วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เข้าใจความมืด

เข้าใจความมืด
สวัสดีปีใหม่และขอบคุณทุกๆท่านครับ ที่ได้ติดตามงานเขียนในสารวัดเซนต์หลุยส์ ในนามของ “คนข้างวัด” ตลอดมา สำหรับผู้เขียนก็จะพยายามที่จะขีดเขียนข้อคิดที่ดีๆ ถือว่าเป็นการแบ่งปันความคิดเห็นที่มีต่อสังคมบ้าง ที่มีต่อชีวิตบ้าง ที่มีต่อความเชื่อในฐานะคริสตศาสนิกชนคนหนึ่ง และที่สุดหากว่าบทความบทใดทำให้เป็นที่ขัดเคือง เป็นที่ไม่สบอารมณ์ หรือเป็นที่ที่ทำให้เกิดบาปของพี่น้อง ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ปีใหม่ก้าวผ่านเข้ามา หลายคนก็มีความตั้งใจจะทำสิ่งใหม่ๆสิ่งที่ดีๆตลอดปีที่จะมาถึงนี้ แต่พอวันเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ชีวิตก็มักวกเวียนกลับไปอยู่ยังจุดยืนเดิมๆ กลับไปเป็นตัวตนเหมือนเดิม ตามอุปนิสัยและความคุ้นชิน หลงลืมความตั้งใจดีในวันขึ้นปีใหม่ไป นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่า เราไปให้ความสำคัญกับวันปีใหม่ที่หมู่มวลมนุษย์ได้ร่วมกันค้นคิดขึ้นมากเกินไป แท้จริงวันคืนก็กลืนกินหายไป แล้วก็กลับมาเหมือนดังเช่นทุกๆวัน ความดีความทราม ความงามความชั่ว ก็ยังอยู่คู่กับโลก คู่กับชีวิตนี้ต่อไป แต่สำหรับคนที่ปรารถนาจะอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้อย่างปลอดภัย เลือกที่จะยืนอยู่ข้างความดี ความงาม ท่ามกลางความทรามความเลวร้าย ก็ต้องหมั่นไถ่ถามตัวเองเสมอๆว่า “แท้จริงแล้วชีวิตนี้คืออะไร มีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด จะอยู่อย่างสุขหรือปกคลุมไปด้วยทุกข์”
ใช่...ชีวิตเราย่อมมีสองด้าน เฉกเช่นวันเวลาย่อมมีทั้งกลางวันและกลางคืน หลายคนเลือกที่จะชื่นชมกับแสงสว่างยามกลางวันแต่ไม่ยอมเรียนรู้ ทำความเข้าใจกับความมืดยามค่ำคืน รอคอยแต่แสงแรกแห่งวัน เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาที่หมักหมม และมีอีกหลายคนจ่อมจมอยู่กับความมืดยามค่ำคืน ซ่อนตัวตนอยู่กับความทุกข์จนไม่อาจจะลุกขึ้นสู้แสงของกลางวัน ในด้านมุมหนึ่งพระเจ้าสร้างกาลเวลา แบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน เพื่อแยกความสว่างออกจากความมืด ใช่หรือไม่ พระเจ้าให้ชีวิตเรามีสองด้านและพระองค์ปรารถนาให้เราแยกความสว่างในจิตใจของเรา ออกจากความมืดมนของชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน..
สำหรับการดำเนินบนหนทางชีวิตนั้น หาใช่เพียงหวังแต่ว่าจะอยู่อย่างเป็นสุขตลอดกาลได้อย่างไรเล่า เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีวันแห่งความทุกข์ยากคืบคลานผ่านเข้ามาในชีวิต สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า เมื่อวันใดวันหนึ่งความมืดแห่งความทุกข์โจมตี เราจะมีมุมมองในการจัดการกับความทุกข์นั้นได้อย่างไรต่างหาก
เมื่อเราจมอยู่ในราตรีกาลแห่งความทุกข์ สิ่งที่ติดตามมาย่อมหนีไม่พ้นความท้อแท้ สิ้นหวัง เจ็บปวดแสนสาหัส กระหน่ำเข้ามากัดกร่อนกินจิตวิญญาณให้แทบสูญสิ้นศรัทธาในการดำรงชีวิตอยู่ ต่อว่าพระเจ้า ต่อว่าโลกนี้ ช่างโหดร้ายเสียเหลือเกิน เสมือนว่าโลกกำลังจะแตกดับลงต่อหน้าต่อตา นี่เป็นความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์โดยแท้ เมื่อมีกลางคืนไยเล่าจะไม่มีกลางวัน กลางคืนคือความหวังของวันพรุ่ง
แล้วช่วงเวลาแห่งความปวดร้าวก็จะผ่านไปเมื่อกงล้อของกาลเวลาได้นำพาแสงสว่างมาให้เราเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้หลายๆรอบในช่วงชีวิตหนึ่ง แล้วเมื่อถึงตอนนั้น เราอาจจะหันกลับมามองบาดแผลในครั้งนั้นด้วยสายตาที่ผิดแผกไปจากเดิม บาดแผลนั้นจะทำให้เรามีภูมิ ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น และบ่อยครั้งเมื่อกาลเวลาผ่านไปเรื่องเหล่านั้นกลับเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เพราะขณะนั้นเรามัวแต่จมอยู่ในความมืดมนโดยไม่ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ ละเลยที่จะมีความหวัง ความมืดย่อมมีวันจางหายไป..
แต่ก็มีบางคนที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ดวงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาในใจ ยังคงนั่งจมอยู่ในความมืดมิดชนิดว่ามองไม่เห็นอะไรเลยแม้กระทั่งเปลือกตาตัวเอง เฝ้าแต่ตำหนิต่อว่าถึงความโหดร้ายที่ตนเองได้รับอยู่อย่างไม่สร่างซา ไม่เข้าใจสัจจะแห่งสรรพสิ่งในโลกที่ล้วนเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสูญ
หนทางชีวิต คือ เส้นทางที่ยังไม่เคยมีการสำรวจ ที่เราอาจพบสิ่งงดงามเกินความบรรยายรอคอยอยู่ตรงหน้าก็เป็นไปได้ หรือไม่ก็ความเลวร้าย ความเจ็บปวดสาหัส เราไม่สามารถคาดเดาเส้นทางข้างหน้าได้ แต่หากเราเชื่อมั่นในหนทางที่เรากำลังเดินอยู่ เราก็สามารถดำเนินชีวิตอยู่กับแสงตะวันได้อย่างเบิกบาน พักผ่อนนอนหลับกลางแสงจันทร์และแสงดาวพรั่งพราวได้อย่างสงบ....
บรรดาโหราจารย์ ผู้เป็นต้นธารของการเข้าใจความมืดยามค่ำคืนได้อย่างดียิ่ง ในคืนอันมืดมิดเพียงรู้จักที่จะแหงนหน้าขึ้นเบื้องบน ความสว่างของดาวดวงเล็กๆก็อาจจะนำพาความหวังอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตเราได้ ใช่...เราชื่นชมแสงสว่างยามกลางวัน เพราะมันทำให้เรามองเห็นสรรพสิ่งที่ต้องการ ทำให้เราสร้างสรรค์หนทางชีวิตหาใช่เพียงแต่ฝันหวาน ในขณะเดียวกันความฝันยามกลางคืนก็เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงให้มวลหมู่มนุษย์ได้อยู่อย่างสงบสันติตลอดมามิใช่หรือ ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่กับโลก การก่อกำเนิดพระผู้ไถ่กู้ก็มาจากยามค่ำคืนอันแสนสงบเงียบ พระผู้ไถ่กู้ผู้เป็นแสงสว่างส่องโลกา...โลกนี้ยังมีด้านมืดให้เข้าใจเพื่อนำพามาซึ่งแสงสว่าง ชีวิตเรามีความทุกข์ให้พบเจอ ก็เพื่อเราจะเข้าสู่วันใหม่ด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความศรัทธา อย่าสูญสิ้นซึ่งสิ่งเหล่านี้ ...

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เราคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระกุมาร

เราคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระกุมาร

ในชีวิตเราการได้เดินทางไปยังที่ไกลๆ ไปยังที่ที่มีชื่อเสียง ได้ไปยังที่ที่ผู้คนปรารถนาอยากจะไปสักครั้งในชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว นี่เป็นความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนหลายคน แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ได้ไปยังสถานที่ตรงนั้นบ่อยๆ จนกระทั่งความศรัทธา ความชื่นชมได้จืดจางหายไป..

หากว่าชีวิตคู่กับการเดินทาง ตราบใดยังมีลมหายใจการเดินทางก็ยังไม่สิ้นสุด จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แม้มีบ้างบางครั้งบางเวลาบางสถานที่ต้องใช้เวลาอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่พบเห็นเพียงผ่านๆ นั้น กลับได้รับการรื้อฟื้น เพิ่มพูนความเชื่อ ต่อยอดทางปัญญา มีบางที่บางครั้งกลับเพิ่มศรัทธาลงในจิตวิญญาณได้อย่างลึกซึ้ง..

เมืองเบธเลเฮ็ม คือ สถานที่ที่ทำให้รู้รัก ศรัทธาและเชื่อมั่นในความเป็นพระผู้ไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าอย่างหมดหัวใจ ไร้ข้อกังขา แม้ว่าจะมีคำถามให้กับตัวเองว่า เราเป็นคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระองค์.....

นับว่าเป็นครั้งที่สองของชีวิตแล้วที่ได้เดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ แม้จะต่างกาลเวลา ต่างบรรยากาศ แต่...มันคือความศรัทธาและความตื่นเต้นที่ได้มาหาองค์พระผู้ไถ่ยังสถานที่บังเกิดที่เบธเลเฮ็ม ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ใช้เวลารอไม่นานนักก็ได้เข้าไปกราบแทบพื้นตรงจุดของการบังเกิด บนดาวสีเงิน แต่สำหรับครั้งนี้เห็นฝูงชนจำนวนมากมายต่างเข้าคิว เข้าแถวรอคอยเวลาของตนที่จะได้บรรจงจูบ ประนมมือกราบไหว้ดาวสีเงิน จุดที่พระองค์ได้ประสูติมา ทุกคนต่างเฝ้ารอด้วยหัวใจพองโตที่จะเข้าไปในซอกปากถ้ำเล็กๆแห่งนี้

เบื้องล่างเป็นวัดน้อยที่พระกุมารบังเกิด (Chapel of the Nativity) สถานที่บังเกิดของพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นซอกหินเล็กๆ ทุกคนที่มาถึงที่นี่จะคุกเข่าเข้าไปใต้พระแท่นทีละคน จะสวด จะจูบ จะเคารพด้วยวิธีไหนก็ได้ แต่ต้องกระทำในเวลาอันสั้นๆ เพราะมีคนต่อแถวยาวเหยียด

โยเซฟเดินทางมาถึงเบธเลเฮ็ม เมืองของกษัตริย์ดาวิด เพราะโยเซฟสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด เพื่อลงทะเบียนพร้อมกับพระนางมารีย์ ซึ่งกำลังมีครรภ์ ขณะที่ทั้งสองถึงที่นี่ ก็ถึงกำหนดคลอดพอดี พระนางคลอดบุตรชายคนแรก เอาผ้าพันกายกุมารนั้นแล้ววางไว้ในรางหญ้า เนื่องจากไม่มีที่ในห้องพักแรมเลย (ลก 2:1-7)

บริเวณที่เรียกว่าถ้ำพระกุมารนี้ มีพื้นเป็นหินอ่อน กว้างประมาณ 3 เมตร ยาว 12 เมตร มีรูปดาวสีเงินเป็นแฉกอยู่ตรงกลาง หรือดาวแห่งเบธเลเฮ็ม อยู่ใต้พระแท่น นับได้ 14 แฉก รอบๆดวงดาวมีอักษรจารึกไว้ว่า ที่นี่ พระเยซูเจ้าได้ทรงบังเกิดจากพระนางพรหมจารีมารีย์ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า ดาวที่ได้นำโหราจารย์ นักปราชญ์จากสารทิศมาเพื่อนมัสการพระกุมารน้อย

เราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้นทางทิศตะวันออก และได้มานมัสการพระองค์ ดาวที่เขาเห็นขึ้นอยู่ในประเทศทางทิศตะวันออกนำหน้าเขา ไปจนกระทั่งมาหยุดนิ่งเหนือที่ที่พระกุมารประทับอยู่นั้น โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออกเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม เที่ยวสืบถามว่า กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น จึงพร้อมใจกันมานมัสการพระองค์..

และเนื่องจากคณะของเราเป็นกลุ่มเล็กๆจำนวนคนไม่มากนักเพียง 12 คน จึงทำให้เราสามารถที่จะเข้าไปกราบนมัสการดาวสีเงินนั้นโดยใช้ทางลัด ไม่ต้องต่อแถวเข้าคิวนาน เมื่อดาวอยู่ตรงหน้า คุกเข่าลงในใจก็ใคร่ครวญถึงการมาถึงของพญาสามองค์ อยากจะอยู่ต่อสักนิดเพื่อใคร่ครวญเรื่องราวเก่าในวันนั้น วันคริสต์มาสครั้งแรก..

แต่แล้วเสียงของคนจัดแถว จัดระเบียบในที่แห่งนั้นเร่งให้เราทำการเคารพดาวอย่างรวดเร็ว ทำให้ ณ เวลานั้นความคิดที่จะใคร่ครวญถูกฉุดกระชากลงอย่างฉับพลันไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้ขึ้นมารวมกลุ่มกัน หลายคนยังตื่นเต้นไม่หาย มีบ้างบางคนน้ำคลอๆ ต่างก็แบ่งปันความรู้สึกกัน เมื่อกลับออกมาเรายังเห็นแถวของผู้คนเหยียดยาวเหมือนเดิม

วันนี้ ณ ที่แห่งนี้ มีผู้คนมากมายที่มาจากทั่วโลก ต่างพากันมาเพื่อชมสถานที่ซึ่งพระกุมารบังเกิดมา ในใจของแต่ละคนย่อมมีศรัทธาที่แตกต่างกัน แต่..ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อของการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งจิตวิญญาณ ในครั้งกระโน้น มีเพียงไม่กี่คนที่ได้มาเฝ้า ที่ได้มายินดีกับการบังเกิดที่เงียบเหงาและโดดเดี่ยวของพระองค์ แต่ก็ได้รับการนมัสการอย่างยิ่งใหญ่จากพญาสามองค์

แต่เดี๋ยวนี้ คนเป็นล้านๆได้มาที่นี่ มาที่แผ่นดินที่เคยได้รองรับพระกายของพระกุมารน้อยจอมราชา กี่ล้านรอยเท้าแล้วที่เดินบนหินอ่อนแห่งนี้ กี่ฝีก้าวที่เหยียบย่ำลงบนบันไดจนสึกกร่อนเป็นรอยลึก แล้ว...รอยเท้าเรา เป็นรอยที่เท่าไหร่ แล้ว...เราเป็นคนที่เท่าไหร่ที่ได้มาเฝ้าพระองค์ มาหาพระองค์ พระกุมารน้อยพระองค์นั้นใช่ว่าจะอยู่ที่สถานที่แห่งนั้นเหมือนเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้วเท่านั้น วันนี้..พระองค์เสด็จมาอยู่ในใจเรา อยู่ในกายเรา นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้เข้ามาหาพระองค์ ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นคนที่เท่าไหร่ สำหรับพระองค์แล้วทุกคนสำคัญเหมือนกันหมด ทุกคนเป็นคนแรกของพระองค์เสมอ เพียงแต่เรามักทำตัวเองให้กลายเป็นคนที่ล้านๆๆๆๆๆ ด้วยตัวเราเอง ด้วยบาปของเราเอง แต่พระกุมารน้อยไม่เคยหายไปไหน เงียบๆ แล้วฟังเสียงพระองค์ซิ.....

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันนี้มีที่ว่างหรือเปล่า…

วันนี้มีที่ว่างหรือเปล่า

บางที บางเหตุการณ์บนเส้นทางชีวิตก็มักเกิดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ อย่างไม่ได้คาดฝัน แต่นั่นแหละทุกห้วงเวลาที่ผ่านเข้ามา ย่อมมีแง่มุมข้อคิดให้กับชีวิตได้เสมอ ในขณะที่แสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่นั้น มีช่วงเวลาหนึ่งไปตรงกับวันชาบัทหรือวันสะบาโตของชาวยิว ซึ่งตรงกับเย็นวันศุกร์ถึงเย็นวันเสาร์ เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ พวกเขาถือตามที่หนังสือพระคัมภีร์ปฐมกาลที่กล่าวไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกแล้วเสร็จในหกวัน วันที่เจ็ดเป็นวันพักผ่อน ชาวยิวจึงถือวันเวลานี้เป็นวันนมัสการขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า มีการสวดอธิษฐานให้กันและกัน และกฎข้อนี้มีอยู่ในบัญญัติสิบประการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไว้แก่โมเสส คือ วันพระเจ้าอย่าลืมฉลองให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ ชาวยิวถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด

จากการสังเกตเห็นในตอนบ่ายๆก่อนจะสิ้นสุดวันศุกร์ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินซึ่งก็ตกเร็วมาก ประมาณห้าโมงเย็นฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ถนนหนทางรถราเริ่มลดลง ร้านรวงห้างร้านเริ่มปิด แต่มีคนมากมายมาจับจองโรงแรม ผู้คนเกือบทั้งเมืองเตรียมตัวสำหรับวันหยุดพัก ชาวยิวรักษาประเพณีวันชาบัทนี้มาอย่างยาวนานหลายพันปี

แต่ก็แปลก...ชาวยิวหลายคนเป็นคนที่รวยระดับโลกเหมือนกัน ทั้งๆที่พวกเขาไม่ได้ทำงานแบบไม่รู้วันเวลา ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังตะเกียกตะกายหาเงินกันเหมือนกับคนในสังคมบ้านเรา หรือว่าแท้จริงแล้ว การจัดระบบระเบียบชีวิตที่ดีต่างหากที่จะนำไปสู่ความสำเร็จทางฐานะการเงิน ใช่หรือไม่ เราตะบี้ตะบันหาเงิน เพื่อมาใช้เป็นค่าดื่มค่ากินและค่ารักษาพยาบาล ค่าเครื่องอำนวยความสะดวกที่มีวันสะดุดบ่อยๆ เราไม่ได้หาเงินเพื่อใช้เงิน ไม่ได้ทำงานเพื่อให้มีเวลาพักผ่อนและใช้เงินเพื่อสุขภาพจิตที่ดีกว่า

เย็นวันเสาร์คณะของเราได้เดินทางมายังเมืองเยรูซาเลม เพื่อวันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปยังบ้านเบธเลเฮมสถานที่ประสูติพระผู้ไถ่กู้ เมื่อคณะของเรามาถึงโรงแรมที่พักที่ได้จองไว้ แต่ปรากกฎว่าห้องพักยังไม่ว่าง ยังไม่เรียบร้อย เนื่องจากยังมีชาวยิวอยู่ในห้องพัก ต้องรอให้พวกเขาออกไป จากนั้นพนักงานต้องทำความสะอาดก่อน พวกเราจึงจะได้เข้าพัก ชาวยิวจะไม่ทำอะไรในช่วงวันชาบัทนี้ จึงนิยมมาพักที่โรงแรม แล้วกว่าจะออกจากโรงแรม ก็ต้องหลังหกโมงเย็นของวันเสาร์ไปแล้ว คณะของเรามาถึงโรงแรมก่อนหกโมงเล็กน้อย พวกเราจึงค่อยๆได้ห้องพักทีละห้อง โชคร้ายมาตกที่ผู้เขียนพอดี ต้องนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ กว่าจะได้ที่พัก และได้เป็นห้องสุดท้าย เหนื่อยก็เหนื่อย ก็มีหงุดหงิดบ้างตามประสา เดินไปเดินมา เพื่อกดดันพนักงานต้อนรับ แต่เมื่อย้อนหลังนึกดูแล้ว ความลำบากของวันนั้นมันเป็นเรื่องจิ๊บจ้อยมาก เมื่อเทียบกับวันที่นักบุญยอแซฟพาแม่พระมาที่เบธเลเฮมเพื่อทำสำมะโนประชากร

หญิงสาวท้องแก่ เดินทางด้วยลา รอนแรมตามเส้นทางร้อนระอุมาหลายเวลา เมื่อมาถึงที่หมายแต่หาที่พักไม่ได้ หนักหนาสาหัสเสียนี่กระไร..เรานั้นหน่ะรู้อยู่แล้วว่ามีที่พัก แต่พอต้องรอสักหน่อยก็ทำเครียด ทำเป็นหงุดหงิดจะเป็นจะตายให้ได้ หรือว่าหัวใจของเรามันไม่ว่าง จึงทำให้เราไม่เป็นสุข ...

เมื่อประเทศอิสราแอลได้เปิดประเทศให้คนทั่วไปได้มาท่องเที่ยว มาแสวงบุญ กันมากขึ้น ธุรกิจโรงแรมก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ประจวบกับการที่ชาวยิวถือวันชาบัทกันอย่างเคร่งครัด ไม่ทำงาน ไม่ทำอาหาร ไม่จุดไฟ นิยมมาพักและทานอาหารกันที่โรงแรม (พนักงานโรงแรมส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับจึงไม่ได้หยุดเหมือนชาวยิว) นี่จึงกลายเป็นการส่งเสริมธุรกิจโรงแรมให้เจริญเติบโตขึ้น และมีจำนวนมากที่ตั้งอยู่ติดๆกัน โดยเฉพาะที่กรุงเยรูซาเลม...

เช่นกันในวันเวลานั้น ผู้คนจากที่ต่างๆก็เดินทางมุ่งหน้ามายังกรุงเยรูซาเลม เมืองเบธเลเฮมที่ห่างจากเยรูซาเลมราว 5 ไมล์ ก็ย่อมคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ใครมาถึงก่อนก็ได้ที่พักก่อน ใครมีเงินมากก็ได้ที่ดีๆ พระนางมารีย์กับยอแซฟช่างไม้ ย่อมใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ ย่อมมาถึงเป็นคนหลังๆ ที่พักย่อมหาไม่ได้ ไม่มีที่ว่างพอที่จะพักเพื่อคลอดบุตร แต่ด้วยหัวใจที่ว่างพอสำหรับพระเจ้าของท่านทั้งสอง เหตุการณ์ยิ่งใหญ่ก็ก่อกำเนิดขึ้นอย่างเงียบๆ ท่ามกลางฝูงสัตว์และผู้คนที่มีที่ว่างสำหรับพระเจ้าในค่ำคืนนั้น

ใช่หรือไม่ วันนี้ดวงใจของเราไม่มีที่ว่างสำหรับกันและกัน ปิดกั้น ไม่เปิดรับ ไม่ยอมรับผู้อื่น ใจเราล้มเปี่ยมไปด้วยความเห็นแก่ตัว พร้อมที่จะปิดลั่นกลอนใส่ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือ ใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยการกอบโกย และเกี่ยวเก็บสะสม จึงไม่มีที่ว่างพอสำหรับการบังเกิดของพระกุมารน้อย เราไม่มีวันเวลาที่จะหยุดพักเพื่อไตร่ตรอง ถากถางที่รกร้างในใจให้ว่างเปล่า เราจึงจมอยู่กับความทุกข์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากเรามีเวลาว่างเราก็มีที่ว่างสำหรับผู้อื่นได้เสมอๆ

ปล่อยวางตัวตนแห่งโลกโลภเสียบ้าง ให้จิตวิญญาณได้ร่าเริงหรรษา ให้กายาได้เว้นวรรค ขยายที่ว่างในหัวใจ มองโลกอย่างสดใสแม้ในวันที่ฟ้าครึ้ม ทำไมไยต้องปิดกั้นกระชับพื้นที่ในหัวใจให้แคบ แล้วก็มานั่งอึดอัด ลำบากกายทุรายทุรนใจ จำเป็นแค่ไหนหรือที่จะเอาหัวใจไปผูกติดกับทรัพย์สิน เพราะที่ว่างวันสุดท้ายก็มีได้แค่ตัว แต่หากวันนี้เรามีที่ว่างสำหรับคนอื่น เราก็จะอยู่ในความทรงจำ ในหัวใจของคนอีกหลายคน นี่เป็นการสืบสานงานไถ่กู้ของพระกุมารน้อย แล้วเราก็ได้เกิดมาบนโลกนี้เช่นเดียวกับพระองค์เราจะไม่ทำเช่นนั้นบ้างหรือ ขอที่ว่างๆสำหรับคริสต์มาสปีนี้ด้วยนะครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ภูเขาแห่งการคาดหวัง

ภูเขาแห่งการคาดหวัง

ก่อนเดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถิ่นฐานแห่งความรักยิ่งใหญ่และบ่อเกิดการไถ่กู้ ตั้งใจไว้ว่าจะรำพึงสถานที่ที่สำคัญแล้วผสมผสานกับเรื่องราวแห่งยุคสมัยเพื่อให้เกิดหน่อธรรมลงในจิตใจ โดยเฉพาะการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ และเมื่อยิ่งใกล้ถึงวันคริสต์มาส ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะร่วมกันรำพึงเหตุการณ์เมื่อครั้งกระโน้นกับวันเวลาที่เรามีลมหายใจ โลกใบเดียวกันที่พระบุตรได้ลงมาบังเกิดเพื่อเราทุกคน แล้วเราทุกคนหล่ะ ได้เกิดมาเพื่อใครบ้าง เป็นคำถามแรกที่นำมาไตร่ตรองถึงเสมอๆและบ่อยๆในท่ามกลางความเห็นแก่ตัวของมวลมนุษยชาติ...

ระหว่างที่ต้องเดินทางตามเมืองต่างๆที่พระเยซูเจ้าเคยเสด็จผ่าน เคยประทับ สังเกตว่ารถนำเที่ยวของเราเดี๋ยวก็ขึ้นเขา เดี๋ยวก็ลงเขา และสถานที่สำคัญต่างๆก็มักอยู่บนภูเขา สภาพบ้านเมืองของประเทศอิสราเอลก็มักตั้งอยู่บนภูเขา หลายที่หลายแห่งทำให้ผู้แสวงบุญบางคนถึงกับท้อพูดออกมาว่า พระเยซูเจ้าเดินมาได้อย่างไร สูงขนาดนี้ ไกลก็ไกล แต่นั่นแหละการเดินทางบนภูเขาย่อมเป็นการทดสอบความมุมานะที่เต็มไปด้วยการคาดหวัง

หลังจากที่พระนางมารีย์ได้ทรงครรภ์เดชะพระจิตเจ้าแล้ว เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่พระนางได้รับนั้นเป็นความจริง แม้แต่ญาติของแม่พระเองก็ยังตั้งครรภ์ได้แม้ว่าจะอายุมากแล้ว จึงทำให้แม่พระตัดสินใจหลีกตัวปลีกวิเวก เพื่อมีเวลาเตรียมตัว เตรียมความพร้อมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ แม่พระจึงได้เดินทางไปยังบ้านของนางเอลีซาเบธ (แม่ของนักบุญยอห์น บัปติส) ที่ตำบลอาอินการิมอยู่ไม่ไกลจากกรุงเยรูซาเลมมากนัก แต่ห่างจากนาซาแร็ธพอสมควร ตำบลนี้ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา พระวรสารบันทึกไว้ว่า พระนางมารีย์ได้รีบเร่งไปยังเมืองหนึ่ง ณ แถบแคว้นยูเดีย

ในวันที่เดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้น รถของเราเข้าไปไม่ถึง ต้องลงเดินขึ้นไปยังวัด และก่อนถึงวัดก็มีบ่อน้ำที่เชื่อว่า แม่พระได้พักที่นี่เพื่อล้างหน้าล้างตาพักให้หายเหนื่อย ก่อนที่จะเดินทางขึ้นไปหานางเอลีซาแบ็ธบนเนินภูเขา แม้แต่เราเดินก็เหนื่อยมิใช่น้อย แล้วแม่พระขณะนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ เดินทางมาคนเดียว ระยะทางไม่ใช่ใกล้ จะเหนื่อยเพียงใด แต่แม่พระอดทนจนได้พบญาติของพระนางที่พูดเมื่อได้พบหน้าแม่พระว่า บุตรของเธอเป็นผู้มีบุญแล้วเธอก็มีบุญกว่าหญิงใดๆ

ระหว่างการเดินขึ้นไปเยี่ยมวัดแห่งการเสด็จเยี่ยมแห่งนี้ ได้เห็นความจริงของเรามนุษย์บางอย่าง ใช่หรือไม่ เราเกิดมาพร้อมกับความหวัง การคาดหวังถึงจุดหมายปลายทางของความสำเร็จ แต่การที่จะได้มาต้องอาศัยความเพียร ขึ้นภูเขาสูงย่อมคาดหวังถึงยอดภู แต่ระหว่างทางความตั้งใจในสิ่งที่คาดหวังไว้อาจจะลดลงไปบ้าง แต่สำหรับบางคนที่เพียรทน ย่อมรู้ว่าอากาศและภาพที่สวยงามรออยู่บนยอดดอยภูเขานั้น แต่ก็มีไม่น้อยกลัวที่จะก้าวขึ้นสู่ยอดเขา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความละล้าละลังและหวั่นวิตก บางคนก็กลับแหงนหน้าขึ้นมองดูยอดภูอย่างมาดมั่น ก้าวเท้าออกไปด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข ปราศจากความลังเล ไม่มีคำว่าท้อถอย ไม่รู้จักความล้มเลิก แม้จะมีบ้างบางครั้งบางคราวเจอกับเศษหินที่แหลมคมหรือหนาม กิ่งก้านใบไม้คม กรีดขูดผิวกายให้เจ็บแสบ ผ่านที่เปียกชื้นจนทำให้หกล้ม แต่ก็ยังลุกขึ้นก้าวไปด้วยหัวใจทระนงองอาจ เพื่อความต้องการจะไปให้ถึงซึ่งยอดแห่งขุนเขา และนี่เป็นภาวะแห่งขาขึ้นเขา..

และเมื่อต้องเอื้อนเอ่ยถึงขาลงจากภูเขาสูง ผู้เคยก้าวขึ้นมาอย่างสง่างามอาจจะต้องตกเป็นฝ่ายงกๆเงิ่นๆ ร่างกายจะสู้แรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้ คอยแต่จะหัวทิ่มพุ่งหน้าลอยลงสู่พื้นเบื้องล่างให้ได้ เกิดความหวาดหวั่นในการลงสู่ที่ราบ ตกลงแล้วชีวิตเราแม้จะมีการคาดหวัง แต่ไม่ว่าจะขึ้นหรือลงก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น หวาดกลัว อยู่ร่ำไป นี่แหละภูเขาสูงของชีวิตที่จะเดินทางผ่านไปให้ได้...

แล้ว.. ระหว่างขึ้นกับลง สิ่งใดกระทำได้ยากเย็นยิ่งกว่ากัน คำตอบคงจะพอๆกัน ทุกย่างก้าวในชีวิตต้องไม่ประมาทเลินเล่อ หากประมาทเพียงนิดชีวิตอาจหล่นร่วงสู่หุบเหวเบื้องล่างจนไม่มีปัญญาจะไต่กลับมายืนบนหนทางปกติได้ โดยเฉพาะในสังคมที่พร้อมจะผลัก พร้อมจะแกล้งให้เรากลิ้งตกลงสู่หุบเหว แล้วแอบขโมยความหวังของเราไปทำต่ออย่างไม่มีวันละอาย การขึ้นหรือลงต้องพึ่งตัวเอง และหากเพิ่มความงดงามที่หล่นหายไปนั่นคือการได้ประคองเพื่อนร่วมทาง เพื่อนร่วมหวัง เพื่อนร่วมฝันให้ฟันฝ่าเดินไปพร้อมกันด้วยหัวใจมุ่งมั่น แล้วเราก็จะเป็นผู้มีบุญ ในยามล้มลง ร่วงหล่นลงเหวก็จะมีคนเอื้อมมือ โยนเชือกให้เราเหนี่ยวนำตัวเองกลับสู่เส้นทางที่ปลอดภัย

การเดินขึ้นลงภูเขาได้สอนบางสิ่งให้เข้าใจชีวิต แต่ถ้าปล่อยความคิดนั้นหลุดลอยไป เราก็ลืมบทเรียนในวันที่เมื่อเรากลับคืนสู่พื้นราบตามปกติ อาจจะหลงเหลือเพียงช่วงขณะที่ได้พิชิตภูและห้วงเวลาที่ลงมาถึงพื้นราบอย่างปลอดภัย พลางว่าการเดินทางอันยาวนานและแสนเหนื่อยนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว แต่..ในชีวิตจริงเราจะต้องพบเจอภูเขาใหญ่ๆกันอีกหลายลูก ชีวิตใช่ว่าจะมีแต่ที่โล่งโปร่งสบายเสมอไป การขึ้นและลงภูเขา ก็คือสิ่งที่เราจะต้องพบเจอเสมอในชีวิตประจำวัน ผู้ที่ผ่านบททดสอบการขึ้นลงภูเขาย่อมไม่กลัวเกรง กล้าที่จะเผชิญและแหงนหน้าสู่ยอดภูอย่างสง่างามและก้าวลงมาอย่างสงบนิ่ง ภูเขาทุกลูกย่อมมีความคาดหวัง และภูเขาชีวิตเราย่อมต้องไม่สูญเสียศรัทธาในความเชื่อต่อพระเจ้าตลอดไป....

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ก้าวข้ามผ่านความปวดร้าว

ก้าวข้ามผ่านความปวดร้าว

เรากำลังก้าวผ่านวันเวลามาจนถึงเดือนสุดท้ายของปีปฏิทินกันอีกปีหนึ่งแล้ว แต่ก็คงไม่ใช่เดือนสุดท้ายของชีวิตเรากระมัง แต่ถ้าเป็นเดือนสุดท้ายปลายชีวิตจริง สิ่งที่ต้องดำรงอยู่ในโลกต่อไปก็คือ สัจธรรมแห่งชีวิตที่มีทั้งทุกข์และสุข มีโศกเศร้าและหัวเราะเริงร่า มีขึ้นมีลง ...ทุกผู้คนไม่มากก็น้อยย่อมพบพานความปวดร้าวและถูกทำร้ายหรืออาจจะเป็นผู้ทำร้ายผู้อื่นทั้งแบบไม่รู้ตัวและอย่างเปิดเผยกันมาบ้าง... แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายทั้งปวงมีจำนวนไม่น้อย ที่บ่มเพาะมาจากเมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าว เฉกเช่นความปวดร้าวแรกแห่งนาซาแร็ธ...

ภาพกระจกสีภาพนั้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ณ วัดบ้านของนักบุญยอแซฟ ภาพนั้นเป็นภาพที่นักบุญยอแซฟกำลังสวมแหวนหมั้นให้แม่พระ เป็นคล้ายดังปฐมบทความปวดร้าวของชายช่างไม้ที่ชื่อ ยอแซฟ แห่งเมืองนาซาแร็ธ เหตุการณ์ต่อจากนั้น คือ ความปวดร้าวที่เข้ามาสู่ท่านยอแซฟอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว วันที่หญิงสาวผู้กำลังจะเป็นเจ้าสาว ได้ตั้งครรภ์ ได้รับการปฎิสนธิด้วยฤทธิ์แห่งพระจิตเจ้า ครั้งแรกที่ได้รับรู้ผู้เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ย่อมเจ็บปวดและร้าวรานที่สุดในชีวิต แต่สำหรับหนทางของพระเจ้า พระองค์มีวิธีการที่ทำให้ท่านยอแซฟและพระนางมารีย์ก้าวผ่านความปวดร้าวนั้นไปได้ อาศัยพลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธาและความสุภาพนอบน้อม และการแจ้งประจักษ์ความจริงทำให้ท่านทั้งสองพร้อมเคียงคู่สู้คำครหาต่างๆนานา จนนำมาสู่การไถ่กู้อันยิ่งใหญ่

ช่าง....แตกต่างกับหนุ่มสาวยุคนี้ที่ใจไร้รัก มิพักต้องพูดถึงความอดทนอดกลั้นในหัวใจ ที่ไม่มีหลงเหลือ มีแต่ความสนุกสนานเป็นที่ตั้ง มีแต่ความเห็นแก่ตัวเป็นสรณะ ทารกเกิดจากความสำส่อนก็ซ่อนเร้นทำลาย ใส่ถุงพลาสติกไปโยนทิ้ง คุณค่าแห่งชีวิตตัวอ่อนๆยังถูกทำลาย สาอะไรกับคุณค่าในตัวตน จิตวิญญาณความเป็นคนก็คงไม่เหลือ เพราะอะไรเล่าชีวิตของผู้คนยุคนี้จึงเต็มไปด้วยความโหดร้าย ก็เพราะเรามักใช้อารมณ์อยู่เหนือสรรพสิ่ง มีเหตุผลเพื่อเอาตัวรอด ไม่ได้เอาความปวดร้าวมาเป็นผลของการเติบโต ไม่เคยเรียนรู้ความเป็นสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี ความเป็นชายจริงหญิงแท้แทบจะสูญพันธุ์

ในโลกนี้แท้จริงแล้วล้วนมีวิถีชีวิตให้เลือกเดินมากมาย เพียงแต่ว่าใครจะเลือกเส้นทางไหน ใช่หรือไม่ ในครั้งแรกเมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าวได้หยั่งรากลงในจิตใจเรา ก็จะทำให้เราทรมานกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทบเป็นแทบตาย และเราจะทำอย่างไรเล่าจึงจะขจัดวันวานอันขมขื่นออกไปจากใจ เพื่อที่จะก้าวต่อไปอย่างเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้

คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ยินดีที่มีลูก แต่นั่นอาจจะเพิ่มความปวดร้าวลึก ลงในใจของหลายคนก็ได้ที่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก ไม่มีเวลาให้ความอบอุ่น เพราะวุ่นวายกับการคิดว่าจะสร้างฐานะเพื่อเป็นเกราะปกป้องลูกหลายครั้งก็สำนึกเสียใจปวดร้าวที่ปล่อยให้วันเวลาเลยผ่านไป ด้วยเหตุผลพ่อต้องทำงานหนักเพื่ออนาคตของลูก แต่ไม่เคยรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูก

มีพ่อคนหนึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อว่าจะได้มีเงินทองส่งให้ลูกได้เล่าเรียน แต่แล้วความปวดร้าวอย่างที่สุดก็ได้เข้ามาอย่างจังในชีวิต เมื่อลูกชายตัวน้อยมีการบ้านที่แสนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนเป็นพ่อ คุณครูให้เด็กนำรูปถ่ายคู่กับคุณพ่อตอนไปเที่ยวในที่ต่างๆแล้วนำไปเล่าถึงความประทับใจในวันพ่อที่จะมาถึง เมื่อลูกชายได้มาบอก พ่อถึงกับอึ้งที่ตลอดเวลามานี้ไม่มีสักครั้งที่จะพาลูกชายไปเที่ยวและถ่ายภาพเก็บไว้ เขาเศร้าใจยิ่งนัก แต่เพื่อให้ลูกชายมีการบ้านส่งคุณครู เขาจึงนำภาพลูกชายและตัวเขามาตัดต่อประกอบภาพวิวด้วยคอมพิวเตอร์และเขาก็ทำได้อย่างแนบเนียน แต่ความปวดร้าวนั้นก็ยังไม่หมดไป มันยังคงฝังอยู่ในใจเขาอย่างแน่นหนา จึงก่อให้เกิดความทุกข์ เมื่อมีผู้ไถ่ถามเขาก็เล่าให้ฟังถึงความปวดร้าวนั้น เขากล่าวว่า คอมพิวเตอร์ตัดต่อภาพได้ แต่มันไม่สามารถตัดแต่งความสัมพันธ์พ่อลูกได้เลย จากนั้น เขาจึงหยุดทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง หาเวลาและเติมเต็ม ให้เวลากับลูกชายที่ขาดหายไปเสียนาน เขาได้ใช้ความปวดร้าวมาเป็นยารักษา โดยอาศัยความเชื่อและความรักในครอบครัว เพื่อสร้างความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกคงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง

เวลาแห่งความปวดร้าวเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่ผ่านเข้ามา เพื่อที่จะพิสูจน์ตัวตนของเราว่า กล้าพอไหมที่จะยอมรับผลพวงของความผิดพลาดนั้นด้วยหัวใจที่กล้าหาญ และเราจะต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไม่มีใครที่สามารถให้เหตุผลนำชีวิตได้ตลอดกาล เพราะในความเป็นปุถุชนคนธรรมดานั้นย่อมหลีกเลี่ยงความพลาดพลั้งในชีวิตไม่พ้น หากการมีชีวิตอยู่ คือ การได้ใช้ชีวิต เราก็ต้องรู้จักประคองตนให้บาดเจ็บน้อยที่สุด ทำร้ายผู้อื่นและตัวเองให้น้อยที่สุด และไม่ว่าเราจะเลือกดำเนินชีวิตอย่างไร ไม่มีทางเลือกใดที่จะไม่ปวดร้าว เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนย่อมต้องเคยตกอยู่ในวังวนแห่งความปวดร้าว แต่การจ่อมจมและดำดิ่งอยู่ในท่ามกลางความปวดร้าวนานเกินไป มากเกินไป โดยปราศจากความเชื่อและความหวัง ก็คือการบั่นทอนตนเอง และบนเส้นทางชีวิตย่อมต้องมีเส้นทางที่ปวดร้าวเกิดขึ้นอีกครั้งและอีกครั้ง แล้วเราจะก้าวข้ามผ่านเวลาแห่งความปวดร้าวนั้นไปได้หรือไม่ อย่างไร จะยอมให้เมล็ดพันธุ์แห่งความปวดร้าวเน่าในตัวเราหรือจะทำให้มันหยั่งรากลึกลงเพื่อให้ลำต้นแห่งชีวิตนี้แข็งแรง แล้วเดินทางต่อไป เราเลือกได้แต่ควรเลือกประเด็นหลังจึงจะงดงามกว่า.

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กุมราน จิตวิญญาณผู้คัดลอก

กุมราน จิตวิญญาณผู้คัดลอก

ระหว่างการเดินทางสิ่งต่างๆมากมีที่ผ่านเข้ามา และได้ผ่านพ้นไป หากรู้จักเก็บรู้จักเกี่ยว นำมาเป็นบทเรียน บทสอน ใช้ตรวจสอบขั้นตอนการดำเนินชีวิตในแต่ละวันบ้าง ก็จะสร้างความเข้มแข็งที่แฝงไปด้วยความรอบคอบ นำไปสู่ความอ่อนโยนแห่งชีวิตภายใน เข้าแนบสนิทกับพระเจ้าผู้ทรงสถาปนาสรรพสิ่งได้อย่างดียิ่ง ไม่เที่ยววิ่งวนให้วุ่นวายหาความหมายแห่งชีวิตบนโลกยุคมายา...

10 ชั่วโมงแห่งการรอคอยที่ต้องนอนกลางสนามบิน กินกลางทางในที่ต่างถิ่นแดนไกล ทำให้มีเวลาได้ย้อนคิด รำลึกถึง 5 - 6 วันที่ผ่านมาในดินแดนแห่งพันธสัญญา ในแผ่นดินพื้นน้ำที่ครั้งหนึ่งพระผู้ไถ่ถือกำเนิดมา ดินแดนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่ส่งผลต่อมนุษยโลกมาหลายยุคหลายสมัย แดนดินถิ่นนี้เป็นที่มาของจิตวิญญาณมวลชนคนรักสันติ...

และแล้วเมื่อเครื่องถึงเมืองไทยในยามดึก ความมึน ความง่วง ความงง ส่งผลให้นอนหลับยาวไปเกือบหนึ่งวันเต็มๆ ตื่นมาพร้อมรับกับข่าวร้ายรายวัน มีการพบซากศพเด็กทารกสามร้อยกว่าซาก โอ้แม่เจ้า...นี่หรือเมืองไทยที่แสนคิดถึงยามจากจร วันรุ่งขึ้นมีการเปิดที่เก็บศพในวัดแห่งหนึ่งกลางเมืองหลวง พบซากอีกเป็นจำนวนรวมกับของเก่านำเรียงแล้วนับได้ 2002 ซาก โอ้...พระเจ้า...เกิดอะไรขึ้นหรือในสังคมไทย นี่เป็นความฝันกลางสนามบินประเทศอิสราเอลหรือเปล่าเนี้ย...ไม่ใช่ซิอยู่เมืองไทยแล้วนี่หน่า..

จากการติดตามข่าวร้าย อดที่จะคิดถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเปรียบกันมิได้เลย ทั้งๆที่เป็นที่เก็บซากเหมือนกัน แต่คนละฟากฝั่ง คนละขั้วโลก ราวนรกกับสวรรค์ ที่หนึ่งเก็บซากเด็กทารกที่ดูไร้ค่าในสายตาคนหนุ่มสาวใจร้าวรานแห่งยุคสมัย อีกที่หนึ่งเป็นที่เก็บม้วนหนังสือและพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้รอดพ้นจากการเผาทำลาย ซึ่งหนังสือเหล่านั้นเป็นของนักบวชยากจนคณะหนึ่ง ผู้คัดลอกพระคัมภีร์ด้วยหัวใจและความทุ่มเท เพื่อหวังให้โลกทุกยุคทุกสมัยได้พบกับความจริง เพื่อสร้างโลกให้เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณความเป็นคน แต่...วันนี้โลกเกิดอะไรขึ้น ลองนึกดู

ย้อนไปใน ค.ศ. 1947 คนเลี้ยงแพะคนหนึ่งได้ออกตามหาแพะที่หายไปทางทิศตะวันตกใกล้กับชายฝั่งทะเลตาย เขาได้ขว้างก้อนหินเข้าไปในรูคล้ายๆปากทางที่นำเข้าไปสู่ถ้ำและได้ยินเสียงของบางสิ่งบางอย่างแตก เมื่อเข้าไปในถ้ำเขาได้พบไหจำนวน 8 ใบ บางใบมีฝาปิดอยู่ เขานำไหนั้นออกมาจากถ้ำและตรวจดู ได้พบม้วนหนังสือ 7 ม้วน ที่มีแต่อักษรซึ่งอ่านไม่ออก เขาจึงนำไปขายให้กับคริสตชนนิกาย

ซีเรียนคนหนึ่ง ที่ชื่อ กันโด กันโดได้นำม้วนหนังสือ 4 ม้วนไปแสดงต่อพระสังฆราชที่อยู่ในเยรูซาเล็ม ท่านรู้ทันทีว่าเป็นม้วนหนังสือที่เก่าแก่โบราณเพราะเขียนด้วยภาษาฮีบรู ท่านจึงรับซื้อเอาไว้ การได้ค้นพบม้วนหนังสือครั้งนั้น เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษ

ต่อมาได้มีการขุดค้นบริเวณแถวนั้น และได้พบสถานที่โบราณหลายๆอย่างไม่ว่าจะเป็นอารามเก่า โรงอาหาร โรงงานทำภาชนะดินเผาและที่โม่แป้ง สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่ากุมราน

จากการสืบค้นกุมรานเป็นสถานที่อาศัยของชาวเอสซีน เป็นชุมชนสันโดษในสมัยโบราณ อาศัยบริเวณเชิงหน้าผาสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลตาย ชาวเอสซีนเป็นสมาชิกนักบวชนิกายหนึ่ง ซึ่งหนีจากความเสื่อมของโลกไปอาศัยอยู่ในแถบทะเลทรายที่ร้อนระอุใกล้ชายฝั่งทะเลตาย พวกเขาละทิ้งกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปเจริญชีวิตที่เคร่งครัดแห่งการภาวนา การศึกษา การรำพึง ปฏิบัติความยากจนและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้ที่จะเข้าเป็นสมาชิกของคณะนี้จะต้องมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นกรรมสิทธิ์ให้แก่คณะ เพราะเขาจะเจริญชีวิตรวมกันอย่างครบครัน และเชื่อกันว่าพวกเอสซีนเป็นผู้คัดลอกหนังสือโบราณ รวมทั้งพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย

การคัดลอกในสมัยก่อนย่อมลำบากลำบน ต้องคัดลอกด้วยมือทีละตัว และในขณะที่คัดลอกก็ต้องอ่านหนังสือเหล่านั้นไปด้วย ถ้าเป็นนักบวชการคัดลอกพระคัมภีร์ถือว่าเป็นการอ่านพระคัมภีร์อย่างละเอียด อย่างมีสมาธิ มีเวลาไตร่ตรอง ก่อให้เกิดพลัง มีความรอบคอบ พระธรรมคำสอนค่อยๆซึมซับสู่หัวใจ ทุกคนจึงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จนกระทั่งถูกคนรุกราน พวกเขาจึงนำม้วนหนังสือ พระคัมภีร์ที่คัดลอกไปแอบเก็บไว้ในถ้ำตามภูเขาสูง

หันกลับมามองสภาพสังคมเรา ที่ไร้จิตวิญญาณ เข่นฆ่ากันได้แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่า ทารก อย่างมโหฬารขนาดนี้ ใช่หรือไม่ เราอยู่ในสังคมที่ฉาบฉวย หยาบคาย อยู่ในยุคที่คัดลอกงานด้วยความเร็วของคอมพิวเตอร์ ไม่ได้ใช้สายตาและหัวใจอ่านถ้อยคำ ข้อเขียนที่คัดลอกมา เพราะใช้การคัดลอก (Ctrl+c) และการจัดวาง (Ctrl+v) ในการเรียน ทำการบ้าน ทำรายงาน ทำโครงการ ล้วนแต่ทำด้วยความรวดเร็ว ทำจากปลายนิ้ว หัวใจของคนยุคนี้จึงหดสั้น ไม่ละเอียด มีแต่ความหยาบคาย ไร้สำนึก เมื่อทุกอย่างง่ายดาย ทุกเรื่องจึงง่ายดายไปด้วยในชีวิต

ชีวิตและจิตวิญญาณความเป็นคนที่สมบูรณ์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การฝึกฝนชีวิต การเดินทางของชีวิตภายในย่อมต้องผ่านการขัดเกลาอย่างเข้มข้น อย่างละเอียดลออ นี่จึงเป็นฤทธิ์กุศลที่จะทำให้พระธรรมคำสอนลงลึกสู่จิตใจเรา คนสมัยก่อนฝากฝังความดีงามไว้ให้โลก หรือว่าคนยุคเรามีแต่ฝากฝังความโฉด โหดร้าย ไว้ให้ลูกหลานเยี่ยงนี้นะหรือ....

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ความดีย่อมไม่มีแบ่งเขต

ความดีย่อมไม่มีแบ่งเขต

มีโอกาสเดินทางไปแสวงบุญตามรอยพระเยซูคริสตเจ้าในดินแดนบ่อเกิดคำสอนแห่งสันติภาพ แต่กลับเป็นดินแดนที่ไร้ซึ่งความสงบสุขตามข้อมูลข่าวสาร ดินแดนแห่งพันธสัญญาที่หลากหลายไปด้วยเผ่าพันธุ์ นี่คือ ประเทศอิสราเอล

การเดินทางต้องใช้เวลาเกือบๆสิบเอ็ดชั่วโมง เป็นเวลาครึ่งวันที่ชีวิตต้องติดอยู่กับที่นั่ง มีที่อาศัยเพียงแค่ช่วงตัว ได้บิดซ้ายเบี่ยงขวาให้พอได้คลายเมื่อย ตามเส้นทางการบิน ต้องบินข้ามน้ำ ผ่านทะเล เรียบไปตามมหาสมุทร แต่เราก็ไม่สามารถมองเห็นผืนดินแผ่นน้ำได้ เพราะเครื่องบินบินอยู่เหนือเมฆ เรียกว่า มาเหนือเมฆ อีกประการหนึ่งการเดินทางครั้งนี้เราเดินทางในเวลากลางคืน ทุกสรรพสิ่งจึงเต็มไปด้วยความมืด และเพื่อคลายความเบื่อหน่ายภายในเครื่องมีจอเล็กๆหน้าที่นั่งแบบของใครของมัน เพื่อให้เลือกเสพสิ่งที่ชอบตามใจปรารถนา กดไปกดมาเจอช่องหนึ่งเป็นโฆษณาต่างๆของประเทศอิสราเอล หลายโฆษณามีเนื้อหาที่ดีมากๆ ความคิดสร้างสรรยอดเยี่ยม และในหนังโฆษณาชิ้นหนึ่งมีคำที่ยังจดจำได้แม่นยำแต่จำผลิตภัณฑ์ไม่ได้ว่าเป็นโฆษณาอะไร คำๆนั้นก็คือ สิ่งที่ดีมีมากมาย แต่เรามักทำให้มันเป็นสิ่งไม่ดี”...

พระเจ้าได้ตรัสไว้ในขณะเนรมิตสิ่งต่างๆเพราะพระองค์เห็นว่าดี สิ่งนั้นจึงเกิดขึ้น และก็เชื่อเสมอมาว่า สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี พัฒนาการต่างๆนั้น เมื่อมีการค้นพบ มีการพัฒนาต่อยอด ทุกอย่างย่อมเป็นสิ่งที่ดี และเช่นกัน จะสังเกตได้ว่า เมื่อสิ่งนั้นถูกนำมาใช้มากๆเข้า หลายคนเริ่มพลิก เริ่มแพลงแฝงเร้นด้วยผลประโยชน์ ฉกฉวยความรุ่มรวยแห่งความดี เข้ายึดครองเป็นของตัวเอง จนเกิดความละโมบโลภมาก เกิดเป็นความหยิ่งยโส นำมาซึ่งความอวดเก่ง ไม่ยอมเคารพในสิ่งสร้างที่ต้องเป็นอยู่และใช้ร่วมกัน ความไม่ดีไม่งามจึงพัฒนาต่อยอดงอกออกมา ทุกสิ่งดีแต่คนที่นำไปใช้นั่นหละที่ทำให้กลายพันธุ์เป็นสิ่งไม่ดี....

และเมื่อได้พาร่างกาย จิตใจ เข้าสู่พรมแดนแว่นแคว้นที่ครั้งหนึ่งองค์พระอาจารย์พระเยซูทรงดำเนิน เทศนาสั่งสอน รักษาผู้คน หลายที่หลายแห่งพระองค์เสด็จไปประชาชนมากมายติดตามซาบซึ้งในคำสั่งสอนนั้น สันติสุขเกิดขึ้นในจิตใจของหลายคน หลายเมือง หลายฐานะ หลายชนชั้นที่ได้เชื่อและเดินตามพระธรรมคำสอน แต่แล้วพระองค์ก็ต้องสิ้นพระชนม์เพราะพระธรรมคำสอนนั้นไปขวางทางผลประโยชน์ของใครบางคน ที่เกรงกลัวว่าพระองค์จะมาช่วงชิงอำนาจทางการเมือง (ทั้งๆที่พระองค์ได้นำความดีงาม ความงดงามมาสู่จิตใจของผู้คนต่างหาก) จึงต้องหาทางกำจัดพระองค์

ใช่หรือไม่ สิ่งที่พระองค์ทรงสอนล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ดีงาม กระทั่งกาลต่อมาผู้คนหลายล้านคนยังเชื่อในพระธรรมคำสอนนั้น และก่อให้เกิดสันติภาพบนโลกนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็อีกนั่นแหละ มีบางครั้งบางเวลาหลายคนทำให้พระธรรมคำสอนนั้นกลายเป็นยาขม เป็นสิ่งแสลงใจ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ดี นำคำสอนไปตีความเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตน ก่อให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แย่งชิงพระเจ้าไปครอบครองคนเดียว

ในการเดินทางแสวงบุญครั้งนี้แตกต่างจากครั้งที่เคยมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน เห็นผู้คนมากมาย ต่างแดนต่างถิ่นต่างประเทศล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ การได้มาตามรอยพระผู้นำสันติ เมื่อมีผู้คนมากการแย่งกันกินแย่งกันอยู่แย่งกันดู แย่งกันสวดภาวนาก็เกิดขึ้นตามมา ต่างฝ่ายต่างต้องการเข้าไปหาพระองค์ อากาศจะหนาวร้อนเช่นไร แม้จะต้องต่อคิวจองคิว รอคอยเป็นเวลานานสองนาน ทุกผู้คนล้วนเต็มใจ เพียงเพื่อเข้าสัมผัสจุดที่รอยพระบาท พระหัตถ์ ที่ที่พระองค์เคยอยู่ ที่พระองค์เคยเสด็จผ่าน เพียงเสี้ยววินาทีก็แสนจะยินดี ปรีดา

ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเชื่อและความศรัทธาที่ปกคลุมไปทั่วประเทศอิสราเอล ในอีกมุมหนึ่งกลับมีการแบ่งแยก ช่วงชิงพื้นที่ถือครอง กำหนดเขต แบ่งแดน แบ่งโซนแย่งชิงดูแล และที่แสนจะเจ็บปวดสำหรับดินแดนแห่งนี้ เมื่อการปกครองตามสายตาระบบระเบียบของโลก ผู้ที่มีอำนาจด้านการเงิน ด้านอำนาจทหารย่อมเป็นผู้กำหนดชะตากรรของผู้อื่น ดินแดนที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปทุกที่ทุกแห่ง หลายเมือง บัดนี้มีการกำหนดเขตแดนกันใหม่ ทั้งๆที่แผ่นดินผืนเดียวกัน บ้านเรือนติดกัน ก็ถูกกีดกัน ขวางกั้นด้วยกำแพงปูนหนาและสูง มีการแบ่งโซน แบ่งเขตศาสนา เชื้อชาติ ภายใต้การปกครองของรัฐบาลชาวอิสราเอล

ใช่หรือไม่ ความรักที่พระเยซูเจ้าสั่งสอนย่อมไม่มีพรมแดน ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง รักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง เป็นเสาเอกแห่งการดำเนินชีวิตคริสตชน การที่พระองค์ทรงเลือกสรรให้เรามาเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ ใย...ไม่นำสิ่งดีงามที่พระองค์ทรงประทานไว้ให้เราไปเพิ่มพูนทวีสันติสุขโดยทั่วถ้วนความดีย่อมคงอยู่ความอวดรู้อวดเก่งย่อมสลายไปตามอายุขัยของคน หากแต่ว่าในช่วงอายุขัยของเรา เรานำความดีงามของโลกที่มีมา นำพระธรรมคำสอนมาเพิ่มพูนในชีวิต ความดีย่อมงอกงามตามไปทุกย่างก้าวที่ก้าวเดิน แล้วที่รอยเท้าบนพื้นแผ่นดินย่อมศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งมากยิ่งขึ้น นี่เป็นพันธกิจหนึ่งของการได้มายืนอยู่บนพื้นพิภพนี้ ความดีไม่มีการแบ่งแยกเรานั่นแหละที่แบ่งแยกความดีจนเกิดความไม่ดี ใช่หรือเปล่า....(เขียนที่สนามบินเบ็นกูเรียน อิสราเอล ขณะรอเครื่องบินช้ากว่าปกติ 10 ชั่วโมง)

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แบมือออก... ให้หรือขอ

แบมือออก... ให้หรือขอ

ในความยากลำบากของหลายคนหลายที่ ที่ต้องประสบกับภัยธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความช่วยเหลือต่างๆก็หลั่งไหลเข้าไปอย่างไม่ขาดสาย แต่สิ่งหนึ่งซึ่งกลายเป็นประเด็นทางสังคม(โดยเฉพาะในประเทศไทยเรา) เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า บางคนบางที่ความช่วยเหลือเข้าไปไม่ถึง ไม่ได้รับความช่วยเหลือ จมน้ำจมทุกข์อยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือสื่อบางพวกก็นำเรื่องนี้มาขยายความให้เป็นประเด็นก่อให้เกิดความขัดแย้ง หรือเพื่อให้เกิดสีสันในการนำเสนอข่าว หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการสร้างวัฒนธรรม เสพติดการร้องขอ ของผู้คนจนเคยชิน

แน่ละ ในความทุกข์แสนสาหัสของเพื่อนร่วมโลกคงไม่มีใครจะใจจืดใจดำ นั่งมองชะตากรรมทุกข์ซ้ำซ้อนโดยไม่เหลียวแลแยแส ในสามัญสำนึกของมนุษย์ทุกผู้คนย่อมรู้ว่าทุกสรรพสิ่งในโลกหาใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง พระเจ้าทรงสอนเราว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนมีคุณค่าและทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ถึงช่วงหนึ่งเวลาหนึ่งย่อมที่จะยอมแบมือ คลายมือ นำทรัพยากรที่กอบกำ เก็บงำเอาไว้ แบ่งออกไปเพื่อเยี่ยวยาผู้ทุกข์เข็ญ เพียงแต่ว่าในหลายช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราย่อมมีโลภ ใครโลภมากก็เก็บเกี่ยวไว้มาก ใครโอกาสน้อยก็มีเพียงกินเพียงอยู่ หรือมีบ้างบางคนมีโอกาสที่จะโลภแต่เลือกที่จะอยู่จะใช้อย่างพอเพียง แต่หากมองด้วยใจเป็นธรรม ทุกสิ่งในโลกย่อมพอเพียงสำหรับทุกคน แต่อาจจะไม่พอสำหรับคนโลภเพียงคนเดียว ดังวาจาอมตะของท่านคานธีที่เคยกล่าวไว้..

ลองนึกย้อนกลับไปในกาลก่อน ครั้งที่ผู้คนยังไม่ต้องดิ้นรนค้นหาความสบายฝ่ายตนเพียงข้างเดียว ภัยธรรมชาติก็มีอยู่คู่โลกมาตลอดมิใช่หรือ เพียงแต่บรรพชนคนรุ่นเก่าก่อน เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน เมื่อภัยมาก็รู้หลบรู้หลีก เคารพต่อสิ่งสร้าง ไม่สร้างสิ่งใดขัดขวางทางสัญจรของลม ฟ้า น้ำ ฝน ไม่คิดทำลายต้นไม้ป่าเขา แหล่งหนตำบลไหนมีภัยก็ไม่เข้าไปครอบครองคิดเอาชนะ ตระหนักรู้ว่าถึงฤดู ถึงเวลาที่ต้องสูญเสียก็น้อมยอมรับ แล้วเริ่มต้นใหม่ไปกับสิ่งสร้าง ไม่มีการร้องเรียกขอความช่วยเหลือ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ถึงสัจจะธรรมของโลกใบนี้ ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แปรรูป คนก็ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้อง สอดรับกับเหตุการณ์แห่งฤดูกาล

ตราบจนเมื่อมนุษย์คิดค้นระบบการอยู่ร่วมกันอย่างมีระเบียบ มีผู้ปกครอง มีผู้จัดการ จัดวางนโยบายของสังคม กลไกการจัดการมีสิ่งหนึ่งที่แฝงเร้นไปด้วย คือ อำนาจ ผู้ที่มีอำนาจย่อมต้องการคนห้อมล้อม แล้ววิธีที่ดึงผู้คนไว้ คือ การแจกแหลก การให้แบบทุนนิยม ให้แบบการตลาด ความฉลาดของผู้คนก็เลยหดหาย หลายคนจึงเป็นผู้แบมือรับฝ่ายเดียว ช่วยเหลือตัวเองกันไม่เป็น แก้ปัญหากันไม่ได้ เป็นผู้รออย่างเป็นทางการ เมื่อไม่ได้จากทางการ ไม่เป็นดังใจดังหวังก็ไม่คิดสร้าง ไม่คิดริเริ่ม แต่เลือกที่จะกล่าวโทษไปทั่ว มนุษย์มีน้อยคนนักที่จะโทษตัวเอง มีอะไรก็ต้องหาคนอื่นมาเป็นตัวให้โทษเสมอไป หาเหตุผลร้อยพันแปดประการมารับผิด โทษแม้กระทั่งดินฟ้าอากาศ ไม่ค่อยจะสำรวจตรวจสอบตัวเอง โทษแต่คนอื่นสิ่งอื่น ใช่หรือไม่ บางครั้งบ่อยคราวเราก็เป็นเช่นนี้

ด้วยนัยยะแห่งการอยู่ร่วมกัน เราต้องเอาใจใส่ต่อคนๆนั้น ต่อสิ่งนั้นๆ หาใช่เพียงเพื่อให้คนรอบข้าง สิ่งรอบด้านมารองรับเหตุผลเพียงเพื่อตัวเองได้รอดเท่านั้น คนอยู่กับคนก็ต้องเข้าใจคน อยู่กับธรรมชาติก็ต้องเข้าใจธรรมชาติ แล้วเมื่อเราถอยห่างจากสิ่งเหล่านี้ ชีวิตเราเลยขาดหลัก ขาดจุดมั่นคง สับสนเมื่อมีภัยมา มีแต่แบมือขออยู่ร่ำไป ไม่มีหัวใจของนักสู้ เป็นแต่นักกู่เรียกร้อง

วันนี้มือที่เราแบออกเป็นการแบแบบไหน แบบเพื่อให้ออกไป หรือแบบเพื่อขอรับ สิ่งหนึ่งซึ่งคำนึงถึงเสมอๆ คือ การที่เราจะให้ผู้อื่นมารับผิดชอบในชีวิตเรานั้น เราต้องรู้จักที่จะรับผิดชอบต่อตัวเราเองก่อน เตรียมความพร้อมในชีวิต หัดโทษตัวเองด้วยการสำรวจ ความบกพร่อง ในช่วงวันเวลาที่ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน มีความรับผิดชอบชีวิตตัวเองบ้าง ซึ่งเท่ากับว่า เราจะไม่มัวแต่รอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ร่ำไป เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเองให้มากๆ แล้วอะไรที่คนอื่นนำมาให้ ที่ได้รับจากคนอื่น นั่นคือน้ำใจ คือ ความเมตตา ความเอื้ออาทร ซึ่งเป็นส่วนเพิ่มเติมเฉพาะหน้า ไม่ใช่สิ่งมาจากความขวนขวายของเรา เพียงช่วยต่อเติมเพิ่มพูนในสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต ชีวิตที่มีค่า และมีเกียรตินั้น มันต้องมาจากสองมือของเราก่อร่างสร้างมันขึ้นมา

นักบุญเปาโลได้สอนเราให้รู้จักทำงาน อย่าเกียจคร้าน ใช้น้ำพักน้ำแรงของตนเอง แม้ว่าท่านจะมีโอกาสที่ไม่ต้องทำอะไรเลยก็สามารถอยู่ได้สบายในฐานะผู้นำ แต่ท่านกลับไม่ยอมเป็นภาระกับใคร ท่านทำงานอย่างหนักทั้งกลางวันกลางคืน ท่านได้กล่าวสอนให้เรารู้จักช่วยเหลือตัวเองก่อนที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นช่วย ถ้าผู้ใดไม่อยากทำงานก็อย่ากิน และเมื่อเราสามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว ก็ช่วยเหลือกันและกัน สันติสุขก็เกิดขึ้น สังคมที่แบมือขออย่างเดียว เป็นสังคมของคนขี้เกียจและไม่สร้างสรรค์


วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โรคเบื่อง่าย

โรคเบื่อง่าย

น้ำท่วมภาคอีสานและภาคกลางยังไม่ทันจางหายไป พายุ ฝนฟ้าเทกระจายสู่ภาคใต้ของประเทศอย่างถล่มทลายอีกครั้ง จนทำให้หลายพื้นที่เข้าสู่ภาวะวิกฤติ ดูเหมือนว่าปีนี้น้ำท่วมเกือบทั่วทั้งประเทศ ถูกน้ำครองพิภพเสียแล้วประเทศไทย!!! หรือนี่จะเป็นบททดสอบความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเอื้ออาทร ที่เคยเหือดแห้งมาอย่างยาวนานของคนไทย กาลนี้จิตเมตตาใจกรุณาคงกลับคืนสู่สังคมไทย กลับสู่รากเหง้าสายสัมพันธ์แห่งความห่วงใย ห่วงหาอาทรซึ่งกันและกัน น้ำที่ไหลหลั่งจากฟากฟ้าล้นธาราสายชล คนจึงถูกชำระความเห็นแก่ตัว หันมาเห็นความทุกข์ยากของเลือดไทยที่เคยแบ่งแยก แข่งขัน มาสู่การแบ่งปัน ช่วยเหลือกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน...

สิ่งหนึ่งที่หวั่นใจว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ผู้คนในสังคมก็คงจะหลงลืมจิตอาสา ใจเมตตากรุณา เนื่องเพราะสังคมไทยก้าวเข้าสู่กระแสแห่งบริโภคนิยมเต็มตัว ในกระแสนี้มีโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือ โรคเบื่อง่าย โรคที่มักเห็นทุกเรื่องเป็นสิ่งบันเทิงเริงใจ แม้แต่การบริจาคช่วยเหลือก็ยังแอบหวั่นใจว่ามันจะกลายเป็นสิ่งบันเทิงของคนบางคน ทำให้ชีวิตมีความสนุก มีอะไรใหม่ๆเข้ามาชดเชยในชีวิตจำเจแสนเบื่อประจำวัน ได้ออกไปช่วยเหลือคนอื่นก็สนุกดี เมื่อหมดความสนุกก็หันเหไปสร้างเรื่องสนุกใหม่ๆในชีวิต ที่อาจจะมีแต่เรื่องไร้สาระกันต่อไปดังเดิม แต่ธรรมชาติก็สั่งสอนให้สังคมเราอย่าได้เบื่อหน่ายกับความเมตตาอาทร การให้ความช่วยเหลือกัน เป็นสัญญาณแห่งกาลเวลา ให้เราตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องส่วนรวม ลด ละ ว่าง เว้น การจมจ่มอยู่กับผลประโยชน์ส่วนตน..

ใช่ว่าแต่สังคมไทยจะเป็นเช่นนี้อยู่ประเทศเดียว ในประเทศที่เรียกตนเองว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาก็ได้ประสบกับโรคร้ายที่เรียกว่า โรคเบื่อง่าย มาแล้วและยังคงเป็นอยู่ อย่างเช่นในบทความของ ไมเคิล คริชตันที่ได้เขียนไว้ว่า ทุกวันนี้ ทุกคนคาดหวังที่จะได้รับความบันเทิงและหวังรับความสนุกอยู่ตลอดเวลา การประชุมทางธุรกิจต้องให้โก้หรู รวดเร็ว มีภาพเคลื่อนไหวประกอบ เพื่อว่าผู้บริหารจะได้ไม่เบื่อ ห้างสรรพสินค้าและร้านค้า ต้องดึงดูดความสนใจของผู้คน จึงต้องมีความสนุกสนานไปพร้อมๆกับการขายสินค้า นักการเมืองต้องบันทึกบุคลิกภาพของตนไว้ในวิดีทัศน์ และบอกพวกเราเฉพาะสิ่งที่เขาอยากให้เราฟัง โรงเรียนก็ต้องระวังไม่ทำให้หัวใจของเด็กน้อยเบื่อ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยความรวดเร็วและความซับซ้อนของโทรทัศน์ นักศึกษาจะต้องสนุก

ทุกคนต้องสนุก ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนช่อง เปลี่ยนยี่ห้อสินค้า เปลี่ยนพรรคการเมือง เปลี่ยนความจงรักภักดี นี่คือความเป็นจริงทางสติปัญญาของสังคมตะวันตกเมื่อปลายศตวรรษ(ที่ 20) ในศตวรรษก่อนๆมนุษย์อยากจะได้รับการช่วยให้รอด หรืออยากปรับปรุงตัวเอง หรืออยากเป็นอิสระ หรืออยากได้รับการศึกษา แต่ในศตวรรษของเรานี้ พวกเขาอยากได้รับความบันเทิงใจ ที่เขากลัวกันมากไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บหรือความตาย แต่กลัวความเบื่อ สำนึกเรื่องเวลาในมือของเราเวลานี้คือความรู้สึกที่ว่าไม่มีอะไรทำ รู้สึกว่าเราไม่สนุก

หากพิจารณาดูให้ดีๆ ใช่...สังคมเมืองเราก็เป็นเช่นนี้และกำลังเดินไปเหมือนสังคมตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ และในทุกๆเมืองที่มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม ด้านธุรกิจ ด้านการเงินการลงทุน ด้านเทคโนโลยี ก็มักพบกับสภาพของผู้คนเช่นนี้ เมื่อหลายปีก่อนมีผลสำรวจว่า คนทั่วไปมีสมาธิในการดูการฟังสิ่งต่างๆได้ประมาณ 8 นาที แต่ปัจจุบันนี้มีสมาธิในการดูการฟังเพียงแค่ 2 นาที ไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ เพียงแค่เสี้ยวนาทีก็หมดความอดทนแล้ว หากว่าสิ่งที่ดูที่ฟังยิ่งไม่สนุก ไม่ตรึงเอาด้วยความบันเทิง อย่าหวังว่าพวกเขาจะให้ความสนใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงมวลสารที่ไร้รูปร่างล่องลอยผ่านไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา

เมื่อเรื่องภายนอกเรายังเบื่อง่าย เรื่องภายในยิ่งไม่ต้องพูดถึง คงเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ผู้คนจึงถอยห่าง หนีหายไปจากเรื่องชีวิตภายใน ไร้ความสนใจเรื่องจิตวิญญาณ ไม่เลียวแลผู้คนรอบด้าน ใยมิพักต้องพูดถึงเรื่องศาสนาก็จะกลายเป็นเรื่องแค่จินตนาการ เป็นเรื่องของคนไม่มีอะไรจะทำ หากเราคิดกันเช่นนี้ สิ่งที่ผู้บรรลุธรรม ถึงขั้นได้เป็นนักบุญทั้งหลาย ได้กระทำไว้บนผืนพิภพก็คงจะสูญเปล่า หนทางธรรมที่พวกท่านเหล่านั้นได้ปูไว้ก็เป็นเพียงหนทางที่ถูกปล่อยให้รกร้าง

ความสนุกในหนทางชีวิตแห่งยุคสมัยนำมาซึ่งความเบื่อง่าย และต้องการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆได้นำมาซึ่งความสุขแห่งชีวิตเราได้หรือเปล่า แล้วเราจะดำเนินเดินทางต่อไปในชีวิตกันเยี่ยงไร จิตใจเรามั่นคงและศรัทธาในคำสอนที่นำไปสู่ความสุขนิรันดร์มากน้อยแค่ไหน เราคงต้องหันกลับมาสู่ทางธรรมเพื่อนำเราพบความสุขที่ไม่ใช่แค่สนุกเพียงอย่างเดียว เดินตามปฐมโอวาทที่พระเยซูเจ้าให้ไว้ โดยเริ่มต้นจากสถานการณ์ภัยน้ำท่วม ด้วยการปฏิบัติข้อที่ว่า ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตากันก่อน เพื่อเป็นวัคซีนที่ฉีดเข้าไปป้องกันโรคเบื่อง่าย ใครที่กำลังมีอาการลองนำไปปฏิบัติกันดู แล้วความเบื่อหน่ายจะเริ่มหายไปมีแต่ความสุขใจ อย่าเพิ่งเบื่อที่จะอ่านเรื่องแบบนี้นะครับ.....

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

น้ำลดความงดงามเบ่งบาน

น้ำลดความงดงามเบ่งบาน

น้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศสร้างความเดือดร้อนโดยทั่วถ้วน แต่น้ำใจของคนไทยไม่เคยขาด ระดมกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อที่เป็นผู้นำในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ จนกระทั่งน้ำใจท่วมจอ ท่วมสื่อเลยก็ว่าได้ แต่ละช่องแต่ละเจ้าต่างมีส่วนช่วยรับบริจาค ออกข่าว ประโคมให้คนไทยช่วยเหลือกันอย่างน่ายินดี แม้จะมีข้อปลีกย่อยว่า อาจจะมีผลประโยชน์แอบอิงมาบ้าง ก็ถือเสียว่าเห็นแก่ตัวโดยสุจริตก็แล้วกัน ยังไงสังคมไทยก็ยังมีน้ำใจที่ใสบริสุทธิ์อย่างล้นเหลือ แม้จะมีบ้างบางคนทำตัวเป็นปลิงที่มากับสายน้ำสูบดูดเลือดผู้ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยการฉ้อฉลขนของบริจาคเก็บไว้ หรือไม่ก็สวมรอยใส่ชื่อตัวเอง ใส่โลโก้เครือข่ายตัวเองไว้บนถุงบรรเทาทุกข์ ก็ขอให้สิ่งเหล่านี้มลายหายไปกับสายน้ำ หลังน้ำลดก็มีความหวังว่า คนคดโกงก็จะสูญหายไปจากสังคมไทยบ้าง สังคมเราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยรอยยิ้มที่มีให้กัน หลังน้ำลด ความงดงามแห่งความเอื้ออาทรให้เติบโต เติบใหญ่ เป็นร่มเงาให้เกิดความร่มเย็นกันทั่วถ้วนหน้า จะเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเปล่า!!!!

หลายคนเห็นคนอื่นเขาไปบริจาคทรัพย์สินเงินทอง บริจาคสิ่งของ กลับมานั่งมอง นั่งตรอง แล้วเกิดความรู้สึกไม่ดี เพราะไม่มีเงินทองหรือข้าวของเหลือเฟือมาบริจาค เกิดเป็นปมด้อย น้อยใจที่ไม่มีส่วนช่วยเหลือสังคมกับเขาบ้าง ไม่มีชื่อ-นามสกุลวิ่งใต้จอ แท้จริงแล้วการบริจาคนั้นมีหลายหนทาง บางสิ่งนั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำ ดำเตี้ยเหมือนซักเคียส สิ่งนั้นเราทำได้ แต่หลายคนอาจจะหลงลืมไป นั่นคือ การให้ความรู้ และการเข้าไปฟื้นฟูให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เนื่องเพราะเราเติบโตมาในสังคมทุนนิยม เราก็เลยมีความคิดติดกับ อยู่ตรงที่ต้องใช้เงินเพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หารู้ไม่ สังคมโลกพัฒนาต่อยอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากการให้ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น การให้ความคิดต่อกันและกัน การให้กำลังใจช่วยให้สังคมขับเคลื่อนเลื่อนไปอย่างราบรื่นและเป็นสุข ต่างกับสังคมที่เต็มล้นด้วยการใช้เงินตราและทองคำ ในการดำเนินตามเข็มนาฬิกาและค่าการตลาด ในหลายที่ในหลายยุคต้องล้มสลายสูญหายไปก็มากมี เงินทองเปลี่ยนมือได้ แต่ต้องแลกมาด้วยการขับเคี่ยวและแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวใครตัวมัน ในเวลาเกิดภัยธรรมชาติก็ไม่เห็นมีใครเอาเงินไปจ้างพายุ มรสุม ฝนฟ้า สายน้ำที่โหมกระหน่ำ ให้เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางได้ ส่วนความรู้เปลี่ยนทางกลายที่ได้ ยิ่งเปลี่ยนยิ่งมีแต่การพัฒนาต่อไปในความผาสุกอย่างไม่หยุดหย่อน ความรู้กู้วิกฤติจากภัยธรรมชาติได้ สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

ในอเมริกากลาง ทุกๆปีจะมีการแข่งขันประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศได้ที่หนึ่ง เขากลับทำในสิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึง นั่นคือ ทันทีที่เขาชนะ เขาก็ได้นำเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งชนะเลิศการประกวดแจกให้ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน แล้วกล่าวว่า เอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปปลูกนะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งขันกันใหม่

ในปีต่อมา เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดข้าวโพดอีก เหมือนปีที่ผ่านมา เขาเดินแจกเมล็ดพันธุ์ที่เขาเพิ่งชนะให้คนอื่นๆ แล้วบอกเช่นเดิมว่า เอาไปปลูกนะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดข้าวโพดติดต่อกันหกครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธุ์ที่ชนะให้ผู้แข่งขันคนอื่นเหมือนเช่นเดิมในทุกๆปี ส่วนปีที่เขาไม่ได้ชนะเลิศ เขาก็ยังภูมิใจมิใช่น้อย ที่เมล็ดพันธุ์ที่ชนะนั้นล้วนแล้วแต่มีต้นกำเนิดมาจากไร่ของเขา

จนกระทั่งมีนักข่าวคนหนึ่งถามเขาว่า มันไม่ง่ายกว่าหรือ ถ้าคุณจะเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ดีไว้โดยไม่แบ่งคนอื่น คุณก็จะได้รับชัยชนะง่ายๆในทุกปี

เขาตอบว่า แสดงว่าคุณไม่เข้าใจวิธีการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่ากลายพันธุ์ไหม? ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธุ์ที่แย่ๆ วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธุ์ที่แย่มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธุ์ผมแย่ไปด้วยจริงไหม มันจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี เกสรที่ลมพัดพาไปก็เป็นเกสรที่ดี เมล็ดพันธุ์ไร่ผมก็ย่อมดีไปด้วย แล้วถึงตอนนั้น เราก็แค่มาแข่งขันกันว่า ใครขยัน รดน้ำพรวนดิน เอาใจใส่พืชพันธุ์ได้ดีกว่ากัน

มีคำกล่าวว่า ถ้าคุณมีเมล็ดพันธุ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดนั้น ก็ตายไปพร้อมกับคุณ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ ยิ่งให้ออกไป เราก็ยิ่งได้รับกลับมาและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม (จากเรื่อง Even greater share growth)

แล้ววันนี้เราได้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีไหม เป็นเกสรที่ดีและพร้อมจะล่องลอยไปสร้างความงดงามให้เกิดขึ้นในสังคมไทยเราไหม สิ่งหนึ่งที่เราจะได้เห็นอย่างแน่นอนหลังจาดน้ำลด นั่นคือ ทุกคนก็จะงดเว้นน้ำใจในการช่วยเหลือ กลับมาแข่งขันหาเงินสะสม กอบโกยกันต่อไป ปล่อยให้ผู้ประสบภัยประสบโชคชะตาความทุกข์ยากกันไปตามยถากรรม จะดีกว่าไหมถ้าเรารู้จักที่จะเข้าไปเยียวยา และกู้ใจ ให้ผู้ประสบภัยเริ่มต้นใหม่ ด้วยทักษะและความรู้ในการเริ่มต้นชีวิต เป็นเมล็ดพันธุ์ดีให้ความคิดในการประกอบสัมมาอาชีพ ให้กำลังใจในการลุกขึ้นและก้าวเดินไปด้วยกันฉันท์พี่น้อง หากว่าพระเยซูเจ้าไม่เคยละทิ้งคนต่ำเตี้ย คนยากไร้ฉันใด แล้วเราผู้เป็นศิษย์พระองค์จะไม่เดินตามรอยเท้าพระองค์ล่ะหรือ.....

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เพราะเรายึดคร(ล)อง

เพราะเรายึดคร(ล)อง

มีโอกาสได้กลับไปยืนริมน้ำเจ้าพระยา เห็นระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆจนหวั่นใจว่า น้ำจะไหลท่วมบ้านในอีกไม่ช้า โดยปกติแล้วคนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ เห็นเรื่องน้ำท่วมเป็นเหมือนงานประจำปี ประมาณเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ต้องเตรียมความพร้อม เตรียมเรือ เตรียมขนย้ายข้าวของขึ้นสู่ที่สูง บ้านก็มักสร้างเป็นเรือนชั้นเดียว ปล่อยข้างล่างให้เป็นลานโล่งให้น้ำไหลผ่านได้อย่างคล่องตัว

ครั้นมาช่วงระยะหลังๆมีการสร้างถนนกั้นน้ำ ทำให้ว่างเว้นจากการถูกน้ำท่วมบ้าง ถึงแม้จะมีบ้างบางปีที่น้ำท่วม แต่ก็นานๆครั้ง ทำให้การปลูกสร้างบ้านเรือนมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ มีการสร้างบ้านชั้นล่างให้เป็นห้องหับ มีการกั้นเป็นสัดส่วนด้วยกำแพงปูน มีการสร้างรั้วรอบขอบชิดบ้านใครบ้านมัน เพื่อป้องกันขโมย ขโจร แต่อีกด้านหนึ่งยามน้ำท่วมถึงก็เดือดร้อนมากกว่าสมัยก่อน น้ำขังท่วมนาน แห้งช้า หลังน้ำลดก็ต้องซ่อมแซมทาสีบ้านกันใหม่..

แม้ว่าร่องลำน้ำยามปกติจะดูกว้างขวาง แต่ยามน้ำหลาก ดูเหมือนจะไม่พอบรรจุน้ำที่พากันไหลมาจากที่สูง กระแสน้ำที่ไหลหลากไหลไปอย่างรวดเร็ว สีที่ขุ่นขลัก เพิ่มความดุร้าย เพิ่มความน่ากลัวให้แก่ผู้พบเห็น แม่น้ำยามนี้จึงดูโหดร้ายนัก แม่น้ำยามปกติดูสงบนิ่งงดงาม ยามหลากร้ายเหลือสุดที่จะพรรณนา ...

ในขณะที่ยืนสังเกตระดับน้ำหน้าบ้านเกิด ใจก็อดคิดถึงอีกมุมเมืองหนึ่งของประเทศไม่ได้ ที่กำลังเกิดอาเพศภัยน้ำท่วม อย่างไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปี ทั้งๆที่บ้านเมืองก็ตั้งอยู่บนที่สูง เมืองโคราช ที่ราบสูง วันนี้กลับจมอยู่ใต้ผืนน้ำ โรงเรียน โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ บ้านเณรกลาง ต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างสาหัสสากรรจ์ ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อน บ้างก็ว่าแกนโลกมันเบี่ยงเบนหรือไร วงโคจรโลกหมุนเวียนเปลี่ยนทิศ เปลี่ยนทางแล้วหรือ จึงทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง แต่แท้จริงแล้ว ใช่หรือไม่ คนเรานี่แหละที่ไปฝืนธรรมชาติ

น้ำคือส่วนประกอบที่มากสุดของโลกใบนี้ มันเคยมีที่มีทางไหลเลื่อยล่องลงไปสู่ห้วงมหาสมุทรอย่างอิสระ มีพักแวะบ้างในบ่อบึง คูคลอง มาบัดนี้ผู้คนล้นโลก ล้นโลภ หลากหลาย ต่างเข้ายึดคลอง ครอบครองที่ทำกิน แหล่งแอ่ง ท้องทุ่งโล่ง เข้าถม เข้าสร้าง เข้าปรับให้ราบ สร้างกำแพงกางกั้น ตัดไม้ทำลายป่า สร้างบ้านแปลงเมือง ทำตัวเขื่องใหญ่คับป่า หักถักถาง ยึดโค่นต้นขนไปสร้างเมือง เมื่อถือครองเป็นของตัวเอง มีหรือยามน้ำมากจะมีใครเสียสละ ปล่อยให้น้ำไหลเข้าสู่ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ น้ำมันเคยมีที่ไป บัดนี้ถูกบีบ ถูกกัก มันก็ย่อมขังนองเป็นธรรมดา...

ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่เห็นทางน้ำไหลผ่าน ก็คิดก็ค้นดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนทางน้ำตามใจหมาย ขู่ข่มบังคับให้ไหลไปตามทางที่ขีดที่เขียนตามแบบแปลน สร้างเขื่อน กักกั้นน้ำไว้เพื่อผลิตพลังงานต่างๆ เพื่อให้คนเรามีความสำราญ เบิกบานสนองความสุขสบายในการดำเนินชีวิต

มนุษย์ฝืนธรรมชาติ แต่สำหรับธรรมชาติไม่เคยฝืนตัวเอง ธรรมชาติเป็นผู้ให้แผ่ไพศาลไปตามสายธารและตามที่มันจะเป็นไปเสมอ อย่างเที่ยงแท้และมั่นคง ธรรมชาติคือพระเจ้า คือสัจธรรม มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ไม่ยอมฟังและทำตามพระเจ้าที่ตรัสเตือนมาในธรรมชาติ หนำซ้ำยังรังแก ทำลายล้าง เพื่อสนองความอยากด้วยหัวใจที่ผยองพองขน ถมทับด้วยความอยากได้ใคร่มี สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกฝ่ายกาย เรื่องใจเรื่องภายในเป็นเรื่องไร้สาระแห่งสังคมบริโภคสุดขั้ว

ใช่หรือไม่ มนุษย์เต็มล้นด้วยความเห็นแก่ตัว สะสม กอบโกย ต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้ไม่เห็น เป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่เคยเห็นเรื่องส่วนรวม เกี่ยงงอนเรื่องความเสียสละ ทุจริตที่จะทำความดี แอบอ้างสร้างภาพ สร้างผลงานฝ่ายเดียวโดยไม่เหลียวแลผู้คนรอบข้าง ไม่เคยใส่ใจว่าแท้จริงชีวิตนี้มีเพื่ออะไร ชีวิตดำเนินไปข้างหน้าเพื่ออะไร ธรรมชาติของการมีชีวิตอยู่คือสิ่งใด !!!

ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนแล้ว สิ่งหนึ่งที่แฝงมานั้นก็เพื่อสอนให้เรารู้จักมองเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นบ้าง ย้อนกลับมามองว่า โลกนี้เราอยู่เพื่อตัวเองฝ่ายเดียวไม่ได้ เราสร้างกำแพงกักขังตัวเองมากเกินไปไม่ได้ น้ำท่วมเพื่อทวงถามน้ำใจจากคนหรือเปล่า ธรรมชาติมีหนทางสอนให้เราเสมอ เรานั่นแหละอย่าฝืนธรรมชาติด้วยการเมินเฉยต่อบทเรียนที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆที่ธรรมชาติได้ตีสอนให้บทเรียนแก่เราเสมอมา

หากว่าวันนี้น้ำที่ท่วมมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่ไปยึดหนทางน้ำไหล เพื่อสร้างหนทางแห่งการเอารัดเอาเปรียบของเรา การชดเชยและเยียวยาก็คงต้องใช้น้ำใจที่ยังคงจะมีเหลือในสำนึกของเรามอบให้แก่กันและกัน เราฝืนธรรมชาติ เราทำลายธรรมชาติกันมากพอแล้ว วันนี้เราอย่าได้ทำลายทำร้ายความเป็นมนุษย์ด้วยกันเลย ปล่อยให้ธรรมชาติที่งดงามแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา โอบอุ้มดูแลกันและกัน ด้วยการลดละการยึดครอง ยึดมั่นถือมั่น ครอบครอง ให้น้อยลงสักนิด เพื่อเพิ่มน้ำจิตน้ำใจให้แก่กันและกัน ให้น้ำใจท่วมบ้านเมืองของเราดีกว่ามิใช่หรือ ให้ความช่วยเหลือกันเพื่อลบรอยทุกข์จากภัยน้ำท่วมในครั้งนี้....

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สองด้านในสิ่งเดียวกัน

สองด้านในสิ่งเดียวกัน

ความรู้สึกรำคาญ ย่อมเกิดได้กับทุกผู้คน บางคนอาจจะมีอาการรำคาญเป็นนิจสิน บางคนก็จะรำคาญในเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ อาการรำคาญเป็นอาการทางด้านจิตใจที่รู้สึกไม่พอใจ ไม่ดังใจ ไม่ได้ดังหวัง ถูกกระทำซ้ำซาก มีผลทำให้เกิดความหงุดหงิด โมโห และกวนใจ ก่อให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ไม่พอใจและโกรธ ความเครียด ความเซ็ง จนนำไปสู่การตัดความรำคาญด้วยการใช้ความรุนแรง

แต่ละคนจะเกิดภาวะรำคาญแตกต่างกันไป รำคาญสิ่งแวดล้อมรอบๆข้าง รำคาญเพื่อนฝูงหรือคนใกล้ตัว ลูกรำคาญพ่อแม่ คนแก่รำคาญเด็ก รำคาญเพราะพื้นที่ที่เคยยึดครองถูกบุกรุก รำคาญจากการถูกรุกล้ำชายแดนส่วนตัว การที่เรามีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟังอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ไม่ได้เบิกบานไปด้วย เราก็จะรู้สึกรำคาญใจ ถูกบ่นถูกกล่าวโทษในเรื่องเดิมๆ ก็รำคาญ เมื่อถูกขอร้องให้ช่วยเหลือก็รำคาญ

หลายคนจึงตัดความรำคาญ ด้วยการเลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้น ปัดความรำคาญแบบขอไปที ..ใช่ ด้วยความที่เราต้องการอิสระเสรีภาพ ไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของใคร ด้วยอารมณ์ชั่วแล่นชั่ววูบเราก็ตัดรำคาญด้วยการตัดความสัมพันธ์ไปก็มี ตัดสายใยแห่งความรักต่อกันไปอย่างเย็นชา เมื่อตัดความรำคาญออกแล้ว จนกระทั่งห้วงเวลาหนึ่ง ชีวิตนี้แสนอิสระ แต่กลับต้องเดินอยู่คนเดียว รู้สึกเหงา รู้สึกว้าเหว่ เราก็ต้องการสิ่งแวดล้อมแบบเดิมๆ เราก็ต้องการเพื่อนคุย เพื่อนสนทนาพาที ต้องการความรักจากพ่อแม่ จากคนรอบข้าง โหยหา วันเวลาเก่าๆกลับคืนย้อนมา ก็เนื่องเพราะโลกของเรามักมีสองด้าน ชีวิตมักมีสองแบบ แบบที่ต้องการอิสระกับแบบที่ต้องการเพื่อนร่วมเคียงข้าง คนที่รู้จักควบคุมอารมณ์ คนที่รู้จักจัดวางความรู้สึกด้วยความสุขุมรอบคอบเท่านั้น ที่จะได้พบกับความสวยงาม แม้จะมีความน่ารำคาญพานพบอยู่บ้าง แต่รู้จักที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบใจเพียงชั่วครั้งชั้วคราว เพื่อความสุขที่ยั่งยืนยาวนานตลอดไปในชีวิต

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว..... อาเธอร์ถูกจับและกำลังจะถูกประหารชีวิต แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาที่แสนยากข้อหนึ่งได้ถูกต้อง อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้ เขาก็จะถูกประหาร

คำถามนั้นคือ ... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ? 

ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็น แม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและเริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้ คนส่วนมากจึงแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง 

แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น 


จึงไปหาแม่มด ยายแม่มดตกลงที่จะให้คำตอบ แต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน นางแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของเหล่าอัศวินโต๊ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์ 

อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกง มีฟันเหลืออยู่ซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนโถส้วม ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ

เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน 

ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้นเขายอมแต่งงาน เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์ สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง




แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับยายแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม ส่วนฝ่ายแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช 

ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งผายลม ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด รำคาญ และแล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง 

กาเวนพร้อมรับคืนสยอง เขาก้าวเข้าสู่ห้องนอนวิวาห์ ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!! หญิงสาวแสนสวยที่สุด ที่เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า กาเวนงุนงง ? สาวแสนสวยเฉลยว่า 

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน ( เมื่อยามเป็นแม่มด) ดังนั้น ครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่ารังเกียจ ส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้ 

กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน ? 

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!!

กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง มีหญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสองเป็นยายแม่มด ? 

หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน แล้วอยู่กับสาวสวยยามค่ำคืนดี ?? กาเวนตอบว่า ขอมอบให้เธอเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองเมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอจึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

ในตัวเราย่อมมีด้านร้ายและดี แล้วเราจะจัดการกับความรำคาญ หงุดหงิดด้วยมุมไหน ฝากไว้ให้คิดต่อยอดกันต่อนะครับ.....