วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ความกลัวคือสิ่งที่น่ากลัว

ความกลัวคือสิ่งที่น่ากลัว
ระหว่างที่คุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ ผ่านทางกลุ่มไลน์ มีหนึ่งในพวกเราชวนคุยเรื่องราวในสมัยที่ยังเป็นเด็กและมีความทรงจำร่วมกัน เรื่องที่พวกเราพี่น้องนึกถึงคือ การได้ฟังเรื่องที่พวกผู้ใหญ่คุยกันยามค่ำคืน ในสมัยก่อนที่ยังไม่มีทีวีมาแยกบ้าน มาแย่งความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือมายึดพื้นที่ร่วมกันให้กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวไปแบบสมัยนี้ และเรื่องราวที่บรรดาลุงป้าน้าอามาจับกลุ่มคุยกัน ก็มักหนีไม่พ้นเรื่องผีสางนางไม้เพื่อทำให้เด็ก ๆ อย่างพวกเรารู้สึกหวาดกลัว ถึงขนาดต้องนั่งนิ่งบนกระดานแผ่นเดียว ด้วยกลัวว่าจะมีนิ้วมือลอดช่องรอยต่อแผ่นกระดานมาจิกมาจับ มีบางจังหวะได้ขยับแนบชิดเกาะติดกับพ่อแม่แล้วก็หลับไป พอโตขึ้นเราก็รู้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเรื่องเล่าเพื่อความสนุกสนาน เพื่อให้เราเด็ก ๆ ไม่ออกไปซุกซนยามค่ำคืน เพราะมีแต่ความมืดมิดที่อาจจะทำให้เราไม่ปลอดภัย ความกลัวสมัยวัยเด็กคือการกลัวผี ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ การกลัวความมืดนั่นเอง พอพ้นจากวัยเด็กก็มีความกล้าที่จะอยู่ในความมืดมากขึ้น เลิกกลัวความมืด มีวันเวลาได้นอนนับดาว  ใช่หรือไม่ ต้องออกไปอยู่กับความมืด เราจึงไม่กลัวความมืด  ก็จะพบว่าความมืดนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด  ถึงตอนนั้นเราก็ไม่กลัวความมืดอีกต่อไป 



พอเราเริ่มมีวิถีชีวิตที่พลิกผันจากรูปแบบในวันวาน มาสู่วัฒนธรรมใหม่ในวันนี้ที่ดูเหมือนมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมาย มีแสงไฟส่องทางในความมืด เรากลับมีความกลัวรูปแบบใหม่เกิดขึ้น เป็นความกลัวที่ถูกสร้างขึ้นแบบสาธารณะ สร้างให้เกิดขึ้นในความรู้สึกของผู้คนเป็นอันมาก นั่นคือ  กลัวความยากลำบาก กลัวมีรายได้น้อย  กลัวความล้มเหลว ล้วนเป็นสิ่งน่ากลัว เพราะเกิดขึ้นกับใครย่อมทำให้เป็นทุกข์ ความทุกข์ที่แท้นั้นเกิดจากใจที่หวาดกลัวต่างหาก สิ่งที่เราต้องทำคือ จัดการกับความกลัว  ด้วยการเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่เรากลัว
ยังมีความกลัวอีกหลายรูปแบบบนหนทางชีวิตของยุคปัจจุบัน และที่กำลังมาแรงแซงความกลัวทั้งหลายทั้งปวงคือ กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม หลายคนจึงพยายามหาที่หาทางเพื่อยึดเกาะเกี่ยวใช้เป็นฐานที่มั่น และสร้างตัวตนขึ้นมา แต่สิ่งมากเกินไปคือ การกลัวคนอื่นเด่นกว่าตัวเอง อันนี้อันตรายมาก การทำความดีที่คิดกันว่าน่าจะดีก็กลายเป็นการขัดแข้งขัดขากัน หลายคนจึงเบื่อหน่ายหนีหาย กลับไปอยู่ในมุมเล็ก ๆ ของตัวเอง และปล่อยให้ใครอยากทำอะไรก็ทำไป เราจึงเห็นคนสร้างภาพ สร้างตัวตนแบบจอมปลอมมากขึ้น การแสดงออกผ่านสื่อสมัยใหม่โดยไม่มีความกลัวเกรงสายตาคนอื่น กลายเป็นยิ่งกล้าทำตามกันมากขึ้น ในลักษณะแบบนี้จึงเป็นการใช้ความกล้าลบเลือนความกลัวแบบผิดที่ผิดทาง หากยังมีลมหายใจเราต้องกล้าที่จะทำดี และกลัวที่จะทำชั่ว ไม่ใช่แยกแยะไม่ออกว่าจะกล้าจะกลัวสิ่งไหนตอนไหนดี หลายคนกลายเป็นคนท้อแท้และกลัวที่จะทำดี เพียงเพราะเสียงต่อว่าและคำวิจารณ์ ใช่หรือไม่ถ้าเรากลัว เราจะต้องกล้าที่จะไปสัมผัสในสิ่งที่เรากลัว ถ้าสิ่งนั้นคือความงดงาม ไม่ใช่การหนีสิ่งที่เรากลัว การหันหน้ามาเผชิญกับมันต่างหาก คือสิ่งที่ควรทำ เพราะจะทำให้เราหายกลัว เมื่อนั้นมันจะไม่มีพิษสงอีกต่อไป

นักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าว่าเขาเป็นคนกลัวขายหน้ามาก วันหนึ่งจิตแพทย์ชื่อดัง อัลเบิร์ต เอลลิส (Albert Ellis) เล่าว่า เคยแนะนำให้คนไข้ของเขานั่งรถไฟใต้ดินในนิวยอร์ค  เมื่อผ่านสถานีใดให้ส่งเสียงเรียกชื่อสถานีนั้นดัง ๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองอย่างไร  เขาจึงทดลองทำดูบ้างเมื่อนั่งรถไฟใต้ดินในลอนดอน แม้จะรู้สึกประหม่าและพรั่นพรึงขณะที่ส่งเสียงดังท่ามกลางผู้คนแน่นขนัด  แต่ปรากฏว่าไม่มีใครด่าหรือทำร้ายเขาเลย มีบางคนเท่านั้นที่มองเขาด้วยสายตาประหลาด นับแต่วันนั้นความกลัวขายหน้าได้ลดลงมาก

เมื่อมาพิจารณาดูแบบจริง ๆ จัง ๆ สิ่งที่เรากลัวนั้นไม่ทำให้เราทุกข์มากกว่าความกลัว และนี่เป็นจุดอ่อนของผู้คนทุกยุคทุกสมัย  เมื่อสังคมมีวิวัฒนาการสู่ระบบทุนนิยมเสรี ใช้การบริโภคขับเคลื่อน ใช้ระบบบริหารด้วยการแข่งขัน และเพื่อให้ทุกสิ่งเข้าสู่ตลาดการค้าการขาย การจับจ่ายของผู้คนจึงถูกตั้งอยู่บนความกลัว นักการตลาดจึงรู้ดีว่า ความกลัวจะเป็นแรงจูงใจอย่างดีในการขายสินค้าและนับวันเราก็ถูกกระแสสร้างให้เกิดความกลัวสมัยใหม่เกิดขึ้นเสมอ กลัวว่าจะไม่สวยกลัวว่าจะไม่เด่น กลัวว่าจะไม่ทันสมัย กลัวจะตกเทรนด์ แล้วเราก็จะถูกบอกว่าต้องทำแบบนั้น ต้องใช้สินค้าตัวนี้ เราจึงหายกลัว มันจริงหรือ ? เราถูกทำให้กลัวด้านร่างกาย และไม่กล้าด้านชีวิตภายใน เมื่อเป็นเช่นนี้สังคมวันนี้จึงอ่อนล้าและอ่อนแอลง ต่างคนต่างกลัว ต่างคนต่างกล้าแสดงออกแบบผิด ๆ โดยคิดว่าจะมาลบเลือนความกลัว แต่ทำไมยิ่งทำเรายิ่งมีแต่ความกลัว เพราะสิ่งที่เรากล้าทำไปนั้นมันปราศจากความกล้าที่จะสัมผัสความกลัวด้วยจิตวิญญาณ พูดอย่างถึงที่สุดเรากล้าเพราะเราบูชาวัตถุภายนอกกันเกินไป เราจึงจมอยู่กับความกลัวตลอดเวลาและหาสันติสุขในชีวิตไม่พบ  ความกลัวคือสิ่งที่น่ากลัว แต่ความกล้าที่ฆ่าวิญญาณเรานั้นน่ากลัวกว่า “อย่ากลัวมนุษย์ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้”

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ด้วยความเคารพ

ด้วยความเคารพ
ภาพเด็ก ๆ น่ารัก ๆ ที่โปรยดอกไม้ รำอวยพรศีลในทุก ๆ ปี สร้างความสุขอิ่มเอมให้กับเราที่มาร่วมพิธีแห่ศีลมหาสนิท การรำการโปรยดอกไม้ เป็นการเคารพยกย่องให้เกียรติอย่างสูงส่ง การแห่แหนก็เช่นกัน การแสดงความเคารพต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ของแต่ละคนแต่ละชาตินั้น มีความแตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เรามักจะทำเหมือน ๆ กันนั่นคือการก้มหัวลง เป็นกริยาที่มักพบเห็นในทุกเชื้อชาติ หรือแม้แต่บรรดาสัตว์ ต้นไม้ ใบหญ้า ล้วนใช้ท่าทางลักษณะนี้ ที่แสดงความเคารพ ยิ่งเห็นภาพเด็กเล็ก ๆ ที่เพิ่งเข้าโรงเรียน และได้รับการฝึกหัดให้ไหว้ ให้ย่อตัว  ให้ก้มหัว บางคนก็ยังทำไม่ค่อยเป็นกระโดกกระเดก เด็กทำด้วยความซื่อใสแม้ไม่สวยแต่ก็น่ารัก เป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกว่าโลกนี้ช่างงดงาม นี่เป็นการฝึกเพื่อให้ลูกหลานได้เห็นถึงความสำคัญของการเคารพต่อสิ่งต่าง ๆ  การเคารพทุกผู้คน คือกริยาอย่างหนึ่ง


ในสังคมที่ทุกผู้คนเรียกร้องให้คนอื่นเคารพในสิทธิ์ของตัวเอง โดยมิได้ตระหนักว่าสิ่งที่ทำนั้นบ่อยครั้งก็ขาดการเคารพต่อผู้อื่นอยู่เหมือนกัน เราต่างคนต่างขาดความเคารพซึ่งกันและกัน จึงเกิดความขัดแย้งไม่มีที่สิ้นสุด ความเคารพคือ คุณธรรมอย่างหนึ่ง เราเคารพผู้อื่นก่อน ผู้อื่นก็ย่อมเคารพเรา นี่จะเป็นการสะท้อนความอ่อนน้อมที่เรามีต่อโลก ที่เรามีต่อสิ่งสร้างและพระผู้สร้างสรรพสิ่ง หากเราสำนึกว่าทุกสิ่งสร้างคือสิ่งที่ดี และมาจากพระเจ้าผู้ที่เราเคารพนับถืออย่างสูงสุด จะมีเหตุผลใดเล่าที่เราจะไม่เคารพต่อผู้อื่นหรือสรรพสิ่งอื่นใดได้เล่า? ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะต้องมองข้ามความสำคัญของคนอื่นและไม่มีคุณสมบัติใดที่เราต้องทำลายศักดิ์ศรีของคนอื่น
การเคารพต่อผู้ใกล้ชิดคือหน้าที่อย่างหนึ่ง พ่อแม่เคารพซึ่งกันและกัน รู้จักหน้าที่แบ่งเบา ดูแลกัน โดยไม่ก้าวก่ายไปเสียทุกเรื่อง ให้แต่ละคนมีพื้นที่ มีเว้นวรรคต่อกันในบางเวลา ไม่เอาความรักที่แฝงไปด้วยความเห็นแก่ตัวเข้าไปผูกขาด มีแต่คอยเป็นแรงสนับสนุนและให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน ในฐานะพ่อแม่กับลูกหลานก็เช่นกัน เดินเคียงคู่และรู้ที่จะเดินคอยระวังหลังบ้าง รับฟังในทางเลือกของลูก ๆ เมื่อเราเคารพการตัดสินใจของลูก เราจะยิ่งได้รับการเคารพรักอย่างสูงสุด


มีเพียงฝึกเคารพในผู้อื่น จึงได้รับการเคารพตอบจากผู้อื่น ที่จริงแล้ว เคารพผู้อื่นก็คือเคารพในตัวเอง การไม่ดูถูกดูแคลนคนอื่น การไม่เอารัดเอาเปรียบผู้คน คือสิ่งที่สังคมขาดหายไป มีแต่การปลูกฝังให้ยกย่อง เคารพคนที่มี  ไม่ใช่คนที่ดี บทสรุปของการเคารพผู้อื่นนี้มีอยู่ในเรื่องเล่าเรื่องนี้
ขอทานผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าเหม็นสาบคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านขายเค้กชื่อดัง ลูกค้าคนอื่นต่างพากันเบือนหน้าหนี บ้างก็เอามือปิดจมูก บ้างก็แสดงออกถึงความรังเกียจอย่างเปิดเผย ขอทานยื่นเงินให้เถ้าแก่พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงอันเบาว่า
ผมขอซื้อเค้กชิ้นเล็กที่สุดชิ้นนั้นครับ
เถ้าแก่เปิดตู้แล้วก็หยิบเค้กก้อนนั้นใส่ลงไปในกล่อง จากนั้นก็ใส่ถุงแล้วยื่นให้ด้วยท่าทางอ่อนน้อม
ขอบคุณที่ใช้บริการครับ วันหลังเชิญใหม่นะครับ
ลูกค้าและหลานชายของเถ้าแก่ต่างพากันประหลาดใจ รวมถึงชายผู้เป็นขอทานที่รู้สึกประหลาดใจในสิ่งที่เถ้าแก่ร้านนี้ปฏิบัติต่อเขา ขอทานรับถุงเค้กมาพร้อมเงินทอน แล้วก็เดินออกจากร้านไปด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบ เพราะเขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากใครมาก่อน
ปู่ครับ ทำไมปู่ต้องทำตัวนอบน้อมกับขอทานอย่างนั้นล่ะครับ?หลานชายเอ่ยขึ้น
แม้เขาจะเป็นขอทาน แต่เขาก็คือลูกค้าของเราคนหนึ่ง ปู่เชื่อว่าเขาต้องออมเงินมาหลายวันเพื่อที่จะซื้อเค้กราคาแพงของร้านเรา หากปู่ไม่บริการเขาเยี่ยงปฏิบัติต่อลูกค้าท่านอื่น ก็เท่ากับเหยียบย่ำในน้ำใจทั้ง ๆ ที่เขาก็เป็นหนึ่งในผู้มีอุปการะคุณของร้านเรานะสิ
ถ้าอย่างนั้น ทำไมปู่ไม่ให้เค้กเขาไปฟรี ๆ ปู่จะเก็บเงินเขาทำไมล่ะ? หลานชายอดสงสัยไม่ได้
ก็เพราะวันนี้เขามาในฐานะลูกค้า เขาไม่ได้มาขอทานนะสิ! หากวันนี้ปู่ไม่รับเงินจากเขา ก็เท่ากับดูถูกเขา ก็เท่ากับทำลายศักดิ์ศรีของเขา เขาจะถือเค้กออกจากร้านไปด้วยความอาย จงจำไว้นะ ต่อให้ลูกค้าของเราจะเป็นขอทาน เราก็ต้องเคารพเขา เพราะที่เรามีกินมีอยู่ในทุกวันนี้ ล้วนได้มาจากลูกค้าทุกคน
หลานชายพยักหน้าอย่างเข้าใจ รวมทั้งลูกค้าคนอื่นที่ยืนฟังด้วยความซึ้งใจ. (ตอนหนึ่งจากหนังสือ ณ สติปัญญา)



ความเคารพ ไม่ได้เป็นเพียงมารยาทในสังคม แต่เป็นทั้งการดูแลและความเอาใส่ใจต่อผู้อื่นวันนี้ เรามาแสดงความเคารพศีลมหาสนิท ก็อย่าลืมว่าเรากำลังเคารพต่อความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเยซูผู้สละเลือดเนื้อเพื่อเรา แล้วเราจะไม่แสดงความเคารพต่อพระองค์ด้วยการกระทำบ้างหรือ ใช่หรือไม่ เมื่อเราใจกว้างหนึ่งศอก ทางเดินย่อมกว้างขึ้นอีกหนึ่งวา ด้วยความเคารพอย่างสูง

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลอมรวมตัวตน

หลอมรวมตัวตน
ในช่วงเวลาหยุดพักผ่อน มีโอกาสได้ไปนอนเล่น อ่านหนังสือ ฟังเสียงคลื่นลม มองดูพื้นน้ำและแผ่นฟ้าที่ไปจรดร่วมกันยังปลายสายตาที่มองเห็น ณ ริมชายหาดบ้านเพชรสำราญ หัวหิน ในวันธรรมดา ๆ แบบนี้มีผู้คนนักท่องเที่ยวบางตา เดินผ่านไปมา ดูเหมือนราวกับว่ากำลังนั่งชมภาพยนตร์จอใหญ่อยู่อย่างไงอย่างงั้น แม้ไม่มีเรื่องงราว แต่มีความหรรษาจากคนขี่ม้าที่วิ่งไปมา แม้ไม่มีเสียงดนตรีที่ตื่นเต้นเร้าใจ มีเพียงเสียงคลื่นซัดสาด แม้ไม่มีพระเอกนางเอก มีเพียงคนที่เอกเขนกตากแดดลมบนแผ่นทรายสวยงาม แม้ไม่มีการไล่ล่าเอาเป็นเอาตาย มีเพียงนักเล่นกระดานโต้คลื่นโฉบเฉี่ยวไปมา แม้ไม่มีฉากเรียกน้ำตา มีเพียงลุงป้าขายข้าวและบริการอย่างดีด้วยไมตรีจิต มีเวลานั่งคิดนอนรำพึงถึงวันเวลา และความสำคัญของการมีชีวิตในยุคปัจจุบัน



ยิ่งนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนก่อนที่จะมาถึงที่พัก ณ ตรงนี้ ได้แวะเที่ยวชมความงามธรรมชาติที่ “อุทยานหินเขางู” เป็นอุทยานหิน สวนป่า ห่างจากตัวจังหวัดราชบุรีประมาณ 8  กิโลเมตร แต่เดิมเป็นแหล่งระเบิดและย่อยหินที่สำคัญของประเทศไทยตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว เพราะเป็นที่ที่มีปูนที่มีคุณภาพดี ต่อมาทางภาครัฐเล็งเห็นถึงความเสื่อมโทรมของสภาพภูมิประเทศ และวิวทิวทัศน์บริเวณนี้ จึงได้มีการยกเลิกสัมปทานการระเบิดและย่อยหินไปเสีย หลังจากยกเลิกสัมปทาน เขางูก็กลายเป็นเหมืองร้าง มีสภาพทรุดโทรม ทางจังหวัดราชบุรีจึงได้พัฒนาเขางูให้เป็นสวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวทางโบราณคดี  วิวสวย ๆ ของธรรมชาติ ทะเลสาบที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา ยังคงเป็นสถานที่สะอาดบริสุทธิ์
ยามเมื่อได้มายืนอยู่เบื้องหน้าภูเขาที่ถูกทลายลง ใจยิ่งคิดว่าจะมีความยิ่งใหญ่อันใดคงทนทาน ต้านต่อความโลภมากของผู้คนไปได้ แต่ภูเขาก็ยังเป็นภูเขา ที่ยังยืนยงคงทนอย่างหนักแน่น บางทีชีวิตเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนยิ่งใหญ่ ขอแค่มีความมั่นคงทนทาน เราก็ยืนสง่างามอย่างไม่หวั่นไหว อย่างภาคภูมิใจได้ น้ำใสในทะเลสาบเบื้องหน้าภูเขายิ่งบอกเราว่าการเป็นน้ำนิ่งใส จะงดงามกว่าเป็นสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก กวาดทุกสิ่งที่ขวางกั้น ยิ่งมองภาพเงาสะท้อนในแผ่นน้ำนั้นมันยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า โลกเราวันนี้ต่างตกอยู่ในกระแสธารแห่งความลุ่มหลง ทั้งแบบจำยอมและแบบไม่รู้ตัว เรากำลังสร้างวัฒนธรรมต้องเด่น ต้องดัง ต้องรวย ต้องสวย ต้องมีตัวตน โดยอาศัยเครื่องมือที่รองรับตัวตนจอมปลอม แล้วเราก็หลงใหลไปกับภาพเงานั้น หลงไปกับความสวยที่ถูกเติมแต่ง ใช่หรือไม่ เราคือกรวดทรายที่พยายามตะกายขึ้นเทียบเท่ากับขุนเขา ต่างคนต่างสร้างภาพ ต่างคนต่างหวังพื้นที่ยึดครอง มีเพียงสิ่งเดียวที่ดูจะคล้ายคลึงกัน คือการวิจารณ์ว่ากล่าวคนอื่นอย่างไร้เมตตาและความรับผิดชอบ



ในวันที่เรามีเพื่อนมากมายผ่านสายใยแก้ว ให้เราติดตามมากกว่าเพื่อนสายใยเกลอเก่าที่เจอะเจอกันนาน ๆ ครั้ง และแถมยังหลงเหลืออยู่ไม่กี่คน ในวันที่เราไม่กล้าจะสบตาใครได้อย่างจริงจังในขณะที่พูดคุยกัน!!! ในวันที่เราเสพติดการเปิดหน้าจอแต่กลับปิดใจ ไม่ยอมรับรู้ความรู้สึกของคนข้างกาย ของคนร่วมชายคา เรากลับถึงบ้านแต่เหมือนเรากำลังออกนอกบ้านด้วยการพูดคุยแบบไร้เสียงกับเพื่อนร่วมกลุ่มในแอพปริเคชั่นไลน์ ปล่อยคนในบ้านล่องลอยเหมือนอากาศธาตุ การพูดคุยต่อกันแทบไม่มี กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจตอบกลับรับคำชมจากทุกทิศทาง เวลาก็ผ่านไปจนดึกดื่นตื่นมายังรีบไขว่คว้าหาทางเปิดเพื่อรับคำทักทาย คนข้างกายเพียงเห็นยังหายใจอยู่ดูแล้วว่าโอเค..!!!
ดูเหมือนคนส่วนมากกำลังตกเป็นทาสสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา แทนที่เราจะเป็นนายเหนือสิ่งเหล่านั้นจากสิ่งที่เราแสดงออก คือ ข้อมูลชั้นยอดของเราจะถูกเก็บไปวิเคราะห์และขายต่อ ล่อให้เกิดความโลภและพยายามกระตุ้นต่อมความอยากได้ของเราในทุกเวลายามเปิดหน้าจอ ใช่หรือไม่ โลกของผู้คนวันนี้คือโลกที่เราสนใจเพียงตัวเรา แค่รูปลักษณ์และโปรโมทตัวเอง สร้างตัวตนจนคิดว่าเราคือดารานักแสดงนำ อุต๊ะ!!! สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ด้วยการสร้างกระแสโดยไม่สนใจถึงคำว่า คุณงามความดี จริยธรรม คุณธรรม เด็กวัยรุ่นยุคใหม่ไม่ใส่ใจใด ๆ ทั้งสิ้น คุณค่าทางเรือนร่างคือสินค้า หน้าขาว ๆ ใส ๆ เป็นใบรับประกันขายของ ในโลกที่เต็มไปด้วยความสวยแต่ไร้ความงามด้านอารมณ์ศัลยกรรมราคาถูก สารเคมีปรุงแต่งเปลี่ยนสีผิวสีหน้าและเปลี่ยนนิสัย ทัศคติให้กลายเป็นคนยึดติดกับวัตถุ เราตบแต่งเสริมเติมด้วยถ้อยคำที่เลิศท่ามกลางความโดดเดี่ยว เที่ยวหาเพื่อนคบแบบไร้ตัวตน อยู่คนเดียวไม่เป็นกำลังกลายเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ โลกที่ทุกคนกลายเป็นเพียงหุ่นยนต์ และดูเหมือนมีเครื่องมือที่จะนำพาให้เรารู้ทุกเรื่อง แต่เรากลับโง่งมลง

เงยหน้าขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์แล้วปิดมันลงบ้าง วันเวลานั้นแสนสั้นนัก ออกมาจากโลกที่ได้เห็นภาพหน้าสวย ๆ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง ที่ที่มีเพียงอักษรแทนคำพูด ที่ที่เราอยู่ร่วมกันแต่ขาดการมองหน้าสบตา อย่าให้ชีวิตของเราไหลไปตามกระแสนี้ จงชื่นชมความจริงใจไม่ใช่ดีใจแค่ยอดกดไลค์ ออกไปมองดูโลกกว้าง เราจะเห็นชีวิตผู้คนที่เป็นของจริง เห็นธรรมชาติที่งดงาม ได้สูดลมชมคลื่นรื่นเริงในสายน้ำ สิ่งเหล่านี้จะหลอมรวมให้เรามีความสุขที่แท้จริง มีวันเวลาได้พูดคุย ได้ปรึกษาหารือ ให้กำลังใจกัน ใครจะรู้ว่าวันนี้คนข้าง ๆ เรากำลังต้องการใครสักคน เพื่อพยุงให้เขายืนขึ้นเดินไปพร้อมกับเรา มาช่วยกันหลอมตัวตน หลอมจิตใจ จิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว และยึดโยงสายสัมพันธ์ของผู้คนด้วยความรักและมีเมตตา

จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำลังใจกัน จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตกับท่าน

วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ไม่มีผังก็พัง

ไม่มีผังก็พัง
ในขณะขับรถกลับเข้าเมืองหลวง บนถนนพระรามสอง ฝนเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่นานสภาพการจราจรจากที่คล่องตัว ก็กลายเป็นค่อย ๆ คืบคลาน และยิ่งช้าลง ๆ จนมาถึงจุดที่ความสงสัยทั้งหลายหายไป ว่าเกิดอะไรขึ้น??? น้ำท่วมนั่นเอง ท่วมถนนไปถึงสองเลนครึ่ง วิ่งได้จริง ๆ แค่ครึ่งเลน ไหนจะน้ำจากเบื้องบนเทลงมา ไหนจะน้ำจากเบื้องล่าง ที่ต้องขับไปคะเนไปว่าสูงแค่ไหน น้ำจะเข้าเครื่องทำให้รถกลายเป็นเรือหรือไม่!!! เป็นการขับรถที่ต้องมีสมาธิและสติอย่างสูงเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อเลยว่าถนนจะกลายเป็นลำคลองไปได้ ในระยะช่วงหลังๆมานี่ สังเกตว่าพอฝนตกลงมาทีไร ในหลายจุดของกรุงเทพฯและในตัวเมืองใหญ่ ๆ มีอันต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วม น้ำล้นน้ำนอง บนถนนหนทาง และยิ่งถ้าตกในเวลาเลิกงานพอดีไม่ต้องคิดเลย จากรถราที่เคยติดอยู่แล้วยิ่งติดหนึบหนับเข้าไปอีก ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เพราะฝนตกเยอะไป มากไปหรือ???



 ยิ่งเห็นภาพข่าวที่ขยะมากหน้าหลายชนิดไปปิดท่อ ปิดทางระบายน้ำ ก็เกิดคำถามขึ้นในใจว่า วินัยคนเราหายไปไหนหมด (ถามตัวเองด้วย) จากที่เราเคยได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กแต่เล็กให้รู้จักทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง ให้รู้จักที่จะช่วยกันเก็บขยะให้ลงถัง เอาเข้าจริงวัฒนธรรมเหล่านี้มันหดหายไป ใครที่ก้มลงเก็บขยะข้างทาง ใครที่พยายามเก็บกวาดในพื้นที่ที่ไม่ใช่ของตัวเอง มักจะกลายเป็นคนแปลกในสายตาสาธารณชนคนเมืองไปทันที ยิ่งเมื่อเราต้องอยู่ในสังคมที่รีบเร่ง รวบรัดเกินไปแบบนี้ ยิ่งทำให้เราเกิดความเห็นแก่ตัวและมักง่าย ไม่สนใจคนอื่น เราคิดแต่เพียงเราคนเดียว แต่ไม่เคยคิดถึงผลของการกระทำต่อสิ่งรอบข้าง เช่นนี้แล้ว ผลที่เกิดขึ้นก็ต้องกลับมากระทบต่อตัวเราด้วยวันยังค่ำ นี่แค่เรื่องการทิ้งขยะสิ่งไม่จำเป็น (ไม่จำเป็นเยอะมาก) แบบมักง่าย มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นสิ่งที่นำปัญหามาสู่เราในวันที่ฝนกระหน่ำ เราต้องกลับมาฟื้นวินัยเล็ก ๆ น้อย ๆ  ฟื้นบรรยากาศแห่งการรู้จักทิ้งสิ่งของที่เกินความจำเป็นจริง ๆ ให้เป็นที่เป็นทาง ไม่ใช่มัวแต่รอให้ใครคนใดคนหนึ่งมารับผิดชอบจากการกระทำของพวกเรา
 และจากข่าวที่ปรากฏ ก็พบว่าเริ่มมีพื้นที่น้ำท่วมระบายไม่ทันจากที่เดิม ๆ  แล้วน้ำท่วมยังเกิดขึ้นในที่ใหม่ ๆ หลายจุด ใช่หรือไม่ว่า นอกจากสาเหตุมาจากขยะอุดตันท่อน้ำที่มาจากความเห็นแก่ได้แล้ว ยังมีสาเหตุหลักที่นำมาซึ่งน้ำไม่มีทางไป ในวันที่น้องน้ำอยากมาแวะมาชมเมืองหลวงเลยต้องค้างคืน ค้างท่อ คือการจัดผังเมือง ที่เอาเรื่องผลประโยชน์ของตนเหนือกฎเกณฑ์ เรานับถือความเจริญกันที่มีตึกรามบ้านช่อง ไม่สนใจคูคลองหนองบึง เราอยากได้ที่ราบโดยถมที่ลุ่มเพื่อปลูกสร้างตึกอาคาร ทางน้ำจึงถูกปิด เราคิดกันว่าถนนจะนำความสะดวกสบายมาให้ก็ตัดทางโดยไม่ได้ศึกษาภูมิศาสตร์ทางน้ำให้ดีเสียก่อน เราหลงลืมว่าเมืองเราอยู่กับน้ำแต่ผังเมืองไม่มีเรื่องการรับน้ำและที่สำคัญดันไปรื้อถอนสิ่งที่คนรุ่นเก่าก่อนสร้างขึ้นมาด้วยภูมิปัญญา วันนี้เราไปเปลี่ยนจากระบบระบายน้ำในเมืองจากคลองธรรมชาติมาสู่ระบบท่อ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการระบายน้ำและยังมีปัญหาการอุดตัน (เพราะไม่มีใครมองเห็นขยะ) มีการสร้างถนนในลักษณะที่กีดขวางทิศทางการไหลของน้ำ ในสมัยก่อนการสร้างถนนจะสร้างขนานไปกับสายน้ำ ตรงไหนร่องแม่น้ำโค้งถนนก็จะโค้งตามกันไป และมีคูคลองควบคู่เพื่อการระบายในฤดูน้ำหลาก



ในวันที่เราสร้างเมืองกันด้วยผลประโยชน์ส่วนตนและความเจริญภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก กฎหมาย “ผังเมืองเฉพาะ Zoning Ordinance” เพิ่งจะเริ่มมีออกมาใช้แต่ก็ยังไม่ค่อยมีการกำหนดให้ชัด ไม่ต้องอะไรมาก แค่เรื่องระดับความสูงของที่ดินที่ถมสูงเกิดปัญหาต่างคนต่างถมที่ตัวเองให้สูง จนเกิดปัญหาน้ำไปท่วมที่อื่นที่ไม่ได้ถม ซึ่งจะทำให้เป็นปัญหาวัวพันหลัก เราก็เพียงแต่หวังว่า สักวันประเทศชาติของเราจะช่วยกันจัดสรรผังเมืองให้ดีขึ้น โดยที่ไม่ใช่ใครอยากทำอะไรก็ทำ ใครมีเงินทำอะไรก็ได้ที่อยากทำได้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เราสร้าง ๆ กันมาไม่นานก็พังเพราะไม่มีผังที่ชัดเจน
กับชีวิตเราก็เหมือนกัน หากเราไม่รู้จักวางผังฝังปลูกความงามลงไป เราก็มักพบเจอแต่เรื่องที่ไม่เข้าท่า และอาจจะพลาดท่าได้บ่อย ๆ ความทุกข์จะเข้าท่วมท้น ใช่หรือไม่ ในยุคที่เราต้องมี ต้องรวย ต้องสวย ต้องเด่นต้องดัง ปังในทุกเรื่อง ปันไม่ต้องก็ได้ หลายคนมีแผน ผัง ในการดำเนินชีวิต แต่เป็นผังที่แฝงฝังไปด้วยความอยากได้มากกว่าการอยากให้ มีบ้างบางคนวางผังเพื่อเป้าหมายสู่ความสำเร็จอย่างงดงาม แต่เมื่อถูกสิ่งแวดล้อม ถูกความยากลำบาก ถูกมรสุม พายุ เข้าใส่ ผังที่ทำไว้ก็พังคลืนลง บางคนมีผังแต่ก็ถูกกระแสค่านิยมสมัยใหม่ทำให้ผังนั้นพังลง เพราะความแข็งแกร่งทางด้านจิตวิญญาณอ่อนล้า พ่ายแพ้ให้กับกิเลส ก่อให้เกิดขยะสิ่งปฏิกูลหนาแน่นขัดขวางทางเจริญเติบโตของชีวิตฝ่ายจิต บางคนมีผังไว้เป็นผนังกีดกั้นผู้อื่นไม่ให้เข้ามาข้องเกี่ยว และไม่ก้าวออกจากผังเพื่อมีส่วนร่วมกับผู้คนรอบข้าง แม้ผังของชีวิตวางไว้อย่างดีแต่ถ้าไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ ก็ไร้ค่า การดำเนินชีวิตของเราวันนี้ไม่ง่ายและไม่ยากเกินไป เพียงแค่เราต้องรู้จักฟังเสียงภายใน เพื่อให้นำทางและเดินไปสู่หนทางแห่งความดี ตามผังที่พระจัดเตรียมไว้ให้เราแต่ละคน
และ... ถ้าเราแต่ละคนรู้จักที่จะจัดวางทางเดินชีวิตตามวิถีแห่งความดี ด้วยการลดละความเห็นแก่ได้แก่ตัวลงไปบ้าง ลดความริษยาอาฆาตแค้นเคืองกันบ้าง มีเมตตาเสมอ อย่าให้ขยะแห่งทุกข์ต้องมาปิดท่อธารแห่งการให้อภัย และรู้จักที่จะทำหน้าที่ภารกิจในหนทางประจำวันอย่างดี อย่างมีความรับผิดชอบ เราก็จะพบเจอความสุขสันติ ในความแตกต่าง หากรู้จักจัดวางย่อมเกิดความงาม ฉันใดก็ฉันนั้น ทุกผู้คนมีความต่าง และมีความงามในนามตัวตนอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่รวมกันยิ่งก่อเกิดความงามยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก และจะกลายเป็นความเข้มแข็งที่ยืนหยัดต่อสู้กับมรสุมร้ายได้อย่างปลอดภัยไปด้วยกัน แม้ร่างกายเป็นร่างกายเดียว แต่ก็มีอวัยวะหลายส่วน