วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หลงทางเพราะหลงตัวเอง


หลงทางเพราะหลงตัวเอง
            ชีวิตคือการเดินทาง หลายคนได้เปรียบไว้เช่นนั้น แล้วการเดินทางนั้นเป้าหมายคืออะไร ใช่..หลายคนตอบว่าก็เพื่อจะได้ไปสู่สวรรค์ กลับสู่บ้านแท้จริงในอ้อมกอดพระเจ้า  และถ้าไม่ต้องนึกไปถึงจุดนั้น การดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เรามุ่งหน้าไปสู่การได้รับความสุขในชีวิตใช่หรือไม่.. ความสุขนั้น โดยตัวของมันเองหมายความถึงสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ในโลกนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากมาก แม้ว่าความสุขจะไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ก็เป็นอีกแง่หนึ่งในการดำรงชีวิตที่มีความสำคัญ และทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเรามีค่า และถ้าจะถามว่าความสุขคืออะไร อาจอธิบายง่ายๆ ได้ว่า คือความรู้สึกพอใจในชีวิตของตน หรือการปราศจากความเจ็บปวดและความเคร่งเครียด
การหาความสุขนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และการที่จะรักษาความสุขที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่ก็ยิ่งยากขึ้นมากกว่า ประสบการณ์ชีวิตที่น่าอัศจรรย์ ความสำเร็จที่เลิศลอย ความโชคดีไปเสียทุกเรื่อง และความมีทรัพย์สินมหาศาล สิ่งเหล่านี้อาจสร้างความรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจให้กับเรา แต่ถ้าพิจารณาให้ดีๆแล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับความสุขของชีวิตแต่อย่างใด ความสุขมิได้ประกอบด้วยสิ่งสูงส่งไกลเกินเอื้อม แต่เป็นสิ่งที่ปะปนอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา และเป็นเรื่องยากที่จะรักษาให้คงอยู่กับเรา เพราะสังคมเราทุกวันนี้เหมือนรังเกียจความเรียบง่ายธรรมดาๆ และละเลยความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย บางคนอาจจะรู้สึกเขินอาย เพราะคิดว่ายังไม่ถึง มาตรฐานของสังคม และสังคมยังสอนให้เชื่ออีกว่าการที่จะมีความสุขนั้นจะต้องประกอบด้วยมีทรัพย์สมบัติมาก มีอำนาจชื่อเสียงเกียรติยศ รูปสวย ทำให้สถานะ สูงขึ้น แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะ และในที่สุดสิ่งเหล่านี้มิได้นำความสุขที่แท้จริงมาให้แก่เราเลย
การคิดแบบนั้นมันทำให้เราหลงทิศหลงทางในการเดินทางบนชีวิตของเรา ซ้ำร้ายไปกว่านั้นสิ่งเหล่านั้นนอกจากจะทำให้เราหลงทางแล้วเราก็หลงตัวเองไปด้วย คิดว่าความดี คือ ความดัง คนมีสตางค์ คือ คนที่ได้รับการยกย่อง มองชีวิตที่เรียบง่ายว่าเป็นการไม่พัฒนา แยกแยะว่าการ รักตัวเอง นั้น คือการทำทุกอย่างให้ได้มาครอบครอง โดยหารู้ไม่ว่า การแสวงหาความสุขที่หลงทางเช่นนั้นมันเกิดมาจากการ หลงตัวเอง มากกว่า จากบทความของ นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล ทำให้มองเห็นภาพการ รักตัวเอง ที่แท้จริง ต่างกับการ หลงตัวเอง เช่นไร
1.คนรักตัวเอง รู้มาก แต่พูดน้อยเท่าที่จำเป็น
คนหลงตัวเอง รู้น้อย แต่ชอบคุยโม้โอ้อวด เพื่อกลบเกลื่อนความไร้สามารถในเรื่องอื่นๆ
2. คนรักตัวเอง เห็นความดีและความสามารถทั้งของตัวเองและผู้อื่น พูดชื่นชมคนอื่นทั้งต่อหน้าลับหลัง
คนหลงตัวเอง ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น หยิบยกความผิดของคนอื่นมาบดบังความชั่วร้ายของตนเอง
3. คนรักตัวเอง เห็นความบกพร่องของตนเองและพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไข
คนหลงตัวเอง มองข้ามความบกพร่องของตัวเอง แต่เชี่ยวชาญในการจับผิดเรื่องของคนอื่น
4. คนรักตัวเอง มีความเห็นอกเห็นใจคนที่ด้อยกว่า และอยากช่วยเหลือ
คนหลงตัวเอง ถนัดในการซ้ำเติมความผิดของผู้อื่น ชอบเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อเลียน
5. คนรักตัวเอง เมื่อเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จก็ชื่นชมยินดี
คนหลงตัวเอง ช่างอิจฉาริษยาเห็นคนอื่นได้ดีแล้วตัวเองเจ็บปวด
6. คนรักตัวเอง อ่อนน้อมถ่อมตนสุภาพให้เกียรติผู้อื่น
คนหลงตัวเอง มักก้าวร้าว เย่อหยิ่ง ยโสโอหัง พูดจาขวานผ่าซาก ไม่รักษาน้ำใจคน
7. คนรักตัวเอง อยากเรียนรู้จากคนอื่นในเรื่องที่ตนเองยังไม่รู้เปิดใจรับฟัง 
คนหลงตัวเอง ชอบทำตัวเหนือกว่าคนอื่น รับไม่ได้ว่าคนอื่นเก่งกว่าเราในบางเรื่อง
8. คนรักตัวเอง จะแก้ไขปัญหาอย่างสันติและสร้างสรรค์
คนหลงตัวเอง มักใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา
9. คนรักตัวเอง มีความเสียสละคิดถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นหลัก
คนหลงตัวเอง เห็นแก่ตัวชอบเอาเปรียบผู้อื่นเมื่อมีโอกาส
10. คนรักตัวเอง เป็นแหล่งกำเนิดของความสุขแก่ผู้ใกล้ชิดได้ฟังคำพูดที่ไพเราะอ่อนหวาน
คนหลงตัวเอง เป็นมลพิษของคนรอบข้าง ใครอยู่ใกล้มักอึดอัด รำคาญ ได้ยินแต่เรื่องร้ายๆ
11. คนรักตัวเอง มีรัศมีแห่งความเมตตา
คนหลงตัวเอง มีรังสีอำมหิต
คนหลงป่าหากมีเข็มทิศย่อมออกจากป่าได้ คนหลงทางหากรู้จักถาม รู้จักอ่านแผนที่ มีเครื่อง GPS นำทาง การไปถึงซึ่งที่หมายได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย แต่ถ้าหลงตัวเอง มีสิ่งเดียวที่จะช่วยผ่อนเบาลงได้คือการเรียนรู้จักที่จะรักตัวเองอย่างถูกต้อง แล้วหันกลับมาเห็นผู้อื่นอยู่ในสายทางบ้าง เราจะได้มีเพื่อนร่วมทาง จะได้ไม่หลงทางง่ายๆ และระหว่างทางยังคงได้รับความสุขจากการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน....เริ่มสำรวจทางแห่งชีวิตและใช้เวลา 40 วันนี้ เพื่อหาทางออกให้กับชีวิตที่หลงทางไปบ้าง....

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กรองอดีต


กรองอดีต
            ทุกคนย่อมมีอดีต แต่มีไม่น้อยที่เฝ้าจดจำ จมอยู่กับสิ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป บางคนยึดเหนี่ยวเกี่ยวรัดรักษาอดีตไว้จนแน่น แล้วก็เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว เป็นรอยแผลลึกที่มิอาจจะเยียวยารักษา ไร้ภูมิและอ่อนแอทางอารมณ์ แต่สำหรับคนที่เข้มแข็งย่อมรู้จักที่จะเลือกเก็บนำเอาส่วนดีสิ่งที่งดงามในร่องรอยของอดีตที่ผ่านมา แน่ล่ะ..สิ่งที่ดีที่งดงามเหล่านั้นอาจจะมีไม่มาก แต่มันกลับสร้างพลังมหาศาล ทำให้ชีวิตเราลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง และก้าวเดินอย่างมั่นคง คนที่เป็นเช่นนี้ย่อมเรียนรู้ที่จะเก็บที่จะกรองเลือกให้เหลือสิ่งที่ดีๆมาใช้ในการดำเนินชีวิต ในวันนี้ อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบันทำให้เจ็บปวด กันเลย
สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว มักจะเก็บงำนำอดีตที่เลวร้ายใส่ไว้ในความทรงจำ เน้นย้ำจนเกิดความทุกข์ แล้วก็คาดหวังความสวยงามคงจะเกิดขึ้นในอนาคตโดยมิได้เรียนรู้เรื่องเก่าในวันวาน ก่อให้เกิดความกดดัน ความเครียดก็ถามหา ใช่หรือไม่ สิ่งที่ผ่านมาแล้วและสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จะเป็นตัวบั่นทอนพละกำลังส่วนหนึ่งของความสุขชั้นดีเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึง อดีต ความทรงจำ ก็ย่อมตามมา ทั้ง 2 สิ่ง คือ เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ อดีต นั้น คือ เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดที่เราไม่สามารถจดจำมันได้ทั้งหมดจะมีเพียงบางเรื่องเท่านั้นที่อยู่ใน ความทรงจำ อดีต เราเลือกไม่ได้ แต่สำหรับ ความทรงจำ บางเรื่องเราก็เลือกที่จะจำ แต่ก็มีบางเรื่องที่บันทึกอยู่ในความทรงจำของเราที่ไม่อยากจะจำกลับชอบย้อนมาตอกย้ำให้เจ็บช้ำเป็นประจำ พูดแบบสรุปตัดความ มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่มีอยู่ในอดีตและมักผุดขึ้นมาในความทรงจำ นั่นคือ ความสุข และความทุกข์ ความสุข นั้น มักเป็น ความทรงจำ ที่เราเลือกจำ แต่ ความทุกข์ นั้นมักเป็น อดีต ที่ชอบแอบเข้ามาใน ความทรงจำ โดยที่เราไม่ได้อนุญาต เป็นความทรงจำที่ไม่อยากจำแต่ก็ต้องจำ เป็นอะไรที่อยากลืมแต่กลับจำและจำแม่นเสียด้วย...
มีผู้เปรียบไว้ว่าหาก ชีวิต เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง อดีต ก็คือ รากที่อยู่ใต้ดิน เปรียบได้กับ รากฝอย ที่มีอยู่มากมายในระดับผิวดิน ความทรงจำ คือ รากแก้ว มันหยั่งลึกลงดินอย่างแน่นหนา ถ้ารากดี รากแข็งแรง ต้นและใบก็ดี แต่ถ้ารากอ่อนแอ เป็นโรค ต้นไม้นั้นก็ไม่เติบโต ไม่แปลกอะไร ที่คนมองโลกในแง่ดี ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวที่อบอุ่น ชีวิตในวัยเด็กของเขามีความทรงจำที่ดีที่งดงามมากมาย
เป็นความอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงประทานสิ่งนี้มาในชีวิตมนุษย์ กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังยากที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ ที่ออสเตรเลียเคยมีการทดลองกับนักศึกษาจำนวน ๑๐๐ คน โดยให้แต่ละคนเลือกความนึกคิดมาหนึ่งเรื่องที่เขาไม่ชอบ แต่มักปรากฏขึ้นในจิตใจ จากนั้นก็ให้นักศึกษาครึ่งหนึ่ง กดข่มความคิดนั้นก่อนนอน ๕ นาที เมื่อตื่นขึ้นมาให้ทุกคนรีบเขียนบันทึกเกี่ยวกับความฝันในคืนนั้นทันที การวิเคราะห์พบว่า นักศึกษากลุ่มหลังนี้ฝันถึงความคิดดังกล่าวมากกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กดข่มมัน  การทดลองนี้ยืนยันว่า ยิ่งอยากกำจัดความคิดหรือความทรงจำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันยิ่งตามมารบกวนทั้งในยามตื่นและยามหลับ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? การค้นพบทางด้านประสาทวิทยาอาจให้คำตอบในเรื่องนี้ได้ เมื่อประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น หรือเศร้าโศก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งไปกระตุ้นให้อามิกดาลา (สมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับอารมณ์) สั่งการให้มีการบันทึกความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น ฮอร์โมนดังกล่าวหลั่งออกมามากเท่าไร ความจำในเรื่องนั้น ๆ ก็จะยิ่งฝังลึกโดยมีอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปย้ำ 
อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านั้นจึงเป็นตัวการสำคัญที่ตอกย้ำความทรงจำให้ประทับแน่นมากขึ้น ยิ่งเจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งลืมเลือนได้ยาก แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนี้เท่านั้น ตอนที่หวนระลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีก แล้วเราเกิดความรู้สึกเจ็บปวดตามมา แถมยังพยายามจะไปกำจัดมัน ความเครียดที่เกิดจากกระบวนการดังกล่าว ยิ่งทำให้ความทรงจำนั้นฝังลึกมากขึ้น
เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในอดีตได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงท่าทีหรือความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ แทนที่จะพยายามปฏิเสธมัน หรือผลักไส กดข่มความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น เราลองหันมายอมรับมันหรือวางใจเป็นกลางกับมัน นั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สงบ แล้วค่อย ๆ นึกถึงเหตุการณ์นั้น เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้น ก็ให้รับรู้เฉย เปิดใจต้อนรับเสมือนเป็นเพื่อนสนิทของเรา หากอยากร้องไห้ ก็ขอให้ร้องไห้ออกมา หากมีเพื่อนหรือประจักษ์พยานรับรู้ด้วยก็ยิ่งดี การที่เรากล้าเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้เขาฟัง แสดงว่าเราทำใจยอมรับมันได้มากขึ้นแล้ว (คาทอลิกเราจึงมีศีลอภัยบาปไว้เพื่อสิ่งนี้) เมื่อใดก็ตามที่เราวางใจเป็นกลาง สงบ ไม่หวั่นไหวกับเหตุการณ์ในอดีต เหตุการณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจโบยตีหรือหลอกหลอนเราได้อีกต่อไป มันอาจจะไม่เลือนรางในเร็ววัน แต่ก็จะรบกวนจิตใจเราน้อยลง ถึงจะมาปรากฏในมโนสำนึกอีก แต่ก็ไร้พิษสง ไม่ทำให้เราเจ็บปวดอีก แต่เดิมที่เคยเป็นเสมือนแผลเรื้อรัง ที่แตะต้องเมื่อไร ก็เจ็บเมื่อนั้น บัดนี้แผลได้สมานสนิท แม้จะเป็นแผลเป็น แต่ก็แตะต้องได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป
ความทรงจำที่ผิดหวัง การถูกพลัดพราก การสูญเสียในอดีตนั้น ไม่จำเป็นต้องพ่วงมากับความรู้สึกเจ็บปวด โกรธแค้น เศร้าโศกเสมอไป และมันมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด แต่ยังสามารถเป็นต้นทุนที่เพิ่มประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเข้มแข็งและมีปัญญามากขึ้น หากว่าเรารู้จักที่จะกรองอดีต อย่าไปจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วเลย จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับบ้าน...

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยว@ทบทวน


ท่องเที่ยว@ทบทวน
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาใน 5-6 ปีมานี้ อย่างน้อยปีละครั้งชีวิตมักต้องวนเวียนกลับมายังเมืองเชียงใหม่เสมอๆ เมืองที่มีเสน่ห์น่าท่องเที่ยว เมืองที่ท่องไปไม่รู้จักหมด ภายในหนึ่งวันเที่ยวชมสถานที่ต่างๆยังมิทันไรก็หมดหมายกำหนดเสียแล้ว ในแต่ละครั้งไปยังที่ต่างๆแม้จะมีเวียนวนซ้ำรอยกลับมายังที่เดิมแต่ก็มีอะไรใหม่ให้เยี่ยมชมได้เสมอ จากที่เคยนั่งในรถติดแอร์ท่องเที่ยว แต่ครั้งนี้ใช้รถสองแถวประจำเมืองเป็นพาหนะนำพา ได้เห็นความซื่อของผู้คน เห็นความงามยามลมพัดผ่านปะทะหน้า กลิ่นเบรก กลิ่นล้อรถที่บดถนนเพื่อเลี้ยวโค้งในยามที่ขึ้นยังดอยสูง ได้เห็นสภาพหมู่บ้านที่เคยเยี่ยมเยือนครั้งกาลก่อน บัดนี้กลายเป็นตลาดร้านรวง วิถีชีวิตที่เคยนั่งถักทอมาวันนี้มานั่งหน้าร้านร้องเชิญชวนให้จับจ่าย จากวิถีชีวิตดั้งเดิมเปลี่ยนเป็นวิถีธุรกิจ ดอกไม้สวยงามตามธรรมชาติ ถูกจัดถูกตบแต่งเป็นแปลงเป็นรั้ว ให้ผู้คนสวมรอยหยิบเอาความงามมาครอบครอง ท่องเที่ยวไปนั่งทบทวนบางสิ่งที่เกิดขึ้น ที่สูญหาย สิ่งที่ได้รับทั้งผ่านพ้นแบบนุ่มนวลและกระแทกโถมใส่ ใช่หรือไม่ หลายสิ่งแม้จะเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปแต่สาระมันยังคงอยู่


ท่องเที่ยวไปในถนนที่คดเคี้ยว
การที่ได้มาเยือนแผ่นดินล้านนาเมืองเชียงใหม่ในครั้งนี้ รถสองแถวขาประจำท้องถิ่นพาไปตามที่ต่างๆอย่างคล่องแคล่ว แม้หนทางจะทางคดเคี้ยวมากกกว่าถนนในเมืองหลวงที่ส่วนมากเป็นถนนตรงๆ แต่การเดินทางมักจะติดหนึบอยู่ในระหว่างทาง ถนนถึงจะคดเคี้ยว จำนวนรถวิ่งผ่านไปไม่มากมายนัก สายลมปะทะเข้าหน้า อากาศเย็นกำลังดี ทำให้เดินทางด้วยความปลอดโปร่งโล่งสบายจิตสบายใจ
ทบทวนถนนสายชีวิต
บนถนนชีวิตของแต่ละคน บางคนโค้งมากบางคนโค้งน้อย ที่เป็นถนนราบรื่น ปูด้วยกลีบกุหลาบนั้นมีไม่มาก ถึงทางโค้งบางคนก็พลาดไม่ทันระวัง ต้องประสบพบเจอโค้งอันตราย มีบ้างบางคนได้รับบาดเจ็บ แต่นั่นมันก็เป็นบาดแผลที่สร้างบทเรียนและสะสมประสบการณ์เพิ่มความแข็งแกร่งให้ชีวิตในวันหน้า ส่วนใครหลุดโค้ง เข้าโค้งหักศอก มิอาจจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้ ชีวิตย่อมตกอยู่ในภาวะเป็นอัมพาตทางคุณธรรม ใช่...เราผ่านมาหลายโค้งบนถนนที่คดเคี้ยว แต่ในเสี้ยวของการพลาดขณะเข้าทางโค้ง ความวางใจในพระเจ้า ก็เป็นดังเบรกที่คอยชะลอ มิให้ถลำลึกลงข้างทาง

เที่ยวชมความงามของมวลดอกไม้
ในครั้งนี้ที่เชียงใหม่ เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่การเที่ยวชมสวนดอกไม้ตามที่ต่างๆ ในโครงการหลวง ในพระราชวังภูพิงค์ ดอยอินทนนท์ งานพืชสวนโลก ต่างเต็มไปด้วยดอกไม้และพืชไม้นานาพันธุ์ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจอย่างมากเห็นจะเป็นดอกกล้วยไม้ในงานพืชสวนโลก หลากหลายชนิดทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็น ธรรมชาติสรรสร้างความวิจิตร ลวดลายบนใบดอก สีสันกิ่งก้าน ครั้นพอไปเที่ยวชมความงามตามธรรมชาติ ยิ่งพบเห็นความละเมียดละเอียดละออของสิ่งสร้างมากขึ้น กล้วยไม้หลายชนิดแอบแนบชิดกับต้นไม้ใหญ่ อาศัยร่มเงาเพื่อสร้างความงดงาม การอาทรของสรรพสิ่งในป่าไม้ นำมาซึ่งความสดชื่นร่มเย็น
ทบทวนในวัยกล้วยไม้ ใกล้ม้วย

วันเวลาผ่านไปรวดเร็วดูเหมือนเมื่อวานเรายังวิ่งเล่นซุกซน เที่ยวเตร่ แอบเกเรแบบเด็กๆอยู่เลย มาวันนี้บ่อยครั้งที่เห็นเด็กเล็กๆเติบโตขึ้น ได้เข้าเรียน เข้ามหาวิทยาลัย เหลียวมามอง อ้าว...นี่เราเดินทางมานานวันแล้วหรือ ... ความเอื้ออาทรในชีวิตเรามีมากน้อยเพียงใด เป็นร่มเงาให้ใครมาบ้าง หรือว่า...เป็นเพียงแดดแรงที่เที่ยวส่องแสงให้ผิวกายของคนอื่นแสบๆคันๆ ให้ผิวดำกร้านแดด อุปนิสัยเราเป็นความสวยงามตามธรรมชาติหรือเป็นเพียงความงามแบบจอมปลอม ที่ย้อมสีเติมแต่งให้ดูดีเพียงมองผ่าน หากมองพิศกลับพบเจอแต่พิษอยู่เต็มตัว เมื่อหลักไมค์ชีวิตมากขึ้น เราได้เป็นผู้ให้โดยไม่จำ รับแล้วไม่เคยลืมหรือไม่????
สถานที่เดิมแต่มักมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ
การเที่ยวชมย่อมมีบางสถานที่เมื่อเคยมาแล้วต้องเวียนแวะมาอีกครั้งหนึ่ง สถานที่บางแห่งมีการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนวัตถุสิ่งสร้าง แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติบางแห่งยังเหมือนเดิม น้ำตกยังเป็นน้ำตก แต่น้ำมากน้ำน้อยย่อมต่างกันโดยที่เรามิทันได้สังเกต ป่าเขาลำเนาไพรดูเหมือนจะคล้ายเดิม แต่เราจะรู้ได้อย่างไร...ต้นไม้ต้นไหนใหญ่และสูงขึ้น ญาติสนิทมิตรสหายที่ได้นัดพบบางคนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา มีแต่มิตรภาพเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม 
ทบทวนกับสิ่งที่เป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปอย่างมิทันได้สังเกตเห็น
ใช่หรือไม่ คนที่อยู่กับเราทุกวันเรามักจะคุ้นชินจนชินชา ละเลยมองข้ามความเปลี่ยนแปลง ลูกๆของเราเติบโตขึ้นทุกๆวัน เราก็ยังเห็นพวกเขาเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ สามีภรรยาที่อยู่กันมาเนิ่นนาน บางครั้งก็มักมองข้ามในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งประสบพบเจอ ละเลยการใส่ใจถามไถ่ในเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจ เพราะเรามักเห็นสิ่งรอบข้างตัวมีความแปลกใหม่อยู่เสมอ เมื่อวัยวานเดินทางเข้าสู่ชานชรา หลายคนน้อมยอมรับและสงบลง ไม่เรียกร้องให้ใครต้องมาใส่ใจดูแล มองเห็นสิ่งรอบข้างอย่างเข้าอกเข้าใจ นี่อาจจะเป็นความสุขของคนที่ผ่านวันวานมาอย่างมีคุณค่า แล้วเราจะก้าวถึงจุดนั้นได้หรือไม่...

ท่องเที่ยวไปนั่งทบทวนถึงชีวิตไป มองเห็นสิ่งที่เคยพลาดพลั้ง สิ่งที่เคยผิดหวัง สิ่งที่เคยสุข สิ่งที่เป็นบาดแผลฝังลึก ความรู้สึกต่อคน ต่อสิ่งสร้างเปลี่ยนแปลงไปมองเห็นและเข้าใจโลกในมุมที่ลึกและรู้สึกรักชีวิตและสิ่งรอบข้างมากขึ้น รักทุกวันที่ผ่านมาและขอบคุณทุกผู้คนที่ผ่านมาและผ่านไป ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เรารู้จักท่องเที่ยวเพื่อให้เห็นความรักของพระเจ้าผ่านทุกสิ่งอัน ความรักของพระองค์ดำรงนิจนิรันดร์.

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทุกสิ่งล้วนดีที่ไม่ดีเพราะ...


ทุกสิ่งล้วนดีที่ไม่ดีเพราะ...
เริ่มต้นด้วยรัก รักอันยิ่งใหญ่... ประโยคแรกของบทเพลง ภารกิจแห่งรัก ประพันธ์โดย ภัศม์ คือคำที่ชอบมากเป็นการส่วนตัว เป็นประโยคที่สื่อความหมายของการดำเนินชีวิตได้อย่างมีเป้าหมายและมีทิศทาง ขอให้เริ่มต้นด้วยรัก เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ เริ่มต้นในการทำงาน ในการทำภารกิจทุกๆครั้ง แล้วความดีงามก็จะเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนภารกิจแห่งชีวิต
เดือนกุมภาพันธ์เดือนที่ทั่วโลกตั้งสมมุติให้เป็นเดือนแห่งความรัก แต่กลับเป็นเดือนที่สั้นที่สุดในรอบปี หรือว่าความรักของคนเรามันสั้นกว่าสิ่งอื่นๆ มันก็คงเป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งเท่านั้น อย่าคิดมาก...  ความรักควรที่จะมีอยู่ในชีวิตทุกๆวัน และควรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความรักต้องหลุดพ้นไปจากความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว รักที่เลยผ่านจากเรื่องของตัวเอง แน่ล่ะ...มันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนกับพูด หรือเหมือนกับการเขียนออกมา เพราะเอาเข้าจริง ในสถานการณ์จริงย่อมมีอะไรมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้มโนสำนึกในความรักถูกกดทับด้วยความโกรธ ด้วยอารมณ์โมโห ด้วยความรู้สึกอยากจะครอบครอง  และแสดงออกมาด้วยอาการต่างๆ ที่มีต่อผู้คนรอบข้าง
แน่นอนแต่ละคน ย่อมมีนิยามความรักเป็นของตัวเอง และทุกคนก็เคยรักและเคยถูกรักมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องซะหน่อย ในช่วงนี้มีแอปพลิเคชั่น (Application) หรือ โปรแกรม ตัวหนึ่ง กำลังฮิตมากในบรรดาผู้ใช้สมาร์ทโฟน ที่ชื่อ ซิมซิมิ” (โดนแบนภาษาไทยไปแล้ว) เป็นการแชทหรือพูดคุยกับเครื่อง หลังจากที่คนกับคนคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เลยคิดค้นให้คุยกับเครื่อง จนกลายเป็นที่นิยมเล่นกันทั่วบ้านทั่วเมือง อ้าวไหนๆก็ไหน เลยลองถามเครื่องผ่านแอฟฯตัวนี้ซะหน่อย โดยพิมพ์เข้าไปว่า ความรัก เพื่อหาคำนิยามจากเครื่อง (ก่อนถูกแบน) มันตอบมาว่า ไม่ต้องมาหาแถวนี้ 5555... ถามอีกรอบ มันตอบว่า รักมาก รอบที่สามนี่เด็ดมากคำตอบคือ เรื่องเพ้อฝัน เครื่องก็คือเครื่องมันมิอาจจะเข้าใจความรักของมนุษย์เราได้  มันมองว่าความรักของเราเป็นเรื่องไร้สาระ เพ้อเจ้อ แต่ความรักมีหลายรูปแบบในชีวิต ความรักเป็นสิ่งที่คู่กับชีวิต ความรักคือสิ่งที่จะช่วยยกระดับของสิ่งสร้างฉะนั้นแล้ว เราควรพยายามเริ่มต้นด้วยรักในทุกกิจการ  ถึงปลายทางความสวยงาม ความดีงามก็จะบังเกิดผลตามมา
มีคนกล่าวไว้ว่า ถ้าเราเริ่มต้นดีผลสุดท้ายย่อมดี ความรักที่กล่าวถึงเราต้องพยายามหลุดพ้นจากนิยามรักของหนุ่มสาว แต่เป็นความรักที่มอบให้สรรพสิ่งด้วยสายตาแห่งความเคารพว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งดี เพราะพระเจ้าพระผู้สร้างรังค์สรรทุกสรรพสิ่งด้วยความรักและให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่เมื่อมาอยู่กับมนุษย์เราจะเห็นว่ามีสิ่งที่เลวร้ายมากมายปรากฏขึ้นบนโลก มีคนไม่ดีมากในสังคม แน่นอน...ที่เราเห็นว่าไม่ดีนั่นเพราะเรามองผู้คน เรามองสรรพสิ่งด้วยสายตาที่ขุ่นมัวใช่ไหม  มีไม่น้อยที่เราใช้อคติมองคนอื่น มองด้วยสายตาแห่งความอิจฉาตาร้อน มองด้วยความหวาดระแวง หากเรามองด้วยสายตาที่ปราศจากสิ่งกีดขวาง ด้วยหัวใจใสสะอาด มองด้วยความรัก มองคนอื่นด้วยสายตาแห่งความห่วงใย เราก็จะเห็นสิ่งดีงามและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ภรรยาจะออกกำลังกายทุก ๆ เช้า ในขณะที่เธอออกกำลังกายอยู่นั้น เธอก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่างและดูเพื่อนบ้านกำลังซักผ้าและตากผ้าอยู่ หลังจากออกกำลังกายแล้ว เธอจึงลงมารับประทานอาหารเช้ากับสามี และเล่าให้สามีฟังว่า ...
ชั้นไม่เข้าใจเลย เพื่อนบ้านของเรานี่ ไม่รู้จักวิธีซักผ้าให้สะอาดเลยหรือไง เสื้อผ้าที่หล่อนซักยังสกปรกอยู่เลย ไม่รู้ว่าเธอใช้ผงซักฟอกยี่ห้ออะไรกัน
สามีบอกว่า...คุณไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเขาทำไม (ชอบมากมายเรื่องชาวบ้าน) เราซักผ้าของเราให้สะอาดก็พอแล้ว
แต่ภรรยาก็ไม่เชื่อฟังสามี เธอมองออกไป ที่หน้าต่างทุกๆเช้าเวลาออกกำลังกาย เพื่อดูเพื่อนบ้านซักผ้าและตากผ้า แล้วก็จะลงมารายงานให้สามีฟังอีกว่า ...
เพื่อนบ้านของเราซักเสื้อสกปรกอีกแล้วแหละถ้าไม่รักกันจริงสามีคงจะว่าภรรยาไปแรงๆแล้วกระมัง...
อยู่มาวันหนึ่ง ภรรยารีบลงมาบอกสามีด้วยความประหลาดใจ..
นี่คุณไม่รู้เกิดอะไรขึ้น วันนี้เพื่อนบ้านของเราซักผ้าได้สะอาดจริง ๆ สงสัยเธอจะเปลี่ยนผงซักฟอกที่ใช้อยู่นะ สงสัยจะใช้ยี่ห้อ (เซนเซอร์ เพราะไม่ได้ค่าโฆษณา) สงสัยจังว่า วันนี้เธอซักผ้ายังไง  แหมขาวสะอาดจริง ๆ
สามีหัวเราะ และก็บอกว่า ...
คือว่าผมเบื่อเหลือเกิ้น...(เสียงสูง) ที่คุณมารายงานผมทุกวันๆ ว่าผ้าบ้านโน้นสกปรก เช้าวันนี้ผมเลยตื่นแต่เช้า ตื่นก่อนคุณ และก็เลยไปเช็ดกระจกหน้าต่าง เมื่อก่อนนี้หน้าต่างบ้านเราสกปรกมาก แต่วันนี้กระจกสะอาดใสแจ๋ว คุณก็เลยมองอะไรข้างนอกสะอาดไปหมดนั่นแหละ ใช่ป่ะ...
 ใช่หรือไม่ ถ้าจิตสำนึกของเรา จิตใจของเราสกปรก เราก็จะมองเห็นสิ่งอื่นสกปรกไปด้วย เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำความสะอาดจิตใจของเราทำให้จิตของเราบริสุทธิ์ขึ้น เราก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดี และพร้อมที่จะออกไปประกาศความดีด้วยความรัก.....