วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565

ยิ่งกว่ากาว

 

ยิ่งกว่ากาว

>>> การยึดติดสิ่งของด้วยกาวอย่างไรเสียก็ต้องมีวันเสื่อม วันหลุดลอก

ความกลัว ผสมความโลภ นำมาซึ่งการยึดติดแบบถาวร

ยึดติด จึงไม่กล้าเปลี่ยนแปลง และจมอยู่กับความเคยชินตลอดไป <<<

มีโอกาสได้ไปแบ่งปันวิถีชีวิตยุคสื่อโซเชียล ให้กับคณะครูที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง นั่งเรียบเรียงเนื้อหาที่จะพูดคุย สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่ในโลกวันนี้กำลังประสบพบเจอ หลายคนถูกหลอก ถูกโกง ถูกล่อลวง และหลงเชื่อกันง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ในยุคนี้เราล้วนหาข้อเท็จจริงได้ง่ายแสนง่าย อาจจะเป็นเพราะว่า ผู้คนก็ยังยึดติดกับความกลัว ความโลภ และยึดติดกับตัวเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามนวัตกรรมที่ล้ำหน้า คนที่คิดจะคดโกงคนอื่นจึงใช้ช่องว่างตรงนี้มาหากินในรูปแบบใหม่ ทำให้หลายต่อหลายคนเสียเงินเสียทอง เสียอนาคตไปมากมาย


อาจจะเป็นเพราะโลกเราบูชาคนมีเงินจนเกินงาม
จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ลุ่มหลงจมดิ่งกับการที่ต้องรวย โดยมิได้สนใจวิถีการที่ได้มา ชอบอะไรที่ได้มาอย่างง่าย ๆ คิดว่ารวยแล้วจะครองโลก  ได้ทั้งโลกมาครอบครอง ทั้ง ๆ ที่ คนร่ำรวยที่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรง หยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง ยังคงเห็นคุณค่าของการมี มากกว่าคนที่ต้องการเพียงจะมี ผ่านมากี่ยุคกี่สมัย มนุษย์เราก็ยังจมปลักกับเรื่องการไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติมาครอบครอง บางทีเมื่อได้มาแล้วกลับใช้ไม่เป็น บริหารไม่ถูก ฉะนั้นแล้ว เอาเข้าจริง มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณ หากขึ้นอยู่กับคุณภาพ คุณค่าของคนเราต่างหาก เราก็ไม่ต่างจากลิงในเรื่องเล่าต่อไปนี้

ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน เพราะพวกมันชอบแอบไปโขมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็ก ๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้ ในกล่องมีถั่ว ซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อ วันดีคืนดี ลิงมาที่สวนเห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว แต่พอถอนมือออกก็ติดฝากล่อง เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้ ลิงพยายามดึงมือเท่าไหร่ก็ไม่ออก พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้ เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว สุดท้ายถูกคนจับได้ ลิงหาได้เฉลียวใจไหมว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น มันก็เอาตัวรอดได้ แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก (เพจ สายธารแห่งปัญญา)

ในชีวิตยังมีหลายอย่างที่เราอยากได้ อยากมีอยากเป็น เราจึงยึดไว้อย่างเหนียวแน่น แน่นกว่ากาวทุกชนิดในโลก เวลาประสบปัญหาเราก็ได้แต่วิ่งวุ่น สับสนอยู่กับสิ่งที่ติดกับตัวเรา โดยไม่ทันได้คิดว่าเพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้น ปล่อยวางลงเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย เพราะเราไม่กล้า เพราะเรากลัวเกินจนไม่ยอมปล่อย จึงเกิดผลเสียตามมามากมาย เรายึดอัตตาเกินไป เพื่อนฝูงผู้คนก็ถอยห่างจากเรา เรายึดติดกับภาระ หน้าที่ จนเกินควร เราก็เป็นคนเคร่งเครียด วันนี้หลายคนกดดันตัวเองและแสร้งหลอกว่าตัวเองเป็นเช่นนี้ก็มีความสุขแล้ว บ่อยครั้งการปล่อยวาง ไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น หากเป็นทางออกจากปัญหา เราปล่อยวางกันบ้าง เดินตามทางพระเยซูผู้ที่มีแต่รักและให้ โดยมิได้เอาตัวเอาเป็นศูนย์กลาง แต่กางแขนออกยอมให้ทุกคน นั่นไงชายผู้อยู่บนกางเขนมาหลายพันปี

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2565

ค่าเริ่มต้น

 

ค่าเริ่มต้น

>>> หากชีวิตเราบูชาอะไรเราก็จะยึดติดอยู่กับสิ่งนั้น

เราทุกวันนี้ถูกปรุงแต่งด้วยความกลัว ความโกรธ ความโลภ

การมีจิตสำนึก มีสติ ในโลกวันนี้เป็นเรื่องยากเหลือเกิน<<<

ด้วยความที่ต้องอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือสื่อสาร ผลิตสื่อต่าง ๆ มาค่อนชีวิต จากระบบอนาล็อกสู่ยุคดิจิตอล ล้วนแต่ต้องพบเจอการติดขัด หรือ เออเร่อ ERROR ในทุกเครื่องมือมักถูกตั้งค่าเพื่อให้เราปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการ หรือตามความชอบของเรา เมื่อเกิดปัญหา แก้ไขจนถึงที่สุด ยังกลับมาใช้งานไม่ได้ สิ่งที่ต้องทำ คือ หาปุ่ม reset หรือ default setting บางเครื่องมือก็อาจจจะใช้คำว่า “ค่าจากโรงงาน” เป็นจุดการเริ่มต้น กลับสู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ค่าเริ่มต้นทำให้เราสามารถที่จะแก้ไขปัญหาทางเทคนิคได้ง่ายขึ้น แล้วค่อยมาไล่เรียงใหม่ ปรับจากค่าเริ่มต้นบางทีนำมาซึ่งหนทางการปรับเปลี่ยนในรูปแบบใหม่อีกด้วย



จึงมานั่งทบทวนว่า ในชีวิตเราบางทีก็ควรที่จะไปที่ “ค่าเริ่มต้น” บ้าง เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด ถึงแม้ว่าความผิดมิอาจจะลบล้างได้ การรู้สำนึกและแก้ไขต่างหากที่จะลดละความผิดพลาดลงไปได้บ้าง ใช่หรือไม่ บางทีชีวิตเราถูกปรุงแต่ง ถูกปรับ ถูกจูน ไกลห่างจากจุดเริ่มต้น ด้วยกิเลส ด้วยความโลภ ความหลง ด้วยเปลือกนอกพอกหนา จนบ่อยไปที่เราลืมว่าเรามาจากไหน ใช่ค่าเริ่มต้นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะพระผู้สร้างต้องการให้เราหลากหลายเพื่อสร้างสรรค์โลกใบนี้ เราต้องเรียนรู้ค่าเริ่มต้นของเราเองให้ได้เสียก่อน และทบทวนว่าการปรุงแต่งปรับจูนของเรามันก่อใก้เกิดอาการร่วน บ่อยหรือไม่ แม้แต่โลกของเรา ก็มักมีการรีเส็ทตัวเองสู่ค่าเริ่มต้นตามกาลเวลาเสมอ



อะไรที่ดูไม่เข้าที่เข้าทาง เมื่อถึงเวลาโลกจะจัดสรรให้อยู่ถูกที่ถูกทาง ตัวเราก็เช่นเดียวกัน ใครที่กำลังสับสนกับหลาย ๆ เรื่องในชีวิต สักวันโลกจะหมุนให้มันลงตัวเอง ให้อยู่ในที่ที่มันเหมาะสม โลกแห่งความเป็นจริง จะไม่ทัดทานเราไม่ให้ใช้ค่าเริ่มต้น เพราะโลกวันนี้เต็มไปด้วยคน เงิน และอำนาจ ที่หมุนไปเรือย ในวังวนแห่งความกลัว ความโกรธ ความโลภ และการบูชาอัตตา ในโลกที่เน้นความอยาก ความสำเร็จ และการโอ้อวด มีการใช้เสรีภาพกันอย่างไม่มีสำนึก และเรื่องจิตสำนึกก็เป็นเรื่อง Out ไปเสียแล้ว

ทุกยามเช้า ทุกอย่างก็มักเริ่มต้นจากความเงียบ  เริ่มต้นจากความว่างก่อนจะวุ่นวาย วกวน เริ่มต้นจากน้อยไปหามาก ถนนยามเช้าตรู่รถสัญจรน้อยนัก พลันกลางวันจะกลายคล้ายดังที่จอดรถ และวิถีแห่งวันแบบนี้ก็จะวน ๆ คล้าย ๆ เดิม ในช่วงเวลามหาพรตของเราคริสตชนจึงเป็นช่วงที่เหมาะที่เราจะต้องทบทวนตัวตน จากจุดเริ่มต้น จากความวางเปล่า จากความสงบภายใน กลับหาค่าเริ่มต้นของตัวเอง ถึงแม้แต่ละคนจะมีความแตกต่าง สิ่งหนึ่งซึ่งเหมือนกันเสมอนั่น คือ เราล้วนมาสู่โลกด้วยตัวเปล่า ที่เต็มไปด้วยความรัก มากน้อยไม่เท่ากัน แต่เราจะรักษาพัฒนาความรักสู่ความเมตตาอันยิ่งใหญ่ได้เช่นไร ก็อยู่ที่การปรับเปลี่ยน โดยมีพื้นฐานจากจุดเริ่มต้นนี้เสมอ….

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2565

การรอคอยที่ยาวนาน

 

การรอคอยที่ยาวนาน

>>>  ในห้วงยามปกติ ทำงานที่เรารักเราชอบ เวลาแต่ละสัปดาห์ผ่านไปรวดเร็ว

ในห้วงอารมณ์ที่เบื่อ เหงา เครียด เวลาดูจะช้าลง ๆ

ทุกการรอคอยมีความหวังที่เราหวังอยู่เสมอ แม้จะยาวนานเราก็พร้อมคอย<<<

บนตึกสูงของโรงพยาบาลกลางเมือง นั่งรอคอยคนคุ้นเคยในห้องพัก กลับมาหลังการผ่าตัด เวลาผ่านไปแต่ละนาทีดูเชื่องช้ากว่าทุกวัน ทั้ง ๆ ที่เวลาก็เดินตามปกติอย่างซื่อสัตย์ทุกวินาที  แต่ ณ ตอนนี้มันดูจะนานแสนนาน และยืดยาดเสียเหลือเกิน อ่านหนังสือก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง นั่งเขียนบทความนี้ในขณะที่เฝ้ารอ นึกถึงบทกลอนในนิตยสาร  a day ชื่อว่า ‘Time Is’ ของ Henry van Dyke (1852-1933) นักเขียนและนักประพันธ์ชาวอเมริกัน โดยพรรณนาถึงความหมายและมุมมองที่หลากหลายต่อกาลเวลา ซึ่งถูกนิยามจากความรู้สึกของผู้คนที่ตกอยู่ในภวังค์อารมณ์บางอย่าง ถือเป็นหนึ่งในบทกลอนที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในบรรดาผลงานทั้งหมดของเขา

Time is …

 Too slow for those who Wait, (เวลาช่างเชื่องช้าสำหรับผู้ที่รอคอย)

Too swift for those who Fear, (รวดเร็วเกินตามทันสำหรับผู้หวาดเกรง)

Too long for those who Grieve, (เนิ่นนานเต็มทีสำหรับผู้เศร้าโศก)

Too short for those who Rejoice, (ย่นย่อชั่วครู่สำหรับผู้ชื่นชมยินดี)

But for those who Love, Time is not. (แต่สำหรับผู้มีความรัก เวลานั้นเป็นอนันต์)


เวลาของแต่ละคนจึงไม่เคยเท่ากัน และเวลาก็เป็นสิ่งมีค่าเกินกว่าจะถูกปล่อยทิ้งให้สูญไปเปล่า ๆ การรอคอยคนที่สำคัญที่สุดในชีวิต รอคอยอย่างมีจุดหมาย และมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเอง เพื่อสำรวจ เพื่อไตร่ตรอง ถึงการมีลมหายใจร่วมกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี การรอคอยเพียงครึ่งค่อนวันจึงไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะลำบากลำบน แม้แต่ละนาทีจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าตามความรู้สึกของเรา ณ ตอนนี้

เวลาจะเร็วจะช้า มิได้อยู่ที่ตัวของเวลาเลย หากอยู่ที่ภาวะอารมณ์ ความรู้สึกของเรา ฉะนั้นแล้ว สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่การควบคุมอารมณ์ ควบคุมความรู้สึกของเรา เพื่อทำให้วันเวลาแห่งชีวิตเรามีคุณค่า เวลาแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน ขึ้นกับคุณภาพการเจริญชีวิตของเราแต่ละคน ยิ่งเรามีความรักมากเท่าไหร่ ย่อมทำให้เวลาที่เรารอคอยนั้นมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นเท่านั้น ความรักจะนำพาทุกอย่างให้ดำเนินไปตามจังหวะเวลาอย่างลงตัว แม้จะช้าลงบ้างก็มิได้ทำให้สูญเสียความหมายลงไป


ใช่หรือไม่ มีการรอคอยบ่อยครั้งนำมาซึ่งความหวังดี ๆ ความหวังในความสุข
บ่อยครั้งนำมาซึ่งความตั้งใจอันดี 40 วันมหาพรตดูเหมือนจะยาวนาน เป็นการเฝ้ารอคอยการกลับคืนชีพอย่างรุ่งเรือง แต่ระหว่างทางที่ต้องผ่านความทุกข์ ผ่านการทดลอง ผ่านการผจญ นี่จึงเป็นเสมือนการจำลองชีวิตของเรา ที่กว่าจะพบความสุขแต่ละครั้ง เราตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างไร? ระหว่างทางนั้นเราประสบพบเจอปัญหามากน้อยเพียงใด? ชีวิตจริงเป็นเช่นนั้น วนลูปกลับไปกลับมา ในแต่ละครั้ง บันทึกความทรงจำที่ดีงาม ทำให้ชีวิตเราเข้มแข็งขึ้น ทำให้จิตวิญญาณพัฒนาเติบโตขึ้น อย่าให้ทุกการรอคอยที่ยาวนานกลายเป็นความสูญเปล่า

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2565

เย้ายวนกวนภายใน

 

เย้ายวนกวนภายใน

>>> เพราะคนเราทุกวันนี้ดูกันที่ ตำแหน่ง ยศฐานบรรดาศักดิ์ พูดอะไรมาก็เชื่อไว้ก่อน

จริงหรือไม่ แท้หรือปลอม ค่อยว่ากัน คนที่ไร้ตำแหน่งแห่งตน พูดจริงแทบตาย

ก็ตายไปเถอะ ไม่ใคร่มีใครจะเชื่อถือ โลกนี้จึงมีความจริงที่จืดจางเหลือเกิน

เราจะไม่มีหลงทาง หากยึดมั่นในความจริง แม้จะถูกล่อลวงด้วยกิเลสต่าง ๆ <<<

ข่าวการเสียชีวิตของนักแสดงสาว แตงโม ยังคงครองหน้าฟีด ครองหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์มาอย่างต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จริงเท็จประการใดก็เป็นเรื่องที่ให้ผู้มีหน้าที่ดำเนินการต่อไป เราผู้เสพข่าวสารก็เพียงติดตามเอาใจช่วย เพื่อความจริงจะได้กระจ่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้รู้หรือแสดงทัศนะตามกระแส เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้นำมาปรับวิถีชีวิตเรา ในการอยู่ร่วมกัน

หลายครั้งหลายกรณีเราก็ถูกชี้นำด้านข่าวสารมากกว่าความจริง ต้องยอมรับกันตรง ๆ ว่า วันนี้ข่าวสารที่แพร่ออกมานั้นเป็นขายข่าว เป็นการแสดงทัศนคติส่วนตัวมากกว่าข้อเท็จจริง ใช่หรือไม่ วัฒนธรรมแบบนี้จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้กับคนที่มีโอกาสที่จะแสดงข้อมูล ยิ่งมีหน้าที่ มีตำแหน่ง ยิ่งดูน่าเชื่อถือ คนย่อมเชื่อตาม ถึงแม้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนแปลง การเข้าถึงข้อเท็จจริงจะง่าย แต่คนเราก็ยังเลือกที่จะเชื่อคนเหล่านั้นมากกว่าอยู่ดี เราเชื่ออะไรกันง่าย ๆ จึงเป็นโอกาสที่คนที่คิดจะหลอกลวงมากขึ้น


วันนี้เราหลายคนคงได้รับโทรศัพท์ ข้อความ อีเมล์ ล่อลวงกันมาก  เช่น เมื่อไม่กี่วันนี้มี อีเมล์มาที่อีเมล์ของวัดว่า วาร์เรน บัฟเฟตต์ (นักลงทุนชื่อก้องโลก) จะบริจาคให้เงินจำนวน $4,800,000.00 มาให้ หรือกระทั่งอีเมล์ส่วนตัว ก็ถูกหลอกคล้าย ๆ กันว่า เราเป็นคนโชคดี ที่ได้รับรางวัลใหญ่ และถ้าจะได้เงินก้อนใหญ่นั้น ก็ต้องยอมให้ข้อมูลส่วนตัว ชื่อจริง เลขบัญชีธนาคาร เลขที่บัตรประชาชน เบอร์โทร มีไม่น้อยหลงเชื่อ และก็ต้องเสียเงินไปเพื่อหวังเงินก้อนใหญ่กว่า มันเป็นความโลภที่ถูกหล่อลวงทางโลกออนไลน์ เพราะในส่วนลึก เราหวังรวย ใช่หรือไม่ เราต้องการเงินก้อนใหญ่เพียงเพื่อหวังใช้ชีวิตอย่างสบายในวันข้างหน้า แต่ในวันนี้เราถูกหลอก

เราถูกล่อลวงให้ต้องมี ของมันต้องมี ด้วยโปรโมชั่น ทุก ๆ เดือน 2*2 , 3*3 …. เพื่อเข้าไปจับจ่ายในราคาที่คิดว่าถูกกว่า นั่งจิ้ม F นั่นนี่จนเป็นหนี้แบบไม่รู้ตัว เราบริโภคกันจนเหลือเป็นขยะมากมาย โลกเราวันนี้ตามรายงาน องค์การอนามัยโลก หรือ WHO พบว่า 1 ใน 3 ของประชากรที่เป็นโรคอ้วน หรือประมาณกว่า 600 ล้านคน นั่นแสดงว่าเรากินกันเกินความจำเป็น


การแข่งกันที่จะยิ่งใหญ่เพื่อครอบครองโลกนี้ ด้วยการสร้างระบบระบอบให้หมู่มวลมนุษย์อยู่ในอาณัติ ใครมีอาวุธเหนือกว่า มีความทันสมัยกว่า ก็จะได้เป็นผู้กำหนดทิศทางของโลกนี้ วันนี้เราต้องอยู่ในการล่อลวงของความโลภ ที่ทำให้เราอ้วนจนเกิดโรค อ้วนที่ไม่แข็งแรง พร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ เรายังคิดว่า ยิ่งอ้วนยิ่งมียิ่งมาก เรายิ่งดูดีดูสมบูรณ์พูนสุขเช่นนั้นหรือ!!! เราขาดแคลนอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ ปล่อยให้จิตใจเหี่ยวแห้ง แล้งร้าง เราต้องกลับด้านชีวิตใหม่ บำรุงเลี้ยงภายใน ขัดเกลา ทำให้ภายในสว่างกระจ่างใส สมบูรณ์ ด้วยการเอาชนะสิ่งเย้ายวนในรูปแบบใหม่ ๆ ให้ได้