วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนดีเต็มเวลา

คนดีเต็มเวลา
จากการที่ได้ติดตามบทเทศน์ประจำวันของสมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ผ่านทาง Fan Page : PopeRepot ในทุกๆวัน ทำให้เกิดความรู้สึกว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกผู้นำพระศาสนจักรได้ตรงกับยุคสมัยเสียจริงๆ คำเทศน์สอนที่เรียบๆง่ายๆไม่ซับซ้อน ด้วยความสุภาพและตรงไปตรงมาของพระองค์ท่าน ถูกใจ โดนใจ ของคนทั่วโลก กำลังทำให้จิตใจของคริสตชนหลายๆคนที่ได้รับรู้รับฟัง เริ่มถูกขัดเกลาไปทีละเล็กทีละน้อย ราวกับว่าพระองค์ท่านเริ่มเก็บวาด ชำระวิหารฝ่ายจิต ชีวิตภายในของคริสตชนแล้ว

และเราโชคดีที่เกิดมาในยุคสื่อครองโลก นวัตกรรมนี้ถูกใช้ให้มีประโยชน์ได้อย่างมีคุณค่า สามารถนำความดีมาสู่จิตใจของผู้คนได้ล้ำค่า แล้วเรายังมีผู้ที่เสียสละได้นำข่าวสารจากพระสันตะปาปาพระองค์นี้ มาแปลให้เราได้อ่านได้ไตร่ตรองอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีประโยคสั้นๆจากสมเด็จพระสันตะปาปาผ่านทางทวิตเตอร์ของ #พระสันตะปาปา (@Pontifex) ทวีตข้อความมีใจความว่า “เราพร้อมหรือยังที่จะเป็นคริสตชนแบบเต็มเวลา (Full-Time) ด้วยการแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนผ่านทางวาจาและการกระทำ”
เมื่อได้อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าเป็นคำถามที่น่าจะนำมาครุ่นคิดต่อเป็นยิ่งนัก ในการเป็นคริสตชนนั้นอย่างที่เราทราบๆกันดี มีอยู่สองลักษณะ ที่เรียกกันแบบบ้านๆว่า คริสตังนอน กับคริสตังยืน คริสตังนอน ก็คือพวกที่ล้างบาปตั้งแต่เล็ก นอนล้างบาป ส่วนคริสตังยืนส่วนใหญ่ คือผู้ที่เป็นคริสตชนใหม่ เรียนคำสอนตอนโต และได้รับศีลล้างบาปตอนโต โดยยืนล้างบาปนั่นเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นคริสตังนอนหรือยืน คำถามที่เราต้องทบทวน คือ แล้วเราเป็นคริสตชนเต็มเวลาหรือยัง เรายังเป็นคริสตังนอนอยู่ตลอดเวลาที่ไม่ลุกมาแสดงตัวตนเลยหรือเปล่า หรือเป็นคริสตังยืนที่ยืนอยู่กับที่โดยไม่เคยก้าวออกจากที่เดิมเลยหรือไม่
ลักษณะหนึ่งของเราที่เป็นคริสตชนคาทอลิก คือการเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคมไทย จึงทำให้เราไม่กล้าแสดงตัวตน เพราะกลัวจะถูกล้อ ถูกตั้งคำถาม กลัวการเป็นคนแปลกแยกในสังคมในความเป็นจริงแล้วเราก็ไม่จำเป็น ที่จะแสดงออกว่าเราเป็นคาทอลิกตั้งแต่แรกก็ได้ สิ่งที่สำคัญคือ การที่เราต้องพยายามกระทำความดี พยายามเป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง แล้วความดีนี้แหละ ที่จะทำให้ความเป็นคริสตชนของเราแสดงแสงสว่างออกมาให้ผู้อื่นได้พบเห็น วันนี้เราต้องตั้งคำถามกับตัวเองในสังคมไทยว่า เราเป็นคนดีเต็มเวลาหรือยัง ??? เป็นคนดีได้ตลอดเวลาหรือไม่??? ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพียงแค่เราเป็นคนดีเต็มเวลาตามมาตรฐานสากลก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว เรามาลองดูว่า “เต็มเวลา” นั้นเป็นอย่างไรตามนิยามสากล
การทำงานเต็มเวลา (อังกฤษ:full-time) เป็นการที่ลูกจ้างทำงานเต็มครบตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนดโดยนายจ้าง การจ้างงานเต็มเวลามักมากับสวัสดิการที่ไม่มีในการจ้างงานแบบ part-time จ้างงานแบบชั่วคราว จ้างงานแบบยืดหยุ่น สวัสดิการเหล่านี้ได้แก่ วันลาพักร้อน วันลาป่วย และประกันสุขภาพ งานที่ทำเต็มเวลาถือเป็นอาชีพ และมักจะมีชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์มากกว่างาน part-time
นิยามของคำว่า เต็มเวลา แตกต่างกันสำหรับแต่ละนายจ้าง และกะงานที่ลูกจ้างทำ สัปดาห์ทำงาน “มาตรฐาน” ทั่วไปประกอบไปด้วย 5 วัน โดยทำงานวันละ 8 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้นเป็น 40 ชั่วโมง ในขณะที่สัปดาห์ทำงานที่มี 4 วัน มักจะทำงานวันละ 10 ชั่วโมง ในขณะที่งานกะละ 12 ชั่วโมง เพียงสามวันต่อสัปดาห์ (36 ชั่วโมง) มักนับเป็นงานเต็มเวลา เพื่อชดเชยกับความเหนื่อยหล้าจากการทำงานติดต่อกันเป็นเวลานาน (ข้อมูล : วิกิพีเดีย)
เราจะเห็นว่าถ้าวัดตามมาตรฐานสากลการทำงานเต็มเวลานั้นอยู่ที่ 36-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถามตามความเป็นจริง!!!! เราทำงานเต็มเวลาหรือเปล่า.. เปล่าเลย บ่อยครั้งไปที่เราไม่ได้ใส่ใจทำงานอย่างจริงๆจังๆในเวลางาน   เราอาจจะใช้เวลางานทำอย่างอื่นบ้าง เล่นเฟส แชท อ่านหนังสือพิมพ์ แอบหลับ และอื่นๆ ยิ่งในยุคสมัยใหม่ผู้คนขาดจิตสำนึกต่อส่วนรวม ทำงานเพียงเพื่อหวังเงินอย่างเดียว ไม่ได้ดังหวังก็เปลี่ยนงานเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีใจรักภักดีต่อที่ทำงาน ใช้เวลาทำงานในที่เก่าหาที่ทำงานในที่ใหม่ แบบนี้เราได้ทำงานเต็มเวลาแต่ก็ทำไม่เต็มที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ งานที่ทำจึงไม่ค่อยมีคุณภาพและเป็นคนงานที่ด้อยคุณค่าด้วย
กลับมาดูเรื่องการเป็นคริสตชนในเรื่องการกระทำความดี คำว่าเต็มเวลานี้ไม่ใช่หมายความว่าเรานะทำความดีเพียง 36-40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และทำในเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น แต่การเป็นคนดีเต็มเวลานั้นควรเป็นตลอดเวลา และปรากฏได้ในทุกที่ ทำได้ไม่หวังผลตอบแทนทำด้วยใจรักภักดิ์ต่อคุณธรรม ซึ่งเป็นเรื่องยากมาก เพราะด้วยความที่เรายังมีกิเลศ มีความโลภ มีความหลง แต่เมื่อเราเป็นศิษย์ของพระคริสต์แล้ว เราก็ต้องอาศัยความพยายามและการช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นพลังเสริมส่ง แล้วมุ่งหน้าเดินทางนี้ตลอด อย่าได้วอกแวก อย่าได้หันหลังให้ความดีงาม ความสุขก็จะบังเกิดขึ้น

ความดีในโลกนี้มีไม่กี่อย่าง แต่ก็แปลกที่เรากลับทำกันได้ยากยิ่งเหลือเกิน ความรัก ความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การให้อภัย สิ่งเหล่านี้ควรมีอยู่ในใจเราแบบเต็มๆ ส่วนมากแล้วพอขาดหายไป สิ่งอื่นจะวิ่งเข้ามาแทนทันที สิ่งยั่วยวนรอบตัวนั้นมีมากเหลือเกิน ความดีที่เราต้องทำให้เป็นนิสัยติดตัวนี้ต้องเริ่มใช้กับคนใกล้ๆตัวก่อน เรามีความรักแท้จริงให้กับคนในครอบครัวเรามากน้อยเพียงใด ความรักที่ไม่ใช่การทดแทนด้วยเงินทองและวัตถุภายนอก รักแล้วย่อมก่อเกิดความเมตตากรุณา และยอมให้อภัยได้เสมอ หัวใจคนต้องสร้างด้วยรัก หัวใจคนดีต้องมีทุกเวลา เราต้องเป็นคนที่ดีมีความจริงจังในการทำความดีโดยมิหวังสิ่งใดตอบแทน ทำดีโดยไม่อวดดี สิ่งนี้แหละ คือ ความเป็นคริสตชนเต็มเวลาที่แท้จริง...

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เมื่อความเซ็ง-เหงาเข้ายึดโลก

เมื่อความเซ็ง-เหงาเข้ายึดโลก
อาการหนึ่งของคนยุคใหม่ที่ใช้โซเชี่ยลมีเดียเป็นเพื่อน และเครื่องมือ คือการบ่นรำพันให้คนทั้งโลกได้รับรู้ เรื่องที่บ่นกันมากติดอันดับต้นๆคือ เซ็ง เหงา เบื่อ น่าแปลกใจไม่ใช่น้อย ในโลกเสมือนจริงนี้ที่เพียงโพสต์ข้อความที่บ่งบอกถึงการที่ว่ามาก็มีคนเข้ามาให้กำลังใจ แต่ทำไมต้องเหงากันมากมายขนาดนั้นด้วย  ดูเหมือนว่าโลกกำลังถูกคุกคาม ถูกยึดด้วยความเหงา ความเซ็งของคนหนุ่มสาวไปเสียแล้ว การแก้เหงาหงอยซึมเศร้า ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่ก้าวออกมาเผชิญหน้าความจริง มาพบปะสนทนากันแบบหน้าต่อหน้า ตาจ้องตา ออกท่องเที่ยวหาความรู้ใหม่ๆ สัมผัสชีวิตของคนอื่นดูบ้าง แล้วลดการพร่ำบ่น สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นกับชีวิต จากนั้นก็นำสิ่งที่ได้รับรู้ รับฟัง รับเห็น มาแบ่งปันในโซเชี่ยลมีเดีย เพื่อให้เพื่อนๆได้รับสิ่งที่งดงาม เรื่องราวสะท้อนความรักของพระเจ้า
เราทุกคนนั้นมีคุณค่าเสมอ การที่เรามีลมหายใจ มีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์นี่ถือว่าสุดยอดแล้ว เราใช้พระพรเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าหรือยัง เราโชคดีแค่ไหนแล้ว แต่อยู่ดีๆกลับไปให้ความเหงา ความเปลี้ยเสียหายทางอารมณ์มาทำให้ความมีชีวิตชีวาหล่นหายไป มานั่งหมดแรง หมดกำลังใจ เฝ้าบ่นท้อต่อสิ่งรอบตัว
เมื่อเห็นความเหงาความเซ็ง กำลังเข้าครอบงำโลกของคนหนุ่มสาวแล้ว ก็คิดถึงคนๆหนึ่งซึ่งก็ได้เคยเขียนเรื่องราวของเขาในบทความที่ผ่านมาบ้างแล้ว แต่ชีวิตของเขาไม่ได้หยุดลงเลย เขายังคงมีพัฒนาการเพื่อผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง เขาท่องไปทั่วโลกเพื่อบอกให้โลกเลิกเหงา เลิกเบื่อ เลิกเซ็ง ทำตัวให้มีประโยชน์ ด้วยการใช้ชีวิตของเขาเป็นต้นแบบ ในช่วงเวลานี้เขาได้เดินทางมาบรรยายทั่วเอเชีย และเพิ่งได้ทราบข่าวน่ายินดีว่าจะมาสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยในช่วงเดือนกันยายนนี้ด้วย
เขาผู้นี้คือ นิค วูจิซิค (Nick Vujicic)” หนุ่มออสเตรเลีย วัย 29 ปี ชายพิการไม่มีแขนขาผู้หนึ่ง ที่ซึ่งเขาไม่เคยย่อท้อ แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนมากมายให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต ซึ่งเรื่องราวของเขาโด่งดังไปทั่วโลก ในฐานะหนุ่มพิการหัวใจแกร่ง
ย่างก้าวชีวิตของเราแต่ละคนล้วนมีอุปสรรคและสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่เสมอๆ บางคนก็สามารถก้าวพ้นความลำบากนั้นไปได้ แต่สำหรับคนพิการยิ่งต้องมีความลำบากยากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว  นิค เป็นคนมองโลกในแง่ดี เขาคิดเสมอว่า ความบกพร่องทางร่างกายของเขา คือ การทดลองที่พระเจ้ามอบให้ แม้ว่าคนในครอบครัวของเขาต่างเสียใจที่เขาเกิดมาพิการ แต่...เขากลับทำให้ทุกคนได้เห็นว่า เขาเป็นเหมือนคนปกติ มีร่างกายแข็งแรง เพียงแต่ไม่มีแขนและขาเท่านั้น
นิค บอกพ่อแม่ว่า เขาอยากใช้ชีวิตตามปกติ เหมือนคนธรรมดาๆทั่วไป   และไม่ต้องการให้ใครมาดูแลเป็นพิเศษ เขาสามารถต่อสู้กับกฎหมายที่ระบุไว้ว่า ห้ามคนพิการเข้าเรียนในโรงเรียนชั้นนำได้สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นคนพิการรุ่นแรกๆ ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนระดับแถวหน้า แม้เขาจะต้องเผชิญกับสายตาของคนอื่นที่มองมา และสื่อให้เห็นว่าเขาเป็นคนแปลกแยก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาท้อถอยแต่อย่างใด
ในที่สุด นิค ก็ฝ่าฟันอุปสรรคก้าวแรกไปได้อย่างสวยงาม เขาสำเร็จการศึกษา คว้าปริญญาตรีด้านการค้า เอกการวางแผนด้านการเงินและบัญชี มาได้สำเร็จ และเป็นการลบคำสบประมาทของใครหลายๆคน ที่มองว่าเขาไม่น่าจะทำได้ เขารู้ดีว่า ความสำเร็จของเขาเกิดขึ้นได้ เพราะมีกำลังใจที่ดี และไม่ท้อแท้ นั่นทำให้เขามีความปรารถนาที่จะแบ่งปันและส่งต่อกำลังใจเหล่านั้น ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวัง อย่างที่เขาเคยประสบมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ทำให้ นิค ได้เดินทางไปบรรยายสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก เขาพยายามปลุกให้ทุกคนลุกขึ้นมาต่อสู้ได้อีกครั้งหนึ่ง โดยเขามักพูดเสมอว่า หากวันหนึ่งใครก็ตามที่ล้มและไม่มีกำลังจะลุกขึ้น ไม่มีความหวังเกิดขึ้นอีกแล้ว ขอให้หันกลับมามองชีวิตของเขาที่ไม่มีแขน ไม่มีขา ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดว่าเขาจะลุกขึ้นมาได้ แต่เขาก็พยายามที่จะลุกขึ้นมา ครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม หรือแม้จะเป็นครั้งที่ร้อย ครั้งที่พันเขาจะลุกไม่ได้ แต่หลังจากที่เขาพยายามทำและไม่ท้อแท้ ทำให้วันนี้เขาสามารถลุกเดินได้สำเร็จ
ถ้าผมล้มแล้วยอมแพ้ คุณคิดว่าผมจะลุกขึ้นอีกได้ไหม เป็นคำถามที่ นิค ถามกับทุกคน ซึ่งแน่นอนว่า คำตอบคือ ไม่ แต่วันนี้ เขาสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ความพยายามและไม่ยอมแพ้ของเขา ทำให้เขาประสบความสำเร็จ หากเราเจออุปสรรคร้ายแรง แล้วเราสามารถลุกขึ้นมาได้ เราจะผ่านมันไปได้อย่างเข้มแข็ง ขอเพียงแค่ให้กำลังใจกับตัวเองเท่านั้น อย่างเช่นที่เขาพยายามทำอยู่ในทุกๆ วัน

แม้ นิค จะมีความบกพร่องทางร่างกาย แต่เขาก็ยังเดินหน้าสู้ต่อไป แถมยังคอยกระตุ้น และให้กำลังใจเพื่อนมนุษย์ที่หมดกำลังใจไปพร้อมๆ กัน แล้วพวกเราล่ะ ผู้มีแขนขาร่างกายที่สมบูรณ์ครบทุกอย่าง กลับมานั่งเหงาหงอย เซ็งๆเบื่อๆอยู่อย่างนี้หรือโลกมันอยู่ยาก เพราะเราทำให้มันอยู่ยากกันไปเอง เลิกเหงากันได้แล้ว หันมาร่วมมือ ร่วมใจกันกอบกู้โลกที่สวยงามให้กลับคืนมา เรามาบนโลกนี้เพื่ออะไร? คงไม่ใช่มาสะสมความเหงา ความเซ็ง ความเบื่อกระมัง ลองมองดูตัวเองซิว่าเรามีอวัยวะครบสมบูรณ์ดีใช่ไหม แล้วเราใช้มันครบทุกส่วนเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเรา คนรอบข้าง สังคมโดยรวมหรือยัง ถ้ายัง จงออกไปสู่โลกแล้วใช้มันให้เกิดประโยชน์ซะ...

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เผชิญหน้า กล้าป่ะ...???

เผชิญหน้า กล้าป่ะ...???
กระจกส่องหน้าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญสำหรับสาวๆและท่านผู้หญิงทั้งหลายขอแค่เพียงมีเวลาว่างเว้นภารกิจชั่วเสี้ยวนาที บรรดาคุณเธอก็จะหยิบกระจกส่วนตัวขึ้นมาส่องๆ เสริมความมั่นใจ หรือแม้ยามเดินต้องผ่านทางที่เป็นกระจกสะท้อนพอจะส่องใบหน้าได้ ก็จะหยุดปัดนั่นปัดนี่สักหน่อย ก็เป็นลักษณะพิเศษที่ท่านผู้ชายห้ามลอกเลียนแบบ หรือถ้าจะเลียนแบบก็ดูจะแปลกๆตาสักหน่อย ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายมักจะใช้กระจกส่องก็ตอนหวีผมจัดทรง จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนออกจากที่พัก หรือในบางครั้งมีสิ่งทำให้ขาดความมั่นใจก็จะส่องดูเพื่อขจัดส่วนเกินออกไป 
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ที่นึกเขียนเรื่องการส่องกระจกนี้ขึ้นมา เป็นตอนเมื่ออาบน้ำเสร็จใหม่ๆ สระผม เช็ดผม และเมื่อต้องหวีผม ก็เลยเดินมาที่หน้ากระจก ตกใจที่เห็นหน้าตัวเอง ใครหว่าที่อยู่ในนั้น!!!! ไม่ใช่อารมณ์ตลกร้ายประการใด เพียงแต่ขณะนั้นเกิดความคิดว่า คนเรานี้กล้าพอไหมที่จะเผชิญหน้ากับตัวเองอย่างจริงๆจังๆ โดยไม่เสแสร้งแกล้งทำ  ไม่ใช่เผชิญหน้าเพื่อเสริมสวย เสริมหล่อ สร้างความเรียบร้อย แต่เป็นการเผชิญหน้าเพื่อจะไถ่ถาม ตรวจสอบกับตัวเอง ก็เลยคิดว่าวันนี้ยามส่องกระจก ลองถามเงาสะท้อนในนั้นว่า 
ตัวเราเป็นใคร???
บางทีบางเวลาเราเองก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ควรจะอยู่ในฐานะใด จึงกระทำบางสิ่งบางอย่างไปแบบไม่รู้ตัว แบบหลงตัวเอง การที่เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เป็นอะไร จึงจะเหมาะกับบุคลิกลักษณะนั้น ทำให้เรากลายเป็นคนทะเยอทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด เห็นคนอื่นเป็นก็อยากจะเป็นตามเขา พอเมื่อได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นกลับกลายเป็นการลดทอนคุณค่าของตัวเองลงเสียงั้นก็บ่อยไป การพยายามย้ำเตือนตัวเองว่าเราเป็นใคร นัยหนึ่งก็เพื่อให้รู้จักตัวเอง มองให้เห็นคุณค่าของตัวเอง หาที่หาทางให้เจอว่าควรเดินทางบนโลกนี้ในสถานะใด ใช่หรือไม่...ในวันนี้เราเห็นผู้คนในสังคมอยากจะเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นแบบคนนั้นเป็นแบบคนโน้น อยากจะเป็นคนมีชื่อเสียง อยากจะเป็นคนโด่งคนดัง พอเป็นจริงสมใจ เป็นคนสาธารณะขึ้นมากลับไม่ยอมให้ใครเข้าไปรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย และเมื่อมีคนอยากเป็นคนโด่งคนดังกันมากๆเข้า ก็ต้องมีการแข่งขัน ขึ้นชื่อว่า การแข่งขัน อย่างไงเสีย ทุกคนก็มุ่งเพื่อชัยชนะกันทั้งนั้น โลกสังคมจึงวุ่นวาย โลกจึงอยู่ยากขึ้นเพราะการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตายมีมากขึ้น โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนลืมตัว
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
เราต้องการอะไรในชีวิตนี้
เมื่อเรายืนอยู่หน้ากระจกลองถามตัวเองว่าแท้จริงแล้วความต้องการในชีวิตของเราคืออะไรกันแน่ เราต้องการมีความสุขหรือต้องการเพียงสะดวกสบาย เราต้องการให้คนอื่นรักหรือต้องการเป็นที่รักของคนอื่น เราต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองให้เยอะ เพื่อให้คนชื่นชมในความร่ำรวยหรือต้องการให้คนชื่นชมในความดีงาม เราต้องการครอบครองหรือต้องการครอบครัวที่อบอุ่น เราต้องการอยู่เหนือคนอื่นด้วยการให้ทุกคนอยู่แทบเท้าเราอย่างนั้นหรือ ที่สุดแล้วจุดหมายปลายทางชีวิตเพียงต้องการให้คนมาร่วมงานศพจำนวนมากๆหรือเพียงเพื่อให้คนจารึกชื่อเราไว้ในหัวใจ 
เราได้ทำอะไรแล้วมีความสุข
ก่อนที่จะละใบหน้าและเรือนร่างจากกระจกบานนั้น ต้องรำลึกเสมอว่าสิ่งที่เราจะทำในวันนี้จะนำความสุขหรือความทุกข์มาสู่ชีวิต เราเตรียมตั้งท่าเพื่อที่จะฟาดฟันใครให้แดดิ้นไปต่อหน้าต่อตาหรือเปล่า ถ้าใช่...จงกลับมาส่องดูใบหน้าของปีศาจในเงาสะท้อนบานนั้นอีกครั้ง ดูว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ความสุขย่อมเกิดจากการกระทำดี และการกระทำดีคืออะไร ก็คือสิ่งที่ทำแล้วทำให้จิตใจมีแต่ความเปรมปรีดิ์ การได้ช่วยเหลือผู้อื่นนำความอิ่มใจมาให้เสมอ การให้อภัยก่อให้เกิดมวลรวมแห่งความสุข วันนี้เราจะทำอะไรให้ชีวิตมีสุขบ้างไหมหนอ หรือชอบสะสมทุกข์ให้กองอยู่ในอก...
เราทำอะไรได้ดีที่สุด
สุดท้ายการเผชิญหน้ากับตัวเองในบานกระจกแบบนี้ เราต้องมีคำตอบต่อทุกวันแห่งการดำเนินชีวิต ที่ผ่านมาเราทำอะไรได้ดีที่สุดบ้าง เชื่อได้อย่างสนิทว่า เราต้องเคยทำได้ดีที่สุดผ่านมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ในทุกกิจการที่เราทำซ้ำไปซ้ำมา ดูเหมือนจะซ้ำซาก แต่ถ้าเราตั้งใจทำมันอย่างดีทุกวัน ชีวิตเราก็จะพบความสุขได้ ขับรถออกจากบ้านอยู่บนถนนโดยไม่หงุดหงิด ถึงที่ทำงานก็ไม่นินทาหรือพูดถึงผู้อื่นในทางเสียๆหายๆ หยุดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมเสื่อมลง ด้วยการเสพสื่ออย่างมีสติ ไม่หลงไปวิพากษ์โดยไม่มีข้อมูลความจริง อย่าปล่อยให้อารมณ์หลุดลอยไปตามคันบังคับของผู้อื่น สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เราทำผิดเป็นนิจ ก็พยายามละเว้น ทำไปทำมาอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมมาบรรจบ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ใช่...การดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ อาจจะทำให้เราเผชิญกับสิ่งอื่นมากเกินไป จนลืมไปว่าเราควรทำตัวอย่างไร ลืมกระทั่งว่าเราเป็นใคร เมื่อเรายังลืมตัวเองได้ก็อย่าหวังเลยว่าเราจะเห็นคนอื่นในสายตาเรา เรามักจะเย่อหยิ่งในเกียรติภูมิ ในฐานะ ในหน้าที่การงาน จนกลายเป็นการดูถูกคนอื่น จนบางครั้งคนที่เราเผชิญหน้าอยู่ข้างหน้าเรานั้น เป็นผู้ทรงเกียรติกว่าเรา แต่เขาไม่แสดงออก ไม่นานคนนั้นกลับได้รับการยกย่อง ได้รับการยอมรับมากกว่าเรา เราจะคิดอย่างไรเล่าในสถานการณ์เช่นนั้น เราต้องลองเผชิญหน้ากับตัวเองดูบ้าง ลองสนทนา โต้ตอบ ยินยอม ขัดแย้ง ทะเลาะและให้อภัยกับตัวเราดูบ้าง การเผชิญหน้ากับตัวเองนั้นบางทีเราถึงกลับจำคนในเงาสะท้อนนั้นไม่ได้เลย....เพราะในทุกวันเราเห็นแต่เปลือกหน้า แต่ไม่เคยเห็นลึกลงไปในใบหน้าและแววตาของตัวเราเองเสียด้วยซ้ำไป แล้ววันเวลาจะมีประโยชน์อันใดเล่า

วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อะไรเล่าที่สำคัญกว่า


อะไรเล่าที่สำคัญกว่า
ที่บ้านไม่เคร่งเรื่องมารยาท คุณธรรมสำคัญกว่า วลียอดฮิตในช่วงสัปดาห์นี้เกิดขึ้นจากรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ที่มีการแข่งขันโชว์พรสวรรค์พิเศษของแต่ละคน โดยใช้คำว่า แค่กล้า ก็ชนะแล้ว และได้มีการนำเด็กวัย 24 ที่มีลักษณะพิเศษมาร่วมแข่งขัน ซึ่งตามหลักจรรยาบรรณแล้วไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาออกอากาศ เพราะนี่เป็นรายการที่บันทึกไว้ก่อน มีการคัดเลือก คัดกรองก่อนเป็นแรมเดือน แต่ดูเหมือนรายการมีเจตนานำมาออกเพื่อสร้างกระแส จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ก็ไม่รู้ว่าเป็นการสมยอม สมรู้ร่วมคิดเพื่อให้รายการฮิตเป็นที่พูดถึงในสังคมหรือเปล่า ยุคนี้เป็นยุคที่ใครหรือรายการใดอยากโด่งดัง ก็สร้างเรื่องอะไรๆ ที่มันขัดแย้งต่อความรู้สึกของคนทั่วไปก็ดังได้ในชั่วข้ามคืนแล้ว เอาเข้าจริง ใช่หรือไม่... มารยาทนั่นเป็นปลีกย่อยอย่างหนึ่งที่สำคัญของคุณธรรม การแต่งคำ สรรคำเพื่อให้ดูดี แต่ดูให้ดีๆแล้วอาจจะไม่ใช่ความหมายในคำพูดนั้นเลยก็ได้ เรียกว่าพูดให้เท่เข้าไว้ ในแง่หนึ่งหลายคนบอกว่านี่เป็นการดูถูกศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างที่สุด มีการพูดดูถูกของพิธีกรและกรรมการตัดสิน ใช่หรือไม่ การทำรายการลักษณะนี้เป็นการ ฆ่าคน ทางอ้อม มันบาปนะครับ
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เมื่อพูดถึงการ ฆ่าคนทางอ้อมแล้ว ก็ให้คิดถึงการฆ่าตัวตายในสังคมที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เราเห็นเรื่องราวร้ายๆเกิดขึ้นมาให้พูดถึงไม่เว้นในแต่ละวัน จนจะกลายเป็นความเคยชิน ชินชาไปแล้วกระมัง สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็สะท้อนถึงคนเราในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อราวๆ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งเห็นแล้วมีสิ่งที่น่าจะนำมาเป็นบทเรียนในสังคมแห่งวัตถุนิยม ในสังคมที่แยกแยะมารยาทกับคุณธรรม ความอวดดีกับความดีงามไม่ออก เป็นข่าวของนักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพ ชำนาญการ เรือนจำกลางนครราชสีมา หรือผู้คุม ระดับซี 7 ยิงตัวตายพร้อมลูกๆอีกสองคน ในที่เกิดเหตุเป็นบ้านหรูหราขนาด 2 ชั้นมีรั้วรอบขอบชิด บนเนื้อที่ 80 ตารางวา ภายในหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ มีรถยนต์เก๋งจอดอยู่ภายในบ้าน 2 คัน ที่บริเวณห้องรับแขกและห้องนั่งเล่นชั้นล่าง นอกจากนี้ ยังพบแท็บเล็ต 3 เครื่อง พวงกุญแจ ตุ๊กตาหมี หนังสือแจ้งให้ชำระหนี้ และจดหมายลาตายใจความระบุทำนองว่า รักลูกมากอยากเอาลูกไปอยู่ด้วย ไม่อยากให้เป็นภาระใคร กลัวลูกจะลำบาก
ภรรยาผู้เสียชีวิตให้การทั้งน้ำตาว่า เมื่อเช้าก่อนที่จะออกไปทำงานสามีบอกว่าจะไม่ไปทำงาน และขอเงิน 500 บาท แต่ตนไม่มีให้ กระทั่งเวลา 09.00 น.ตนถึงโทรศัพท์เข้ามือถือสามีแต่ไม่รับ และโทรฯไปที่ทำงานได้รับแจ้งจากเพื่อนร่วมงานว่าสามีไม่ได้มาทำงาน รู้สึกแปลกใจจึงขับรถมาดูที่บ้านและพบศพสามีพร้อมลูกสาวทั้ง 2 คน
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
จริงๆไม่ได้ตั้งใจจะนำมาเสนอเพื่อซ้ำเติมความเศร้าของใครทั้งสิ้น แต่สิ่งที่น่าคิดมีมุมมองให้พิเคราะห์เป็นบทเรียนในชีวิตของเราๆท่านๆได้เป็นอย่างดี ทรัพย์สินที่สะสมไว้มากมาย แต่เงินเพียง 500 บาทกลับไม่มีติดตัว สิ่งของส่วนเกินความจำเป็นก็เยอะมีเพื่ออะไร คำถามมากมายผุดขึ้น... แต่ก็นั่นแหละเรามิได้อยู่ในสถานการณ์ความกดดันแบบนั้นก็ยากยิ่งจะเข้าใจในการกระทำของผู้เสียชีวิต ได้แต่นำมาสอนใจว่าชีวิตเราอย่าได้ก้าวไปสู่จุดนั้นเด็ดขาด เพราะสิ่งสำคัญสุดคือการมีลมหายใจ ที่พระเจ้าเป่าปันมาให้เรานั้นประเสริฐสุด เราควรต้องรักษาไว้จนสิ้นลมหายใจ สิ่งอื่นนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบ เสริมให้ชีวิตดำเนินไปด้วยความสะดวก ท่ามกลางทรัพย์สินมากมาย แต่หาได้มีความหมาย นำพาความสุขมาสู่ชีวิตแต่อย่างใด บทเรียนบทนี้สอนเราว่า สิ่งที่เรากำลังทุ่มทุนสร้าง ทุ่มชีวิตเสาะหานั้นมันมากเกินไปหรือเปล่า มีแล้วแค่นำมาซึ่งความสะดวกสบายหรือนำความทุกข์มาเพิ่ม ยิ่งเราส่งเสริมมาเพิ่มเติมด้วยสื่อที่ยัดเยียดความอยากได้ใคร่มีเข้าไปอีก การกระทำแบบนี้ก็จะยิ่งมีมากขึ้นในสังคม แล้วเราเล่าควรจะเตรียมตัวอย่างไร ?
ชีวิตทุกชีวิต ต้องการความสุข และหลีกเลี่ยงความทุกข์ เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจและตั้งใจเช่นนั้น แต่เพื่อไปให้ถึงจุดนั้น เราต้องเป็นคนมีสติปัญญา มีความดีงาม  นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า เป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่ประกอบด้วยสติปัญญา สติปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องอาศัยการอบรมปลูกฝังและพัฒนาไปสู่จิตวิญญาณ การศึกษาเพื่อเพิ่มพูนปัญญาเป็นสิ่งจำเป็นก็จริง แต่ยังไม่เพียงพอเพื่อการพัฒนาสู่ความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ยิ่งระบบการศึกษาสมัยใหม่ที่ไม่ใคร่ใส่ใจเรื่องคุณธรรม เรื่องคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เราจึงมีคนที่เติบโตแต่สติปัญญาแต่ไร้คุณธรรม
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ความขึ้นลงของชีวิตเป็นเรื่องปกติ ความสุขความทุกข์นั้น เป็นสิ่งที่เคียงคู่กับชีวิตโดยตลอด ไม่มีชีวิตใดไม่ประสบกับความสุขหรือความทุกข์ ความทุกข์ยากเป็นสิ่งที่ต้องผ่านเข้ามาในชีวิต เป็นประสบการณ์อันสำคัญที่ทำให้เข้าใจและพัฒนาชีวิตให้สูงขึ้นได้ ในชีวิตของคนทุกคน ถ้ามีแต่ความสุขก็อ่อนแอ ไม่รู้จักชีวิต ถ้ามีแต่ความทุกข์ ก็คงทนไม่ไหว ชีวิตจึงต้องผ่านทั้งทุกข์และสุข เพื่อความเข้มแข็งสมบูรณ์ของชีวิต
ชีวิตมีค่าเสมอ และชีวิตที่มีค่านั้นต้องประกอบด้วยคุณธรรม หาใช่วัตถุแวดล้อมประกอบภายนอก สิ่งที่เราจะต้องเสริมสร้าง สะสม ควรเป็นสิ่งที่อยู่ภายในมากกว่า เพียงแค่กล้า ก็ชนะแล้ว และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สุดคือการชนะตัวเอง ไม่หลงใหลไปกับสิ่งปรุงแต่ง กับเปลือกภายนอก แล้วเรากล้าพอหรือเปล่าที่จะเอาชนะตัวเอง กล้าลุกขึ้นจากความตายด้านทางจิตวิญญาณในวันที่พระเยซูเจ้าบอกให้เราลุกขึ้นหรือเปล่า..อย่าปล่อยให้สิ่งของในโลกครอบงำเราจนแยกไม่ออกว่าอะไรเล่าสำคัญที่สุดในชีวิต