทุกสัปดาห์ มักจะตอบกลับไปว่า “ได้มาจากสิ่งที่อ่าน”
ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา การอ่านคือกิจวัตรประจำวัน ที่พยายามทำมาตลอด
อาจจะเป็นเพราะแบบอย่างที่เห็นจากพ่อเมื่อครั้งวัยเด็ก ถ้าพ่อมีเวลาว่างพ่อจะหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน
อ่านในทุกหน้า แม้กระทั่งหน้าโฆษณา อ่านแม้กระทั่งถุงใส่กล้วยทอด อ่านหนังสือทุกอย่างทุกประเภท
พ่อเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ถ้าถามเรื่องการบ้านการเมือง
เรื่องต่างประเทศพ่อมักมีคำตอบที่น่าสนใจเสมอ
สิ่งนี้จึงเป็นมรดกตกทอดในเรื่องของการอ่าน การซื้อหนังสือคือสิ่งหนึ่งในชีวิตที่ไม่เคยคิดเสียดายที่ได้จ่ายเงินออกไป
ผลจากการอ่านหนังสือทำให้การคิดเรื่อง การผลิตคำที่จะเขียนที่จะพิมพ์ออกมาเป็นเรื่องไม่ยากนัก
เพราะคำในคลังที่เราอ่านมานั้นมันเก็บสะสมเอาไว้ในธนาคารสมองที่พร้อมจะออกดอกผลเมื่อเราคิดถึงเรื่องราวนั้น
ครั้นยุคสมัยเปลี่ยนแปลง การอ่านเปลี่ยนไป จากหนังสือก็หาอ่านจากอินเตอร์เน็ตและทางสื่อสมัยใหม่มากขึ้น
การอ่านจากหนังสือเริ่มน้อยลงต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความหลากหลายทำให้สมาธิการอ่านลดน้อยลง
การอ่านก็เหมือนกับการออกกำลังกาย
แต่เป็นกำลังสายตา และกำลังสมอง
สมองก็ต้องการการออกกำลังเพื่อให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีอยู่เสมอเช่นเดียวกับร่างกาย
การอ่านหนังสือทำให้สมองของเราได้คิดและได้ทำงานตลอดเวลา
ซึ่งทุกครั้งที่มีความทรงจำใหม่ ๆ สมองก็จะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้
และเรียกกลับมาเมื่อเราต้องการใช้งาน ยิ่งอ่านหนังสือมาก
สมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจดจำก็จะได้ทำงานมากขึ้น ทุกอย่างที่ได้อ่านจะเป็นการเพิ่มเติมความรู้ทั้งสิ้น
แน่นอนเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้องนำความรู้เหล่านั้นออกมาใช้เมื่อไร?
ยิ่งมีความรู้มาก ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่าง ๆ
ได้อย่างชาญฉลาด อ่านหนังสือมากก็อ่านผู้คนและเหตุการณ์ต่างๆได้ไม่ยากนัก สิ่งของหรือเงินทอง
อาจถูกขโมยไปได้ แต่ความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเอาไปได้
การอ่านช่วยให้มีทักษะในการคิดเชิงวิเคราะห์นำมาซึ่งความรอบคอบสุขุมในการคิดแก้ปัญหาต่าง
ๆ เราจะเห็นว่าในยุคเฟื่องของข้อมูลข่าวสาร จริงบ้างเท็จก็ไม่น้อย
มีนับร้อยนับพันอ่านกันแบบเพียงผ่าน ๆ แล้วก็นำไปพูดนำไปวิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นแบบผิด
ๆ มีมากขึ้นทุกวัน การอ่านแบบนี้จึงไม่ช่วยให้เราพินิจพิเคราะห์สิ่งที่ผ่านตาเราได้เลย
ความหลากหลายในการสื่อสารเช่นนี้ดูเหมือนทำให้เกิดการอ่านมากขึ้น
แต่แท้จริงแล้วกลับตรงข้ามมันทำให้เราเสียสมาธิ มีเรื่องต่างๆ มากมายที่ดึงดูดความสนใจของเรา
เช็กอีเมล เช็กข้อความ แชทกับเพื่อน อ่านสเตตัส ดูโทรศัพท์มือถือ
ทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดลง และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียดได้ การอ่านหนังสือควรอ่านเรื่องหนึ่ง
เล่มเดียว ก่อนเริ่มทำอย่างอื่นสัก 15 – 20 นาที สามารถช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น
และทักษะเชิงวิเคราะห์ก็จะตามมา
อีกสิ่งหนึ่งหนังสือยังเป็นตัวจุดประกาย
และเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้เราก้าวหน้าก้าวเดินต่อไป ใช้ชีวิตแบบมีคุณค่า มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น
อยากทำนั่นอยากทำนี่ แต่ก็มีกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานอีกหลายอย่างที่ขวางกั้นไม่ให้เราทำทุกสิ่งได้ดังใจหวัง
การอ่านจึงเป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ทางอ้อมให้กับเรา ใครล่ะจะรู้ว่าเมื่อถึงคราวที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
ประสบการณ์ทางอ้อมที่เราได้รับจากการอ่านจะช่วยเราไว้ได้
เมื่อพูดถึงการอ่านหนังสือ
ต้องคิดถึงคนญี่ปุ่นที่อ่านหนังสือเฉลี่ยคนละ
40-50 เล่มต่อปีเลยทีเดียว การอ่านหนังสือสำหรับคนญี่ปุ่นนั้นได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก
จะเห็นว่าเด็กญี่ปุ่นเติบโตมากับหนังสือตั้งแต่การอ่านการ์ตูนมังงะ ที่มีภาพประกอบซึ่งเป็นการช่วยให้เด็กอยากอ่านหนังสือมากขึ้น
และอีกทั้งมีเนื้อหาที่สนุกสนาน และก็กลายเป็นนิสัยติดตัวชาวญี่ปุ่นมาจนโต
เราไม่เคยเห็นคนญี่ปุ่นละทิ้งการอ่านหนังสือเลย นอกจากนี้ก็ยังมีการจัดงานที่เรียกว่า
สัปดาห์แห่งการอ่านหนังสือของญี่ปุ่นด้วย เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน สิ่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนึกถึงคือ
“การอ่านหนังสือ” การส่งเสริมการอ่านหนังสือเป็นนโยบายทางการศึกษาที่รัฐบาลญี่ปุ่นทุ่มงบประมาณอย่างเต็มที่
การอ่านหนังสือที่มีเรื่องราวดี
ๆ สิ่งดีก็จะถูกเก็บสะสมเอาไว้ และพร้อมที่จะเกิดดอกออกผล และถ้าหากเราปรารถนาที่จะเป็นคนดี
เป็นคนที่มีคุณค่าเราก็ต้องเริ่มสะสมสิ่งที่ดี ๆ ที่มีคุณค่าตั้งแต่วันนี้
สำหรับเราคริสตชนเรื่องราวที่ดีมีให้เราอ่าน ให้เราฟังมาอย่างยาวนานแสนนาน
หากเราตั้งมั่นในปณิธานในการก้าวสู่ความดีงาม หนังสือพระคัมภีร์คือสิ่งที่เราควรหยิบมาอ่านเพื่อให้ความดี
ความรัก ดำรงอยู่ในตัวเรา และกระจายออกไปสู่สังคมรอบตัวเรา
สร้างความผาสุกให้กับทุกผู้คนตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น