วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งดีๆที่มีในค่ำคืนนั้น


สิ่งดีๆที่มีในค่ำคืนนั้น
ค่ำคืนคริสต์มาสในวัดเซนต์หลุยส์ของเรา ผ่านไปอีกครั้ง ยังคงมีมนต์ขลัง แฝงพลังแห่งความสุขที่พบเจอในทุกๆปี งานที่สำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนั้นเกิน ครึ่งหนึ่งมาจากน้ำใจของผู้ที่มาร่วมตระเตรียมและเป็นผู้นำความสุขมาให้อย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ตลอดหลายสัปดาห์ในวันอาทิตย์บ้านพักพระสงฆ์ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของที่จะนำมาเป็นของขวัญ ของรางวัล การจำแนกแยกแยะเพื่อจัดสรรจึงต้องอาศัยผู้อาสา จากวันนั้นจนถึงค่ำคืนนี้ ของทุกชิ้นถูกนำมาส่งต่อกระจายไปตามผู้ที่ได้มาร่วมงานในค่ำคืนนั้น ผ่านทางการละเล่นต่างๆ
ก่อนออกเดินทาง ท่านนักบุญยอแซฟได้ตระเตรียมข้าวของเครื่องใช้ อาหารคนอาหารลา น้ำดื่มน้ำกินต้องพร้อม เพราะข้างหน้านั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ หญิงสาวของเขาผู้น่าสงสาร แต่เธอเข้มแข็งจนทำให้เขาลุกขึ้นสู้อย่างมั่นคง จากความวุ่นวายใจ ที่จับต้นชนปลายไม่ถูก บัดนี้ละลายหายไปสิ้นเพราะความงดงามแห่งมารดาพระผู้ไถ่ เธอยอมแม้จะเสียชื่อเสียงและน้อมรับการดูแคลนของคนรอบข้างได้อย่างหนักแน่น แล้วลูกผู้ชายอย่างเขามีหรือที่จะระย่อท้อต่อความลำบาก .....พระนางมารีย์เช่นกัน เธอรู้อยู่แล้วว่าอีกไม่นานพระบุตรจะบังเกิด ในระหว่างเดินทางไปยังต่างบ้านต่างเมือง การเตรียมตัวให้พร้อม จัดเรียงความคิดอย่างเป็นระบบ เป็นจุดเริ่มต้นขององค์สันติราชาผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าความบีบคั้นในรอบด้าน อาจจะทำให้ท้อแท้บ้าง แต่เพื่อพระเจ้าผู้เป็นองค์ความรักอันยิ่งใหญ่แล้ว เธอจะไม่มีวันท้อถอย การรอคอยที่จะได้ร่วมเดินทางกับพระบุตรคือจุดสูงสุดยอดของผู้เป็นแม่ พระนางยิ้มให้ท่านยอแซฟเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าเธอพร้อมแล้วสำหรับภารกิจที่จะเกิดขึ้นนี้
และแล้วเมื่อความมืดคืบคลานมาเยือน ผู้คนต่างทยอยมาร่วมงาน คุณพ่อสุพจน์และคุณพ่อปลัดทั้งสองร่วมเปิดงาน ความบันเทิงรอบวัดก็เริ่มขึ้น เด็กๆแถวยาวเหยียดความสนุกบนบ้านลม ทำให้ผู้ผ่านโลกมาก่อนอดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้ม เมื่อได้เห็นเด็กน้อยวิ่งวุ่นซุกซนปีนป่ายไปบนยอดบ้านแล้วทิ้งตัวสไลด์ลงมา เสียงหัวเราะของพวกเด็กนั้นมันสร้างโลกให้งดงามจริงๆ ในศาลาหลุยส์ความบันเทิงจากการเล่นเกมต่างๆ นำความครื้นเครงมาเพิ่มสีสันในงานสอยดาว ที่เป็นกิจกรรมเคียงคู่งานคริสต์มาสยังเต็มไปด้วยผู้คน ลานหน้าบ้านพักพระสงฆ์เต็ม มีผู้ที่ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ค่อยๆสอย ค่อยๆเปิด ค่อยๆแลกของรางวัล แม้ว่าจะวุ่นวายสับสนไปบ้าง แต่มันก็คือความสุขที่ส่งต่อกัน “GLORIA” ใครได้คำนี้มีลุ้นรางวัลใหญ่ ถัดมาความสนุกไม่แพ้กันและเป็นจุดรวมพลคนสุขแห่งปี ต้องที่นี่เกมบิงโก ลุ้นกันสนุกสนาน เดินไปเดินมาได้ยินเสียงประกาศว่าสอยดาวหมดแล้ว แต่บิงโกยังมีเหลือเพื่อความสนุก
เมื่อท่านทั้งสองได้เดินทางมาถึงเบธเลเฮม ผู้คนมากมาย อุปสรรคมากมีเริ่มมีให้เห็น เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานของผู้เดินทาง การพบปะระหว่างญาติมิตร ความบันเทิงเริงร่ามีอยู่ทั่วเมือง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและอาการของคนใกล้คลอด ท่านยอแซฟจำต้องเก็บความอ่อนล้าเอาไว้ มุ่งตรงไปตามที่พักแรมต่างๆทุกที่เต็มหมด แต่ยังไม่หมดหนทางเสียทีเดียว เมื่อมีคนผู้หนึ่งได้ชี้นำทาง คอกเลี้ยงสัตว์น่าจะพอเป็นกำบังภัยและมีความอบอุ่นพอสำหรับเด็กน้อย ท่านยอแซฟไม่รีรอ นำพระนางมารีย์เข้าที่พักแสนอัตคัดในทันที
หลายคนถือถุงของขวัญ ของรางวัล ใบเล็กบ้างใบใหญ่บ้างผ่านไป ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้ม รอยยิ้มที่ไม่ได้หมายความว่า ได้สิ่งของรางวัลอันใหญ่ หรือเป็นรอยยิ้มเยาะที่ได้แต่รางวัลพื้นๆ แต่ทุกรอยยิ้มนั้นมันคือความสุขมวลรวมที่บอกว่า บรรยากาศคริสต์มาสคือการได้มาร่วมสนุก มาร่วมแบ่งปันรอยยิ้ม เสียงหัวเราะร่วมกัน ใช่หรือไม่ สิ่งของเหล่านั้นเราจะหาซื้อเมื่อไรก็ได้ แต่ความสุขแบบนี้หาซื้อได้เพียงค่ำคืนนี้คริสต์มาสนี้ปีละครั้งเท่านั้น มูลค่านั้นไม่เท่ากับคุณค่าที่ได้รับและได้ให้
แล้วการบังเกิดของกุมารองค์น้อยมายังโลกก็ได้เป็นจริงในค่ำคืนนั้น ล้อมรอบด้วยไออุ่นจากสัตว์เลี้ยงในคอกนั้น ไม่นานคนเลี้ยงก็กลับมา แล้วเห็นการเกิดมาของเด็กน้อย ทุกคนต่างเข้ามาร่วมยินดี แม้ไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน ใช่หรือไม่ การเกิดของคนๆหนึ่งย่อมนำมาซึ่งความยินดีปรีดาเสมอ ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน สถานที่เช่นไร ความอบอุ่นของผู้ร่วมในเหตุการณ์นั้นแม้จะไม่ยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนั้น แต่ใครเลยจะรู้ว่าภายหลังจะมีคนระลึกถึงต่อมาอย่างชั่วกาลนาน การเกิดมาของคนคนหนึ่งนั้น ควรนำมาซึ่งคุณค่าให้แก่ผู้คน...
มีการจัดประกวดถ้ำ สถานที่บังเกิดของพระกุมาร มีผู้ร่วมรังสรรค์ถึง 17 ถ้ำ แต่ละถ้ำมีความงดงามแตกต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนกันคือทุกถ้ำสร้างสรรค์จากหัวใจที่ต้องการสร้างให้พระกุมารได้บังเกิดอย่างดีที่สุด การตัดสินว่าถ้ำไหนงดงามก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่เป็นเพียงปลีกย่อย
ค่ำคืนที่แสงแห่งดาวสาดส่องลงมายังที่บังเกิดน้อย ความสุขสงบเกิดขึ้นในทันที ความเหนื่อยล้าของท่านยอแซฟและพระนางมารีย์หายไปหมดสิ้น คนเลี้ยงสัตว์ต่างๆก็ช่วยกันก่อไฟสุมฟืน ต้มน้ำ อยู่ยาม และทุกอย่างที่พอจะช่วยเหลือท่านทั้งสองได้ มิตรภาพที่มิได้มาด้วยเงินทอง มิตรภาพที่เกิดจากน้ำใจให้กัน เป็นมิตรภาพที่ยั่งยืนและงดงามยิ่งนัก
มิสซาค่ำคืนคริสต์มาสผู้คนมากมายล้นหลาม ทั้งในวัดและนอกวัด คนมากเสียยิ่งกว่าตอนหัวค่ำที่มีงานรื่นเริง ความงดงามของถ้ำในวัด บทเพลงอันไพเราะและการจัดบรรยากาศเพื่อการฉลองนี้นำมาซึ่งความยินดีปรีดายิ่ง ค่ำคืนนี้สิ่งดีๆเกิดขึ้นมากมาย ความสุขส่งผ่านให้กันด้วยรอยยิ้ม พระกุมารในค่ำคืนนั้น บัดนี้ ได้รับการต้อนรับอย่างงดงามและเปรมปรีดิ์ขึ้น จากเด็กน้อยคนหนึ่งในดินแดนแสนไกลกันดาร บัดนี้ได้มาอยู่กลางใจเราและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขยินดี....

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หากถ้ำนั้นเป็น...


หากถ้ำนั้นเป็น...
คืนพรุ่งนี้แล้วสิ... ค่ำคืนแห่งความชื่นชมยินดี ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองการบังเกิดมาของเด็กน้อยในถ้ำเลี้ยงสัตว์ สีสันและบรรยากาศคริสต์มาสเต็มไปทุกหนทุกแห่ง ภายในวัดของเราก็มีการประดับตกแต่งวัด ติดไฟอย่างสวย และยังมีกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นมากมาย โดยอาศัยผู้เสียสละเวลา มาช่วยตระเตรียมงาน กิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือ การประกวดถ้ำ หรือเรียกว่า การทำถ้ำมาประกวดกัน มีการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาสักระยะหนึ่งแล้ว ที่น่าสนใจไม่ใช่อยู่ที่การแข่งขันเพื่อช่วงชิงเงินรางวัล แต่กิจกรรมนี้หากมองให้ลึกลงไปแล้ว มีบทสอนเราหลายเรื่อง
ประการแรก การทำถ้ำให้พระมาบังเกิดนั้นมันสะท้อนถึงว่า เราปรารถนาจะให้พระมาบังเกิดแบบไหน แน่หล่ะ...เรามีความเชื่อว่าองค์พระกุมารบังเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์ ตามสภาพแวดล้อมของประเทศอิสราเอล และตามประเพณีที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมา นั่นคือ ในพระคัมภีร์ พระเยซูเกิดในรางหญ้า (ลก. 2:7) ซึ่งว่ากันจริงๆแล้วเราก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน แต่เนื่องจากในแถบเมืองเบธเลเฮมมีถ้ำอยู่มากมาย ที่พวกดูแลฝูงแกะใช้เป็นที่พักของสัตว์(รางหญ้า)และตัวเอง จึงเป็นเหตุทำให้เราเชื่อว่า รางหญ้าที่พระวรสารอ้างถึงนั้นคงอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในเมืองเบธเลเฮมนั่นเอง
สำหรับประเพณีการทำถ้ำนั้นมาจากอิตาลีโดยนักบุญฟรังซีส อัสซีซี เป็นผู้เริ่ม โดยในวันคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1223 ท่านนักบุญฟรังซีส เชิญชวนชาวบ้านทุกคนในหมู่บ้าน Greccio ที่ท่านอยู่ร่วมแสดงละคร มีการเตรียมถ้ำพระกุมารและใช้สัตว์จริงๆเช่น วัวและลา อยู่ในถ้ำด้วย จากนั้นก็จุดเทียนยืนรอบๆถ้ำที่ทำขึ้น ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าจนถึงสว่าง และฟังมิสซาด้วยกัน นับตั้งแต่นั้นมาประเพณีการทำถ้ำพระกุมารก็แพร่หลายไปทั่วทุกแห่ง
ประเพณีการประดับตกแต่งเป็นพิเศษในวันคริสต์มาสนี้มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานเช่นกัน ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีบันทึกว่าในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีประเพณีการประดับตกแต่ง สำหรับทุกบ้าน และทุกวัดในวันคริสต์มาสที่ต้อง ตกแต่งด้วยโอ๊กโฮล์ม ไอวี เบย์ลอเรลและอะไรก็ตาม ที่ในฤดูกาลนี้ที่ออกผลผลิตเป็นสีเขียวเช่น ใบไอวีรูปหัวใจ กล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์การเสด็จมายังโลกมนุษย์ของพระเยซู สิ่งประดับตกแต่งหลายๆประเภทได้พัฒนาขึ้นทั่วโลกที่เป็นคริสตชน และสิ่งตกแต่งเหล่านั้นขึ้นอยู่กับประเพณีท้องถิ่นและทรัพยากรที่หาได้ สำหรับของประดับที่ผลิตขึ้นเชิงพาณิชย์ครั้งแรกปรากฏในเยอรมนี ในคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโซ่กระดาษที่เด็กทำในประเทศ ซึ่งเป็นการแทนฉาก (ถ้ำ) คริสตสมภพ เป็นที่นิยมมาก ผู้คนต่างได้รับการสนับสนุนให้ประกวด และสร้างฉาก (ถ้ำ) เหมือนดั้งเดิมหรือเหมือนจริงที่สุด ในบางครอบครัว แม่พิมพ์ที่ใช้ทำฉาก (ถ้ำ) นั้นถูกมองว่าเป็นมรดกมีค่าประจำตระกูลทีเดียว นี่จึงเป็นเหมือนมรดก ศรัทธา  ที่สืบทอดมาถึงพวกเรา ให้เราได้มีส่วนร่วมในการบังเกิด แม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ก็ตาม แต่หากเราได้สร้างสีสันความงดงาม สร้างบรรยากาศให้เกิดขึ้น ใช่หรือไม่ อย่างน้อยก็ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้รำลึกถึงและถามไถ่ถึงการบังเกิดมาของ พระเยซูคริสตเจ้า
และเพื่อให้มีบรรยากาศในการมีส่วนร่วมมากยิ่งๆขึ้น ในหลายๆแห่งจึงจัดให้มีการประกวดความงดงาม ความคิดสร้างสรรค์ ของถ้ำพระกุมาร และที่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นถ้ำ ก็เพื่อเชื่อมโยงยึดว่าสถานที่เกิดของพระผู้ไถ่นั้น เรียบง่ายถึงขั้นขัดสน เสียด้วยซ้ำไป ทำให้คิดต่อไปว่า แล้วทำไมพระองค์ไม่เลือกเกิดในปราสาทราชวังเล่า ทั้งๆที่มีสิทธิที่จะเป็นดั่งนั้นได้ ข้อนี้สอนเราว่า ภารกิจการเกิดมาของเรานั้นแท้จริงแล้วเพื่อผู้อื่น หาใช่การเกิดเพื่อให้ผู้อื่นมารับใช้เรา ใช่หรือไม่ ประเด็นนี้เองเราเห็นถึงความผิดเพี้ยนของการมีชีวิตบนโลกนี้ในยุคสมัย ที่ต้องการให้ทุกสรรพสิ่งมารับใช้เราและตอบสนองเรา จึงเกิดการดิ้นรนแข่งขัน และทำทุกสิ่งให้ได้ดั่งหวัง วิถีชีวิตแห่งสังคมองค์รวมจึงค่อยๆพังเพราะความคาดหวังจากคนอื่นมากไป โดยมิได้มีสิ่งใดออกจากเราหยิบยื่นให้ผู้อื่น สรุปแล้วมันก็คือความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง สถานที่เกิดบางทีไม่สำคัญเท่ากับเกิดมาแล้วทำอะไรที่งดงามให้กับคนรอบข้างบ้าง
ที่สุดเราเชื่อว่าพระประทับอยู่ในจิตใจของเรา ฉะนั้นแล้วจิตใจของเราก็เป็นถ้ำๆหนึ่งที่พระจะเสด็จลงมาบังเกิด แล้วภายในจิตใจของเราเป็นถ้ำแบบไหน เป็นที่ประทับอย่างไรเล่า เราเคยออกแบบเคยสร้างถ้ำน้อยๆนี้มากี่ร้อยกี่พันครั้ง มีความเรียบง่ายหรือรกไปด้วยสิ่งประดับประดา หรือมีแต่สิ่งงดงามล้อมรอบ แต่แก่นแท้แล้วเป็นเพียงการโอ้อวด เป็นถ้ำที่มีความอบอุ่นที่พร้อมสำหรับการบังเกิดของพระตลอดเวลา หรือเป็นถ้ำที่ปิดมิดชิดสนิทแนบในความมืดมนหาหนทางเปิดประตูไม่เจอ จะเป็นสถานที่บังเกิดที่เปิดต้อนรับทุกคนในทุกสถานการณ์ หรือเป็นเพียงที่แคบๆที่มิอาจจะให้ใครเข้ามาพักอาศัยหรือล่วงล้ำเข้าไปได้ หรือใจของเราเป็นถ้ำที่มีคุณค่าสร้างรากฐานด้วยคุณธรรมความดีงาม ห่อหุ้มด้วยความวางใจในพระเสมอ หรือเป็นเพียงถ้ำสำเร็จรูป ไม่ชอบออกแรงสร้างสรรค์ กลัวเหนื่อย อะไรที่ง่ายๆสะดวกเร็วๆคือคำตอบ ไม่ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้มากเรื่อง หัวใจจึงหยาบและไร้การกลั่นกรอง หากถ้ำนั้นเป็นหัวใจเรา วันนี้เราจะเป็นถ้ำแบบไหน ลองช่วยกันออกแบบ เพราะถ้ำแห่งจิตวิญญาณนี้ไม่มีการแข่งขัน มีแต่การแบ่งปันให้กันและกัน....Merry Christmas แด่ทุกๆท่านนะครับ...

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เกิด...ทุกวัน


เกิด...ทุกวัน
วันนี้คงจะเป็นวันเกิดของหลายๆคน  ใครได้อ่านบทความนี้แล้วตรงกับวันเกิดก็ ขอให้มีความสุขทุกลมหายใจเข้าออก มนุษย์เรามีจำนวนมากมายหลายล้านล้านคน แต่วันในรอบปีมีเพียง 365 วันเท่านั้น ฉะนั้นแล้วคงไม่มีใครยึดครองวันใดวันหนึ่งไว้เป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว!!! ในวันเกิดของเราย่อมมีอีกหลายคนเกิดมาเหมือนๆกัน ในหลายวัฒนธรรมจะมีการฉลองวันเกิด หนึ่งในรูปแบบการฉลองงานวันเกิดที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด โดยที่บนเค้กวันเกิดจะมีการปักเทียน จากนั้นเพื่อนร่วมงานวันเกิดจะร้องเพลงวันเกิด เมื่อเพลงจบแล้วให้เจ้าของวันเกิดอธิษฐานสิ่งที่ตนหวังไว้แล้วเป่าเทียน จากนั้นก็จะมีการทานเค้ก หรือมีการมอบของขวัญ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราก็จะเห็นว่าเพลงอวยพรวันเกิดนั้น กลายเป็นบทเพลงที่นิยมร้องกันได้ทุกวัน เป็นอมตะและเป็นสากลที่คนทุกชาติทุกภาษาต่างร้องได้ เพลงที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายมากคือเพลง “Happy Birthday to you” ซึ่งกินเนสบุกได้ระบุว่าเป็นเพลงภาษาอังกฤษที่มีการร้องบ่อยที่สุดในโลก แต่งทำนองโดย แพ็ตตี้ ฮิลล์ และ มิลเดร็ด ฮิลล์ ในปี พ.ศ. 2436 โดยเริ่มแรกนั้นสองพี่น้องซึ่งเป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ตั้งใจใช้สำหรับทักทายนักเรียนในชั้นโดยใส่ประโยคว่า “Good Morning to All”  (อรุณสวัสดิ์ทุกคน) 
สำหรับเพลงรูปแบบที่เรารู้จักกันนั้นได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ใน ปี พ.ศ. 2478 โดยบริษัทซัมมี (Summy Company) และมีกำหนดที่จะหมดอายุในปี พ.ศ. 2578 ในปี พ.ศ. 2533 วอร์เนอร์มิวสิกได้ซื้อบริษัทที่ครอบครองลิขสิทธิ์เพลงนี้ในราคา 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตีมูลค่าลิขสิทธิ์เพลงนี้ถึง 5 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่สถานะของลิขสิทธิ์นี้ในปัจจุบันไม่ชัดเจนนัก วอร์เนอร์ระบุว่าการแสดงเพลงนี้ในที่สาธารณะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (แต่เพลงนี้กลายเป็นเพลงสาธารณะประจำโลกมนุษย์ไปแล้ว ใครมาจับปรับค่าลิขสิทธิ์คงถูกไล่ออกจากโลกนี้แน่ๆ: ผู้เขียน) เนื้อร้องปัจจุบันที่ใช้คำว่า “Happy Birthday” นั้นไม่ทราบว่าผู้ที่ริเริ่มเป็นใคร : ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย
ที่เขียนเล่ามานั้นต้องการอยากจะบอกว่า แท้จริงสรรพสิ่งในโลกนี้มิอาจจะให้ใครยึดครองเป็นเจ้าข้าว เจ้าของแต่เพียงผู้เดียวได้ แต่เราก็กลับดิ้นรนขวนขวายไขว่คว้า เพื่อให้ได้มาครอบครอง การเกิดของเราในโลกนี้นั้นแท้จริงแล้วเพื่ออะไรเล่า ในวันเกิดเราได้รับคำอวยพรก็มิได้หมายความว่า เราจะยึดพรนั้นเพียงเพื่อตัวเราเอง เป็นหน้าที่หลักที่เราต้องต่อยอดพรนั้นให้ทวีความดีงามมากขึ้น ยิ่งนับวันผู้คนมากมาย หลากหลายความต่าง แล้วต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างยึดมั่นถือครอง ความเป็นตัวตนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น วัฒนธรรมการแบ่งปัน การให้ก็ดูจะไร้แล้งลงไปในทุกวัน คุณค่าของการระลึกถึงวันเกิดนั้น ควรเป็นการรำลึกถึงความสุขที่เราจะส่งมอบให้กันและกัน
และจะมีสักกี่คนบนโลกที่เมื่อใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิด มีผู้คนเรือนล้านต่างออกมาร่วมยินดีปรีดา มีการเตรียมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ เตรียมทั้งภายในและภายนอก ใช่หรือไม่ การเตรียมฉลองคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึงนี้มีสิ่งที่เราต้องทำการไตร่ตรองและนำมาเป็นบทเรียน ไม่ธรรมดาแน่ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดมาบนโลก แล้วทำให้โลกได้จดจำเป็นเวลานานแสนนาน และในทุกรอบปีวันเกิด จะมีงานฉลองที่จัดขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ เหตุผลใดเล่าทำให้ชายที่ชื่อ เยซู เป็นที่ยอมรับของผู้คนมากอย่างยาวนาน แท้จริงแล้ว...ชายผู้นั้นไม่ได้เกิดเพียงเพื่อตัวเอง แต่เกิดมาสานภารกิจเพื่อผู้อื่นโดยแท้ การยอมสละ ละทิ้งอำนาจ ยอมถูกกล่าวหาสารพัด จนกระทั่งยอมตายเพื่อรักษาความสงบของสังคมโดยรวม ไม่ยอมให้เสียเลือดเสียเนื้อของผู้อื่นเพียงเพื่อตัวเองจะได้มีอำนาจ นี่ต่างหากความยิ่งใหญ่แห่งการเกิดมาของชายผู้นั้น ผู้ที่เป็น พระคริสต์ ของพวกเรา
หันมามองสังคมที่สวยเพียงเปลือกแห่งยุคสมัยปัจจุบัน ต่างแย่งชิงวิ่งวุ่น เพียงเพื่อรักษาฐานของตัวเอง โดยการเพิ่มเติมใส่ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ไม่เคยยอมที่จะสละตัวเอง เราต่างเฝ้ากล่าวโทษผู้อื่น เมื่อไม่ได้ดังหวัง เราต่างสร้างทุกข์ให้เกิดขึ้นทุกๆวันโดยการไม่นำพาว่าคนอื่นจะมีความเดือดร้อนเช่นไร เราเรียกร้องต้องให้ผู้อื่นอยู่เคียงข้าง แต่เรามักจะหลบหายไปข้างหลังในวันที่ผู้อื่นกำลังแย่ เราถามหาโอกาสจากผู้อื่นแต่เราปล่อยให้ผู้อื่นเดียวดายในอากาศในครั้งที่เขาต้องการโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง เราบอกว่าเราจริงใจต่อทุกคน แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็โกหกและตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อสร้างภาพของความจริงใจใส่กัน เราพยายามยึดครองความคิดของผู้คนด้วยวาทกรรม ด้วยเสียงอันดังทรงพลังขึงขัง แต่หลังฉากมันเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างฐานฐานะให้กับตัวเอง เราเห็นคนอื่นเป็นที่ชื่นชมแต่เรากลับขมขื่นยืนไม่เป็นด้วยความอิจฉา ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเกิดขึ้นมานั้น เป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจว่า เราล้วนเกิดมาเพื่ออะไร?
ที่สุดมนุษย์เราในทุกยุคทุกสมัย ต่างก็เสาะหาคำตอบในความหมายของการมีชีวิต ในสมัยนักบุญยอห์น บัปติส ก็มีคนมาถามท่านว่า เราจะต้องทำอะไร?” ท่านนักบุญ ก็ตอบว่า ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้แก่คนที่ไม่มี คนที่มีอาหาร ก็จงทำเช่นเดียวกัน” แล้วจะมีกี่คนเล่าทำได้อย่างที่ท่านนักบุญบอกกล่าว หลายคนยังคงเสาะแสวงหาคำตอบเพียงเพื่อให้ถูกใจ ให้ตรงใจกับสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองเป็น เพียงเพื่อเหตุผลในการยึดครองต่อไป เราเองก็เช่นกัน เราก็ต่างแสวงหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตเป็นสุข แต่เมื่อได้คำตอบเราก็ไม่ทำตาม ใช่หรือไม่ ในรอบปีมีคำอวยพรวันเกิดของเรา ลองนำความสุขที่ได้รับมาแบ่งปันให้ผู้อื่นสักนิด และลองคิดดูว่า  หากคนเกิดวันนี้มอบความสุขให้ผู้อื่น เพียงคนละนิด ก็จะมีความสุขเกิดขึ้นทั่วโลก และจะเกิดขึ้นทุกๆวันด้วย บรรยากาศแห่งคริสต์มาส ก็จะดำรงอยู่ในโลก ทุกวันๆตลอดไป

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่


ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ในแต่ละวันมีผู้คนที่ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลกเกิดขึ้นตลอดมา มนุษย์มากมาย หลายความคิดสร้างสรรค์ ก่อให้มีสิ่งใหม่ๆปรากฏขึ้นตลอดเวลา แล้วมีวันไหนบ้างไหมที่เราได้เป็นผู้ก่อประโยชน์ให้แก่โลกที่เราอาศัยอยู่นี้บ้าง วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เหลียวหลังกลับไปเมื่อ 5 ปี 10 ปี 20 ปี ที่ผ่านมา เพียงแค่นี้ เราก็ได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีการสื่อสาร มีการพัฒนาอย่างยิ่งยวด รวดเร็ว จนกลายเป็นยุค สื่อสารครองโลก  มีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นมาเร็วและก็เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ดูเหมือนว่าสิ่งสร้างสรรค์ยุคใหม่มีอายุการใช้งานสั้นมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นก็จะได้รับจากต่อยอดไปสู่สิ่งใหม่อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ปี 1992 โปรแกรมเมอร์ชาวอังกฤษชื่อว่า Neil Papworth ทดลองส่งข้อความสั้นผ่านเทคนิคที่ถูกเรียกชื่อว่า Short Messaging Service จากเมือง Newbury, Berkshire โดยทดลองส่งข้อความว่า “Merry Christmas.” จากคอมพิวเตอร์พีซีไปยังโทรศัพท์มือถือของ Richard Jarvis พนักงานบริษัท Vodafone นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของบริการ SMS ซึ่ง Vodafone นำไปต่อยอดและขยายบริการจนเป็นช่องทางการสื่อสารที่ง่ายและสนุกสนานในวงกว้าง โดยนับจากปี 1992 เท่ากับขณะนี้ บริการ SMS ที่ถูกใจหลายคนนั้นมีอายุสิริรวม 20 ปีพอดี
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
อย่างไรก็ตาม SMS ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถแพร่หลายในตลาดโลก จนกระทั่งช่วงที่ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มลดลง ผู้ใช้จึงเริ่มเห็นว่าการส่งข้อความ SMS เป็นช่องทางการสื่อสารที่สะดวกสบายและประหยัดกว่าการโทรศัพท์
และวันนี้วงการ SMS กำลังอยู่ในช่วงขาลง เพราะการตีตลาดของแอปพลิเคชันรับส่งข้อความแชตบนสมาร์ทโฟนที่กำลังมีอิทธิพลเหนือ SMS อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอิทธิพลของเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ไลน์ (Line) ซึ่งเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถรับส่งข้อความได้แบบทันใจ ในเวลาเดียวทั่วทุกที่ทั้งโลก
เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าเราเองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงของวิวัฒนาการนี้เหมือนกัน และในเวลานั้นเราทำอะไรอยู่!!!! แน่หล่ะ...เราอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่คนนับล้าน แต่เราก็คงได้ทำอะไรดีๆอยู่ก็ได้(มั๊ง) ซึ่งก็ดีกว่าการนั่งพร่ำบ่น ต่อว่าวันเวลา ต่อขานผู้คน และเหยียดหยามสภาพแวดล้อม และจมอยู่กับความหวาดกลัวของการมีชีวิต และกลัวการสิ้นสุด
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เมื่อพูดถึง กลัวการสิ้นสุด ก็ทำให้นึกถึงคำนายที่มีต่อโลกด้วยการแอบอิงตำนานปฏิทินชนเผ่ามายาที่จบลงในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ก็อีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้แล้วสิ... มีการกล่าวขานถึงว่าวันนั้นจะเป็นวันสิ้นโลก วันโลกแตก มีกลุ่มคนที่ตั้งเป็นนิกายที่เชื่อเรื่องเหล่านี้ มีบ้างบางกลุ่มหวาดกลัวจนเชื่อมโยงเรื่องของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ประเภทที่เรียกว่าหลุดโลก ก่อให้กลายเป็นความกลัวมวลรวมของมนุษย์โลกไปแล้ว แม้กระทั่งในประเทศที่เราคิดว่าเจริญด้วยเทคโนโลยี ก็ยังจมปลักกับความกลัวในเรื่องนี้
เจ้าหน้าที่สั่งปิดยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาพิเรนีสของฝรั่งเศส ซึ่งพวกคลั่งลัทธิวันสิ้นโลกเชื่อว่าจะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่จะเหลืออยู่หลังโลกถึงกาลอวสานตามคำทำนายในวันที่ 21 ธันวาคม เหตุมีความหวั่นกลัวเกิดความโกลาหล รวมถึงปราบปรามนักธุรกิจหัวใสที่หวังหากินกับเรื่องนี้
ประชาชนที่เชื่อในลัทธิวันสิ้นโลกและพวกเฝ้าระวังยูเอฟโอ จะถูกห้ามขึ้นไปบนภูเขายอดราบ บูการาช ในเมืองโอเดอ ผู้คนเหล่านี้เชื่อว่าโลกนี้จะถึงจุดจบตามคำทำนายของปฏิทินชนเผ่ามายา พวกเขาเชื่อกันว่ายอดเขาบูการาช คือแหล่งจอดยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกนี้จะเฝ้ามองวาระสุดท้ายของโลกอย่างเงียบๆในถ้ำขนาดใหญ่ใต้ภูเขาดังกล่าว ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหวังว่าเมื่อตอนที่เอเลียนจะออกเดินทาง พวกมันจะพามนุษย์ผู้โชคดีบางส่วนเดินทางไปด้วย (Manager Online)
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ความกลัวย่อมมีอยู่ในจิตใจของเราทุกคน แล้วทำไมเราไม่ต่อยอดความกลัวด้วยการเตรียมตัวต้อนรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นด้วยใจสงบ เพราะแม้ว่าเมื่อมีวันเวลาแห่งการสูญสลายของโลกเกิดขึ้นจริงๆ เราก็ภาคภูมิใจที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เวลาย่อมมีค่าในวิถีชีวิตของแต่ละคน คุณค่าของเรามิได้อยู่ที่ว่าเราจะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่ให้เกิดหรือไม่ (เพราะคงจะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ได้ทำสิ่งยิ่งใหญ่) แต่อยู่ที่เราได้ทำวันเวลาที่ผ่านไปผ่านมาอย่างไร สร้างสิ่งดีก่อความงดงามมากน้อยแค่ไหน และหากว่าวันนั้นไม่ได้เกิดอะไรขึ้น เป็นอีกวันหนึ่งในเวลาของจักรวาลที่ผ่านไป อีก 5 ปี 10 ปี 20 ปี แล้วเราย้อนกลับมามอง ว่าในวันนั้นเราได้กระทำความดีงามอะไรไว้บ้าง ลองจดใส่สมุดบันทึกเอาไว้เป็นประวัติแห่งความดีงามของเรา เพื่อจะเป็นคำตอบในบททบทวนชีวิตในวันที่ยังมีลมหายใจในภายภาคหน้า
ที่สุดแล้ววันนี้ เวลานี้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรเล่า หนทางดำเนินชีวิตนี้มีเพียงเพื่อจะได้สิ่งตอบแทนมากขึ้น ได้เงินโบนัส ได้ตำแหน่งสูงขึ้นเพื่ออวดเบ่ง อวดอ้าง เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในเชิงสัญลักษณ์ให้ตัวเองเพียงแค่นี้หรือ ในวันเวลาที่ผ่านมา เราอาจจะเห็นคนอื่นเขาทำสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากมาย เราก็ควรกลับมาตั้งคำถามว่า เราในวันเวลาที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรเพื่อผู้อื่นบ้างหรือยัง สัญญาณของการสิ้นสุดปีมีเพื่อให้เราทบทวนชีวิตเรา มากกว่าการที่จะไปตั้งความหวังเพื่อก่อให้เกิดความกลัวและความไม่มั่นคงในชีวิตยิ่งขึ้น อดีตและวันเวลาที่ผ่านมา นำมาเป็นบทเรียนสร้างพลังให้กล้าแกร่งและพร้อมจะเดินทางไปกับวันเวลาอย่างมีคุณค่า และเราก็จะมีคุณค่าให้กับโลกใบนี้แบบไม่รู้ตัว เราต้องทำลมหายใจ ณ เวลานี้ให้ดีที่สุด...