วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ก็แค่เริ่มใหม่

 

ก็แค่เริ่มใหม่

>>> บางความสำเร็จก็ได้มาจากการยอมรับ และบางความสุขก็ได้มาจากการยอมรับเช่นกัน <<<

เป็นความบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ในวันที่กลับเยี่ยมบ้านเกิด ในห้องรับแขกมีแมลงปอพัดหลงเข้ามา พยายามไล่ให้ออกไปข้างนอกอยู่นาน ก็ไม่สามารถหาทางบินออกได้ ทั้ง ๆ ที่เปิดประตูบานใหญ่ไว้ให้ จนหมดแรงเลยจับออกไปปล่อย พอกลับมาที่บ้านพักพบเจอเหตุการณ์เหมือนกันต่างกันตรงที่นี่เป็นผีเสื้อ และใช้เวลาอยู่ 2 วัน กว่าจะจับตัว แล้วปล่อยให้บินสู่โลกกว้าง ถือว่าเป็นการส่งเสริมให้เริ่มต้นใหม่ของชีวิตน้อย  


คิด ๆ ดู ในปีใหม่เช่นนี้ เรามักคิดจะเริ่มนั่นเริ่มนี่ใหม่ ๆ เป็นประจำ เป็นข้อตั้งใจ จะทำได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ก็สุดแต่ละคน แต่อย่างน้อย ก็ขอให้วันนี้ เราได้ใช้ชีวิตดีที่สุดก็แล้วกัน เพราะวันกำลังจะผ่านไป และย้อนกลับไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะมีแย่บ้างหรือดีบ้าง มีความสุขบ้าง หรือยิ้มไม่ออกบ้าง ไม่เป็นไร ถ้าวันนี้แย่ พรุ่งนี้ก็แค่เริ่มใหม่  ถ้ายิ้มไม่ออก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ยิ้มได้

คนเรานั้นเมื่อมีความสุข ไม่ช้าก็เร็วความสำเร็จก็ตามมา ความสุขเป็นสิ่งนำทางความสำเร็จเสมอ ชีวิตของเรานั้นสำคัญที่สุด อาจจะพบเจอกับความผิดหวังบ้างในบางจังหวะ อาจจะหาที่ออกไม่ได้ในบางเวลา ก็จงอย่ามองว่าชีวิตเรานั้นไร้ค่า หยุดบ่นว่า ทำไมชีวิตเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีเราต้องขอบคุณความอ่อนแอ เพราะนั่นคือก้าวแรกของความเข้มแข็ง ขอบคุณความผิดพลาด เพราะมันจะทำให้เรารู้ทางออกของปัญหา ในตัวของเราเองมีสิ่งที่มีค่า นั่นคือหัวใจแห่งความดีงาม หัวใจที่พร้อมจะลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ พระเจ้าประทานสิ่งนี้มาให้เราทุกคน เราสัมผัสได้ และพยายามรักษาใจ อย่าไปกักขังตัวเอง ปลดปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เมื่อล้มก็ลุกใหม่ เก็บสิ่งที่ควรจดจำ อย่าไปจดจำแต่ชีวิตของผู้อื่นบนโลกออนไลน์ โลกเสมือนจริง เพื่อกลับมาสู่ความเป็นธรรมดาสามัญ และใช้ชีวิตให้เป็นปกติสุข  ในแบบของเรา กลับสู่ความจริงความสงบทางใจและความชัดเจนแห่งจิตวิญญาณ สวัสดีปีใหม่ครับ..

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565

วันนี้คือของขวัญ

 

วันนี้คือของขวัญ

>>> ในทุก ๆ วัน แม้มีสิ่งอื่นมากมาย แต่อย่าลืมทำอะไรบางอย่างเพื่อคนอื่นดูบ้าง <<<

แสงแรกของวันผ่านทะลุหน้าต่างบ้าน ในขณะนั่งดื่มกาแฟ ช่างอบอุ่นเสียนี่กระไร!!! ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับแสงของวันใหม่ที่งดงามเป็นของขวัญยามเช้า ที่มีมาทุกวันจนเราชินชา เหมือนกับชีวิตเราผ่านวันเวลาทุกวัน ปีแล้วปีเล่า สิ่งรอบกาย คือ ความเก่า จนหลงลืมที่จะมองที่จะเห็นคุณค่า หรือ บางครั้งเราก็มักจะรอจังหวะเวลา เพื่อทำสิ่งดี ๆ ให้กับคนรอบข้าง จนบางทีเขาเหล่านั้น อาจจะหายจากเราไปก่อนแล้ว


ทุกคนบนโลกใบนี้ ล้วนมีเวลาจำกัดครอบครัว คนรัก เราไม่มีทางรู้ได้ว่าเขาจะอยู่กับเราไปนานแค่ไหน เวลาเป็นสิ่งที่เดินหน้าไม่ย้อนกลับ เวลาเดินต่อเนื่องไม่มีวันจบ อดีต คือ เรื่องที่ผ่าน แล้วผ่านไป อนาคต คือ เรื่องที่ยังมาไม่ถึง คาดการณ์ไม่ได้ แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องของวันนี้ เป็นเรื่องจริงตรงหน้า ทุกอย่างใน “ชีวิต” จึงมีที่มาที่ไป บางเรื่องเป็น “ความสุข” บางเรื่องเป็น “บทเรียน” ไม่ว่าเรื่องอะไร เรียนรู้ ปล่อยวาง ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับชีวิต คือ การได้เห็นตัวเราเอง “มีความสุข” สุขใจก็ผ่านไปหนึ่งวัน

ทองพูดกับดินว่า “เธอนี่ดูไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย ดูฉันสิ สว่างไสว ใคร ๆ ก็ต้องการ  เธอมีค่าเท่าฉันไหม?” ดินส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “แต่ฉันให้กำเนิดดอกไม้ ให้กำเนิดผลไม้  ให้กำเนิดหญ้า ให้กำเนิดต้นไม้ ให้กำเนิดสรรพสิ่ง  เธอทำอย่างฉันได้ไหม?

ความหมายของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่มีค่าแค่ไหน?  แต่อยู่ที่สร้างคุณค่าให้ก่อเกิดได้มากแค่ไหน? เราทุกคนที่กำเนิดมาอยู่ในโลกนี้ เป็นเสมือนแสงทองที่ส่องประกายยามเช้า มักจะนำความสุขมาให้กับคนรอบข้างในวันที่เราเกิดมา พยายามทำทุกวันให้เป็นเช่นนั้น ให้คุณค่าตามแบบของเรา นี่คือของขวัญสำคัญสุดในวันนี้.... Merry Christmas….

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เมื่อว่างจึงกว้าง

 

เมื่อว่างจึงกว้าง

>>> อย่าคิดว่าตัวเองดี จนไม่มีที่ว่างให้สำนึก <<<

มีเวลากลับมาเยี่ยมบ้านริมน้ำ เมื่อเดือนที่แล้วน้ำเต็มล้นจนลุ้นกันทุกนาทีว่าจะท่วมบ้านหรือไม่ มาวันนี้มวลน้ำก้อนใหญ่นั้นหายไป กลับมองเห็นความกว้างของท้องน้ำ เห็นคนหาปลามีช่วงเวลาหากิน ความเกื้อกูลกันระหว่างคนกับธรรมชาติกลับคืนมา มิได้ขัดแย้งรุนแรงเหมือนเดือนที่ผ่านมาในฤดูน้ำหลาก ความขัดแย้งของผู้คนวันนี้ก็น่าจะมีเวลาที่กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติบ้าง หากเราต่างมีที่ว่างในใจเพียงพอ

ความขัดแย้งในกลุ่มชนของผู้คนวันนี้ ต่างก็มาจากไม่ได้รับผลประโยชน์ หรือ สูญเสียผลประโยชน์ของตน จึงเรียกร้องทุรนทุรายหมายจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เราต่างไม่มีที่ว่างมากพอเพื่อจะทำเพื่อผู้อื่น เพราะเรายึดโยงพื้นที่ของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น ใครจะมากระทบกระทั่งเป็นอันต้องกระเทือน เอาเป็นเอาตายกันไปข้าง สังคมที่เต็มไปด้วยคนแบบนี้จะเกิดสันติได้เช่นไร เราต่างไม่มีที่ว่างให้แก่กัน เพราะเราต่างจับจ้องจองเวรจองกรรมกันมากเกินไป ไม่ปล่อยผ่านไม่มองข้าม ไม่เห็นพระเจ้าในตัวผู้อื่น มั่วแต่คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเสียเอง ความวังเวงในหัวใจจึงเกิดขึ้น เอาความแค้นเคือง เป็นเรื่องนำพาชีวิต หมายมั่นแก้แค้นในวันที่มีอำนาจ จะเอาคืนให้สาสม จมอยู่ในความอาฆาตมาดร้าย ไม่มีพื้นว่างให้ความดีงอกงาม ไม่มีที่ทางให้ความเมตตาเบ่งบาน ไม่ให้เวลากับการอภัยได้ผลิดอกออกรวง ชีวิตเรามุ่งอยู่ที่คนมากกว่าอยู่ที่พระ จึงไร้ที่ว่าง

ชายคนหนึ่งลากจูงเรือสองลำเพื่อข้ามแม่น้ำ ปรากฏว่ามีเรือว่างเปล่าลำหนึ่งลอยมาปะทะชนกับเรือของเขา แม้ชายผู้นั้นจ


ะมีอารมณ์ร้อนเพียงใด เขาย่อมไม่โกรธ แต่หากมีคนนั่งอยู่ในเรือที่แล่นมาชน เขาก็ตะโกนให้เบี่ยงหลบ หากอีกฝ่ายไม่สนใจไยดี เขาก็ร้องตะโกนอีกครั้ง และหากอีกฝ่ายยังนิ่งเฉย เขาก็ลุกขึ้นร้องด่าผรุสวาท ในกรณีแรก เขาไม่มีความโกรธแต่อย่างใด แต่ในกรณีหลังกลับมีความโกรธ เนื่องจากในกรณีแรกนั้นเขาพบกับความว่างเปล่า ทว่าในกรณีหลังเขาพบคนอยู่ในเรือ หากคนบรรลุถึงความว่างเปล่า และท่องไปในโลกกว้าง ผู้ใดจะสามารถทำร้ายเขาได้
? (แปลเรียบเรียงตัดตอนจากหนังสือจวงจื่อ)

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ท่าทีของเรา

 

ท่าทีของเรา

>>> ท่าทีที่โลกนี้มีต่อของเรานั้น จะถูกกำหนดโดยท่าทีของเราต่อโลก <<<

แสงยามเช้าส่องสะท้อนผื่นน้ำ ผ่านทะลุใบไม้ต้นใหญ่ สร้างความอบอุ่นยามเช้า ปลุกให้สรรพสิ่งในโลกตื่นฟื้นจากหลับไหล นั่งมองความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติด้วยความนิ่งเงียบ ชีวิตหนึ่งสัปดาห์กับการหลุดพ้นจากสภาพเมืองหลวง แม้จะมีเรื่องราวให้กังวลใจ แต่กลับมีความยินดีเข้ามาเป็นระยะ ๆ ระหว่างการรอคอย และแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามวาระของการจัดสรร ทุกการรอคอยมักมีความหวัง ทุกความหวังมักมีความยินดีอยู่เสมอไม่มากก็น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอยู่ที่ท่าที และทัศนคติที่เรามีต่อสิ่งรอบข้าง


วันหนึ่ง เค็นเนธ อี เบห์ริง เศรษฐีใจบุญ เดินผ่านเขตอ่าวซานฟรานซิสโก พบว่ากระเป๋าเงินหาย ผู้ช่วยรีบบอกว่า “เป็นไปได้ว่าทำหล่นไปตอนเช้า ขณะเดินผ่านย่านสลัมเบิร์กลีย์ ทำไงดี?” เบห์ริง พูดอย่างจนปัญญาว่า “ก็ต้องคอยให้คนที่เก็บไปติดต่อเรามา”

หลังจากนั้นสองชั่วโมง ผู้ช่วยพูดอย่างหมดหวังว่า  “ช่างเถอะ อย่าคอยเลย ที่จริงเราไม่ควรหวังอะไรกับคนสลัมอยู่แล้ว” “ไม่ ผมคิดว่า คอยอีกหน่อย” เบห์ริง กล่าวเรียบ ๆ ผู้ช่วยไม่เข้าใจ “ในกระเป๋ามีนามบัตร ถ้าคนที่เก็บได้คิดส่งคืน โทรศัพท์ใช้เวลาไม่กี่นาที เราคอยมาทั้งบ่าย เห็นได้ว่าพวกเขาไม่คิดจะคืน”

เบห์ริง ยืนยันที่จะคอยต่อไป จนกระทั่งฟ้าใกล้มืด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาจากคนที่เก็บกระเป๋าเงินได้ บอกให้พวกเขาไปเอาคืนที่ถนนคาตา ผู้ช่วยบ่นงึมงำ “มันจะเป็นกับดักไหม? บางทีพวกเขาคิดจะรีดไถ? เบห์ริง ไม่สนใจ ให้ขับรถไปที่นั่นทันที

ไปถึงที่นัดหมาย เด็กชายแต่งกายซอมซ่อเดินมาหา ในมือพ่อหนู คือ กระเป๋าของเบห์ริง ผู้ช่วยรับกระเป๋าคืน นับเงินในนั้น ไม่ขาดแม้สักเซนต์ “ผมมีเรื่องขอร้อง” พ่อหนูพูดอย่างลังเล  “พวกคุณให้เงินผมหน่อยได้ไหม?” ตอนนี้ ผู้ช่วยหัวเราะร่วน “ผมว่าแล้ว ...”  เบห์ริงขัดคำพูดเขา ยิ้มถามเด็กชายว่าจะเอาเท่าไร ขอแค่ดอลลาร์เดียว” เด็กชายพูดเขิน ๆ  “ผมเดินตั้งนานจึงพบที่ที่มีโทรศัพท์สาธารณะ แต่ผมไม่มีเงิน จึงต้องไปขอยืมเงินคนอื่นมาหนึ่งดอลลาร์เพื่อโทรศัพท์ ตอนนี้ผมต้องเอาเงินไปคืน” มองดวงตาใสของพ่อหนู ผู้ช่วยก้มหน้าลงอย่างละอาย เบห์ริงกอดพ่อหนูอย่างตื้นตันใจ

จากนั้น เบห์ริงเปลี่ยนแผนการงานการกุศลทันที เขาสร้างโรงเรียนหลายแห่งรับเฉพาะเด็กยากจนในย่านสลัม ในพิธีเปิดเรียน เบห์ริงกล่าวว่า อย่าได้ตัดสินคนตามอำเภอใจ เราต้องการเปิดพื้นที่และโอกาส ต้อนรับดวงใจใสซื่อและเมตตา ดวงใจเช่นนี้เอง ที่มีค่าพอจะให้เราลงทุน” ดังนั้น หากในใจคุณมีความดีงาม โลกก็จะดีต่อคุณ   (เขียนโดย จางจวินเอี้ยน  Cr. Ruangsak)

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เก้าอี้ตัวนี้

 

เก้าอี้ตัวนี้

>>> บางทีเมื่อเวลาหนึ่งมาถึง ทุกสิ่งก็ไม่มีค่าพอ ถ้าวันนั้นไม่มีใครเคียงข้าง <<<

บนเก้าอี้รถเข็นที่ว่างเปล่าตั้งอยู่หน้าบ้าน ไม่มีคนนั่ง มันเป็นเก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ซึ่งใคร ๆ  ก็ไม่ปรารถนาจะใช้นั่ง ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า วิถีชีวิตของผู้คนหลากหลายบนโลกใบนี้ ที่มักมีความหวัง ที่มักจะช่วงชิงกันเพื่อเก้าอี้ อันแสดงถึงตำแหน่งแห่งหน ถึงบารมีคน ต่างก็หวังว่าวันหนึ่งเก้าอี้ตัวนั้น ในตำแหน่งแบบนี้ต้องเป็นของข้าฯ หัวใจมันพร่ำเพรียกเรียกหา ไขว่คว้า ก่อให้เกิดความโลภ ความทนงก็เข้าครอบงำ นำไปซึ่งการแข่งขัน นำไปซึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เราต่างก็เหมือนเด็ก ๆ ที่กำลังแย่งชิงในเกมส์เก้าอี้ดนตรี กระแทก เบียด บัง ยัน ถีบ ใส่กำลังกันเต็มเหนี่ยว ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันใด เพื่อเข้าเป็นผู้ครบครอง เพื่อได้ชัยชนะ ความสำเร็จ และถ้าวันหนึ่ง เปลี่ยนเป็นเก้าอี้รถเข็นแบบนี้จะมีใครมารุมแย่งกันหรือเปล่า ???


สักวันหนึ่ง...ใครจะไปรู้ว่า เก้าอี้รถเข็นแบบนี้ คือ ตำแหน่งประจำของเราเมื่อวันเวลานั้นมาถึง ใช่หรือไม่ วันนี้เราอาจจะดิ้นรนเพื่อเก้าอี้สูงส่ง เพื่อให้ดูสูงสง่า เพื่อให้คนนับหน้าถือตา แต่ไร้ซึ่งความดีงาม ชีวิตก็ไร้ค่า ไร้ความหมาย บางทีการได้รับคำสรรเสริญ ความชื่นชมยินดีของผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจ ย่อมมาจากความดีงามที่เรากระทำ เป็นความเมตตาที่เราเผื่อแผ่ออกไป บางครั้งเก้าอี้ที่นั่งในใจผู้คนดูจะมั่นคงสง่างามกว่าที่นั่งบัลลังก์กลางฝูงชนที่สาปส่งเป็นไหน ๆ แล้วเราจะเลือกนั่งแบบไหนกัน ถึงแม้กระแสสังคมมักจะสอนสั่ง ปลูกฝังให้เราต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เพื่อมีตัวตน ต้องเป็นที่รู้จัก ต้องไม่ตกกระแส ดูดีเด่นดังบนเก้าอี้จอมปลอม หากวันหนึ่งเราต้องนั่งบนเก้าอี้รถเข็นตัวนั้น จะเหลือใครช่วยเข็น ช่วยประคอง ช่วยดูแลบ้างหรือเปล่า!!! อย่ากลายเป็นคนเดียวดายภายใต้ชื่อเสียงที่มีวันสูญหายไปตามกาลเวลาเลย

เก้าอี้ตัวนี้แม้ไม่มีใครต้องการ แต่มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็นในวันที่สังขารไม่พร้อม แต่หากหัวใจพร้อม และไว้ใจในพระเจ้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะน่ากลัว… เชื่อเถอะ

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ตำหนิตน

 

ตำหนิตน

>>> รอยตำหนิเล็กน้อยช่วยให้มนุษย์สมเป็นมนุษย์ <<<

ในความก้าวหน้าของโลก ที่ก้าวไปจนทำให้วันเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เป็นโลกที่เราไม่ค่อยมีเวลาจะหยุดคิด หยุดไตร่ตรองเตือนตน เพราะมัวแต่ไปสนใจในเรื่องของคนอื่น หรือไม่ก็พยายามสร้างตัวตนในโลกเสมือนจริง ใช่หรือไม่ สังคมวันนี้กลายเป็นสังคมวิจารณ์ไว้ก่อน สาดใส่ด้วยความหยาบคาย เย้ยหยันกันด้วยอักษรสารที่เต็มไปด้วยความสะใจ ก้าวร้าว ระราน เหยียบเหยียดแม้คนที่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ตำหนิได้ทุกเรื่อง รู้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องของตนที่ทำอะไรก็ดูดีดูเข้าท่าไปหมด แต่วันหนึ่งกลายเป็นเหยื่อบ้างก็ไม่สามารถที่จะรับมือยืนหยัดได้ 


ในวันที่เราเรียกร้องความสมบูรณ์จากผู้อื่น นั่นแหละเราก็หลงลืมความเป็นคน หน้าที่หนึ่งในการเกิดมาบนโลกนี้คือการพัฒนาตน หาใช่การหาทางไปก้าวล้ำคนอื่น บางทีการที่มีสิ่งไม่สมบูรณ์บนโลกใบนี้ก็เพื่อให้เราเตือนตนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ถ้าเราไม่พยายามทำให้สมบูรณ์ ไม่มีอะไรดีอะไรงดงาม หากไร้ซึ่งการพยายาม และการเรียนรู้ เฉกเช่น

เมื่อชาวอิหร่านทอพรมเปอร์เซียผืนงามเสร็จพวกเขาจะทำตำหนิทิ้งไว้บนพรม เรียกว่า “ตำหนิแห่งเปอร์เซีย (Persian Flaw)” ส่วนชาวอินเดียนแดงตอนร้อยสร้อยลูกปัด ก็จะร้อยลูกปัดเม็ดหนึ่งที่มีตำหนิเข้าไปด้วย เรียกว่า “ลูกปัดแห่งจิตวิญญาณ (Spirit Bead)” เพราะพวกเขาคิดว่า ความไม่สมบูรณ์แบบเล็ก ๆ น้อย ๆจะช่วยให้เป็นที่รักของผู้คน มากกว่าความสมบูรณ์พร้อมที่ไร้ที่ติ

คนเราก็เหมือนกัน คนที่มีจุดบกพร่องนิดหน่อยบางทีดูมีเสน่ห์กว่าคนสมบูรณ์แบบเกินเหตุ บางสิ่งเกิดขึ้นเพื่อให้อีกสิ่งหนึ่งงดงาม เหตุใดเราจึงดำเนินชีวิตด้วยการต่อว่า การสาดใส่กันด้วยความไม่รู้ตัว หยุดตำหนิผู้อื่น ให้ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และเอาความไม่สมบูรณ์ที่เราเห็นนั้นมาเตือนตน เฝ้าระวังจิตวิญญาณของเรา เพื่อสักวันหนึ่งเราจะพบความงามตามวันเวลา ดีกว่าปล่อยให้จิตใจเต็มไปด้วยความหยาบคายตามสังคมทุกวันนี้เลย หยุดระรานออนไลน์เพื่อเรียกยอดร้อยล้านไลค์กันเถอะครับ

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

หลากหลายลายเส้น

 

หลากหลายลายเส้น

>>>วันหนึ่งเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบ

และความหลากหลายของความเป็นคนหนึ่ง<<<

ฝนตกมาหลายวันรับฤดูหนาว ทิ้งท้ายฤดูฝน ทำให้บรรยากาศขมุกขมัวมาหลายวัน ในสายวันหนึ่ง ในขณะเดินมาที่ระเบียงหลังบ้าน เป็นจังหวะที่แสงส่องกระทบใบไม้อย่างพอดิบพอดี จนอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดชื่นชมความงามในความหลากหลาย ทำให้เห็นลายเส้นบนใบไม้ ที่มิใช่เหมือนกัน แม้จะเป็นต้นเดียวกัน แน่นอน...ในต่างสายพันธุ์ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่เราก็เรียกว่า “ใบไม้” เหมือน ๆ กัน หลายครั้งหลายคราว มักจะไปตัด เด็ดดึง ลิดถอน กิ่งก้านที่ยื่นยาวออกมาเกะกะ ยิ่งในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูแบบนี้เห็นแล้วก็รกหูรกตา แต่มาวันนี้เรากลับเห็นความงามของสิ่งนั้น เห็นความร่มรื่นในสิ่งที่เคยรำคาญ และเห็นความงามในนามของความหลากหลาย

ใช่หรือไม่ จริงหรือเปล่า??? ในเส้นทางชีวิตเราที่เรียกว่า “คน” นี้ มีความหลากหลายมากมาย เราจะทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างใจเราอยากให้เป็นนั้นยากยิ่ง จะทำ จะลิดรอนถอนนิสัยใจคอคนนั้นคนนี้ย่อมทำมิได้ บ่อยไปที่เราดูคนที่ผ่านพบผิดไป อย่าดูคนเพียงแค่เปลือกนอก คนที่ชอบไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรม นั่งนินทาคนอื่นทั้งวันก็มี คนที่รับบริจาค ไม่เสมอไปว่าเป็นคนจน คนที่เออออห่อหมก ไม่เสมอไปว่าจะเป็นมิตรแท้ คนที่สวมใส่เสื้อผ้า ไม่เสมอไปว่าจะเป็นมนุษย์ เปลือกนอกที่ห่อหุ้ม ก็แค่สิ่งปิดบังความจริง ยิ่งมีเปลือก มีลายเส้นทางชีวิตให้แต่ละคนเลือกที่จะเป็นเลือกที่จะเดินด้วยแล้ว เราก็มิจำเป็นต้องไปกำหนด วาดหวังที่จะเห็นลายเส้นคนอื่นในสายตาเรา

ทำชีวิตลิขิตลายเส้นทางของเราให้เป็นไปตามครรลองของความดีงาม ตามหาความร่มรื่นชื่นชมยินดีในความสุขของกาลเวลาที่พัดผ่านไปอย่างพอเหมาะพอควร อยู่กับความหลากหลายให้เป็น อย่าใช้ชีวิตอยู่กับความยากเย็น แต่ทำให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็น เพียงแค่ปกครองอาณาจักรใจตนเองให้เป็น เราก็จะกลายเป็นกษัตริย์แห่งตน เป็นคนที่งดงามคนหนึ่งในความหลากหลายของผู้คนบนโลกนี้แล้ว

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

อย่าให้ธรรมดาสูญหาย

 

อย่าให้ธรรมดาสูญหาย

>>> “ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ของชีวิต คือ

การเดินอยู่บนผืนดิน และมีความสุขในทุกย่างก้าว”  ติช นัท ฮันท์ <<<

มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า โลกมันหมุนเร็วขึ้นทุกวัน เพราะการเปลี่ยนแปลงเมื่อก่อน โลกเปลี่ยนทุก 10 ปี ตอนนี้ โลกเปลี่ยนทุก 2 ปี ข้อมูล ความรู้ใหม่ๆ ทุกสาขาวิชาชีพเกิดใหม่ทุก 2 อาทิตย์ แอพพลิเคชั่น ออกมาวันละล้านแอป ในช่วงชีวิต 20 ปีที่ผ่านมาเราเห็นวิวัฒนาการ มากมายในโลก กรอบความคิดเก่าเมื่อ 20 ปีก่อน แทบจะทำอะไรกับโลกยุคใหม่ไม่ได้เลย !! ก๋วยเตี๋ยวเมื่อก่อน 10 บาท ทองคำ 6000 บาท ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยว 50 บาท ทองคำ 3 หมื่น เงินฝาก จากดอกร้อยละ 16 คนเลยขยันฝากเงินเก็บดอกกิน ตอนนี้ฝากแบงก์ ตามเงินเฟ้อไม่ทัน อาชีพหลาย ๆ อาชีพตกงาน นับไม่ถ้วน พนักงานแบงก์ ถูกแทนที่ด้วย internet banking ธนาคารต่างทยอยปิดสาขา บริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกทยอยปลดคนงานวันละหลายร้อยคน เราจะอยู่ตรงไหน ถ้าไม่ปรับตัว ในโลกยุคนี้ !?  อ่านแล้วก็น่ากลัว ทว่า ในมุมหนึ่งก็ต้องนำมาคิดว่า เรามัวแต่วิ่งตามโลก เราก็เหนื่อย เราต้องไปกับโลกในความธรรมดาของเรานี่แหละ ชีวิตคนเราปรับตัวได้เสมอ


ใช่หรือไม่ ชีวิตของเรามีแต่เรื่อง “ธรรมดา”  ตื่นมา อาบน้ำ แปรงฟัน ออกไปทำงาน กินอาหารเดิม ๆ เพิ่มเติมพิเศษบ้างในบางมื้อ เที่ยว ตอนเย็นกลับบ้านพบหน้าคนข้างกาย ส่วนใหญ่แล้วเราก็เป็นคนธรรมดา ๆ มีชีวิต ธรรมดา ๆ กันทั้งนั้น ในบางครั้งเราก็หลงลืมความงามในนามของความธรรมดาไป ดิ้นรน แสวงหา ตามเทคโนโลยี กลับบ้านมาก็เหนื่อย ไม่มองหน้ามองตากัน จ้องแต่จอใครจอมัน เราจะโหยหาความธรรมดานี้ ก็ในวันที่เราต้องสูญเสียมันไป วันที่เราเจ็บป่วย เราก็อยากจะพบหน้าคนในบ้านมากกว่าคนไกลทางอากาศ วันที่เราผิดหวัง พลาดพลั้ง พลังใจจากคนใกล้กายย่อมมีค่ามากกว่าคอมเมนท์ทางโซเชี่ยลมากนัก ...สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ ใช้ชีวิตกับคนรอบตัวเรา ให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดา แท้จริงแล้ว คือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว รักษาไว้อย่าปล่อยให้มลายหายไปกับวันเวลา....

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เวลาแห่งความรื่นรมย์

 

เวลาแห่งความรื่นรมย์

>>> เมื่อไม่ยึดติด ใจก็กว้างขึ้นมา ความเบิกบานอยู่ตรงนั้น <<<

สายฝนจากลา สายลมเย็น ๆ พัดโชยยามเช้า ยามบ่ายก็ร้อนดังเดิม กลางคืนกลางวันสลับเปลี่ยนรวดเร็ว เพราะความที่เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ  แล้วทำให้มันเป็นความรื่นรมย์ ข่มความทุกข์ให้มอดมลายลง  เมื่อต้นเดือนตุลาคมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าแม่อาการไม่ดี วีดีโอคอลมาให้เห็นหน้าแม่ที่ตาลอย จึงร่วมกันตัดสินใจว่า ต้องส่งแม่ให้ถึงมือหมอโดยเร็ว แม้จะมีอุปสรรคเรื่องน้ำท่วมถนนหนทาง เมื่อเดินทางไปถึงโรงพยาบาลไม่ช้าอาการแม่ก็ดีขึ้น เมื่อลืมตาเห็นลูก ๆ ก็ดีใจ แม้จะจำได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง จากวันนั้นมาวันนี้แม่มีอาการปกติสุข กลับมามีอาการร่าเริงแจ่มใส ชอบคุยทั้งที่คุยเรื่องนี้ลืมเรื่องนั้น วนไปเวียนมา เราพี่น้องผู้อยู่ห่างไกลจึงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการพูดคุยกับแม่ ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความรื่นรมย์ ใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งคุยกับแม่เรายิ่งเห็นความงามในบางด้าน มีความสบายใจ 


ใช่หรือไม่ ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไป เราใยจะต้องเก็บเอาเรื่องราวกวนใจมาใส่ตัว  เพราะเรามีหู ก็ต้องได้ยินทั้งคำดี คำร้าย เพราะเรามีตา ก็ต้องได้เห็นทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย เพราะเรามีปากบางครั้งพ่นคำหยาบคำงามออกมา อย่าเก็บทุกเรื่องที่พบเห็นใส่ไปให้รกใจเปล่า ๆ เรื่องดี ๆ สวยงาม ก็เก็บไว้เสริมสร้างจิตวิญญาณ เรื่องร้าย ๆ ก็ปล่อยผ่าน โยนลงถังขยะไป ใครจะดี จะร้าย แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่รับรู้ก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ เรื่องบางเรื่องแค่มองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปข้องเกี่ยวให้ทุกข์ใจ เหตุการณ์บางอย่างก็ไกลเกินกำลัง ไม่ต้องโชว์พลัง โชว์เก่งเกินตัว เก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์

หากพยายามใช้ชีวิตเช่นนี้แล้ว ย่อมมีความสุข ชีวิตจึงรื่นรมย์ด้วยเสียงหัวเราะ  ฝึกฝนตนให้เป็นผู้สร้างเสียงหัวเราะ สร้างรอยยิ้ม เราจะได้มีความสมานฉันท์กับผู้คนรอบข้าง ใครด่าใครว่าอย่าใส่ใจ เราจึงสามารถทำสิ่งดีงามต่าง ๆ ได้ แม่สอนให้เราร่าเริง แม่สอนให้ใส่ใจ แต่อย่าปลักใจ สอนให้มองตนไม่ใช่มองคน มีความขัดแย้งไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้พรุ่งนี้จะมีสายลม แสงแดด หรือฝนฟ้า ให้ชื่นชมอยู่หรือเปล่า …

(ขออภัยที่ครั้งนี้นำเรื่องส่วนตัวมาขีดเขียน)

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สำรวจความสำเร็จ

 

สำรวจความสำเร็จ

>>> มีเงินทองกองตรงหน้ามากมาย แต่ทว่ายังหาความสุขในชีวิตไม่ได้ มีประโยชน์อันใด<<<

อีก 2 เดือนก็สิ้นปีแล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป ปีนี้เราผ่านอะไรต่อมิอะไรมาไม่น้อย หลายคนเจอวิกฤต เราคนเห็นโอกาส มากคนพบเจอทุกข์มีไม่น้อยเห็นสัจธรรม ชีวิตมีสุขเบิกบานตามกาลเวลา เราอาจจะพบเจอกับคำถามทั้งจากตัวเองและคนรอบข้างว่า ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง? พอมาสำรวจดูก็มักพบว่า ตามมาตรฐานโลกแห่งทุนนิยมครองเมือง มักเน้นที่เรามีเงิน มีรายได้มาก ๆ นั่นคือ ความสำเร็จ หากในความเป็นจริงที่พบมา ความสำเร็จอยู่ที่ความสุขในหนทางชีวิตมากกว่า มิต้องมีตำแหน่ง หรือการมีมากมีน้อย เพียงแค่ได้ทำได้มี ในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตัวเองถนัด รักในสิ่งนั้น มีความสุขก็เพียงพอ


ชายคนหนึ่งชีวิตประสบความล้มเหลวตั้งแต่เล็กจนโตความล้มเหลวติดสอยห้อยตามเขาตลอดเวลา  เขารู้สึกว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม  ดังนั้น  เขาตัดสินใจไปหาพระเจ้า  ถามพระเจ้าว่าความสำเร็จคืออะไร เขาเดินข้ามขุนเขามาถึงริมแม่น้ำ
  เห็นชายประมงคนหนึ่งจึงเดินไปถามว่า  “ท่านผู้อาวุโส  ความสำเร็จคืออะไรหรือครับ” ชายประมงตอบเขาว่า  “ความสำเร็จก็คือตกปลาได้ทุกวัน”

ชายหนุ่มเดินทางต่อไป  เขาข้ามแม่น้ำมายังป่าแห่งหนึ่ง  พบนายพรานที่กำลังเดินทางไปล่าสัตว์จึงถามว่า  “ความสำเร็จคืออะไร”  นายพรานตอบว่า  “ความสำเร็จคือล่าสัตว์ได้ทุกวัน”

เขาฟังแล้วยังคงเดินทางต่อไป  เดินผ่านป่าเขามาถึงทะเลทราย  ที่สุดขอบทะเลทราย ณ ที่นั้นเขาพบพระเจ้าแล้วถามว่า  “ความสำเร็จคืออะไร” พระเจ้าตอบด้วยความเมตตาว่า  “ความสำเร็จก็คือการใช้ชีวิต  ความสำเร็จคือประสบการณ์  ความสำเร็จคือเหงื่อไคล  หนุ่มน้อย  จงอย่ายึดติดในความสำเร็จ  แต่ควรจะรู้จักเสพสุขในกระบวนการของความสำเร็จ”

ชายหนุ่มฟังแล้วเข้าใจในบัดดล  จึงกราบลาพระเจ้าเดินทางกลับเริ่มเขียนหนังสือ...

มีคนจำนวนมากอยากประสบความสำเร็จ  แต่กลับยากยิ่ง  เหตุเพราะไม่เข้าใจที่จะใช้ชีวิต  ไปมุ่งเน้นการต้องมีมากกว่าการต้องเป็น ...

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คนสองด้าน

 

คนสองด้าน

>>> คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองมักมีแนวโน้มที่จะสร้างตัวตนหลอก ๆ

ซึ่งอาจจะเป็นตัวตนที่ตรงตามความต้องการที่เราอยากจะเป็น <<<

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโลกเราวันนี้ คือ การไม่รู้ว่าคนที่เรารู้จักนั้นตัวตนเป็นเช่นไร เหตุเพราะว่า ตัวเราเองก็ยังมีหลากหลายด้านในตัวตน ยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิต เข้ามากดดันทำให้เกิดกิจกรรมไซเบอร์ในโลกเสมือนจริง อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องอยู่ในโลกจริงทางกายภาพ วิถีชีวิตวันนี้จึงมีสองมิติสองด้านในเวลาเดียวกัน สังคมกายภาพเป็นสังคมบนโลกจริง สังคมไซเบอร์เป็นสังคมที่ตัวตนเป็นอวตารโลดแล่นในโลกไซเบอร์ จึงต้องปรับสมดุล ทำให้สองโลกนี้ไปด้วยกันได้ และหลายคนก็หลงทิศหลงทางผิดเพี้ยน ไปใช้โลกอีกใบสร้างตัวตน โชว์ความหยาบ โชว์ด้านมืดลึก ๆ ออกมา ปลดปล่อยพลังด้านลบอย่างเต็มที่ แตกต่างจากความนิ่งในโลกจริงทางกายภาพที่คนอื่นเห็น โลกจึงน่ากลัวยิ่งขึ้นในวันนี้


การใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ ทำให้วิถีชีวิต ความนึกคิด แตกต่างจากโลกจริง สมมุติตัวตนเป็นอะไรก็ได้ คนรุ่นใหม่วันนี้จะมีความคิด ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ใช้ชีวิตแบบคู่ขนาน เพราะเทคโนโลยีสามารถทำหลายงานพร้อมกันได้ เกิดจินตนาการในโลกเสมือนจริง สร้างตัวตนเป็นตัวแทน มีวิธีการใหม่ ๆ  ใช่หรือไม่ คนวันนี้ไม่ชอบอ่านข้อความยาว ๆ บทความดีต่าง ๆ มักถูกมองข้าม  ชอบดูมากกว่าอ่าน แอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับภาพเคลื่อนไหวจึงได้รับความนิยมสูง คนวันนี้มีจิตใจที่เชื่อมโยงกับโลกโซเชี่ยลตลอดเวลา มีความอดทนต่ำ มีสมาธิสั้น ทำอะไรต้องเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ จนลืมตัวตนว่าเราเป็นคนเช่นไร

 “ต้องคิดเสมอว่า คนที่ติดต่อกับเราบนโลกออนไลน์อาจไม่ใช่ที่เราคิดอยู่” อาจจะเป็นการปลอม จึงมีความเสี่ยงในการติดต่อกัน แล้วเราจะดำเนินชีวิตเช่นไร สิ่งแรกเราต้องมีตัวตนคนของพระอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง มีความนึกคิดเชิงบวก มีวิจารณญานในการใช้สื่อสารสมัยใหม่ และแสดงความคิดเห็น รับผิดชอบต่อการกระทำ ไม่ละเมิด คุกคามผู้ใช้งานออนไลน์คนอื่น ๆ บางทีอยู่อย่างไร้ตัวตนบนโลกออนไลน์บ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงทุกท่าที ไม่จำเป็นต้องอวดอ้าง เราไม่จำเป็นต้องโดนเด่นทางกายภาพ หากแต่ว่าเราต้องเด่นชัดในด้านจิตวิญญาณ...

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หยุดซ้ำเติม

 

หยุดซ้ำเติม

>>> กาลเวลาไม่เพียงทำให้เรามองคนได้กระจ่าง

แต่ก็ทำให้เรามองตนได้ชัดเจน <<<

วันวานเพิ่มขึ้น วันพรุ่งลดลงเรื่อย ๆ นี่แหละ คือ ชีวิต ฝนตกหนักและแรงขึ้นทุก ๆ ปี น้ำท่วมในพื้นที่มากขึ้นในทุก ๆ ครั้ง แม้ว่าจะเกิดเป็นคนริมน้ำคุ้นชินกับน้ำท่วม แต่ระยะหลังมานี้เห็นน้ำท่วมที่นั่นที่นี่ รู้สึกไม่เหมือนเดิม สมัยก่อนน้ำท่วมไม่น่ากลัวเท่าวันนี้ เหตุเพราะตลอดมาเราพยายามสู้กับมวลน้ำ กั้นด้วยกำแพงดินกำแพงทราย ถ้าแข็งแรงพอก็ชนะ แต่ถ้ามันพังทลายความรุนแรงของกระแสน้ำจะรุนแรงขึ้นมากเป็นทวีคูณ ก็อยากจะให้ฝนฟ้าพัดผ่านไปเร็ววัน เราจะได้กลับคืนสู่ชีวิตแบบเดิม ๆ ไม่มีเหตุใดมาซ้ำเติมอีก


การที่รู้สึกว่าเวลาเดินเร็วขึ้นทุกปี ก็เพราะเวลาสำคัญต่อเรามากขึ้นทุกปี หลายต่อหลายครั้ง เราเรียนรู้จักใช้ชีวิต ในการล้มลุกคลุกคลาน ในความผิดพลาดพลั้งเผลอ เวลาที่ผ่านมาให้บทสอนอะไรกับเราบ้าง เวลาของเด็กกับของผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน เฉกเช่นการกระทำที่ผิดพลาด หากเป็นผู้ใหญ่ที่ทำผิดพลาดก็มักแอบอ้างเหตุผลว่า เกิดการสื่อสารที่คาดเคลื่อน ไม่เป็นไรปล่อยผ่านไป ไม่ขอโทษ แต่ตรงกันข้ามในสิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นผู้น้อยทำก็ต้องถูกต่อว่าไม่รอบคอบ สะเพร่า ประมาท และถูกจดจำในความผิด ถูกซ้ำเติมด้วยเรื่องเดิมของวันวาน มีคำสอนของคนจีนได้ให้ข้อคิดกับวันเวลาอย่างชัดเจน

“จงอย่าได้พร่ำบ่นตัดพ้อทุกวัน นานเข้าเธอจะพบว่า การบ่นนอกจากทำลายอารมณ์ของเรากับคนอื่นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าร่ำร้องว่ายากจน ไม่มีใครจะให้เงินเธอ อย่าโวยวายว่าเหนื่อยเหน็ด ไม่มีใครช่วยเธอทำ อย่าคิดร้องไห้ เพราะไม่มีใครสนใจ อย่ายอมแพ้ เพราะไม่มีใครหวังให้เธอชนะ อย่าพึ่งคนอื่น เพราะมีเพียงตนพึ่งได้ดีที่สุด อย่าวอนขอ เพราะคนอื่นคอยดูเรื่องน่าขัน อย่าเสียขวัญ เพราะคนทั้งกลุ่มคอยซ้ำเติม อย่าเหลียวมอง เพราะที่เห็นคือรอยร้าวที่ยังไม่ได้ซ่อม”

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ไม่ต้องแย่ง…แบ่งกัน

 

ไม่ต้องแย่งแบ่งกัน

>>> หากวันหนึ่งเราได้ครอบครองชัยชนะ แต่ต้องโดดเดี่ยว ไม่เหลือใครเคียงข้าง

ชัยชนะจะมีความหมายอะไร >>>

สถานการณ์โลกร้อนแรงขึ้นทุกวัน จ่อว่าใครจะกดระเบิดร้ายแรงล้างโลกก่อนกัน ท่ามกลางสงครามที่ก่อตัวขึ้นจากการแย่งชิง จากการกล่าวอ้างในความชอบธรรม จากการแอบอ้างเพื่อมนุษยธรรม ที่สุดมันก็มาจากความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น การคว่ำบาตร การกดดันทางด้านเศรษฐกิจ การตัดการส่งพลังงาน ต่างคนต่างคิดว่าใครจะเก่งกว่ากัน มันเป็นรากฐานของชีวิตผู้คนที่ถูกหล่อหลอมการแข่งขันแย่งชิงกันตั้งแต่เด็ก ๆ วันนี้ขอนำเสนอแนวคิดใหม่เพื่อปลูกฝังการหยุดแย่งชิง หันมาให้ความสำคัญกับการแบ่ง

“ครูก้า” กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) ชวนคิด เรากำลังปลูกฝังให้เด็กแก่งแย่ง ชิงดีกัน ไม่แปลกที่เมื่อโตขึ้นมาทำงานข้าราชการแล้วก็เลื่อยขาเก้าอี้กัน หรือแม้กระทั่งการทำงานในองค์กรธุรกิจเอกชน ก็เลื่อยขาเก้าอี้กัน เพื่อจะแย่งตำแหน่งที่สูงที่สุด เพราะเราถูกปลูกฝังผ่านเก้าอี้ดนตรีกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ยังเล่นกันอยู่ ครูก็ยังจัดเก้าอี้ดนตรีให้เล่น ครูก็ยังรู้สึกสนุกแล้วก็ลืมคนที่ถูกออกไป ตบมือให้คนชนะ


ครูก้าตั้งคำถามว่า “แล้วทำไมเราไม่เล่นเก้าอี้ดนตรีแบบเอาเก้าอี้ออก แต่ไม่เอาคนออก แล้วดูซิว่าเหลือเก้าอี้น้อยที่สุด แต่คนยังอยู่ครบ ทำได้ยังไงเด็ก ๆ ได้เล่นจริง ทำจริงแล้วที่โรงเรียนจิตตเมตต์  ครูก้าบรรยายภาพที่เห็นตรงหน้าว่า

น่ารักมาก ๆ เขาแก้ปัญหาว่าเก้าอี้มีอยู่ไม่กี่ตัว เราอยู่บนเก้าอี้สองตัวกับคนหกคนได้ยังไง หรือเรามีเก้าอี้หกตัวแต่อยู่กันทั้งห้องได้ยังไง มันมีวิธีเชื่อมต่อร่างกายกับเก้าอี้ยังไง ทำไมเราไม่เล่นแบบนี้ ถ้าเราเล่นแบบนี้เราปลูกฝังอะไร สิ่งที่เราอยากได้นั่นแหละ คือ ทุกคนรักกัน ช่วยเหลือกัน “แบ่งปัน” กับ “แข่งขัน” มันต่างอารมณ์กันมาก   จะแข่งกันเพื่อล้มโลกหรือจะแบ่งกันเพื่อร่วมโลกอย่างสันติ แบบไหนดีกว่ากัน ขอบคุณเรื่องราวงดงามจากโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สักวันจะเข้าใจ

 

สักวันจะเข้าใจ

>>> หน้าที่ของเราคือการเกิดมาเพื่อเข้าใจโลก เข้าใจคน ไม่ใช่แบกโลกหรือให้ทุกคนเข้าใจเรา<<<

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น วันเวลาดูเหมือนจะน้อยลง ร่างกายป้อนคำสั่งให้ตื่นเช้าขึ้น มาทำนั่นทำนี่ อ่านข่าวสาร อ่านโลก อ่านชีวิตผู้คนผ่านสื่อสมัยใหม่ ในแต่ละวันเรื่องราวดี ๆ หาอ่านได้ยาก มักจะมีแต่เรื่องราวที่ผู้คนสมัยนี้คิดนอกกรอบ นอกขอบเขตของวัฒนธรรมเก่าก่อน เพียงเพื่อสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ นับวันยิ่งจะ         พิเรนทร์ขึ้นไปเรื่อย ๆ อะไรที่ไร้สาระ คือ สิ่งที่ขายได้ อะไรที่แหวกแนวคือสุดติ่งของความเป็นคนสมัยใหม่ โชว์เนื้อหนังมังสาอย่างไม่รู้สึกเขินอาย อะไรที่ไม่ดีจริงมันไม่คงทน แล้วสักวันคนวันนี้จะเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น หันกลับมาสร้างสรรค์สังคมตามพระพรที่มีในตัวตน

สักวันหนึ่งเธอจะเข้าใจ เมื่อใดที่โมโหใคร ๆ คนที่เจ็บที่สุดคือตัวเอง!!  สักวันเธอจะเข้าใจ เมื่อใดที่งอแง คนที่เสียหายที่สุดคือตัวเอง สักวันเธอจะเข้าใจ เมื่อก่อนนั้นโง่มากแต่แสร้งฉลาดไปเสียทุกเรื่อง แต่เมื่อวันใดที่ฉลาดเธอจะแสร้งโง่ในทุก ๆ เรื่อง

สักวันเธอจะเข้าใจ เรื่องบางเรื่องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่พูดแบบหมดเปลือกไม่ได้ สักวันเธอจะเข้าใจ คนบางคนคบมาตั้งครึ่งค่อนชีวิต ยังเดาไม่ถูก สักวันเธอจะเข้าใจ เวลาทุกข์ใจไม่ต้องดื่มเหล้าแก้ทุกข์เสมอไป เพราะยิ่งดื่มมากเท่าใด ความทุกข์ก็ยังมีเท่าเดิม สักวันเธอจะเข้าใจ การโต้เถียงกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัวนั้น ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะโทสะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มีแต่รังจะเสียหายและสุดท้ายก็คือเสียใจ

สักวันเธอจะเข้าใจ เรื่องแย่ ๆ ที่แทบเอาชีวิตไม่รอด หากทนให้ถึงพรุ่งนี้ได้ ก็กลายเป็นเรื่องขำ ๆ สักวันเธอจะเข้าใจ ยิ่งเจ็บจะยิ่งเงียบ ยิ่งทุกข์จะยิ่งนิ่ง  สักวันเธอจะเข้าใจ ว่าการใช้ชีวิตนั้นหากรู้จักคำว่า “นิ่งได้” กลับทำให้เธอเข้าใจชีวิตและคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น

หน้าที่ของเราเพียงแค่เข้าใจชีวิต ใช้ชีวิตตามพระพร อย่าไปคิดว่าต้องเหมือนคนนั้นคนนี้ พยายามทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และที่สุด ใส่ใจชีวิตพระที่อยู่ในตัวเรา เรียนรู้ พัฒนาจิตวิญญาณ ให้พร้อมคืนสู่บ้านนิรันดร์เพียงเท่านี้แหละชีวิต …



วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565

คน ๆ หนึ่ง

 

คน ๆ หนึ่ง

>>> ในฐานะที่เราเกิดมาเป็นคน ๆ หนึ่ง จะ ยาก ดี มี จน เราได้ทำสิ่งใดงดงามไว้บนโลกนี้บ้าง<<<


พระราชพิธีพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่
2 เสร็จสิ้นอย่างงดงามและสมพระเกียรติยิ่งนัก ชมการถ่ายทอดสดได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างผ่านทางมุมกล้อง ล้วนมีความหมายทั้งสิ้น พระราชพิธีช่วงแรกที่เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ในกรุงลอนดอน จากนั้นหีบพระบรมศพก็ถูกเคลื่อนไปตามเส้นทางพร้อมขบวน สุดท้ายไปยังโบสถ์เซนต์จอร์จภายในพระราชวังวินด์เซอร์ โดยมีแค่พระบรมวงศานุวงศ์ สมาชิกราชวงศ์อังกฤษ และเจ้าหน้าที่พระราชพิธีเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม พระราชพิธีใช้เวลานานพอสมควร สมกับที่ คน ๆ หนึ่งสร้างความยิ่งใหญ่และความงดงามให้เกิดขึ้นกับผู้คนบนโลกนี้ได้ 


และก่อนหน้านั้นก็มีข่าวที่หลายสื่อต่างพร้อมใจกันนำมาเสนอ นั่นคือเรื่องราวของ “เดวิด เบ็คแฮม” อดีตตำนานนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษและทีมแมนยูฯ หลังเจ้าตัวได้เดินทางไปเข้าคิวพร้อมกับผู้คนนับพันเพื่อรอเข้าเฝ้าพระบรมศพของสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 เป็นเวลานานถึง 12 ชั่วโมงเต็ม แม้เขาจะสามารถใช้สิทธิ์พิเศษได้ แต่ก็ปฏิเสธเพราะปรารถนาจะปฎิบัติเหมือนประชาชนทั่วไป  คน ๆ หนึ่งสร้างแบบอย่างง่าย ๆ ด้วยวิธีการที่แสนจะธรรรมดา 


ทั้งสองเหตุการณ์ในสถานการณ์เดียวกันนี้ ก็ยังเห็นอีกหลายคนที่วิพากษ์วิจารณ์ แบบด้อยค่าคนอื่น อาทิ ถ้าเป็นคนไทยที่มีชื่อเสียงขนาดนั้น คงไม่ต้องมาเข้าคิวนานขนาดนั้น เห็นข้อความเหล่านี้แล้วเกิดจิตสงสาร ที่เราไม่เห็นค่าการกระทำของคนอื่น แต่กลับอวดอ้างคำสารพัดเพื่อยกตนเอง ตัวอย่างง่าย ๆ นั้นน่าจะทำให้จิตใจเรายกระดับขึ้นมากกว่าการด้อยค่าด้วยคำพูดที่ไร้เดียงสาเช่นนั้น หรือนำมาไตร่ตรองตัวเองว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบน้้น เราจะเลือกเอาสบายหรือจะเลือกความเท่าเทียม ไม่ใช่ปากเรียกร้องแต่การกระทำเป็นอีกแบบ คน ๆ หนึ่งจะด้อยค่าคนอื่นโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมิได้ แต่เราควรเป็นคน ๆ หนึ่งที่สร้างค่าให้กับตัวเองด้วยการมองจิตใจ มองเห็นคุณธรรมในตัวเราให้ได้เสียก่อน นี่ต่างหาก คือ คน ๆหนึ่งที่สมควรจะเป็น

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2565

ทางรัด

 

ทางรัด

เงินคือพระเจ้า ทุกยุคทุกสมัยจึงแสวงหามัน หลงลืมพระเจ้าแท้จริงที่สถิตในตัวตน

ข่าวใหญ่โตไม่แพ้น้ำท่วมกทม.หลายแห่ง กำลังไหลท่วมขยายวงกว้างไปเรื่อย ๆ นั่นคือ ข่าวคดี Forex 3D ที่มีคนมีชื่อเสียง ดารา นักแสดง เข้าไปมีเอี่ยว เข้าเกี่ยวข้องกันมากหน้าหลายตา ทั้งเป็นผู้ร่วมลงทุน เป็นผู้ลงทุนเพียงเพื่อหวังรวยเร็ว หวังเป็นอิสระทางการเงิน ให้เงินทำงาน ส่วนตัวเองสำราญกับการจับจ่าย ใช้ชีวิตแสนหรู ดูสบายงานการไม่ทำ แล้วก็โชว์ร่ำอวดรวยเอาไว้แหกตาเพื่อแลกกับการหาสมาชิกมาต่อยอดเงิน จนยอดโตมหาศาล เพราะทุกคนหิวเงิน คนอยู่บนสุด คือ คนคิดก่อตั้งระบบลวงนี้ก็รับทรัพย์อย่างมโหฬาร เพียงแค่ใช้กลโกงของแชร์ลูกโซ่ แค่ใส่วิธีการสมัยใหม่ให้ดูหรูหรา ตามปรารถนาของคนยุคนี้ ยุคของโซเชียล แค่นี้ก็เข้าทางปืน หมื่นแสนล้านใหลมาเทมา

แท้จริงสื่อโซเชียล มันก็แค่โลกสมมุติ สิ่งที่เห็น ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด กว่าจะให้เราเห็นมันผ่านสารพัดปรุงแต่งดูแทบไม่ออก ใช่หรือไม่ ทุกคนก็อยากโชว์ด้านบวกของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ แต่ด้านบวกถูกแทนค่าด้วยมูลค่า ไม่เน้นคุณค่า ความดีจึงแทบไม่มีไม่เห็นไม่เป็นที่นิยมในโลกสมมุตินี้ มีเรียกร้องความสนใจ สร้างภาพสวยหรู เพียงเพื่อต้องการเป็นที่ยอมรับและเชยชมเพียงข้ามคืน จะมีเรื่องจริงสักกี่เปอร์เซนต์ ทุกอย่างที่เห็นเป็นแค่ ภาพลวงตา หลายคนบนออนไลน์ชีวิตจริงไม่มีอะไรให้ภูมิใจสักอย่าง แต่ดูเก่ง สมบูรณ์พูนสุขอย่างกับเทวดา

ในโลกออนไลน์ มักสร้างทางลัดให้หลายคนหลงโลภ อยากจะได้พระเจ้าเงินตราเพื่อให้อวดบารมี ยิ่งดูยิ่งเสพยิ่งเอามาเปรียบเทียบ เมื่อคนนั้นทำได้ทำไมฉันจะทำไม่ได้ หลงลืมไปว่าพระพรของเราไม่เท่ากันแต่จะเอื้อเกื้อกูลกัน เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบเลย ยึดความดีเป็นที่ตั้ง เอาความจริงเป็นหลัก ใช่หรือ ชีวิตจริงมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่สมบูรณ์แบบบ้างก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อย่าไป มโนโดยไร้ธรรมนำ เพราะนั่นมันคือ “ทางรัด” ที่กำลังมัดเราลงสู่ความต่ำตมใน โลกความจริง โลกที่พระเจ้าประทานความงดงามไว้ให้พวกเรา ให้เดินชมความงามตามวิถี อย่าให้เถาเงินเถาทองมาฉุดเราให้หยุดและตกเหวไป….

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

มวลความสุข

 

มวลความสุข

>>> ความขุ่นเคืองใจ บางทีก็มาจากการใส่ใจในคำพูดคนอื่นมากไป<<<

พอเริ่มผ่านวันเวลาผ่านผู้คนมามาก จึงปรารถนาที่จะอยู่เงียบ ๆ ทำอะไรก็ได้ที่รู้สึกสบายใจ ใครให้ช่วยเหลืออะไรที่พอทำได้ก็ยินดี เริ่มเบื่อหน่ายการนั่งนินทา วิจารณ์คนนั้นคนนี้ (แม้บางทีมีเผลอไปบ้าง) พยายามจะไม่พูดจาที่สร้างความระคายเคือง แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความจริงจังและจริงใจ จากที่เคยดิ้นรน กระวนกระวายสร้างตัวตน พออยู่คนเดียวกลับเห็นเพียงความว่างเปล่าที่เคยไขว่คว้าหาทำ ใครจะว่าชีวิตเหมือนอยู่ในถ้ำ ก็ไม่เป็นไร ใครจะคิดเช่นไรก็สิทธิ์ของเขา เรารู้ว่าวันนี้ไม่ต้องไปหาความร่ำรวยจากเปลือกนอก พยายามรักษาความสุขภายในเอาไว้ได้ 


ใช่หรือไม่ ที่ผ่านมาเราอาจคุ้นเคยกับคำว่า
GDP ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด เป็นเป้าหมายการบริหารแผ่นดินและตัวชี้วัดความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนของประเทศ แต่ไม่นานมานี้ทั้งโลกกลับเห็นว่า ความสุขมวลรวมของหมู่บ้านและชุมชน : Gross Village Happiness GVH นั้นสำคัญไม่แพ้กัน ชีวิตผู้คนนั้นต้องมีการพัฒนาในระดับจิตใจ เป็นความสุข ความรู้สึกภายใน ที่ส่งผลต่อตนเอง ครอบครัว สังคม

วันหนึ่งปลาสบโอกาสพูดเย้ยเต่าว่า “เธอนี่ก็น่าขันนะ เวลาเจออะไรก็เอาแต่หลบอยู่ในกระดอง ไม่อยากยอมรับความจริงละสิ!” เต่าได้ฟังอย่างนั้นได้ยิ้มให้ปลาอย่างไม่ถือสา “คำวิจารณ์ของคนอื่นมันสำคัญกับชีวิตเรามากเหรอ? ฉันไม่ได้กลัวจนหัวหดหรอกนะ ฉันแค่อยากอยู่สงบ ๆ ของฉันก็แค่นั้นเอง” เต่าบอก “เธอไม่สนคำพูดของคนอื่นงั้นสิ!” ปลาเย้ยต่อ เต่ามองปลาแล้วยิ้มให้อีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังว่ายต่อ พร้อมกับเอ่ยทิ้งท้ายให้ปลาคิด “นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมฉันจึงอายุยืนกว่าเธอ!”...(นุสนธิ์บุคส์)

มวลความสุขเริ่มจากความสุขส่วนตัวที่เราสร้างขึ้น เมื่อสุขเพิ่มพูนความมั่นคงของชีวิตก็ตามมา วันนี้เราอาจจะหลงอยู่กับมาตรวัดทางด้านเงินทอง ทางด้านวัตถุ ยศศักดิ์ ตำแหน่ง และความรู้ความเก่งที่เหนือกว่าคนอื่น เรามีความสุขกับสิ่งเหล่านี้จริงหรือ? ได้มาก็อยากได้อีก กลับมาหาหนทางความสุขที่แท้จริงกันบ้าง จัดสมดุลให้เกิดขึ้นในชีวิต สร้างสุขภายใน เพื่อมวลความสุขของสังคมรอบข้างตัวเราไปด้วยกันบ้างก็ดีนะ