วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สื่อใหม่ : เหรียญสองด้านถึงอย่างไรก็ต้องใช้

สื่อใหม่ : เหรียญสองด้านถึงอย่างไรก็ต้องใช้

เมื่อวันนี้ วันที่เทคโนโลยีถูกพัฒนามาอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรวดเร็วและเข้าสิงสถิตในชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก มันกลายเป็นสิ่งหนึ่งส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เข้ามายืนอยู่หน้าประตูและก้าวเข้ามาอยู่กินกับเราอย่างไม่ทันตั้งตัว ใช่ เราใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่กันจนกลายเป็นเรื่องสามัญประจำสังคม เราติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น ได้มากขึ้น แต่สารนั้นมันคือขยะดิจิตอลหรือเปล่า เรามีเครื่องไม้เครื่องมือแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตกันและกัน แต่มันได้ช่วยลดการแข่งขันลงได้บ้างหรือเปล่า เราสัมพันธ์กับผู้คนมากหน้าหลายตามากขึ้น แต่เราพร้อมเป็นลานสาธารณะให้ผู้คนได้พึ่งพาหรือเปล่า ...

สื่อใหม่ คำๆนี้เริ่มมีใช้และเริ่มคุ้นหูได้สักประมาณ 2- 3 ปี ที่ผ่านมา สื่อใหม่คืออะไร ...สื่อใหม่ก็คือ เครื่องมือเพียงชนิดเดียวแต่สามารถทำอะไรๆได้มากมาย ใช้ได้กับสื่อหลายๆประเภท และใช้ติดต่อสื่อสารกันได้หลากหลายรูปแบบ โดยไม่จำกัดรัศมีควบคุม เป็นการรวมสื่อเข้าไว้ในที่เดียวกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ง่ายดาย โดยไม่ต้องแยกประเภทของเครื่องรับ เรียกว่า All in One

สื่อใหม่มักมาพร้อมกับวัฒนธรรมใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กวัยรุ่นมักไม่พูดคุยกันด้วยปาก แต่ใช้นิ้วมือพรมพิมพ์ สนทนาผ่านเครื่องมือสมัยใหม่ ประดิษฐ์ถ้อยคำ สัญลักษณ์เพื่อให้สั้นกระชับ พูดยาวสาวความกันไม่ค่อยเป็น สั้นจนเกิดความเข้าใจผิดคิดกันคนละเรื่องก็มากมี เรายังจะเห็นเด็กๆแสดงอารมณ์ผ่านทางสัญลักษณ์ในขณะที่ใบหน้ายังนิ่งเฉย บอกรักส่งความห่วงใยผ่านเส้นสายลายคลื่น แทนผ่านทางสายลม ใช้รหัสลับรหัสเร้น เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของผู้ปกครอง เกือบจะทุกผู้คนกลายเป็นช่างภาพ ถ่ายรูปได้ตามใจนึก โดยไม่ได้นึกถึงศิลป์และศาสตร์เพียงกระชากมือถือแล้วกดๆก็ได้ภาพสมใจ ชัดบ้างเบลอบ้างไม่สนส่งขึ้นออนไลน์ โลกทั้งใบก็สามารถเห็นภาพนี้ได้เพียงชั่วกระพริบตา และยิ่งหากเมืองไทยเราผ่านกฎหมายเรื่องการใช้ระบบ 3 G การสื่อสาร ก็จะส่งผลให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น (3 G คือ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว ดูหนัง ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ สั่งซื้อของ จ่ายเงิน จ่ายค่าโน่นค่าหนี้ (นี่) ได้สารพัด มีความเร็วสูงในการอัพโหลด ดาวน์โหลด)

และตรงความรวดเร็วนี่แหละจะนำมาซึ่งปัญหา จะมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ความเป็นส่วนตัวจะถูกถ่ายทอดสู่สาธารณะกันอย่างง่ายดาย จะมีการสร้างเรื่องสร้างกระแสกันอย่างอึกทึกครึกโครม เป็นแหล่ง เป็นตลาดการค้า ทางธุรกิจแนวใหม่และอาจจะกลายเป็นแหล่งอาชญกรรมได้อีกด้วย นอกจากนี้ สิ่งเหล่านี้จะเปิดกว้างสำหรับผู้ไร้โอกาสในการสร้างสรรค์ ก็สามารถที่จะแสดงผลงานและฝีมือเพื่อให้โลกได้ตะลึงทึ่งจะกลายเป็นแหล่งที่ทำให้เราค้นพบ ต่อยอดการพัฒนาทางด้านต่างๆได้อีกมากมาย.. ถามว่าแล้วเราจะปรับตัวกันอย่างไร เชื่อได้เลยว่า เราไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย สิ่งเหล่านี้จะซึมลึกลงสู่สายเลือดให้เราเลือกใช้ เลือกหากันอย่างไม่ขวยเขินและเนียนที่สุด

แต่หลายคนก็บอกว่า สื่อใหม่นี้เปรียบดังเหรียญสองด้าน มีทั้งบวกและลบ แต่..ใช่หรือไม่ เวลาเราใช้เหรียญเรามักจะไม่ดูว่าใช้ด้านไหนซื้อของ ใช้ด้านไหนในการจับจ่าย แต่เรามักจะมองมูลค่าของเหรียญต่างหาก สื่อใหม่ก็เช่นกัน อย่างไรเสียเราก็ต้องใช้ มันจะมาประจำอยู่ในชีวิตของเรา เวลาเราใช้ก็จงอย่ามองเพียงด้านใดด้านหนึ่งแต่ต้องคำนึ่งถึงคุณค่าของสื่อที่เราจะใช้นั้นต่างหาก และสื่อที่สำคัญนั้นหาใช่เครื่องไม้เครื่องมือไม่ ตัวเราต่างหาก คือ สื่อชั้นยอด เรากำลังอยู่ในยุคสื่อใหม่แต่ใจเราได้ปรับปรุงใหม่ให้งดงามอยู่ตลอดหรือเปล่า เป็นสิ่งที่เราต้องถามไถ่ตัวเองอยู่เสมอ

สื่อใหม่ยังไงก็เป็นเพียงเครื่องมือ เป็นพาหนะที่จะนำความเมตตา นำความรัก ความสัมพันธ์ของคนต่อคนได้ง่ายดายยิ่งขึ้น หากหลงประเด็นใช้สื่อเป็นตัวหลักเป็นตัวจักรในการขับเคลื่อนหนทางชีวิต ความรวดเร็วของมันก็อาจจะทำให้ชีวิตของเราเรรวนซวนเซได้เหมือนกัน เป็นการง่ายมากหากเราจะเปิดเผยถึงคุณค่า คุณธรรม ความเชื่อ ความดีงามแห่งชีวิตที่เรามี ที่เรายึดถือ เพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้เห็นความจริงและความงามของชีวิตคริสตชนของเรา พระเยซูคริสตเจ้าก็จะได้รับการเปิดเผยแล้ว ยุคนี้เป็นยุคที่เรามีขุมทรัพย์ในการที่จะสร้างความดี สร้างโลกแห่งสันติสุขได้ง่ายขึ้น โลกเปิดด้วยเทคโนโลยี แต่ใจคนควรเปิดด้วยความดี ความงาม ความเมตตาอาทรที่มีต่อกัน

องค์สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญของสื่อใหม่ พระองค์จึงทรงมอบหัวข้อในวันสื่อมวลชนสากล ครั้งที่ 44 นี้ว่า พระสงฆ์และงานอภิบาลในโลกดิจิตอล : สื่อใหม่เพื่อนำเสนอพระวาจา การใช้สื่อสมัยใหม่เพื่อนำพระวาจา และนำความรักของพระเจ้าให้โลกกว้างได้รับรู้ จึงเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำหรับเราคริสตชนคนรุ่นใหม่ ที่ต้องอยู่ในโลกดิจิตอลให้ได้อย่างมีคุณค่า

เช่นกันหากว่าโลกมีระบบ 3 G ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เราก็ต้องไม่ลืมว่าในชีวิตคริสตชนก็มี 3 G (GOD) พระบิดา พระบุตรและพระจิต ซึ่งมีพร้อมอยู่ในเราทุกคน นั่นคือ ชีวิต ร่างกาย และจิตใจ เพื่อให้งานอภิบาลของเราเดินหน้าควบคู่กับสื่อใหม่ สิ่งใหม่ เราต้องใช้ทั้งสามสิ่งเหล่านี้ในการสื่อสาร เพื่อว่าสารแห่งรักจะได้ถูกสื่อออกไปอย่างถูกต้องและเปี่ยมไปด้วยคุณค่า นี่แหละการใช้เหรียญที่ไม่ต้องคำนึงว่าจะอยู่ด้านใดในชีวิตประจำวันของเรา...

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ใกล้ตาหาได้ใกล้กัน

ใกล้ตาหาได้ใกล้กัน

เคยคิดเล่นๆว่าไอ้อารมณ์เหงาๆ อารมณ์ที่รู้สึกโดดเดี่ยวของมนุษย์เรานี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน!!!! ใครหนอเป็นเจ้าของความเหงาคนแรก และด้วยอารมณ์เหงาแบบนี้หรือเปล่า จึงทำให้คนเราเริ่มต้นที่จะมองหาใครสักคนมาเป็นเพื่อน จากเพื่อนคนหนึ่งกลายเป็นสองเป็นสาม เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นสังคมขึ้นมา วัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะของเราเริ่มต้นมาจากความโดดเดี่ยว ความกลัว ความเหงาหรือเปล่า ...เราไม่รู้ รู้แต่ว่าอย่างน้อยในชีวิตของเราทุกคนต่างต้องการมีเพื่อน ต้องการมีคนที่สนิทสนม คนที่จะพูดคุยกันได้ แบ่งทุกข์ปันสุขกันได้ ถึงจะมีมากน้อยแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีกลุ่มชนคนของตัวเอง

โลกนี้เดินทางสู่ปีที่เท่าไหร่แล้วก็ยากที่จะบ่งบอก แต่ที่แน่ๆในทุกยุคทุกสมัย มนุษย์เรามักค้นคิด ค้นคว้า หาทางติดต่อสื่อสาร แสวงหาการพบปะสังสรรค์ รวมหมู่อยู่ร่วมด้วยกัน และมาถึงวันนี้ วันที่เทคโนโลยีสร้างโลกให้ไร้พรมแดน ติดต่อสื่อสารกันได้แม้ไกลคนละฟากฟ้าฟากฝั่ง สร้างชุมชนคนกันเองได้ง่ายขึ้น รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนในโลกไซเบอร์ เป็นคนที่พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ แลกเปลี่ยนแง่มุมความคิด โดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตา โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักมักคุ้น โลกแห่งการสื่อสารแนวใหม่ สร้างหนทางใหม่ผ่านเครื่องมือที่เพียงใช้นิ้วสัมผัส ก่อเกิดวัฒนธรรมใหม่ตามมา ...

เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้นมา คุณค่าของสิ่งเก่าๆก็ถูกลดทอน สิ่งที่งดงามกลับห่างหายไปจากชีวิตเราอย่างน่าใจหาย ในบางครั้ง นั่งอยู่ใกล้ๆกันแค่เอื้อมมือมดแต่กลับจดจ้องส่งข้อความผ่านเครื่องสื่อสารหากัน ตาไม่จ้องตา แต่ตาจ้องจอ แล้วจะรู้ใจกันได้อย่างไรเล่าใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเราอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งแต่เรากลับไปพูดคุยกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ ฉัน-เธอ เพื่อนเกลอเก่านั่งกินข้าวด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ฉันกลับส่งไปให้คนไกลคนใหม่ ใช่หรือไม่ ความสำคัญของคนใกล้ตาเริ่มจางลง เราไม่ค่อยพูดคุยกันต่อหน้า ไม่ค่อยได้ฟังความคิดเห็นของคนที่อยู่ตรงหน้า แต่เรากลับเชื่อฟังคนที่ไกลตาแต่ใกล้หู (เพราะคุยกันทางโทรศัพท์มือถือ) เต็มร้อย และมักชื่นชมคนที่อยู่ไกลตา ยกย่องคนที่ห่างไกลแต่กลับละเลย เมินเฉยคนอยู่ใกล้ตา

การสื่อสารผ่านหน้าจอที่รวดเร็วทันสมัยที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในวันนี้ก็หนีไม่พ้น Twitter และ facebook ด้วยความที่ลึกๆแล้ว เราต่างก็อยากเป็นคนเด่นคนดัง เมื่อระบบการสื่อสารเอื้ออำนวยให้เราสร้างความปรารถนาส่วนลึกให้เป็นจริง เราเลยอยู่นิ่งไม่ได้ สร้างพื้นที่บนโลกไซเบอร์เป็นของตัวเอง เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนอื่น นี่เป็นที่มาของความนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว จนกลายเป็นสิ่งเสพย์ติดชนิดใหม่ของใครหลายคน เพราะเป็นการสร้างสังคมที่เร็วและง่ายดาย มีเพื่อนพูดคุยมากหน้าหลายตา จริงบ้างปลอมบ้างก็ขำขำกันไป

ารใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หากให้มีประโยชน์ต้องใส่จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ลงไปด้วยและต้องไม่ละเลยเรื่องของจรรยามารยาท อย่าหลงไปกับการโฆษณาตัวเองจนเกินงาม หยุดสร้างตัวตนจอมปลอมของเรา เพราะมันอาจจะทำให้เราเคลิ้มเป็นอย่างนั้นไปได้ในที่สุด การได้เป็นดาราในชั่วพริบตาด้วยการถ่ายรูปแล้วก็นำไป Post ไว้ให้คนอื่น comment เข้ามา ก็อาจจะทำให้เราหลงใหลได้ปลื้มไปกับคำชมที่ไม่รู้ว่ามาจากใจจริงหรือเปล่า ระวังการบอกเล่าเรื่องตัวเองสู่สาธารณะ จนหลงลืมตัวตนที่แท้จริง Social Network สังคมเครือข่าย แท้จริงแล้วเป้าหมายอยู่ที่การให้ความสนใจใส่ใจคนอื่นอย่างจริงใจก่อน แล้วคนอื่นจึงจะมาสนใจมาเป็นเพื่อน มาเป็นกลุ่มก้อนกับเรา

สิ่งเหล่านี้หากไม่รอบคอบในการใช้เพราะเพลินไปกับการเล่น จาก facebook อาจจะกลายเป็น fakebook ที่มีแต่การหลอกลวง หลอกล่อให้เราหลงลึกลงไปในกระแสแห่งความมืดบอดทางจิตวิญญาณได้ง่าย ข้อความที่ออกจากเราสู่สาธารณะย่อมบอกตัวตนของเราให้คนอื่นรับรู้ ข้อความดีๆการมองโลกหลายๆมุมย่อมบ่งบอกความใส่ใจต่อผู้คนต่อโลกต่อส่วนรวมของเรา ต้องรู้จักความพอดี การคบค้ากันทางออนไลน์ย่อมมีความอ่อนแอทางความสัมพันธ์ ระวังอย่าให้เรื่องของเรากลายเป็นขยะสำหรับคนอื่น ต้องตระหนักว่าจำนวนเพื่อนมากขึ้นแต่ทำให้คุณภาพของมิตรภาพลดลงหรือเปล่า... เทคโนโลยีแย่งพื้นที่และความพะวงกับเครื่องมือสื่อสารมาเบียดเบียนใจที่จะมอบให้กันหมดลงไปหรือเปล่า...เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ เราใช้มันเพื่ออะไร เพื่อสร้างสัมพันธ์กับคนไกล แล้วลดทอนความสำคัญกับคนใกล้ชิด คนรอบกายน้อยลงหรือเปล่า

เราต้องตระหนักร่วมกันว่าเราใช้สื่อสมัยใหม่เพื่อเป็นเครื่องมือเป็นอุปกรณ์นำความรัก นำพระวาจาของพระเจ้าไปให้ผู้คนที่ห่างไกลได้รับรู้ แต่สำหรับคนใกล้ตา ใจของเราต้องมอบให้กันอย่างหมดหัวใจ ใช่ พระเจ้าสอนให้มนุษย์รู้จักคุณค่าความรักของพระองค์ก็ด้วยการส่งพระบุตรลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้สัมผัส ได้รับรู้ด้วยหัวใจ เห็นความรักและการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ต่อหน้าต่อตา ทั้งๆที่พระองค์ทรงใช้วิธีการอื่นก็ได้ แต่พระองค์ทรงเลือกพระบุตรสุดที่รักลงมาหามนุษย์ เพราะความรักนั้นต้องใช้ใจสัมผัส ต้องเห็นหน้า สบตากัน พูดคุย สนทนา ด้วยภาษากายภาษาใจ สิ่งนี่คือความใกล้ชิด มิตรภาพที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงมอบไว้เป็นมรดกให้กับเราทุกคน....

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

น้ำใจในขวดแก้ว

น้ำใจในขวดแก้ว

เวลานี้...เราขาดคนที่จะยอมตนเป็นก้อนอิฐก้อนแรกที่ทิ้งลงไปและก็จมอยู่ที่นั่น เพื่อให้ก้อนอื่นทับถมตนอยู่ที่นั่น และเสร็จแล้วเจ้าก้อนที่จะปรากฏเป็นที่รู้จักของสังคม ก็คือก้อนที่อยู่เหนืออื่นสุด ส่วนก้อนแรก .....ก็จมดินอยู่นั่นเอง

เราหาคนแบบนี้ไม่ค่อยได้ จึงไม่ค่อยมีอะไรที่ใหม่ที่มีคุณค่าออกมา...เพราะน้ำจิตน้ำใจแห่งการเสียสละของเรายังอบรมกันได้ผลน้อยเต็มที่ หรือว่าเราจะไม่เคยเน้นการอบรมเรื่องนี้กันเลยก็ได้...(โกมล คีมทอง)

ได้อ่านถ้อยคำข้างบนแล้ว มองเห็นภาพสังคมเราวันนี้ได้อย่างชัดเจน เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยความสุดยอด สุดขีด โลกวันนี้พัฒนาก้าวไกล ระบบการสื่อสารช่วยร่นระยะทาง ระยะเวลา ให้มีการกระชับพื้นที่ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น แต่แปลก...ใจคนเรากลับหดสั้นลง ใจคนเรามีพื้นที่แคบลง ถูกกระชับพื้นที่ด้วยความทะนงและความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่ชื่อและหน้าตา จนกระทั่งมองข้ามความมีคุณค่า ความเป็นรากฐาน ของกันและกัน ระบบสังคมสอนคนให้ลัก ลอบ แอบ หยิบ ผลงานและผลพวงที่ผู้อื่นสร้างขึ้น ขี้ตู่ว่าเป็นของตัวเอง คนต้นคิด คนต้นแบบ มักถูกเฉกให้อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง คนที่นำมาขยายผลต้องเป็นคนที่กล้าทรยศต่อต่อมสำนึกและมีจิตพิการเท่านั้นจึงจะทำได้..แต่วันนี้มีคนอย่างนี้เต็มบ้านล้นเมือง

และเมื่อสังคมมีแต่คนประเภทนี้มากขึ้น การมองเห็นทุกเรื่องอย่างไร้สำนึกก็เกิดขึ้น ความเฉยเมยและไม่แยแสต่อกันก็มากขึ้น ทำอะไรก็ทำไปตามผลตอบแทนที่จะได้รับ มีวิถีชีวิตเหมือนหุ่นยนต์กลไก เช้าตื่นมา ไปทำงานในขอบข่าย ขอบเขตของตัวเอง หลบได้เป็นหลีก ปลีกได้เป็นเผ่น เห็นเจ้านายเดินมาทำเป็นเข้มข้นเข้มแข็ง มีโอกาสก็ประจบสอพลอให้พอเป็นที่จดจำตรึงใจ พอพ้นสายตา เปิดคอมฯเข้าไปเม้มท์ นินทาผ่านหน้าจอ จ้ออยู่บน Face Book พอเห็นเพื่อนงานเยอะงานยุ่งก็มุ่งหน้าเดินหนีหลีกไปหาทางที่สำราญราชมากกว่า ใยต้องหาเหาใส่หัว...วัฒนธรรมองค์กรแนวใหม่กำลังเบ่งบานในตึกสูงตระหง่านทั้งหลาย

ใช่หรือไม่ การอบรมเรื่องการเสียสละ การมีน้ำจิตน้ำใจต่อกันมีให้เห็นน้อยลง วันนี้เราเอาแต่ใส่วิธีการให้เด็กเรียนรู้ แต่เรากลับไม่ได้ใส่ใจด้านเนื้อในเพื่อปลูกฝังคุณค่าและค่านิยมแห่งการเสียสละเพื่อคนอื่นให้เด็กๆกันเลย การเสียสละถูกแช่แข็ง น้ำใจถูกยัดใส่ในขวดแก้วและปิดผลึก เพื่อให้มี Package ที่ดูสวยงามก็เท่านั้นจริงๆ

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงนิทานอีสป เรื่องม้ากับลาต่าง

ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวมากของวันหนึ่ง พ่อค้าคนหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนำของไปขายในที่ต่างเมือง เขาคิดที่จะถนอมม้าเอาไว้ใช้ ในช่วงเวลาที่มีความจำเป็น เท่านั้น จึงเอาสินค้าทั้งหมดใส่ไว้บนหลังลา ส่วนม้านั้นเขากลับปล่อยให้เดินตัวเปล่าไม่ได้บรรทุกของอะไร ลาเมื่อถูกบรรทุกของหนักๆ และตอนนั้นมันก็กำลังเจ็บอยู่ด้วย มันจึงพูดอย่างน่าสงสารกับม้าว่า ท่านม้า ข้ามีอะไรจะขอร้องให้ท่านช่วยสักอย่างหนึ่งจะได้ไหม ?”

ม้าเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็หันมามอง แล้วทำท่าฟังอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่ลาก็พูดต่อไปว่า ข้าไม่สบาย และกำลังเจ็บอยู่ ช่วยแบ่งของไปจากหลังข้าบ้างเถิด ข้าไปไม่ไหวแล้ว ถ้าท่านช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งนี้ไปได้บ้าง บางทีข้าอาจจะกลับมีแรงขึ้นมาบ้างก็อาจเป็นได้ ถ้าท่านไม่ช่วย ข้าคงจะต้องตายเป็นแน่ แท้

แต่ม้ากลับตอบมาอย่างโมโหว่า ช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตกอะไรเช่นนี้ เจ้าพูดมาได้อย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ....ว่าขาที่สำคัญของข้านี่น่ะมีเอาไว้สำหรับวิ่งให้เร็วแต่เพียงอย่างเดียว แล้วถ้าข้าเกิดมาช่วยเจ้าแบกของหนัก ๆ อย่างนั้น แล้วเกิดขาที่สำคัญของ ข้ามีอันต้องซ้นหรือฝกช้ำดำเขียวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบให้ล่ะ เจ้านี่คิดบ้า ๆ เสียจริง ๆ ทนไปอีกหน่อยเถิดเดี๋ยวอะไร ๆ มันก็ดีขึ้นมาเองแหละ อย่าบ่นไปนักเลย

ลาจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป ในไม่ช้ามันก็หมดแรงล้มลงและขาดใจตายไป ตรงนั้น

เจ้าของเมื่อเห็นดังนั้น ก็แก้เอาสินค้าที่อยู่บนหลังลาทั้งหมดเอามาใส่ไว้บนหลังม้า เท่านั้นยังไม่พอยังแถมเอาศพของลาบรรทุกเพิ่มเข้าไปให้อีกด้วย ม้าจึงจำต้องเดินไปบ่นไปว่า พุทโธ่ เอ๋ย เรานี่ชั่วเสียจริง ๆ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าตอนนั้นจะช่วยเจ้าลามันสักครึ่งหนึ่ง บางทีมันอาจจะไม่ต้องมาตายไปเสียอย่างนี้ เฮ้อ...แล้วเป็นไงล่ะ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ต้องมาบรรทุกของหนักอย่างเดียวยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังมีศพของเจ้าลามันเพิ่มเข้าไปให้อีก ซวยบรมไปเลยเรา ม้าโง่ไร้นำใจเอย

ใช่หรือไม่ ความเหนื่อยยากทุกข์เข็ญในสังคมวันนี้เกิดมาจากความไร้แล้ง เหือดแห้งน้ำใจ มีแต่การแข่งขันเอาหน้าเอาตา สร้างชื่อ สร้างบารมี ก้าวข้ามหัวกันไปมาเกิดเป็นความเครียดรวมหมู่ กำลังไปสู่โรคมะเร็งสาธารณะ มาช่วยกันเขย่าขวดน้ำใจและเทรินแจกจ่ายให้ทั่วกัน เพื่อสังคม จิตวิญญาณอันงดงามจะได้กลับคืนสู่จิตใจเราทุกคน และที่สุด ต้องตระหนักว่า การแสดงน้ำใจต่อกันหาใช่การทำเพื่อโอ้อวด เช่นนั้นแล้วคุณค่าของมันก็จะลดลงไป...แล้วเราจะให้น้ำใจเราอยู่ในขวดแก้วต่อไปหรือ เชื่ออย่างเต็มร้อยว่า สัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์จะไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงนั้นเด็ดขาด...

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สิ่งที่มีแต่กลับคิดว่าไม่มี

สิ่งที่มีแต่กลับคิดว่าไม่มี
เมื่อ 2- 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเยี่ยมน้องชายที่เพิ่งได้ลูกชายคนใหม่ ในขณะที่นั่งดูมือเล็กๆ เท้าน้อยๆ แก้มห้อยๆ ของหลานชาย ยิ่งมองยิ่งดู ก็เกิดความคิด เกิดข้อเตือนใจอยู่หลายประการ ใช่หรือไม่ เราก็เคยมีมือมีเท้าเล็กๆเยี่ยงนี้ แต่บัดนี้ได้ผ่านกาลเวลา ผ่านลมผ่านฝน ผ่านผู้คน ผ่านทุกข์ ผ่านสุข ล่วงเลยสู่วงปีชีวิตหลักที่สี่เข้าไปแล้ว เห็นถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต จากทารกน้อยที่วันๆเอาแต่นอน ตื่นมากินนมแม่ และก็หลับปุ๋ยต่อ กิจกรรมหลักก็มีเพียงเท่านี้ อาจจะมีกิจกรรมเสริมด้วยการออกกำลังปอดด้วยการร้องไห้บ้างเป็นบางโอกาส ในขณะที่หลับใบหน้าของเจ้าหนูน้อยก็มียิ้มเป็นระยะๆ ปากน้อยก็ขยับไปมาเหมือนกำลังพูดคุย ดูเจ้าช่างมีความสุขเหลือล้ำ ใช่...และอีกไม่นาน เจ้าหนูน้อยคนนี้ก็จะค่อยๆเติบโต มือ เท้า ที่เคยเล็กๆ ก็ใหญ่โตตามวัยตามสภาพร่างกายและการกินอยู่ สมอง สติ ก็จะแกร่งกล้าตามการอบรมสั่งสอน และเช่นกันเจ้าหนูน้อยคนนี้ก็จะเดินผ่านทุกข์สุขเฉกเช่นเดียวกับเราทุกคน ต่างกันก็เพียงแต่ว่าขนาดของความทุกข์ความสุข จะมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับวิถีครรลองที่เขาจะเลือกเดิน โดยอาจจะมีเราเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทางก็เท่านั้น
ภาพของหลานตัวน้อยผุดขึ้นมา ในห้วงขณะเวลาที่มีโอกาสได้เดินทางไปกับคุณวีระพงศ์ ทวีศักดิ์ (ศิลปินพิณแก้ว ที่ไม่ได้เล่นดนตรีแก้วอย่างเดียว แต่บ่อยครั้งคือผู้ไปจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจ สร้างกำลังใจให้แก่ผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ต้องโทษในเรือนจำ) ครั้งนี้ได้รับเชิญจากผู้บริหารห้างดังแห่งหนึ่งแถวๆย่านสุขุมวิท โดยที่ผู้บริหารมีแนวคิดที่จะสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย เพราะได้เล็งเห็นว่า ทุกวันนี้คนทำงานที่เรียกว่า “มนุษย์เงินเดือน” ต่างแบกความทุกข์ไว้บนหลังจนหลังอานเกือบจะทุกคน โดยตั้งหัวข้อไว้ว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีสุข เริ่มต้นของการบรรยาย คุณวีระพงศ์ได้ถามผู้ร่วมรับฟังที่มีอยู่พันกว่าคนว่า อะไรที่ทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข คำตอบเกือบ 100 % คือ การมีหนี้สิน
ประจวบเหมาะกับเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลจัดโครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิดเห็น เพื่อนำมาเป็นแนวทางปฏิรูปประเทศ มีการเปิดรับสายโทรศัพท์ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่พบก็คือ คนส่วนใหญ่ที่โทรเข้ามามักร้องเรียนเรื่องหนี้สิน สรุปแล้วทุกข์มวลรวมของคนไทยเวลานี้คือการเป็นหนี้เป็นสิน ทำให้ชีวิตคนไทยไร้สุข ไร้คุณภาพ
แล้วคำถามต่อมา ทำไมเราถึงเป็นหนี้เป็นสินกันมากมายขนาดนั้นได้ ใช่เลย...เกิดจากระบบทุนนิยมที่ถาโถมเข้าสังคมไทยแบบไร้ภูมิต้านทาน ตามด้วยการชวนเชื่อ โดนผู้ที่ฉลาดกว่า หลอกเอาเงินล่อและหลอกให้เกิดหนี้ก้อนโตสอดไส้คำว่า ใช้หนี้เป็นทุน คนไทยเราตกหลุมกระแสนี้ จนไม่สามารถถอนตัวขึ้นมาได้ นอกจากนี้แล้วยังมีวัฒนธรรมแห่ตาม เห็นช้างขี้ก็อยากจะขี้ให้ดีกว่าช้าง เห็นคนมีเงินเป็นคนเท่ห์ โก้หรู ทำอะไรก็ไม่ผิด ทุจริตก็ยังถูกยกย่อง กระแสจอมปลอมถูกสร้างขึ้น เห็นความสุขอยู่ที่การมีสิ่งของประดับรอบตัว ความสำเร็จได้มาจากการครอบครอง การมี การสะสม สมบัติเงินทอง ตามด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตราเพื่อซื้อหาความสุข วัฒนธรรมเลียนแบบ โดยที่เราไม่ได้ตระหนักถึงรายได้ที่มี ถูกการตลาดมอมเมาด้วยการให้ใช้เงินล่วงหน้า เบิกจ่ายก่อนผ่อนทีหลัง(พร้อมดอกเบี้ย) ใช่หรือไม่ เราหลงอยู่ในยุคของการไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจ อยากได้ก็ต้องได้ อยากมีก็ต้องมี ใช่ คนส่วนหนึ่งสามารถทำได้เพราะรู้จักการบริหารชีวิต บริหารรายรับรายจ่ายเป็น แต่คนส่วนใหญ่ที่เมื่อหลงเข้าไปกลับไม่อาจจะหาทางออกพบ ยิ่งก้าวไปยิ่งเพิ่มหนี้ ก็เกิดความเครียด ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ท้อแท้ไปเสียทุกเรื่อง หมดเรี่ยวแรง ไม่มีแรงบันดาลใจในชีวิต..
รอยยิ้มของหลานชายที่เปี่ยมสุข ตัดสลับกับใบหน้าของผู้ที่เข้าฟังการบรรยายในครั้งนั้น ทำให้คิดต่อไปว่า แล้วอะไรเล่า คือสิ่งที่เราจะรักษารอยยิ้มเปี่ยมสุขนั้นไว้ให้ได้ตลอดไป คำหนึ่งที่ได้ยินจากคุณวีระพงศ์ นั่นคือ ในชีวิตเรามีบางอย่างที่มี แต่เรามักคิดว่าไม่มี สิ่งนั้นคือ การมีชีวิต ไม่มีใครมีความสุขได้หากไร้ชีวิต ไม่มีทุกข์ใดในโลกจะหนักหนาเท่ากับการไม่เห็นคุณค่าของชีวิต คนที่เห็นค่าของชีวิตย่อมเห็นค่าของโลกใบนี้
เราเกิดมามีอะไร รู้จักทุกข์ไหม ทารกทุกผู้คนล้วนแล้วมีแต่ความสุขติดตัวมา ทารกทุกผู้คนแม้จะร้องไห้ก็ร้องอย่างมีความสุข ร้องเพียงเพื่อให้ได้ดื่มดูดความรักจากอกแม่ คนเราเกิดมาก็เป็นเพียงสิ่งเล็กๆแต่เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นตามมาเมื่อเราเริ่มรู้ความ เริ่มเรียนรู้การเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เริ่มที่จะเก็บสะสมเริ่มแสวงหา เ และเริ่มที่จะไม่ยอมรับและถอยห่างจากจุดเริ่มต้นของชีวิตแรกเริ่ม ความสุขอันเป็นนิรันดร์นั้นเริ่มต้นด้วยการรู้รักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง สุขทุกข์เกิดจากตังเราเอง แต่เหตุใดเราชอบที่จะสร้างทุกข์กันนักเล่า เมื่อเรามีความสุขจากการรู้ถึงคุณค่าของชีวิต ความสุขนี้ก็จะกระจาย ขยายไปสู่คนรอบข้าง และถ้าเราอยากมีชีวิตที่งดงามเปี่ยมด้วยคุณค่าก็ต้องรู้จักรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง อย่าปล่อยให้สิ่งที่มีนับจากวินาทีแรกเริ่มที่มีลมหายใจ ต้องหลุดลอยไปโดยที่เราไม่เคยมองเห็นเลยตลอดชีวิต ทุกผู้คนเริ่มต้นชีวิตจากความสุข ใยต้องปล่อยให้ชีวิตเดินสู่ปลายทางด้วยความทุกข์เล่า...

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ล้ำเส้น

ล้ำเส้น

ไหนๆก็ยังอยู่ในช่วงอารมณ์ของการแข่งขันฟุตบอลโลก ก็ขอเขียนอะไรที่เกี่ยวโยงกับเกมฟุตบอลต่อสักเล็กน้อย... ต้องยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกน้อยๆใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งเกมกีฬาชนิดต่างๆก็ถูกพัฒนา มีการแข่งขันกันอย่างเป็นระบบ มีการใช้สมองมากกว่าเรี่ยวแรง มีการวางแผนที่จะรุกที่จะรับสลับกันไปมา ในการตั้งรับในเกมฟุตบอลนั้นยุทธศาสตร์อย่างหนึ่งที่ใช้ คือ การเช็คล้ำหน้า หรือ การล้ำเส้นเลยจากกองหลังของผู้เล่นอีกฝ่ายหนึ่งไปเพื่อทำประตู และมักจะใช้ได้ผล ทำให้เกมของฝ่ายรุกต้องหยุดชะงักลง แต่ถ้าพลาดนั่น...หมายถึงการเสียประตูในทันทีได้เหมือนกัน ในขณะที่ฝ่ายรุก ก็จะใช้การล้ำหน้าเพื่อกระชากกระชับ ลูกฟุตบอลให้เข้าไปสู้ก้นตาข่ายโดยเร็ว

หลายครั้งหลายหนหลายเหตุการณ์บนถนนชีวิต เราอาจจะเคยเห็นคนที่ชอบใช้วิธีการล้ำเส้น ล้ำหน้า ชอบที่จะก้าวข้ามผู้อื่น ชอบที่จะไปล่วงละเมิดความรับผิดชอบของผู้อื่น โดยมีเหตุผลส่วนตัวว่า ก็เค้าไม่ทำ ฉัน (ข้า) ผม ก็เลยจัดให้ซะเลย แต่บ่อยครั้งการกระทำนั้นมันแฝงเร้นไปด้วยความอยาก ความปรารถนาส่วนบุคคล ที่อยากจะได้รับคำยกย่อง คำสรรเสริญ เพื่อยึดครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว แน่ละ เราเกิดมาแต่ละคนย่อมมีพันธกิจและภารกิจส่วนตนในการขับเคลื่อนชีวิตและพัฒนาสรรสร้างโลกใบนี้ที่แตกต่างกันไป สังคมใดมีความสันติสุขสงบร่มเย็น ย่อมมาจากคนในสังคมนั้นรู้จักปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเข้มแข็งและเคร่งครัด หาได้จ้องขจัดปัดแข้ง แข่งขันหมายเอาชัยโดยวิ่งล้ำหน้าล้ำเส้นผู้อื่นอยู่ร่ำไป

และที่สังคมไทยเรายังก้าวไปไม่ถึงฝั่งฝากแห่งสันติก็เป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักหน้าที่ และความรับผิดชอบ แต่ชอบที่จะเป็นคนจบสกอร์ ชอบที่จะเป็นคนเข้าทำประตู ชอบที่จะเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าสู่เส้นชัยเพียงลำพัง มันก็เลยทำให้เกิดการแข่งขัน จากการแข่งขันก็ไปสู่การชิงดีชิงเด่น เลยเส้นก้าวเข้าไปสู่ความขัดแย้ง ตั้งแต่ขัดแย้งภายในตัวเองและขัดแย้งกับคนรอบด้าน ใช่หรือไม่...เราคาดหวัง ฝันหวาน วาดอนาคตกันไว้ที่จะได้ตำแหน่งใหญ่โตโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่า ความรับผิดชอบในตำแหน่งนั้นเราพร้อมจะรับมันได้หรือเปล่า คิดกันเพียงแค่มีตำแหน่งไว้ให้คนยกมือไหว้ แต่ลับหลังมีแต่คำสาปแช่ง นี่หรือคือภารกิจที่เราต้องการที่จะทำบนโลกใบนี้

มีชายผู้ทรงคุณธรรมจริยธรรมผู้หนึ่ง เร้นกายทำไร่ไถนาอยู่ ณ ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งข้างเชิงเขาที่เขียวขจี ยามใดที่หิวก็จะปีนภูเขาขึ้นไปปลิดผลไม้ไปรับประทาน ยามใดที่กระหายน้ำก็อาศัยสองมือวักน้ำในแม่น้ำมาดับกระหาย แม้มีผู้ตักเตือนเขาว่า ชีวิตคนเราสั้นนัก ใยต้องเร้นกายอยู่อย่างไร้นาม ผ่านชีวิตลำบากยากแค้นถึงเพียงนี้เล่า?” ชายหนุ่มกลับยิ้มพลางตอบว่า เช่นนี้จึงสามารถมีชีวิตที่แสนอิสระเสรี ไม่ถือเป็นความยากลำบากอันใด
ครั้งหนึ่ง มีคนนึกห่วงใยเขา จึงส่งกระบวยตักน้ำมาให้ เพื่อเขาจะได้ดื่มน้ำสะดวกขึ้น เขากลับเอากระบวยนั้นแขวนไว้บนต้นไม้ แต่ยิ่งนานวัน ยามที่ลมโชย กระบวยโดนลมพัดเกิดเสียงดังน่ารำคาญยิ่ง สุดท้ายเขาก็โยนกระบวยนั้นทิ้งไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ยังมีกษัตริย์พระองค์หนึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นปราชญ์ผู้ธำรงคุณธรรม พระองค์ได้ทราบเรื่องราวของชายหนุ่มผู้นั้น ทรงดำริจะให้เขาสืบทอดราชบังลังก์ จึงได้เรียกเขามาพบ และตรัสว่า ยามที่สุริยันและจันทราลอยเด่นบนท้องนภา มีคนพยายามจุดฟืนไฟประชันแสง นั่น..ใช่ยากเย็นหรือไม่? ยามที่หยาดพิรุณโปรยจากฟากฟ้า มีผู้ต้องการให้น้ำรดลงเฉพาะผืนแผ่นดินของตน ครอบครองความชุ่มชื้นที่ประทานมาเพื่อสรรพสัตว์ มิใช่สิ้นเปลืองแรงงานยิ่งหรือ? บัดนี้ปรากฏท่านผู้กอรปด้วยคุณธรรมจริยธรรมขึ้นมาในแผ่นดินผู้หนึ่ง หากเรารั้งตำแหน่งกษัตริย์ไว้กับตัวเอง ย่อมน่าเสียดายสำหรับปวงประชาเป็นยิ่งนัก

ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นกลับปฏิเสธอำนาจเหนือแผ่นดิน โดยกล่าวว่า นกบนยอดไม้ใหญ่ยึดเกาะได้เพียงกิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้า หนูดื่มน้ำในลำธารเพียงดื่มได้แค่เต็มกระเพาะ เช่นเดียวกับข้าน้อย ใยจะต้องการอำนาจเหนือแผ่นดินไปเพื่ออะไร...แม้แต่พ่อครัว หากไม่ปรุงอาหารตามหน้าที่ แต่กลับไปเป็นผู้ควบคุมงานพิธี ปล่อยให้ผู้ทำพิธีกรรมไปทำหน้าที่พ่อครัวแทน อย่างนั้นหรือ เมื่อกล่าวจบ เขาจึงได้อำลาแล้วเดินทางจากไป

คนเราเกิดมามีหน้าที่ต่างกัน มีความรับผิดชอบในแต่ละคนเป็นส่วนๆ ตามกระแสเรียกของตน ถ้ารู้และตระหนักที่จะปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด แม้จะไม่เป็นที่ยอมรับ แม้จะไม่เป็นที่ชื่นชม หากว่าได้ทำแล้วสุขใจ ใช่หรือไม่ นี่แหละคุณค่าชีวิตที่แท้จริง เป็นความพอเพียงที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ และเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เหตุการณ์หนึ่ง ในนามหน้าที่ที่เรารับผิดชอบก็จะได้รับการชูขึ้น ได้รับการส่งเสริม เพื่อใช้หน้าที่ภารกิจของเราเข้าคลี่คลายสถานการณ์นั้นๆ สิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึงเสมอๆ การก้าวล่วงหน้าที่ผู้อื่นนั้น เป็นการสวมบทบาทแทนพระเจ้า แล้วเราสมควรแล้วหรือที่จะกระทำเช่นนั้น ที่ไปล้ำเส้นพระองค์....