วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ตำหนิตน

 

ตำหนิตน

>>> รอยตำหนิเล็กน้อยช่วยให้มนุษย์สมเป็นมนุษย์ <<<

ในความก้าวหน้าของโลก ที่ก้าวไปจนทำให้วันเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เป็นโลกที่เราไม่ค่อยมีเวลาจะหยุดคิด หยุดไตร่ตรองเตือนตน เพราะมัวแต่ไปสนใจในเรื่องของคนอื่น หรือไม่ก็พยายามสร้างตัวตนในโลกเสมือนจริง ใช่หรือไม่ สังคมวันนี้กลายเป็นสังคมวิจารณ์ไว้ก่อน สาดใส่ด้วยความหยาบคาย เย้ยหยันกันด้วยอักษรสารที่เต็มไปด้วยความสะใจ ก้าวร้าว ระราน เหยียบเหยียดแม้คนที่เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ตำหนิได้ทุกเรื่อง รู้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องของตนที่ทำอะไรก็ดูดีดูเข้าท่าไปหมด แต่วันหนึ่งกลายเป็นเหยื่อบ้างก็ไม่สามารถที่จะรับมือยืนหยัดได้ 


ในวันที่เราเรียกร้องความสมบูรณ์จากผู้อื่น นั่นแหละเราก็หลงลืมความเป็นคน หน้าที่หนึ่งในการเกิดมาบนโลกนี้คือการพัฒนาตน หาใช่การหาทางไปก้าวล้ำคนอื่น บางทีการที่มีสิ่งไม่สมบูรณ์บนโลกใบนี้ก็เพื่อให้เราเตือนตนว่า ไม่มีอะไรสมบูรณ์ ถ้าเราไม่พยายามทำให้สมบูรณ์ ไม่มีอะไรดีอะไรงดงาม หากไร้ซึ่งการพยายาม และการเรียนรู้ เฉกเช่น

เมื่อชาวอิหร่านทอพรมเปอร์เซียผืนงามเสร็จพวกเขาจะทำตำหนิทิ้งไว้บนพรม เรียกว่า “ตำหนิแห่งเปอร์เซีย (Persian Flaw)” ส่วนชาวอินเดียนแดงตอนร้อยสร้อยลูกปัด ก็จะร้อยลูกปัดเม็ดหนึ่งที่มีตำหนิเข้าไปด้วย เรียกว่า “ลูกปัดแห่งจิตวิญญาณ (Spirit Bead)” เพราะพวกเขาคิดว่า ความไม่สมบูรณ์แบบเล็ก ๆ น้อย ๆจะช่วยให้เป็นที่รักของผู้คน มากกว่าความสมบูรณ์พร้อมที่ไร้ที่ติ

คนเราก็เหมือนกัน คนที่มีจุดบกพร่องนิดหน่อยบางทีดูมีเสน่ห์กว่าคนสมบูรณ์แบบเกินเหตุ บางสิ่งเกิดขึ้นเพื่อให้อีกสิ่งหนึ่งงดงาม เหตุใดเราจึงดำเนินชีวิตด้วยการต่อว่า การสาดใส่กันด้วยความไม่รู้ตัว หยุดตำหนิผู้อื่น ให้ความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และเอาความไม่สมบูรณ์ที่เราเห็นนั้นมาเตือนตน เฝ้าระวังจิตวิญญาณของเรา เพื่อสักวันหนึ่งเราจะพบความงามตามวันเวลา ดีกว่าปล่อยให้จิตใจเต็มไปด้วยความหยาบคายตามสังคมทุกวันนี้เลย หยุดระรานออนไลน์เพื่อเรียกยอดร้อยล้านไลค์กันเถอะครับ

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

หลากหลายลายเส้น

 

หลากหลายลายเส้น

>>>วันหนึ่งเราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบ

และความหลากหลายของความเป็นคนหนึ่ง<<<

ฝนตกมาหลายวันรับฤดูหนาว ทิ้งท้ายฤดูฝน ทำให้บรรยากาศขมุกขมัวมาหลายวัน ในสายวันหนึ่ง ในขณะเดินมาที่ระเบียงหลังบ้าน เป็นจังหวะที่แสงส่องกระทบใบไม้อย่างพอดิบพอดี จนอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดชื่นชมความงามในความหลากหลาย ทำให้เห็นลายเส้นบนใบไม้ ที่มิใช่เหมือนกัน แม้จะเป็นต้นเดียวกัน แน่นอน...ในต่างสายพันธุ์ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว แต่เราก็เรียกว่า “ใบไม้” เหมือน ๆ กัน หลายครั้งหลายคราว มักจะไปตัด เด็ดดึง ลิดถอน กิ่งก้านที่ยื่นยาวออกมาเกะกะ ยิ่งในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฤดูแบบนี้เห็นแล้วก็รกหูรกตา แต่มาวันนี้เรากลับเห็นความงามของสิ่งนั้น เห็นความร่มรื่นในสิ่งที่เคยรำคาญ และเห็นความงามในนามของความหลากหลาย

ใช่หรือไม่ จริงหรือเปล่า??? ในเส้นทางชีวิตเราที่เรียกว่า “คน” นี้ มีความหลากหลายมากมาย เราจะทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างใจเราอยากให้เป็นนั้นยากยิ่ง จะทำ จะลิดรอนถอนนิสัยใจคอคนนั้นคนนี้ย่อมทำมิได้ บ่อยไปที่เราดูคนที่ผ่านพบผิดไป อย่าดูคนเพียงแค่เปลือกนอก คนที่ชอบไหว้พระ ฟังเทศน์ฟังธรรม นั่งนินทาคนอื่นทั้งวันก็มี คนที่รับบริจาค ไม่เสมอไปว่าเป็นคนจน คนที่เออออห่อหมก ไม่เสมอไปว่าจะเป็นมิตรแท้ คนที่สวมใส่เสื้อผ้า ไม่เสมอไปว่าจะเป็นมนุษย์ เปลือกนอกที่ห่อหุ้ม ก็แค่สิ่งปิดบังความจริง ยิ่งมีเปลือก มีลายเส้นทางชีวิตให้แต่ละคนเลือกที่จะเป็นเลือกที่จะเดินด้วยแล้ว เราก็มิจำเป็นต้องไปกำหนด วาดหวังที่จะเห็นลายเส้นคนอื่นในสายตาเรา

ทำชีวิตลิขิตลายเส้นทางของเราให้เป็นไปตามครรลองของความดีงาม ตามหาความร่มรื่นชื่นชมยินดีในความสุขของกาลเวลาที่พัดผ่านไปอย่างพอเหมาะพอควร อยู่กับความหลากหลายให้เป็น อย่าใช้ชีวิตอยู่กับความยากเย็น แต่ทำให้ชีวิตมีแต่ความร่มเย็น เพียงแค่ปกครองอาณาจักรใจตนเองให้เป็น เราก็จะกลายเป็นกษัตริย์แห่งตน เป็นคนที่งดงามคนหนึ่งในความหลากหลายของผู้คนบนโลกนี้แล้ว

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

อย่าให้ธรรมดาสูญหาย

 

อย่าให้ธรรมดาสูญหาย

>>> “ปาฏิหาริย์ไม่ใช่การเดินบนน้ำ หรือบินอยู่บนอากาศ แต่ปาฏิหาริย์ของชีวิต คือ

การเดินอยู่บนผืนดิน และมีความสุขในทุกย่างก้าว”  ติช นัท ฮันท์ <<<

มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า โลกมันหมุนเร็วขึ้นทุกวัน เพราะการเปลี่ยนแปลงเมื่อก่อน โลกเปลี่ยนทุก 10 ปี ตอนนี้ โลกเปลี่ยนทุก 2 ปี ข้อมูล ความรู้ใหม่ๆ ทุกสาขาวิชาชีพเกิดใหม่ทุก 2 อาทิตย์ แอพพลิเคชั่น ออกมาวันละล้านแอป ในช่วงชีวิต 20 ปีที่ผ่านมาเราเห็นวิวัฒนาการ มากมายในโลก กรอบความคิดเก่าเมื่อ 20 ปีก่อน แทบจะทำอะไรกับโลกยุคใหม่ไม่ได้เลย !! ก๋วยเตี๋ยวเมื่อก่อน 10 บาท ทองคำ 6000 บาท ตอนนี้ก๋วยเตี๋ยว 50 บาท ทองคำ 3 หมื่น เงินฝาก จากดอกร้อยละ 16 คนเลยขยันฝากเงินเก็บดอกกิน ตอนนี้ฝากแบงก์ ตามเงินเฟ้อไม่ทัน อาชีพหลาย ๆ อาชีพตกงาน นับไม่ถ้วน พนักงานแบงก์ ถูกแทนที่ด้วย internet banking ธนาคารต่างทยอยปิดสาขา บริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกทยอยปลดคนงานวันละหลายร้อยคน เราจะอยู่ตรงไหน ถ้าไม่ปรับตัว ในโลกยุคนี้ !?  อ่านแล้วก็น่ากลัว ทว่า ในมุมหนึ่งก็ต้องนำมาคิดว่า เรามัวแต่วิ่งตามโลก เราก็เหนื่อย เราต้องไปกับโลกในความธรรมดาของเรานี่แหละ ชีวิตคนเราปรับตัวได้เสมอ


ใช่หรือไม่ ชีวิตของเรามีแต่เรื่อง “ธรรมดา”  ตื่นมา อาบน้ำ แปรงฟัน ออกไปทำงาน กินอาหารเดิม ๆ เพิ่มเติมพิเศษบ้างในบางมื้อ เที่ยว ตอนเย็นกลับบ้านพบหน้าคนข้างกาย ส่วนใหญ่แล้วเราก็เป็นคนธรรมดา ๆ มีชีวิต ธรรมดา ๆ กันทั้งนั้น ในบางครั้งเราก็หลงลืมความงามในนามของความธรรมดาไป ดิ้นรน แสวงหา ตามเทคโนโลยี กลับบ้านมาก็เหนื่อย ไม่มองหน้ามองตากัน จ้องแต่จอใครจอมัน เราจะโหยหาความธรรมดานี้ ก็ในวันที่เราต้องสูญเสียมันไป วันที่เราเจ็บป่วย เราก็อยากจะพบหน้าคนในบ้านมากกว่าคนไกลทางอากาศ วันที่เราผิดหวัง พลาดพลั้ง พลังใจจากคนใกล้กายย่อมมีค่ามากกว่าคอมเมนท์ทางโซเชี่ยลมากนัก ...สิ่งธรรมดา คือ สิ่งพิเศษ ใช้ชีวิตกับคนรอบตัวเรา ให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของจักรวาล เพราะสิ่งธรรมดา แท้จริงแล้ว คือ สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้ว รักษาไว้อย่าปล่อยให้มลายหายไปกับวันเวลา....

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

เวลาแห่งความรื่นรมย์

 

เวลาแห่งความรื่นรมย์

>>> เมื่อไม่ยึดติด ใจก็กว้างขึ้นมา ความเบิกบานอยู่ตรงนั้น <<<

สายฝนจากลา สายลมเย็น ๆ พัดโชยยามเช้า ยามบ่ายก็ร้อนดังเดิม กลางคืนกลางวันสลับเปลี่ยนรวดเร็ว เพราะความที่เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ  แล้วทำให้มันเป็นความรื่นรมย์ ข่มความทุกข์ให้มอดมลายลง  เมื่อต้นเดือนตุลาคมได้รับโทรศัพท์จากทางบ้านว่าแม่อาการไม่ดี วีดีโอคอลมาให้เห็นหน้าแม่ที่ตาลอย จึงร่วมกันตัดสินใจว่า ต้องส่งแม่ให้ถึงมือหมอโดยเร็ว แม้จะมีอุปสรรคเรื่องน้ำท่วมถนนหนทาง เมื่อเดินทางไปถึงโรงพยาบาลไม่ช้าอาการแม่ก็ดีขึ้น เมื่อลืมตาเห็นลูก ๆ ก็ดีใจ แม้จะจำได้บ้างไม่ได้บ้างในบางครั้ง จากวันนั้นมาวันนี้แม่มีอาการปกติสุข กลับมามีอาการร่าเริงแจ่มใส ชอบคุยทั้งที่คุยเรื่องนี้ลืมเรื่องนั้น วนไปเวียนมา เราพี่น้องผู้อยู่ห่างไกลจึงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการพูดคุยกับแม่ ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความรื่นรมย์ ใกล้ชิดกันมากขึ้น ยิ่งคุยกับแม่เรายิ่งเห็นความงามในบางด้าน มีความสบายใจ 


ใช่หรือไม่ ในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไป เราใยจะต้องเก็บเอาเรื่องราวกวนใจมาใส่ตัว  เพราะเรามีหู ก็ต้องได้ยินทั้งคำดี คำร้าย เพราะเรามีตา ก็ต้องได้เห็นทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย เพราะเรามีปากบางครั้งพ่นคำหยาบคำงามออกมา อย่าเก็บทุกเรื่องที่พบเห็นใส่ไปให้รกใจเปล่า ๆ เรื่องดี ๆ สวยงาม ก็เก็บไว้เสริมสร้างจิตวิญญาณ เรื่องร้าย ๆ ก็ปล่อยผ่าน โยนลงถังขยะไป ใครจะดี จะร้าย แค่รู้ก็พอ คนบางคน แค่รับรู้ก็พอ ได้ยินอะไรมา แค่ฟังก็พอ เรื่องบางเรื่องแค่มองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเราเข้าไปข้องเกี่ยวให้ทุกข์ใจ เหตุการณ์บางอย่างก็ไกลเกินกำลัง ไม่ต้องโชว์พลัง โชว์เก่งเกินตัว เก็บเอาไว้เป็นประสบการณ์

หากพยายามใช้ชีวิตเช่นนี้แล้ว ย่อมมีความสุข ชีวิตจึงรื่นรมย์ด้วยเสียงหัวเราะ  ฝึกฝนตนให้เป็นผู้สร้างเสียงหัวเราะ สร้างรอยยิ้ม เราจะได้มีความสมานฉันท์กับผู้คนรอบข้าง ใครด่าใครว่าอย่าใส่ใจ เราจึงสามารถทำสิ่งดีงามต่าง ๆ ได้ แม่สอนให้เราร่าเริง แม่สอนให้ใส่ใจ แต่อย่าปลักใจ สอนให้มองตนไม่ใช่มองคน มีความขัดแย้งไปก็เท่านั้น เพราะไม่รู้พรุ่งนี้จะมีสายลม แสงแดด หรือฝนฟ้า ให้ชื่นชมอยู่หรือเปล่า …

(ขออภัยที่ครั้งนี้นำเรื่องส่วนตัวมาขีดเขียน)