วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

น้ำลดความงดงามเบ่งบาน

น้ำลดความงดงามเบ่งบาน

น้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศสร้างความเดือดร้อนโดยทั่วถ้วน แต่น้ำใจของคนไทยไม่เคยขาด ระดมกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อที่เป็นผู้นำในการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ จนกระทั่งน้ำใจท่วมจอ ท่วมสื่อเลยก็ว่าได้ แต่ละช่องแต่ละเจ้าต่างมีส่วนช่วยรับบริจาค ออกข่าว ประโคมให้คนไทยช่วยเหลือกันอย่างน่ายินดี แม้จะมีข้อปลีกย่อยว่า อาจจะมีผลประโยชน์แอบอิงมาบ้าง ก็ถือเสียว่าเห็นแก่ตัวโดยสุจริตก็แล้วกัน ยังไงสังคมไทยก็ยังมีน้ำใจที่ใสบริสุทธิ์อย่างล้นเหลือ แม้จะมีบ้างบางคนทำตัวเป็นปลิงที่มากับสายน้ำสูบดูดเลือดผู้ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยการฉ้อฉลขนของบริจาคเก็บไว้ หรือไม่ก็สวมรอยใส่ชื่อตัวเอง ใส่โลโก้เครือข่ายตัวเองไว้บนถุงบรรเทาทุกข์ ก็ขอให้สิ่งเหล่านี้มลายหายไปกับสายน้ำ หลังน้ำลดก็มีความหวังว่า คนคดโกงก็จะสูญหายไปจากสังคมไทยบ้าง สังคมเราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยรอยยิ้มที่มีให้กัน หลังน้ำลด ความงดงามแห่งความเอื้ออาทรให้เติบโต เติบใหญ่ เป็นร่มเงาให้เกิดความร่มเย็นกันทั่วถ้วนหน้า จะเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเปล่า!!!!

หลายคนเห็นคนอื่นเขาไปบริจาคทรัพย์สินเงินทอง บริจาคสิ่งของ กลับมานั่งมอง นั่งตรอง แล้วเกิดความรู้สึกไม่ดี เพราะไม่มีเงินทองหรือข้าวของเหลือเฟือมาบริจาค เกิดเป็นปมด้อย น้อยใจที่ไม่มีส่วนช่วยเหลือสังคมกับเขาบ้าง ไม่มีชื่อ-นามสกุลวิ่งใต้จอ แท้จริงแล้วการบริจาคนั้นมีหลายหนทาง บางสิ่งนั้นมีอยู่ในตัวเราทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน สูงต่ำ ดำเตี้ยเหมือนซักเคียส สิ่งนั้นเราทำได้ แต่หลายคนอาจจะหลงลืมไป นั่นคือ การให้ความรู้ และการเข้าไปฟื้นฟูให้กำลังใจผู้ประสบภัย

เนื่องเพราะเราเติบโตมาในสังคมทุนนิยม เราก็เลยมีความคิดติดกับ อยู่ตรงที่ต้องใช้เงินเพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หารู้ไม่ สังคมโลกพัฒนาต่อยอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากการให้ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น การให้ความคิดต่อกันและกัน การให้กำลังใจช่วยให้สังคมขับเคลื่อนเลื่อนไปอย่างราบรื่นและเป็นสุข ต่างกับสังคมที่เต็มล้นด้วยการใช้เงินตราและทองคำ ในการดำเนินตามเข็มนาฬิกาและค่าการตลาด ในหลายที่ในหลายยุคต้องล้มสลายสูญหายไปก็มากมี เงินทองเปลี่ยนมือได้ แต่ต้องแลกมาด้วยการขับเคี่ยวและแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย ตัวใครตัวมัน ในเวลาเกิดภัยธรรมชาติก็ไม่เห็นมีใครเอาเงินไปจ้างพายุ มรสุม ฝนฟ้า สายน้ำที่โหมกระหน่ำ ให้เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางได้ ส่วนความรู้เปลี่ยนทางกลายที่ได้ ยิ่งเปลี่ยนยิ่งมีแต่การพัฒนาต่อไปในความผาสุกอย่างไม่หยุดหย่อน ความรู้กู้วิกฤติจากภัยธรรมชาติได้ สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

ในอเมริกากลาง ทุกๆปีจะมีการแข่งขันประกวดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด หลังจากการประกวดชายผู้ที่ชนะเลิศได้ที่หนึ่ง เขากลับทำในสิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึง นั่นคือ ทันทีที่เขาชนะ เขาก็ได้นำเมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งชนะเลิศการประกวดแจกให้ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน แล้วกล่าวว่า เอาเมล็ดพันธุ์นี้ไปปลูกนะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งขันกันใหม่

ในปีต่อมา เขาก็ชนะการประกวดเมล็ดข้าวโพดอีก เหมือนปีที่ผ่านมา เขาเดินแจกเมล็ดพันธุ์ที่เขาเพิ่งชนะให้คนอื่นๆ แล้วบอกเช่นเดิมว่า เอาไปปลูกนะ แล้วปีหน้าเรามาแข่งกันใหม่ ชายผู้นี้ชนะการประกวดเมล็ดข้าวโพดติดต่อกันหกครั้ง และเขาก็แจกเมล็ดพันธุ์ที่ชนะให้ผู้แข่งขันคนอื่นเหมือนเช่นเดิมในทุกๆปี ส่วนปีที่เขาไม่ได้ชนะเลิศ เขาก็ยังภูมิใจมิใช่น้อย ที่เมล็ดพันธุ์ที่ชนะนั้นล้วนแล้วแต่มีต้นกำเนิดมาจากไร่ของเขา

จนกระทั่งมีนักข่าวคนหนึ่งถามเขาว่า มันไม่ง่ายกว่าหรือ ถ้าคุณจะเก็บเมล็ดพันธุ์ที่ดีไว้โดยไม่แบ่งคนอื่น คุณก็จะได้รับชัยชนะง่ายๆในทุกปี

เขาตอบว่า แสดงว่าคุณไม่เข้าใจวิธีการปลูกพืช คุณเคยได้ยินคำว่ากลายพันธุ์ไหม? ถ้าไร่ของผมมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี บังเอิญไร่ของเพื่อนบ้านมีแต่เมล็ดพันธุ์ที่แย่ๆ วันหนึ่ง ลมก็จะพัดเอาเกสรของเมล็ดพันธุ์ที่แย่มาตกในไร่ของผม ทำให้เมล็ดพันธุ์ผมแย่ไปด้วยจริงไหม มันจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ ที่ทุกคนมีเมล็ดพันธุ์ที่ดี เกสรที่ลมพัดพาไปก็เป็นเกสรที่ดี เมล็ดพันธุ์ไร่ผมก็ย่อมดีไปด้วย แล้วถึงตอนนั้น เราก็แค่มาแข่งขันกันว่า ใครขยัน รดน้ำพรวนดิน เอาใจใส่พืชพันธุ์ได้ดีกว่ากัน

มีคำกล่าวว่า ถ้าคุณมีเมล็ดพันธุ์ความคิดที่ดี คุณเก็บไว้กับตัว ไม่แบ่งปันใคร ถึงวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความคิดนั้น ก็ตายไปพร้อมกับคุณ เป็นสิ่งสำคัญในชีวิต ที่ความคิดและความรู้ ยิ่งให้ออกไป เราก็ยิ่งได้รับกลับมาและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนๆนั้นประสบความสำเร็จที่มากขึ้นไปพร้อมๆกับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าในสังคม (จากเรื่อง Even greater share growth)

แล้ววันนี้เราได้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีไหม เป็นเกสรที่ดีและพร้อมจะล่องลอยไปสร้างความงดงามให้เกิดขึ้นในสังคมไทยเราไหม สิ่งหนึ่งที่เราจะได้เห็นอย่างแน่นอนหลังจาดน้ำลด นั่นคือ ทุกคนก็จะงดเว้นน้ำใจในการช่วยเหลือ กลับมาแข่งขันหาเงินสะสม กอบโกยกันต่อไป ปล่อยให้ผู้ประสบภัยประสบโชคชะตาความทุกข์ยากกันไปตามยถากรรม จะดีกว่าไหมถ้าเรารู้จักที่จะเข้าไปเยียวยา และกู้ใจ ให้ผู้ประสบภัยเริ่มต้นใหม่ ด้วยทักษะและความรู้ในการเริ่มต้นชีวิต เป็นเมล็ดพันธุ์ดีให้ความคิดในการประกอบสัมมาอาชีพ ให้กำลังใจในการลุกขึ้นและก้าวเดินไปด้วยกันฉันท์พี่น้อง หากว่าพระเยซูเจ้าไม่เคยละทิ้งคนต่ำเตี้ย คนยากไร้ฉันใด แล้วเราผู้เป็นศิษย์พระองค์จะไม่เดินตามรอยเท้าพระองค์ล่ะหรือ.....

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เพราะเรายึดคร(ล)อง

เพราะเรายึดคร(ล)อง

มีโอกาสได้กลับไปยืนริมน้ำเจ้าพระยา เห็นระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆจนหวั่นใจว่า น้ำจะไหลท่วมบ้านในอีกไม่ช้า โดยปกติแล้วคนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ เห็นเรื่องน้ำท่วมเป็นเหมือนงานประจำปี ประมาณเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ต้องเตรียมความพร้อม เตรียมเรือ เตรียมขนย้ายข้าวของขึ้นสู่ที่สูง บ้านก็มักสร้างเป็นเรือนชั้นเดียว ปล่อยข้างล่างให้เป็นลานโล่งให้น้ำไหลผ่านได้อย่างคล่องตัว

ครั้นมาช่วงระยะหลังๆมีการสร้างถนนกั้นน้ำ ทำให้ว่างเว้นจากการถูกน้ำท่วมบ้าง ถึงแม้จะมีบ้างบางปีที่น้ำท่วม แต่ก็นานๆครั้ง ทำให้การปลูกสร้างบ้านเรือนมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ มีการสร้างบ้านชั้นล่างให้เป็นห้องหับ มีการกั้นเป็นสัดส่วนด้วยกำแพงปูน มีการสร้างรั้วรอบขอบชิดบ้านใครบ้านมัน เพื่อป้องกันขโมย ขโจร แต่อีกด้านหนึ่งยามน้ำท่วมถึงก็เดือดร้อนมากกว่าสมัยก่อน น้ำขังท่วมนาน แห้งช้า หลังน้ำลดก็ต้องซ่อมแซมทาสีบ้านกันใหม่..

แม้ว่าร่องลำน้ำยามปกติจะดูกว้างขวาง แต่ยามน้ำหลาก ดูเหมือนจะไม่พอบรรจุน้ำที่พากันไหลมาจากที่สูง กระแสน้ำที่ไหลหลากไหลไปอย่างรวดเร็ว สีที่ขุ่นขลัก เพิ่มความดุร้าย เพิ่มความน่ากลัวให้แก่ผู้พบเห็น แม่น้ำยามนี้จึงดูโหดร้ายนัก แม่น้ำยามปกติดูสงบนิ่งงดงาม ยามหลากร้ายเหลือสุดที่จะพรรณนา ...

ในขณะที่ยืนสังเกตระดับน้ำหน้าบ้านเกิด ใจก็อดคิดถึงอีกมุมเมืองหนึ่งของประเทศไม่ได้ ที่กำลังเกิดอาเพศภัยน้ำท่วม อย่างไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายสิบปี ทั้งๆที่บ้านเมืองก็ตั้งอยู่บนที่สูง เมืองโคราช ที่ราบสูง วันนี้กลับจมอยู่ใต้ผืนน้ำ โรงเรียน โรงพยาบาลเซนต์แมรี่ บ้านเณรกลาง ต่างได้รับความเดือดร้อนอย่างสาหัสสากรรจ์ ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยพบเหตุการณ์นี้มาก่อน บ้างก็ว่าแกนโลกมันเบี่ยงเบนหรือไร วงโคจรโลกหมุนเวียนเปลี่ยนทิศ เปลี่ยนทางแล้วหรือ จึงทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง แต่แท้จริงแล้ว ใช่หรือไม่ คนเรานี่แหละที่ไปฝืนธรรมชาติ

น้ำคือส่วนประกอบที่มากสุดของโลกใบนี้ มันเคยมีที่มีทางไหลเลื่อยล่องลงไปสู่ห้วงมหาสมุทรอย่างอิสระ มีพักแวะบ้างในบ่อบึง คูคลอง มาบัดนี้ผู้คนล้นโลก ล้นโลภ หลากหลาย ต่างเข้ายึดคลอง ครอบครองที่ทำกิน แหล่งแอ่ง ท้องทุ่งโล่ง เข้าถม เข้าสร้าง เข้าปรับให้ราบ สร้างกำแพงกางกั้น ตัดไม้ทำลายป่า สร้างบ้านแปลงเมือง ทำตัวเขื่องใหญ่คับป่า หักถักถาง ยึดโค่นต้นขนไปสร้างเมือง เมื่อถือครองเป็นของตัวเอง มีหรือยามน้ำมากจะมีใครเสียสละ ปล่อยให้น้ำไหลเข้าสู่ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ น้ำมันเคยมีที่ไป บัดนี้ถูกบีบ ถูกกัก มันก็ย่อมขังนองเป็นธรรมดา...

ผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่เห็นทางน้ำไหลผ่าน ก็คิดก็ค้นดิ้นรนเพื่อเปลี่ยนทางน้ำตามใจหมาย ขู่ข่มบังคับให้ไหลไปตามทางที่ขีดที่เขียนตามแบบแปลน สร้างเขื่อน กักกั้นน้ำไว้เพื่อผลิตพลังงานต่างๆ เพื่อให้คนเรามีความสำราญ เบิกบานสนองความสุขสบายในการดำเนินชีวิต

มนุษย์ฝืนธรรมชาติ แต่สำหรับธรรมชาติไม่เคยฝืนตัวเอง ธรรมชาติเป็นผู้ให้แผ่ไพศาลไปตามสายธารและตามที่มันจะเป็นไปเสมอ อย่างเที่ยงแท้และมั่นคง ธรรมชาติคือพระเจ้า คือสัจธรรม มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ไม่ยอมฟังและทำตามพระเจ้าที่ตรัสเตือนมาในธรรมชาติ หนำซ้ำยังรังแก ทำลายล้าง เพื่อสนองความอยากด้วยหัวใจที่ผยองพองขน ถมทับด้วยความอยากได้ใคร่มี สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกฝ่ายกาย เรื่องใจเรื่องภายในเป็นเรื่องไร้สาระแห่งสังคมบริโภคสุดขั้ว

ใช่หรือไม่ มนุษย์เต็มล้นด้วยความเห็นแก่ตัว สะสม กอบโกย ต่างคนต่างอยู่ ไม่รู้ไม่เห็น เป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่เคยเห็นเรื่องส่วนรวม เกี่ยงงอนเรื่องความเสียสละ ทุจริตที่จะทำความดี แอบอ้างสร้างภาพ สร้างผลงานฝ่ายเดียวโดยไม่เหลียวแลผู้คนรอบข้าง ไม่เคยใส่ใจว่าแท้จริงชีวิตนี้มีเพื่ออะไร ชีวิตดำเนินไปข้างหน้าเพื่ออะไร ธรรมชาติของการมีชีวิตอยู่คือสิ่งใด !!!

ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม นอกจากจะสร้างความเดือดร้อนแล้ว สิ่งหนึ่งที่แฝงมานั้นก็เพื่อสอนให้เรารู้จักมองเห็นถึงความเดือดร้อนของผู้อื่นบ้าง ย้อนกลับมามองว่า โลกนี้เราอยู่เพื่อตัวเองฝ่ายเดียวไม่ได้ เราสร้างกำแพงกักขังตัวเองมากเกินไปไม่ได้ น้ำท่วมเพื่อทวงถามน้ำใจจากคนหรือเปล่า ธรรมชาติมีหนทางสอนให้เราเสมอ เรานั่นแหละอย่าฝืนธรรมชาติด้วยการเมินเฉยต่อบทเรียนที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆที่ธรรมชาติได้ตีสอนให้บทเรียนแก่เราเสมอมา

หากว่าวันนี้น้ำที่ท่วมมาจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ที่ไปยึดหนทางน้ำไหล เพื่อสร้างหนทางแห่งการเอารัดเอาเปรียบของเรา การชดเชยและเยียวยาก็คงต้องใช้น้ำใจที่ยังคงจะมีเหลือในสำนึกของเรามอบให้แก่กันและกัน เราฝืนธรรมชาติ เราทำลายธรรมชาติกันมากพอแล้ว วันนี้เราอย่าได้ทำลายทำร้ายความเป็นมนุษย์ด้วยกันเลย ปล่อยให้ธรรมชาติที่งดงามแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา โอบอุ้มดูแลกันและกัน ด้วยการลดละการยึดครอง ยึดมั่นถือมั่น ครอบครอง ให้น้อยลงสักนิด เพื่อเพิ่มน้ำจิตน้ำใจให้แก่กันและกัน ให้น้ำใจท่วมบ้านเมืองของเราดีกว่ามิใช่หรือ ให้ความช่วยเหลือกันเพื่อลบรอยทุกข์จากภัยน้ำท่วมในครั้งนี้....

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สองด้านในสิ่งเดียวกัน

สองด้านในสิ่งเดียวกัน

ความรู้สึกรำคาญ ย่อมเกิดได้กับทุกผู้คน บางคนอาจจะมีอาการรำคาญเป็นนิจสิน บางคนก็จะรำคาญในเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ อาการรำคาญเป็นอาการทางด้านจิตใจที่รู้สึกไม่พอใจ ไม่ดังใจ ไม่ได้ดังหวัง ถูกกระทำซ้ำซาก มีผลทำให้เกิดความหงุดหงิด โมโห และกวนใจ ก่อให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ไม่พอใจและโกรธ ความเครียด ความเซ็ง จนนำไปสู่การตัดความรำคาญด้วยการใช้ความรุนแรง

แต่ละคนจะเกิดภาวะรำคาญแตกต่างกันไป รำคาญสิ่งแวดล้อมรอบๆข้าง รำคาญเพื่อนฝูงหรือคนใกล้ตัว ลูกรำคาญพ่อแม่ คนแก่รำคาญเด็ก รำคาญเพราะพื้นที่ที่เคยยึดครองถูกบุกรุก รำคาญจากการถูกรุกล้ำชายแดนส่วนตัว การที่เรามีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟังอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วรู้สึกว่าอารมณ์ไม่ได้เบิกบานไปด้วย เราก็จะรู้สึกรำคาญใจ ถูกบ่นถูกกล่าวโทษในเรื่องเดิมๆ ก็รำคาญ เมื่อถูกขอร้องให้ช่วยเหลือก็รำคาญ

หลายคนจึงตัดความรำคาญ ด้วยการเลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนั้น ปัดความรำคาญแบบขอไปที ..ใช่ ด้วยความที่เราต้องการอิสระเสรีภาพ ไม่ยอมอยู่ภายใต้อาณัติของใคร ด้วยอารมณ์ชั่วแล่นชั่ววูบเราก็ตัดรำคาญด้วยการตัดความสัมพันธ์ไปก็มี ตัดสายใยแห่งความรักต่อกันไปอย่างเย็นชา เมื่อตัดความรำคาญออกแล้ว จนกระทั่งห้วงเวลาหนึ่ง ชีวิตนี้แสนอิสระ แต่กลับต้องเดินอยู่คนเดียว รู้สึกเหงา รู้สึกว้าเหว่ เราก็ต้องการสิ่งแวดล้อมแบบเดิมๆ เราก็ต้องการเพื่อนคุย เพื่อนสนทนาพาที ต้องการความรักจากพ่อแม่ จากคนรอบข้าง โหยหา วันเวลาเก่าๆกลับคืนย้อนมา ก็เนื่องเพราะโลกของเรามักมีสองด้าน ชีวิตมักมีสองแบบ แบบที่ต้องการอิสระกับแบบที่ต้องการเพื่อนร่วมเคียงข้าง คนที่รู้จักควบคุมอารมณ์ คนที่รู้จักจัดวางความรู้สึกด้วยความสุขุมรอบคอบเท่านั้น ที่จะได้พบกับความสวยงาม แม้จะมีความน่ารำคาญพานพบอยู่บ้าง แต่รู้จักที่จะอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบใจเพียงชั่วครั้งชั้วคราว เพื่อความสุขที่ยั่งยืนยาวนานตลอดไปในชีวิต

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว..... อาเธอร์ถูกจับและกำลังจะถูกประหารชีวิต แต่กษัตริย์เสนอให้เขาเป็นอิสระ ถ้าหากเขาสามารถตอบปัญหาที่แสนยากข้อหนึ่งได้ถูกต้อง อาเธอร์มีเวลาหาคำตอบ 1 ปีเต็ม ถ้าเขาตอบไม่ได้ เขาก็จะถูกประหาร

คำถามนั้นคือ ... สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ คืออะไร ? 

ปัญหาดังกล่าวช่างยากเย็น แม้นักปราชญ์ที่ฉลาดก็ยังงุนงง เขากลับไปยังอาณาจักรของเขาและเริ่มหาคำตอบจากทุกผู้คน แต่ไม่มีใครให้คำตอบที่น่าพอใจได้ คนส่วนมากจึงแนะนำให้เขาไปปรึกษาเรื่องนี้กับยายแม่มดแก่ ซึ่งน่าจะเป็นผู้เดียวที่จะรู้คำตอบ แต่ราคาค่าปรึกษาคงจะแสนแพง 

แล้ววันสิ้นปีก็มาถึง อาเธอร์ไม่มีทางเลือกอื่น 


จึงไปหาแม่มด ยายแม่มดตกลงที่จะให้คำตอบ แต่อาเธอร์ต้องยอมรับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนก่อน นางแม่มดต้องการแต่งงานกับกาเวน อัศวินผู้ทรงเกียรติสูงสุดของเหล่าอัศวินโต๊ะกลม และเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของอาเธอร์ 

อาเธอร์หนุ่มถึงกับสยองขวัญ เพราะยายแก่หลังโกง มีฟันเหลืออยู่ซี่เดียว ตัวก็เหม็นเหมือนโถส้วม ชอบทำเสียงประหลาดน่ารังเกียจ

เขาปฏิเสธที่จะให้เพื่อนรักแต่งงานกับหล่อน 

ฝ่ายกาเวนพอได้รับรู้ถึงข้อเสนอนั้นเขายอมแต่งงาน เพื่อชีวิตของอาเธอร์ และยายแม่มดก็ให้คำตอบต่อคำถามของอาเธอร์ สิ่งที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ก็คือการได้เป็นตัวของตัวเอง ทุกคนทราบได้ทันทีว่าแม่มดได้กล่าวอมตะวาจาอันยิ่งใหญ่ และอาเธอร์ก็รอดพ้นจากการประหารแน่นอน และก็เป็นเช่นนั้นจริง




แต่ทว่า........งานแต่งงานของกาเวนกับยายแม่มดช่างเหลือรับจริงๆ กาเวนสง่าผ่าเผยเช่นปกติทั้งสุภาพอ่อนน้อม ส่วนฝ่ายแม่มดเฒ่านั้นออกลายนิสัยเลวสุดเดช 

ทั้งกินมูมมามด้วยสองมือ ทั้งเรอ ทั้งผายลม ทุกผู้คนต่างรู้สึกอึดอัด รำคาญ และแล้วยามค่ำของวันส่งตัวก็มาถึง 

กาเวนพร้อมรับคืนสยอง เขาก้าวเข้าสู่ห้องนอนวิวาห์ ช่างไม่เชื่อสายตาตนเอง!!!! หญิงสาวแสนสวยที่สุด ที่เคยพบพานนอนรออยู่เบื้องหน้า กาเวนงุนงง ? สาวแสนสวยเฉลยว่า 

เพราะกาเวนช่างแสนดีกับหล่อน ( เมื่อยามเป็นแม่มด) ดังนั้น ครึ่งหนึ่งของวัน เธอจะอยู่ในสภาพพิกลพิการน่ารังเกียจ ส่วนอีกครึ่งหนี่งของวัน เธอจะอยู่ในร่างแสนสวยนี้ 

กลางวันเขาอยากให้เธอเป็นแบบไหน กลางคืนอยากให้เป็นแบบไหน ? 

เป็นคำถามที่ช่างโหดร้าย!!!

กาเวนเริ่มคิดไตร่ตรอง มีหญิงสาวสวยยามกลางวันเพื่ออวดต่อเพื่อนฝูง แต่กลางคืนเมื่ออยู่สองต่อสองเป็นยายแม่มด ? 

หรือว่าเขาควรจะเลือกยายแม่มดตอนกลางวัน แล้วอยู่กับสาวสวยยามค่ำคืนดี ?? กาเวนตอบว่า ขอมอบให้เธอเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเองเมื่อเธอได้ยินดังนั้น เธอจึงประกาศก้องว่าเธอจะสวยตลอดเวลา เพราะเขาได้ให้ความเคารพและให้เธอเป็นตัวของตัวเอง

ในตัวเราย่อมมีด้านร้ายและดี แล้วเราจะจัดการกับความรำคาญ หงุดหงิดด้วยมุมไหน ฝากไว้ให้คิดต่อยอดกันต่อนะครับ.....

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใช้พระเจ้าอย่างสิ้นเปลื้อง

ใช้พระเจ้าอย่างสิ้นเปลื้อง

กลางคืนสงัด สรรพเสียงสงบ ความมืดมิดเข้าปกคลุม แต่..สำหรับคนที่อยากจะข่มตาหลับ ค่ำคืนนี้ใยมีแต่ความสับสน วุ่นวาย และว้าวุ่น ลุ้นให้เวลาเดินอย่างรวดเร็วแต่กลับดูเหมือนยิ่งเชื่องช้า เสียงแห่งกลางวันกาล คือสิ่งที่ปรารถนาจะได้ยิน ไม่อยากจมอยู่ในความเงียบสงัด สลัดไม่ออกจากความกระสับกระส่าย จุดหมายคือแสงแห่งวันใหม่

ในค่ำคืนที่แสนยาวนานเยี่ยงนี้สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ การควบคุมความคิดไม่ตะเหลิดเปิดทางไปสู่เรื่องใหม่ๆ พยายามรวมจุดศูนย์กลางอยู่ในเรื่องเดียว พระเจ้าข้า...โปรดประทานการพักผ่อนแก่ข้าฯด้วยเถิด

แล้วเสียงๆหนึ่งก็หลุดลอดออกมาจากห้วงมโนสำนึก ใยเราต้องอิงแอบ แอบอ้างพระเจ้าในทุกกรณี ใช่แหละ... พระองค์ คือ องค์บรรเทา แต่ตัวเราหลายครั้งหลายหน ก็ฉกฉวย สร้างเกราะ สร้างกำบังโดยใช้พระเจ้าอย่างสิ้นเปลื้อง ทุกกิจการที่ทำก็อ้างแอบทำเพื่อพระองค์ แท้จริงแล้ว เราก็ทำเพื่อตัวเรา สร้างชื่อ ปั้นกระแส ให้คนแห่แหนห้อมล้อม ให้คนสรรเสริญ เราหาได้เป็นลูกที่ดีของพระองค์ไม่ เราใช้สิ่งที่พระองค์ให้เราครอบครองอย่างไร้รอบคอบ เราก็ไม่ต่างจากลูกที่ไม่ยอมทำอะไร ไม่ได้ไม่ดีก็อ้างชื่อพ่อชื่อแม่ รู้หรือเปล่าว่ากรูลูกใคร และการทำร้ายพระเจ้าอย่างเจ็บแสบที่สุดก็อาจจะมาจากการหยิ่งผยองลำพองในตน ของเราแต่ละคนก็ได้...

มีหนุ่มเจ้าสำราญผู้หนึ่ง วันๆไม่ยอมทำประโยชน์อะไร ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ทั้งๆที่อายุอานามก็สมควรแก่การสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างฐานะและมีครอบครัวได้แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะมีความรับผิดชอบ ไม่คิดอยากจะรับภาระอะไรใดๆทั้งสิ้น ด้วยเห็นว่า เป็นหน้าที่ของพ่อแม่อยู่แล้วที่ต้องหาเงินหาทองไว้ให้ลูก และกิจการที่บ้านนั้น ทั้งพ่อและแม่ต่างช่วยกันทำมาหากินอย่างขยันแข็งจนเงินทองที่มีอยู่ชาตินี้ก็คงใช้ไม่หมด

วันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้และเพื่อนๆอีก 2-3 คน พากันเข้าป่าหมายจะไปล่าสัตว์ แต่เมื่อเดินเข้าป่าไปได้สักพักใหญ่ เขาก็เกิดพลัดหลงกับเพื่อน ชายหนุ่มจึงเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จุดหมาย เขาเริ่มหลงทางเขาเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียแต่ก็ต้องหาทางเดินต่อไปเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า บรรยากาศรอบข้างมืดลง ไม่เห็นหนทางเขาจึงทิ้งตัวลงนอน ด้วยความหิวโหยและหมดแรง

รุ่งขึ้น..เขายังคงเดินต่อไป เพื่อหาทางออกจนกระทั่งพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขาอีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังจะทิ้งตัวลงอย่างสิ้นหวัง เขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟจากกระท่อมกลางป่าหลังหนึ่ง เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่รีบวิ่งไปยังกระท่อมนั้นและได้พบสามี ภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งเมื่อไต่ถามความเป็นมาของชายหนุ่มแล้ว ทั้งคู่ก็บอกให้ชายหนุ่มไปอาบน้ำอาบท่า แล้วจัดแจงหาข้าวปลาอาหารมาให้กินคืนนั้นชายหนุ่มจึงหลับไปด้วยความสุข

วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยความแจ่มใสและรู้สึกตื้นตันใจในความเมตตากรุณาของสองสามีภรรยาเป็นอย่างมาก เขาจึงกล่าวขึ้นว่า

ข้าขอขอบคุณท่านทั้งสองที่ได้ช่วยชีวิตข้าในครั้งนี้แม้เราไม่เคยรู้จักกัน แต่พวกท่านก็ให้การดูแลข้าอย่างดีข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร จึงจะทดแทนน้ำใจของพวกท่าน ได้

ฝ่ายภรรยาจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วตอบว่า

หนุ่มน้อย ถ้าเจ้าอยากตอบแทนละก็กลับไปทดแทนบุญคุณพ่อแม่ของเจ้าเถิดพวกเขาเลี้ยงดูอุ้มชูเจ้ามาให้ทั้งข้าวปลาอาหารน้ำท่าที่พักพิง จนเติบใหญ่เพียงนี้บุญคุณนั้นใหญ่หลวงนัก เราสองคนแค่ให้ที่พักพิงเจ้าชั่วข้ามคืนหนึ่ง เทียบกับพ่อแม่เจ้าไม่ได้หรอกได้ฟังดังนั้น ชายหนุ่มจึงคิดได้ว่า เขาเป็นผู้ที่หลงทางจริงๆ

และสำหรับเรากำลังหลงทางกันอยู่หรือเปล่า.. เคยคิดตอบแทนพระเจ้าโดยไร้ผลประโยชน์แอบอ้างบ้างหรือเปล่า บ่อยครั้งเราคิดว่าทุกกิจการที่ทำนั้น ทำเพื่อพระองค์ แต่สำหรับพระองค์นั้นคงไม่ต้องการให้ใครทำอะไรให้ สิ่งที่พระองค์ปรารถนา คือ ต้องการให้เรามีจิตใจ จิตวิญญาณที่ค่อยๆสูงขึ้น โดยมีคุณงามความดี ที่หมั่นกระทำหนุนนำส่ง เพื่อที่เราจะได้อยู่กับพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์ โดยมีหนทางการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ให้ผู้คนอีกมากมายที่กำลังทลายความเป็นคนด้วยความโลภ และการไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม การเอารัดเอาเปรียบ เพื่อให้สังคมโลก เพื่อให้ทุกคนหันกลับมาสู่ความจริง ชีวิตมีเป้าหมายอยู่ที่การยกระดับจิตวิญญาณให้กลับไปหาพระองค์ อย่าใช้พระเจ้าสิ้นเปลื้อง

ราตรีที่แสนยาวนานจบสิ้นลง แล้ววันใหม่ก็เริ่มขึ้น ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานวันเวลา ลมหายใจ และความรักของคนรอบข้างให้แก่เรา ขอบคุณพระองค์สำหรับบทเรียนในกลางคืนที่แสนสับสน จากนี้ไป ทุกกิจการที่ทำจะทำเพื่อให้โลกยังคงความดีต่อไปตราบนานเท่านาน.....

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร้าย-ดี อยู่ที่มุมมอง

ร้าย-ดี อยู่ที่มุมมอง

รู้สึกเช่นไรกับข่าวของคนสองคน??? ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนสาธารณะ ที่ทำอะไรกันไว้ความจริงก็รู้กันอยู่เพียงสองคน แต่เรื่องราวบานปลายกลายเป็นว่า ต้องให้คนส่วนใหญ่สวมบทผู้พิพากษา (หลายคนชมชอบบทบาทนี้มาก) ออกมาให้ความเห็นเป็นฉากๆ มาถึงวันนี้มีความรู้สึกว่าเบื่อๆเหมือนกันที่ต้องรับรู้ข่าวนี้ทุกวัน และมันก็เกิดเรื่องประเภทนี้ซ้ำๆซากๆ เป็นดังละครบทเก่า ที่เปลี่ยนคนเล่นคนใหม่ แต่ทำอย่างไรได้เล่า เราก็ต้องอยู่กับข่าวฉาวประเภทนี้ต่อไป แต่สำหรับเราก็ต้องมีมุมมองใหม่ๆ ที่จะนำเหตุการณ์เหล่านี้มาเป็นบทเรียน นำมาเป็นบทสอนให้ลูกหลานที่จะสืบสานความงดงามของสรรพสิ่งสร้างให้คงอยู่ต่อไป

มุมมองแรก แทนที่เราจะมองหาใครผิดใครถูก แต่เรากลับไม่เคยพูดกันในวงสังคมเลยว่า ศักดิ์ศรีความเป็นหญิง ชาย วันนี้ คืออะไร ..เรานำความเป็นเพศที่แบ่งแยกเพื่อความสวยงาม ปะปนไปกับความเสพสุขหรรษาแห่งความใคร่เท่านั้นหรือ!!! เมื่อเราไม่เห็นคุณค่าแห่งเพศแม่ แม่ก็กลายเป็นแม่เพียงกายหาได้มีจิตใจแห่งการเป็นแม่ไม่ ชาย ฝ่ายที่ได้เปรียบทางสรีระ หาได้ปกป้องหญิงสาวแต่กลับนำมาบำบัดความกำหนัดสนองความคะนอง แท้จริงลิงยังดีเสียกว่า ความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตังค์ คนเราก็ผิดเพี้ยน คุณค่าความเป็นคนก็แปรเปลี่ยนเป็นสินค้ากันหมด

ประการที่สอง ความงดงามของเด็กน้อยที่พลอยถูกละเลยมองข้าม ทารกน้อยผู้ที่ยังไม่สามารถปกป้องตัวเอง หรือเลือกประการใดๆ ได้ว่า จะทำหรือไม่ทำอะไร และเพราะอะไร? ต้องมาแบกรับความเสื่อมทราม แสงไฟ แสงแฟรช ที่สาดใส่ ใช่การทำลายเด็กผู้นั้นให้มอดไหม้ไปหรือไม่...

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่เว้นแม้แต่งานสื่อสารมวลชน และในยุคโลกไร้พรมแดน ประชาชนมีทางเลือกในการบริโภคข่าวสารหลายช่องทาง สิ่งที่แฝงมาคือความโหดร้ายของจิตใจ การมองโลกในอีกมุมหนึ่ง มุมที่งดงามก็อาจจะทำให้จิตวิญญาณความเป็นคนของเราสมบูรณ์ได้

เจอร์รี่ เป็นผู้จัดการของร้านอาหารแห่งหนึ่งเขามักจะอารมณ์ดีอยู่เสมอๆและมักจะมีมุมมองต่อเหตุการณ์ต่างๆในแง่ดี มีคนเคยถามเขาว่า เขาอยากเป็นอะไร อยากได้อะไรมากที่สุดในชีวิต เขามักจะตอบว่า ถ้าผมสามารถเป็นอะไรที่ดีกว่านี้ได้ ผมอยากจะมีฝาแฝด!

จากการเป็นคนมองโลกในแง่ดีและทัศนคติของเจอร์รี่ เขาเป็นผู้ผลักดัน เป็นคนที่ให้กำลังใจผู้อื่นได้อย่างดีเยี่ยม ถ้ามีลูกน้องคนไหนเจอกับเรื่องแย่ๆมา เจอร์รี่ จะอยู่กับเขาเสมอ พร้อมทั้งแนะนำลูกน้องคนนั้นให้ได้มองเห็นด้านดีๆ หรือสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากเรื่องราวแย่ๆที่เกิดขึ้น เจอร์รี่มักพูดว่า ทุกๆเช้า ผมตื่นขึ้นมา พร้อมกับบอกตัวเองว่า ผมมีทางเลือกสองทางสำหรับวันนี้ ผมเลือกที่จะมีอารมณ์ดีตลอดทั้งวันก็ได้ หรือจะมีอารมณ์เสียๆตลอดทั้งวันก็ได้เหมือนกัน ซึ่งผมมักจะเลือกอารมณ์ดี บางครั้งก็มีเหตุการณ์แย่ๆเกิดขึ้น เราก็สามารถเลือกได้นี่นาว่า เราจะเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นั้น หรือว่าเลือกที่จะเรียนรู้มันผมมักเลือกที่จะเรียนรู้ทุกครั้ง

ใช่ ไม่ง่ายเลย ชีวิตล้วนเต็มไปด้วยทางเลือกเมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไปแล้ว ทุกสถานการณ์ต่างก็มีทางเลือกของมัน คุณเลือกได้ว่าจะตอบสนองกับเหตุการณ์นั้นอย่างไร คุณเลือกได้ว่าจะให้ผู้คนรอบข้างมีผลกับความรู้สึกของคุณได้อย่างไร คุณเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือแย่ก็ได้ มันเป็นทางเลือกว่าคุณจะใช้ชีวิตของคุณอย่างไร

หลายปีต่อมาเกิดเรื่องร้ายแรงกับชีวิตเจอร์รี่ เขาลืมล็อคประตูด้านหลังของร้านในเช้าวันหนึ่ง และถูกปล้นโดยโจรสามคนที่มีอาวุธ ระหว่างที่เจอร์รี่กำลังพยายามเปิดเซฟ มือของเขาสั่นเนื่องจากความตื่นเต้น ทำให้เกิดพลาด โจรพวกนั้นยิงเขา โชคยังดีที่มีคนพบและนำเขาส่งโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที หลังจากการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงและได้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลอย่างใกล้ชิด เจอร์รี่ ก็ได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมทั้งเศษกระสุนในร่างกาย

เขาเล่าถึงความรู้สึกหลังจากที่โจรออกไป หลังจากที่โดนยิง และผมล้มลงบนพื้น ผมก็ยังคงจำได้ว่า ผมมีสองทางเลือกนี่นา มีชีวิตต่อไปหรือว่าตายเสียในตอนนั้นผมเลือกที่จะอยู่ต่อไป เจอร์รี่เล่าต่อ เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ทำหน้าที่อย่างดีมาก พวกเขาคอยบอกว่าผมจะปลอดภัย แต่เมื่อพวกเขาเข็นผมเข้าไปในห้องฉุกเฉิน และผมได้เห็นความกดดันบนใบหน้าของหมอและพยาบาล ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ ในสายตาของพวกเขา มันเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า เขาตายแล้ว ผมรู้ทันทีว่าผมต้องทำอะไร ผมต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรซักอย่างให้พวกเขารู้ว่าผมยังอยู่...มีนางพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามผมว่า ผมแพ้อะไรหรือเปล่า ผมตอบว่า มี... นางพยาบาลและหมอต่างก็หยุดทำงานรอฟังคำตอบจากผม ผมหายใจลึกๆและตอบว่า กระสุน! หลังจากที่พวกเขาหัวเราะ ผมก็บอกพวกเขาว่า ผมเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ โปรดช่วยรักษาผมอย่างคนมีชีวิต ไม่ใช่คนตาย เจอร์รี่ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขอบคุณความสามารถของหมอแต่มันก็เป็นเพราะทัศนคติต่อชีวิตอันแสนจะน่าทึ่งของเขา www.thaireaderclub.com

ในทุกๆวันเรามีทางเลือกของชีวิต เลือกที่จะรักหรือว่าเกลียดสิ่งต่างๆในชีวิตขึ้นอยู่กับความคิดและทัศนคติ ร้าย ดี อยู่ที่เลือกที่จะมองโลกมุมไหน อยู่ในโลกใบนี้ใครจะห้ามเรามองโลกในมุมที่แตกต่างจากคนอื่นได้เล่า...