วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2558

รำพึงถึง..เรา ภาคที่ 1

รำพึงถึง..เรา  ภาคที่ 1
            วันนี้ขอนำบทความเก่าที่เขียนไว้ในปี พ.. 2549 มาแก้ไขปรับแต่งใหม่ ให้เข้ากับยุคสมัย เพื่อรำพึงถึงทางกางเขนของเราร่วมกับพระเยซูเจ้าในระหว่างสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์


            
สถานการณ์ที่ 1 การตัดสินผู้อื่น (ปีลาตตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้า)
​            ไม่มากก็น้อยเราย่อมเคยตัดสินผู้อื่นเพียงจริตส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อความอยู่รอดในสังคมของตน ทั้ง ๆ ที่ย่อมรู้ดีว่า คนที่ถูกตัดสินอยู่นั้นไม่มีความผิด ยิ่งสังคมวันนี้เราตัดสินกันบนโลกออนไลน์ พิพากษาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก ต่างคนต่างตัดสินผู้อื่นอย่างไร้จิตสำนึก เราก็ไม่ต่างกับปิลาต... ก่อนที่เราจะตัดสินผู้อื่น ควรที่จะศึกษาถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง คำนึงถึงความยุติธรรมและคิดถึงวันที่พระเยซูเจ้า ถูกตัดสินประหารชีวิตจากปิลาต
สถานการณ์ที่ 2 การแบกรับความผิด (ชอบ) (พระเยซูเจ้าทรงรับแบกกางเขน)
            เป็นธรรมดาของเราที่ไม่อาจยอมรับความผิดกันอย่างง่าย ๆ จะปกป้องตัวเองโดยทันทีเมื่อถูกกล่าวหาและใส่ร้าย การโต้เถียง โยนความผิดไปให้ผู้อื่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา ความรับผิดชอบจึงเป็นมโนสำนึกที่เรามีเพื่อยกระดับจิตใจ องค์พระเยซูเจ้า ที่น้อมรับแบกกางเขน เพื่อไม่ให้เกิดการโต้เถียง ทะเลาะ จนอาจจะกลายเป็นสงคราม รับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียว การน้อมรับความผิดที่เรากระทำไปยิ่งใหญ่กว่าการเรียกร้องหาความยุติธรรมกันแบบลอยๆ



สถานการณ์ที่ 3 การหกล้มเป็นหนทางนำไปสู่ความเข้มแข็ง (พระเยซูเจ้าทรงหกล้มครั้งแรก)
            การผิดพลาดเป็นเรื่องปกติวิสัย แต่การแก้ไขเป็นเรื่องที่มนุษย์ผู้ประเสริฐสมควรกระทำ เมื่อเราผิดพลาดเราต้องลุกขึ้นและก้าวเดินต่อ บนเส้นทางสายชีวิตเรานี้ บ่อยครั้งความเข้มแข็งก็เริ่มต้นจากการล้ม เมื่อพระเยซูเจ้าหกล้มครั้งแรก กางเขนก็ล้มทับ ใช่หรือไม่พระองค์ก็ใช้กางเขนพยุงกายยืนลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป
สถานการณ์ที่ 4 หัวใจของความเป็นแม่ (พระเยซูเจ้าทรงพบปะพระมารดา)
            ผู้หญิง ความเป็นแม่ สัญลักษณ์ของความอ่อนโยน ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรในสายตาของคนอื่น แม่คนนี้รักลูกเสมอยอมที่จะตายแทนได้ แต่ในทุกวันนี้ผู้หญิงหลายคนไร้หัวใจของความเป็นแม่ ความอ่อนโยนหายไปจากหัวใจแม่ โลกนี้จึงดูอ่อนแอ ความเหนื่อยยากและความทุกข์ตรมของโลกนี้จะถูกหัวใจแม่หลอมละลายเผาไหม้ให้กลายเป็นความเข้มแข็ง มั่นคงตลอดไป
สถานการณ์ที่ 5 ช่วยกันแบ่งเบาความทุกข์ของผู้คนด้วยการเอื้ออาทร (ซีโมนช่วยพระเยซูเจ้าแบกกางเขน)
            สังคมโลกเต็มไปด้วยความตรึงเครียด ไม่ยอมลดราวาศอกกันไม่มีเมตตาต่อกัน หากเราให้ความช่วยเหลือกันบ้างในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รู้จักให้และน้อมรับคำชี้แนะบ้าง ความทุกข์ของผู้ทุกข์ทนหวังเพียงแต่ต้องการใครสักคนรับฟัง เป็นที่ระบายเท่านั้น ในวันนี้ก็ยังหายากเต็มที เห็นซีโมนแล้วก็คิดถึงสังคมไทย ที่เคยเป็นสังคมแห่งการเอื้ออาทร วันนี้เป็นเช่นไรลองคิดดู
สถานการณ์ที่ 6 ขอแค่ผ้าเช็ดหน้าที่ยื่นให้กัน (นางเวโรนีกาเช็ดพระพักตร์พระเยซูเจ้า)
            มีบางสิ่งบางอย่างหล่นหายไปจากสังคม การ ให้หาไม่พบ จริงหรือไม่ บางทีความทุกข์ ความเศร้า ความโศกอาจจะได้รับการบรรเทาได้ด้วยเพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ คนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงทุกข์มีเพียงหยดน้ำ ย่อมดีใจกว่าการที่ได้รับเงินทอง คนที่เราจดจำได้มิมีวันลืม ย่อมเป็นคนที่ผ่านมาพบและหยิบยื่นความช่วยเหลือแม้เพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเรา และเราล่ะ เคยไปอยู่ในความทรงจำของใครบ้างบนเส้นทางชีวิตสายนี้
สถานการณ์ที่ 7 ไม่มีใครเจ็บปวด ผิดหวัง ล้มลงเพียงแค่ครั้งเดียว(พระเยซูเจ้าทรงหกล้มครั้งที่สอง)
            คนที่ล้มลงน้อยครั้งใช่ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าคนที่ล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม ซ้ำไปมาหลายรอบ ความล้มเหลวในชีวิตมักมีบทเรียนบทสอนให้กับชีวิตเสมอ ไม่มีผู้คว้าชัยคนไหนที่ไม่มีบาดแผล ชีวิตต้องไม่อยู่บนความประมาท อย่าระเริงบนความสำเร็จจนลืมวันที่เคยล้มลง
สถานการณ์ที่ 8 ความทุกข์ของเรามีคุณค่าเสมอ(พระเยซูเจ้าทรงตรัสบรรเทาทุกข์หญิงชาวเยรูซาแล็ม)

            ความทุกข์ของคนเรามักมีความเข้มแข็งเป็นรางวัล คนที่ผ่านความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสมาย่อมมีหัวใจแห่งความเมตตา เข้าใจผู้อื่นและมีความห่วงใยให้ผู้อื่นเสมอ วันนี้ความเห็นแก่ตัวครองโลก ตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างแก่งแย่งชิงเด่นชิงดัง ไม่มีเวลาที่จะปลอบโยนกัน เราจึงเมินคุณค่าความทุกข์ทั้งของตัวเองและผู้อื่น (ต่อภาค 2 สัปดาห์หน้า)

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตตนชีวิตคน

ชีวิตตนชีวิตคน
            มานั่งทบทวนเรื่องราวของคนเรื่องราวของตนบนหนทางชีวิตที่ผ่านมา ในบางครั้งการได้รู้จักกับคนที่มีชื่อเสียง คนดัง ๆ ก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ หรือในบางครั้งก็รู้สึกดีรู้สึกพลอยมีหน้ามีตาเมื่อมีคนกล่าวถึงคนที่เรารู้จักและเป็นที่ยอมรับของคนมากมายหรือในบางครั้งบางคราวก็เอาไปคุยอวดเพื่อนฝูงฟัง นี่ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของมนุษย์เราหรือมีบ้างบางคนพยายามอยากจะทำความรู้จัก อยากจะสนิทสนม อยากจะใกล้ชิดคนมีชื่อเสียง บางคนถึงขั้นหลงใหลพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าไปให้ถึงคนดัง ๆ เหล่านั้น ล้วนแต่มีเหตุผลของตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ไม่มากก็น้อยคือ การที่อยากเป็นคนรู้จักของคนมีชื่อเสียงก็เพื่อเป็นแรงจูงใจ แรงบันดาลใจให้ตัวเองก้าวสู่ความสำเร็จเหมือนคนเหล่านั้นบ้างหรืออยากจะได้รับอานิสงส์รังสีความสำเร็จที่เจิดจรัส เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ๆ บ้าง
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            แต่... เมื่อถึงเวลาหนึ่งชีวิตคนกลับพลิกผัน เกิดเรื่องไม่ดีไม่งาม ถูกใส่ความให้ร้ายป้ายผิด เราก็มักจะรีบบอกทันทีว่ารู้จักกันเพียงผิวเผิน หรือไม่ก็บอกว่า แค่รู้จักไม่ได้สนิทสนม เรียกว่าชิ่งเอาตัวรอดเป็นยอดมนุษย์    
            ในชีวิตคนเรานั้นไม่รู้หรอกว่าจะเดินต่อไปสุดทางเมื่อไหร่ อาจจะเป็นเพียงก้าวเริ่มต้น อาจจะเพิ่งรู้ตัว ลุกขึ้นแล้วเริ่มใหม่โดยมีคน ๆ หนึ่งเป็นแรงผลักดัน บางคนพอมีเรี่ยวแรง ที่จะเดินไปเรื่อย ๆ พยายามไม่มองว่าอดีตเคยผ่านอะไรมาบ้าง มองดูวิวทิวทัศน์สองข้างทางเพื่อหย่อนใจ สบายใจ สุดท้ายแล้วก็ไปไกลกว่าคนอื่นๆ ในขณะที่บางคน แม้ร่างกายจะไม่ไหว แต่หัวใจไม่ท้อ พยายามฮึดสู้ อุตส่าห์พยุงตัวเอง เดินหน้าไปเรื่อย ๆ เท่าที่หัวใจตัวเองมีแรงขับ เพราะคิดว่าสักวันจะต้องถึงที่หมายให้ได้ ในขณะที่มีบางคนกลับไม่คิดจะทำอะไรเลย มัวแต่นั่งท้อใจอยู่อย่างนั้น ทรุดกายนั่งอยู่จุดนั้นเป็นเวลานานแสนนาน ปล่อยให้คนอื่น ๆ เดินผ่านก้าวขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองได้แต่ก้มหน้าก้มตาร้องห่มร้องไห้ กับอดีตที่ผ่านมา นี่ก็เป็นวิถีชีวิตคนเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกอยู่ในเส้นทางแบบไหน
            ใช่หรือไม่ ชีวิตเราไม่มีคำว่าสาย ถ้าเราคิดเสมอว่ายังมีชีวิตให้เดินก้าวต่อไป ตราบเท่าที่ลมหายใจเรายังมี จงสู้และมีศรัทธาในตัวเองและเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง  การที่เราไม่เริ่มคิดทำอะไรเลยต่างหาก ที่เป็นการยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้นับหนึ่งด้วยซ้ำไป อย่าให้ชีวิตนั่งจมปลักอยู่กับสิ่งเดิม ๆ แต่จงค่อย ๆ เดินก้าวผ่านชีวิตที่แย่ ๆ นี้ไปให้ได้ นำบทเรียนของผู้อื่นมาเรียนรู้บ้างเพื่อประยุกต์ใช้ให้เข้ากับวิถีชีวิตตน อยู่ที่เราเลือกว่าจะเลือกฟังเสียงหัวใจตัวเอง หรือเลือกที่จะไปฟังขี้ปากชาวบ้าน 
            ทุกคนเกิดมาอย่างมีวิถีในการดำรงชีวิตของแต่ละคนทั้งสิ้น  มีหน้าที่  ภาระ  มีความรับผิดชอบเป็นของตัวเองถ้าหากเราก้าวถึงจุดสูงสุดเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป เป็นแบบอย่างเป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อกันได้มากแล้ว ก็ต้องไม่หลงระเริงไปกับชื่อเสียง คำเยินยอยกย่อง รู้จักที่จะปลีกแยกเวลาส่วนตัว อยู่กับตัวตนบ้าง เราต้องฝึกรู้ฝึกคิดฝึกความเข้มแข็ง  ฝึกความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเพื่อพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหา เราต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเราเอง  เมื่อมีปัญหาต้องใช้ปัญญาใช้สติประคอง ใช้มโนธรรมให้สิ่งนั้นลุล่วงไปได้
            ในชีวิตของคนเราก็ต้องพานพบกับผู้คนมากมายหลากหลายความคิด หลากหลายนิสัยใจคอทุกคนมาจากพื้นฐานต่างกันมีดีบ้างไม่ดีบ้างทั้งที่เราชอบทั้งที่เราไม่ชอบปะปนกันไป แต่เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ให้ได้  หลายครั้งที่เราไม่ชอบหน้าคนนี้ไม่ชอบเลยนิสัยแบบนี้ต้องคิดเสียว่าเราคงเปลี่ยนใครไม่ได้”  แต่เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ด้วยการเลือกที่จะคบ  เลือกที่จะหลีกหรือเลือกที่จะมอบความปรารถนาดีให้โดยปราศจากเงื่อนไข  และต้องมั่นใจให้ได้ว่า” “ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเรารู้จักหยุด  รู้จักยอม  รู้จักเย็น  ชีวิตจะมีแต่ความปลอดโปร่ง จะเบิกบานกับชีวิตที่สงบอย่างล้ำลึก
           
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ใครจะมีค่าอย่างไร จะเป็นที่ยอมรับ หรือเป็นที่กล่าวขานถึงนั้น  ให้ดูการดำรงชีวิตของคนนั้น    อย่ามองแค่ความสำเร็จภายนอก อย่าเห็นเพียงมายาภาพความเด่นดังเท่านั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มันฉาบฉวยเกินกว่าที่เราจะนำมาเป็นบทเรียนชีวิตการทำตัวให้มีคุณค่ามีคุณภาพและคุณธรรมต้องรู้จักสร้างตัวเองให้เป็นคนดี  มีศักดิ์ศรี    ไม่ปล่อยชีวิตให้อยู่อย่างไร้ค่าไร้หลักยึด เห็นคุณค่าของตัวเอง  ชื่นชม  พัฒนาตัวเองเสมอ  ใครจะรักเราหรือไม่ ไม่สำคัญขอให้เรารักตัวเอง เคารพในความเป็นเราแต่ไม่ใช่อวดเก่งเพียงผู้เดียว ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เป็นไร  ใครจะดูถูกก็ไม่สำคัญ  เท่ากับเราดูถูกตัวเราเอง   จงเติมรักให้ตัวเองก่อน  เพื่อให้ตนเองมีความรัก  จงเติมความดีในใจ  คิดดี  เพื่อจะได้ดีเป็นนิตย์  จงหัดเป็นคนรู้จักให้”  เพื่อตัวเองจะเป็นที่รักของคนอื่นและแม้จะมีคนรู้จักเราไม่มาก แต่หากใครรู้จักแล้วเขาจะไม่มีวันลืมคุณความดีในตัวเราเลย...

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

มึนเมือง

มึนเมือง
         
   ท่ามกลางผู้คนมากมายในเมืองหลวง ผ่านไปมาบนทางเดินสัญจร หญิงชาย วัยรุ่น คนทำงาน ดูเหมือนช่างมีสีสัน มีชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน แต่เมื่อเดิน ๆ ไปในท่ามกลางหมู่มวลชนคนเมืองกลับรู้สึกว่า ช่างโดดเดี่ยวเสียนี่กระไร ต่างคนต่างไปมุ่งสู่ยังที่เป้าหมาย เดินไปมาเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ เหมือนคนที่ง่วงนอน ดูมึน ๆ งง ๆ หรือว่าแท้จริงแล้วเมืองใหญ่แห่งนี้เป็นเมืองมายา ที่มีภาพอย่างหนึ่ง ความจริงเป็นอีกแบบหนึ่ง  หรือว่าเมืองแห่งนี้มีความขัดแย้งกันในตัวของมันเองอยู่ตลอดเวลา
            สภาพในเมืองการก่อสร้างมีให้เห็นทุกวัน ตึกรามบ้านช่อง คอนโดฯ อาคารสูงใหญ่ตระหง่านมีให้เห็นทุกพื้นที่ทั่วกรุง หรือว่า คนในเมืองยังต้องการที่อยู่อาศัยกันอีกมาก จากสถิติประชากรตามทะเบียนราษฎร์มีประชากร 5,676,765 คน (..2556) หากรวมประชากรแฝงกรุงเทพฯมี 8,839,022 คน หรือประมาณ 14% ของประชากรทั้งประเทศ และหากนับรวมประชากรที่เดินทางจากปริมณฑลโดยรอบที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และชาวต่างชาติ จะพบว่ามีประชากรในกรุงเทพฯมากกว่า 10 ล้านคน ที่อยู่อาศัยถูกสร้างมาเพื่อรองรับความต้องการของผู้คนที่มากมาย จะใช้เพียงแนวราบจึงไม่เพียงพอ ที่อยู่อาศัยแนวสูง (คอนโดฯ) จึงได้รับความนิยม แล้วคนที่ไร้ที่อยู่มีจำนวนมากน้อยเท่าไร คนที่ยังต้องเช่าที่ซุกหัวนอนมีอีกเท่าไร? เป็นสิ่งที่สถิติมิสามารถจะบอกได้

            เมื่อพูดถึงจำนวนผู้คนในเมืองหลวงที่เดินกันขวักไขว่ ยิ่งไม่ต้องมองลงไปในท้องถนนเลย สภาพ "รถติด"เป็นสิ่งที่คู่กับชีวิตเมืองมาตลอด ติดไม่มีวันหยุด เสาร์อาทิตย์ยังไม่เว้นว่าง ยิ่งช่วงนี้ ราคาน้ำมันลดลง จำนวนรถบนท้องถนนดูจะเพิ่มมากขึ้น สถิติที่อาจสะท้อนภาพดังกล่าวได้ คือ ปริมาณการใช้รถยนต์ผ่านระบบทางด่วนที่เข้า-ออกพื้นที่กรุงเทพฯ มีมากถึง 1.6 ล้านคันต่อวัน (.. 2556) กรุงเทพฯ มีจำนวนรถยนต์จดทะเบียนใหม่  8 ล้านคันในปี 2557 และในปีนี้เพียงสองเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมามีรถจดทะเบียนใหม่แล้ววันละ 2,954 คัน
           
ว่ากันว่าการขับรถในกรุงเทพฯนี้คือบ่อเกิดแห่งบาปโมโหโกรธา การด่าทอและการสบประมาทเลยทีเดียว ถึงแม้จะใจเย็นสักเพียงใดก็ตาม ต้องมีสักครั้งหนึ่งที่ต้องผจญกับการคุกคามของปีศาจในนามของความฉุนเฉียวโมโห ในชั่วโมงเร่งด่วนก่อนทำงานและหลังเลิกงานคือช่วงหฤโหดของคนมีรถ ในขณะเดียวกันมีอีกหลายล้านคนต่างต้องยืนชะเง้อคอยรถเมล์ รถไฟฟ้า รถสาธารณะ ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนพลเมือง แต่จำต้องขึ้นไปสูดดมอากาศร่วมกันในนั้น ขึ้นไปจับจองพื้นที่เล็กๆให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วทำหน้ามึน ๆ ยึดครองไว้ให้ตลอดรอดทาง
            และแล้วเมื่อมีพื้นที่ก็จำต้องสร้างแลนด์มาร์คทันที เข้าสู่โลกส่วนตัว หยิบโทรศัพท์มือถือพูดคุยแบบไร้เสียงไปยังคนที่อยู่ห่างออกไป บ้างก็ดูหนังฟังเพลงไม่สนใจผู้คนรอบข้าง ประชากรในกรุงเทพมหานครใช้โทรศัพท์มือถือร้อยละ 85 ซึ่งสูงกว่าภาคอื่น ๆ ลองคิดดู หากเรามีผู้คนอาศัยในเมืองนี้เป็นตัวเลขกลม ๆ สักสิบล้าน เกือบทุกคนต่างมีพื้นที่เล็ก ๆ ของตัวเองบนฝ่ามือ ยามเมื่อเดินทางไปไหนมาไหนมีสิ่ง ๆ นี้เป็นเพื่อนร่วมทาง นั่งในรถยามรถติดก็หยิบก็เปิด พอไฟเขียวบางครั้งก็ยังไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้รถติดสะสม คนเดินทางเท้าถึงแม้ว่าจะมีการจัดระเบียบ ร้านค้าแผงลอยหายไป แต่คนเดินมัวแต่ก้ม ๆ อ่านไลน์ ไลค์เฟส พิมพ์แชท คนเดินตามก็เดินไปไม่ได้ เกิดสะดุด เบียดเสียด เกิดอาการหมั่นไส้โมโหต่อว่าใส่กัน

            เราจึงอยู่กันแบบมึน ๆ ในความเป็นเมืองได้ลดคุณค่าของความเป็นคนลงไปมาก บนหนทางวิถีชีวิตเมืองทำให้เราคิดว่าเต็มไปด้วยความทุกข์ ผู้คนไม่ค่อยมีความสุข แต่ทำไมผู้คนยังต้องการที่จะมีชีวิตในเมือง แน่ล่ะ เพราะในเมืองสามารถตอบสนองแสวงหาเครื่องอำนวยความสะดวกได้ง่ายกว่า เพราะคนส่วนใหญ่ยังคิดว่าความสะดวกนำมาซึ่งความสุข แม้ว่าจะมึน ๆ กับสังคมเมือง แต่ในหัวใจของเราทุกคนมีความรักและความเมตตาต่อคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น เพราะด้วยปัจจัยภายนอกที่บีบรัดจึงไม่สามารถที่จะแสดงออกมาได้

           
       ใช่หรือไม่ ความรักและเมตตาย่อมนำมาซึ่งความสุขความสงบความสามัคคีและตราบเท่าที่ทุกคนมีสิ่งเหล่านี้เป็นทุนอยู่ในหัวใจ ความวุ่นวายการแก่งแย่งชิงดีกันลุแก่อำนาจย่อมไม่อาจจะตั้งอยู่ได้ เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่า การที่จะใช้ชีวิตในเมืองนั้นมีความยากมากขึ้น การที่จะใช้ชีวิตในสังคมเมืองได้อย่างมีความสุขนั้น ต้องรู้จักการจัดสรรเวลาให้เป็น ใช้จ่ายอย่างสมดุลเท่าที่จำเป็น และมองโลกในเเง่ดีอยู่เสมอ หากใช้ชีวิตถูกทางจะสร้างสุขในสังคมเมืองได้ไม่ยาก คิดดี คิดในทางสร้างสรรค์เพื่อความสุขของตนเองและผู้อื่น

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

บทเรียนกลางบึงบัว

บทเรียนกลางบึงบัว
            ด้วยความที่ติดอกติดใจในสถานที่ใหม่ที่เพิ่งพบเจอมาครั้งเมื่อหลงทางกลับบ้าน จึงทำให้เกิดการเดินทางมาเยี่ยมเยียนอีกครั้งหนึ่ง ให้ได้อิ่มเอิบอุรา เพราะครั้งที่หลงทางมาเป็นเวลายามเย็นจึงชื่นชมบรรยากาศได้ไม่เต็มที่  ครั้งนี้ด้วยความแม่นยำในเส้นทางและด้วยว่าระยะทางไม่ไกลจากสาทรสักเท่าไรนัก ในยามบ่ายวันอาทิตย์จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมกับภารกิจเช่นนี้ คลองมหาสวัสดิ์ คือที่หมายปลายทาง คลองที่ยังมีชุมชนสองฟากฝั่งข้าง ที่อุดมสมบูรณ์ การล่องเรือในคลองแห่งนี้เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อการเรียนรู้วิถีชีวิตคนริมคลอง

            และด้วยความที่เป็นคนริมเจ้าพระยามาแต่อ้อนแต่ออก การนั่งเรือตามลำคลองเป็นเหมือนการคืนสู่วันคืนอันเก่าก่อน สายลมอ่อน ๆ ละอองน้ำกระเด็นสัมผัสใบหน้า ความชุ่มฉ่ำกลางสายแดดที่แผดร้อน สิ่งเหล่านี้นำความสุขมาเติมเต็มให้วันเวลามีคุณค่ายิ่งขึ้น คุณลุงคนขับเรือที่มิได้เป็นเพียงคนพาไปตามจุดต่าง ๆ เท่านั้น ยังได้อธิบายความให้กระจ่าง ในสิ่งที่ได้พาไปเรียนรู้ ทั้งการปลูก การดูแลดอกกล้วยไม้ที่สวน การทำขนมผลผลิตประจำท้องถิ่น การปลูกบัว มีการพายเรือไปอยู่ท่ามกลางบัวในบึงขนาดใหญ่
            ทันทีที่เห็นบึงบัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกบัว และใบบัวอันงดงาม แรกเห็นนั้นทำให้นึกถึงชื่อเด็กน้อยผู้คุ้นชินนามว่า "บัวบูชา" เพราะคุณลุงได้อธิบายไว้ว่าบัวที่เห็นนี้คือบัวบูชา บัวที่นำไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เด็กหญิงที่เห็นมาตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ วันนี้เริ่มเติบโตขึ้นสวยงามตามวัย ท่ามกลางความรัก ความหวังของคนรอบข้าง ว่าเด็กน้อยคนนี้จะเติบโตขึ้นเป็นคนดีคนหนึ่งของสังคม เฉกเช่นบัวที่เติบโตขึ้นมารับแสงและพร้อมพลีตนให้เป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใช่หรือไม่ สรรพสิ่งสร้างล้วนเกิดมาเพื่อสิ่งอื่น คนอื่นด้วยกันทั้งนั้น นี่คือจุดสูงสุดของการดำเนินชีวิต
           
ในขณะที่นั่งในเรือกลางบึงบัว เสียงอธิบายเรื่องบัวที่ต้องอาศัยในโคลนตมในการเจริญเติบโตนั้น ทำให้คิดถึงสัจธรรมที่ผ่านทางคำสอนของท่านติช นัท ฮันห์ ที่ว่าไว้ "ความทุกข์นั้นเหมือนโคลนตมเราสามารถใช้โคลนตมเพื่อปลูกดอกบัวให้เติบโต เธอไม่สามารถปลูกดอกบัวบนหินอ่อนเธอต้องปลูกดอกบัวในโคลนตมถ้าไม่มีโคลนตม ก็ไม่มีดอกบัวถ้าไม่มีความทุกข์ ก็ไม่มีความสุขที่แท้จริง"   "คนเราก็เหมือนกับดอกบัว เกิดขึ้นมาจากโคลนตมแล้วก็พยายามดิ้นรนจนพ้นน้ำ เมื่อเบ่งบานขึ้นมาก็กลายเป็นสิ่งที่เขานำไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นำไปถวายพระ"
            หน้าที่หลักของเรานั้นคือการสร้างคุณค่าของตนเองให้มากขึ้น ให้มีความดีสูงขึ้น จนในที่สุดก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากรากเหง้าความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ไปสู่จุดมุ่งหมายที่ดีที่สุดและพร้อมที่จะให้ความดีที่เราสร้างขึ้นนี้ เป็นเครื่องบูชาแด่พระผู้สร้าง
            ในสมัยโบราณ ชาวอียิปต์นิยมดอกบัวมาก ถึงกับประดิษฐ์เป็นลายหัวเสาในงานสถาปัตยกรรม แม้ภาพสลักภาพเขียนตามผนังก็มีภาพสตรีถือดอกบัว และทำท่ายื่นดอกบัวให้กัน แสดงว่าแต่ก่อนคงอุดมสมบูรณ์มาก แรงบันดาลใจที่ได้รับจากดอกบัวจึงทำให้เกิดแบบอย่างทางศิลปะการประดิษฐ์ดอกบัวในงานศิลปะปรากฏในอินเดียมากที่สุด แล้วแพร่สะพัดมาทางประเทศเอเชียตะวันออกทั้งหมด หรืออาจจะประจวบเหมาะกับที่แผ่นดินบริเวณนี้มีบัวนานาพันธุ์ก็อาจเป็นได้ ดังนั้นดอกบัวจึงเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์อีกด้วย คุณลุงยังอธิบายต่อว่า คนส่วนใหญ่มักจะนำดอกบัวตูมใกล้จะบานไปบูชาพระ ไม่มีใครนำดอกบัวบานแล้วไปบูชา คงเกรงว่าจะโรยเร็ว  ซึ่งเป็นเหมือนดอกไม้แรกแย้ม" หมายถึงความสดชื่นแจ่มใส ที่สร้างโลกให้งดงามน่าอยู่ ถ้าบัวดอกไหนไม่ได้ถูกนำไปบูชาพระ ไม่นานก็เบ่งบานแล้วก็โรยราไป อย่างไร้ความหมาย

           
ในวันที่วิถีชีวิตให้เราต้องบูชาเงินและสิ่งสารพัดที่เอื้ออำนวยความสะดวกแก่เรา ยิ่งมีมากยิ่งเป็นที่เคารพนับถือ เราจึงหันหนีที่จะเรียนรู้ถึงการหลุดพ้นจากความทุกข์ และดูเหมือนว่าพร้อมที่จะกระโจนเข้าใส่โคลนตมและยินดีที่จะคลุกคลีอยู่กับมัน ไม่น้อมรับพัฒนาให้เป็นดอกบัวที่พ้นน้ำ ซ้ำร้ายยังกลัวว่าจะถูกเด็ดไปถวายบูชาแด่พระเจ้าก่อนดอกอื่นอีกด้วย ครั้นเมื่อเกิดกลัว จึงหาสิ่งภายนอกมาเป็นเกราะคุ้มกัน ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าตามแบบอย่างของกระแสโลก ไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อมอบถวายแด่พระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของความดี  ใช่หรือไม่ ดอกบัวงามยามพ้นน้ำฉันใด ชีวิตที่สมบูรณ์ย่อมเป็นชีวิตที่หลุดพ้นเพื่อมอบให้ผู้อื่นฉันนั้น เราทุกคนล้วนเป็นบัวที่อยู่ในบึง และทุกคนย่อมมีค่าในตัวเองเสมอ เพียงแต่ว่า เมื่อถึงวันเวลาเรานำอะไรเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเล่า เงินทองหรือ ความสดใสแห่งจิตวิญาณ สิ่งไหนที่ควรค่าเพื่อมอบถวายในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์