วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2564

นักธรรม (ทำ)

 

นักธรรม (ทำ)

โควิด-19 ระลอกสามหนักหน่วงเหลือเกิน แต่ละวันยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้น      จากที่เคยคิดว่าโควิดจะค่อย ๆ จางหายลาโลกไป ที่ไหนได้กลับเพิ่มความรุนแรงร้ายกาจขึ้น ทำเอาทุกที่เงียบราวสุสาน มาจริง เจ็บจริง ตายจริง ไม่อิงตัวแสดงแทน เราต้องเห็นใจหมอ พยาบาล และบุคลากรทางแพทย์ให้มาก ๆ ครั้นพอจะได้พักหายใจหายคอ ยังไม่ทันอากาศจะเต็มปอด อ้าว…เหนื่อยอีกแล้วหรือนี่! รอบนี้ยิ่งหนักและเหนื่อยขึ้นอีกหลายเท่าตัว ไหนจะต้องรับมือกับเสียงก่นบ่น เสียงเรียกร้อง ประชดประชันกระแนะกระแหน ไอ้ที่ปลงได้ก็มองเป็นความสวยงามของโลกมนุษย์ มีไม่น้อยก็ต้องระทดท้อกันบ้าง คนที่ทำก็ทำไป คนที่พูดก็พูดไปเรื่อย วิจารณ์ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำนั้น ง่าย แต่ให้ตายเถอะ พวกนี้ก็ไม่กล้าลงมือทำซะด้วย  สิ่งที่เราต้องมองดูว่าโควิดรอบนี้เกิดจากอะไรเล่า จากแหล่งที่เป็นอธรรมอบายมุขทั้งสิ้น ใช่หรือเปล่า 


จากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่สุขชั่วครั้งชั่วคราว มีแต่ความสนุกที่นำทุกข์มหันต์มาให้ เราละเลยที่จะปฏิบัติตามระเบียบ ละเลยไม่ใส่ใจที่จะทำตามคำแนะนำ คิดว่าธุระไม่ใช่ ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นกำลังสอนเราว่า  การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง โดยที่เราตั้งใจไว้ เเล้วทุกอย่างจะออกมาได้ดี เมื่อเราเริ่มลงมือทำไปเเล้ว เมื่อเรากระทำอย่างดีนั่นแหละคุณธรรมจะบังเกิด เราจึงจะเป็นนักธรรมต่อไปได้ และนักธรรมนี้จะทำเพื่อปกป้องคนอื่น ทำอะไรมองเห็นคนอื่นเป็นที่ตั้ง น้ำใจในยามนี้ คือ สิ่งสำคัญสุด อย่าให้ทุกอย่างพังทลายลงไป ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยคำพูดดูถูกกัน เพราะบางครั้งเรื่องราวอาจจะไม่จบเหมือนดังนิทานเสมอไป

หญิงสาวคนหนึ่งมีฐานะร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน นางจึงชอบพูดจาดูถูกคนอื่นอยู่เสมอ รวมทั้งไม่เคยมีน้ำใจให้กับใคร แล้วยังคิดว่าข้าวของทุกสิ่งที่ตัวเองมีนั้น ล้วนดีกว่าของคนอื่นๆ ไม่มีใครจะมีอะไรที่ดีไปกว่านาง คนในหมู่บ้านจึงไม่ชอบนาง หรืออยากจะคบหาพูดคุยด้วย

“ดีเหมือนกัน ฉันก็ไม่อยากจะพูดคุยกับคนพวกนี้เท่าไหร่ ” นางบอกกับตัวเอง

วันหนึ่งในฤดูหนาว บ้านของนางถูกไฟไหม้ ข้าวของเงินทองเสียหายเกือบหมด กลาย เป็นคนยากจนไม่มีแม้แต่หม้อจะหุงข้าว นางได้เดินไปยังบ้านหญิงชราที่อยู่ไม่ไกลนัก “บ้านฉันถูกไฟไหม้ ฉันพอมีข้าวสารเหลืออยู่บ้าง อยากขอยืมหม้อหุงข้าวสักหน่อย จะได้ไหม?” 

หญิงชราเจ้าของบ้านจึงตอบไปว่า “จำได้ไหม นางเคยบอกว่า กระโถนที่บ้านนางยังดีกว่าหม้อหุงข้าวบ้านฉัน เพราะฉะนั้นอย่าเอาไปเลยนะ แต่ฉันจะแบ่งข้าวให้กินบ้างก็แล้วกัน” หญิงสาวยื่นมือไปรับห่อข้าวจากหญิงชราด้วยความรู้สึกละอายใจ พร้อมคำพูดเบา ๆ ว่า “ขอบใจจ้ะ”

ตกดึกลมหนาวพัดแรง นางนอนตัวสั่นเพราะความหนาว ไม่มีผ้าห่มสักผืนที่จะคลุมกาย รุ่งเช้านางจึงเดินฝ่าลมหนาวไปหาชายชราคนหนึ่งที่อยู่ถัดจากบ้านหญิงชราไป “บ้านฉันถูกไฟไหม้ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ไม่มีเหลือเลย ลุงพอจะมีผ้าห่มให้ฉันสักผืนไหม?

ชายชราได้ฟังเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีแต่ผ้าห่มเก่า ๆ ที่นางเคยบอกว่าเหมือนผ้าขี้ริ้วบ้านนาง แต่ถ้าไม่รังเกียจข้าก็จะแบ่งให้ใช้” เมื่อหญิงสาวบอกว่าไม่รังเกียจ ชายชราจึงนำผ้าห่มผืนเก่าที่ซักไว้สะอาดมามอบให้ผืนหนึ่ง “ขอบใจนะจ๊ะ” หญิงสาวรับผ้าห่มจากชายชราด้วยความรู้สึกละอายใจเช่นกัน คืนนั้น ผ้าห่มเก่า ๆ ก็ช่วยให้นางพอคลายหนาวได้ นางนอนครุ่นคิดถึงคำพูดและการกระทำที่ผ่านมาของตัวเองแล้วก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ

ของที่ดีไม่อาจช่วยอะไรเราได้ คนดีต่างหากที่ได้ช่วยเรา และสิ่งที่ทุกคนมีดีกว่าเราก็คือ น้ำใจ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาค้าขายกอบกู้ฐานะ จนกลับมาร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้นางได้กลับตัวเป็นคนใหม่ที่มีน้ำใจเอื้ออารี และไม่พูดจาดูถูกใครอีกเลย นางจึงเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านตลอดมา (ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์)


            บางทีเราก็เป็นเหมือนแกะที่เอาแต่รอคอย เรียกหาแต่คนเลี้ยง เรียกร้องขอความช่วยเหลือตลอดเวลา หรืออาจจะเป็นแกะที่สนใจแต่หญ้าเขียวจนลืมฝูงและไม่ระวังอันตรายที่มีรอบด้าน แต่ถ้าเราร่วมมือร่วมใจกันเหมือนฝูงแกะในข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีฝูงแกะนับร้อยถูกพบว่าทำพฤติกรรมประหลาดอยู่ท่ามกลางทุ่ง โดยมันยืนเรียงกันเป็นวงกลมอย่างไม่ทราบสาเหตุและดูแปลกประหลาดในแบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน แต่สุดท้ายมีคำตอบ คือ การปกป้องลูกแกะตัวน้อยที่อยู่วงในสุด เพื่อไม่ให้หมาป่ามาล่านั่นเอง นี่คือ วิถีของนักธรรมที่มีน้ำใจ ไม่ใช่เอาแต่จะรอคอยคนเลี้ยงเพียงอย่างเดียว สถานการณ์วันนี้เราต้องเป็นเช่นแกะฝูงนี้ให้ได้ เพื่อเราจะได้รอดปลอดภัยจากโรคร้ายเร้ารุม....

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2564

สูตรที่ไม่ตายตัว

 

สูตรที่ไม่ตายตัว

ตอนเด็ก ๆ สมัยสัก 30-40 ปีที่แล้ว หลังเลิกเรียนก่อนกลับบ้าน ต้องท่องสูตรคูณพร้อมกันทั้งห้อง โรงเรียนทั้งโรงมีแต่เสียงเจื้อยแจ้วแว่วดังไปทั่ว พอโตขึ้นจะคิดคำนวณจำนวนหรือราคาค่างวด บวกลบคูณหาร ตัวเลขก็จะขึ้นมาโดยอัตโนมัติ และวิธีคำนวณก็มีหลากหลาย สุดแต่ใครจะพลิกแพลง ใครสมองดีความจำเป็นเลิศก็มักจะคิดไว เหมือนกับเด็กที่ไปแข่งขันในรายการ ***IQ 180 ที่แต่ละคนใช้วิธีไม่เหมือนกัน เพื่อให้ได้คำตอบเดียวกัน สมัยนี้คงไม่มีหรือมีก็น้อยลงไป เทคโนโลยีเข้ามาแทนแทบไม่จำเป็นต้องใช้แม่สูตรคูณมาคำนวณ กดเครื่องคิดเลข กดมือถือ เพียงเสี้ยวนาทีก็ได้คำตอบแล้ว วันเวลาผ่านไปชีวิตเราก็ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น แต่บ่อยไปก็ลดทอนคุณค่าและเสน่ห์ของชีวิตไปมาก


ใช่หรือไม่ วันนี้ความที่ว่าง่าย เราก็มักจะไม่ค่อยเรียนรู้ ไม่แสวงหา ไม่ได้ไม่ดีก็กดเข้ามือถือหาคำตอบ หาไม่ได้ก็ถามเครื่อง ส่งข้อความถามตามเพจ ทั้ง ๆ ที่เรื่องบางเรื่องเราไม่ควรจะถามกัน หรือถามแล้วลืมถามกลับไปกลับมา ถามอยู่หลายครั้งกลายเป็นคนย้ำถามย้ำคิด เมื่อเราเป็นเช่นนี้ การดำเนินชีวิตของเราก็เป็นไปแบบทื่อ ๆ ไม่ปรับ ไม่พลิกแพลง ไม่เพิ่มคุณค่าในตัวเราเอง ซ้ำร้ายกว่านั้น ครั้นเมื่อมีข้อมูล ก็เชื่อยึดโยงเอามาเป็นความรู้ไว้โอ้อวด เอาความรู้นั้นมาเป็นเครื่องมือเพื่อที่จะเอาเปรียบคนอื่น เอาความรู้นั้นมาบดบังความรักของเราที่ควรมีต่อกัน ยิ่งเรายึดติด เรายิ่งลิดลอนความเป็นมนุษย์ของเราให้น้อยลงไป

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่สอนเราว่าหากเราพึ่งแต่สูตรที่ยึดติด กับหลักการที่ยึดมั่น เราก็แทบไม่ได้อะไรใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ในชีวิตเลย เรื่องมีอยู่ว่า

ลินดา หญิงชาวอเมริกัน ครั้งเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศบัลกาเรีย เกิดติดอกติดใจขนมหวานพื้นเมืองที่มีแม่ครัวคนหนึ่งทำให้กินเป็นอย่างมาก ถึงกับขอสูตรทำขนมหวานชนิดนี้จากแม่ครัวคนนั้นซึ่งเป็นการเฉพาะ สูตรที่ว่านี้ ใช้ไข่ไก่ 10 ฟอง ส่วนผสมและเครื่องปรุงรสบางอย่าง พอกลับถึงบ้านแล้ว ลินดา ทำขนมตามสูตรดังกล่าวทุกประการ ปรากฏว่ารสชาติไม่ได้เรื่อง 

ลินดา ไม่ท้อแท้ เธอไปท่องเที่ยวที่นั่นอีกครั้ง และขอร้องให้แม่ครัวคนนั้น ทำให้เธอดูเป็นตัวอย่างอีกครั้ง ลินดาสังเกตการทำขนมตลอดทั้งกระบวนการ พร้อมกับจดบันทึกรายละเอียดทุกอย่างไม่ให้พลาด พอกลับถึงบ้านก็ลองทำดู ผล คือ ไม่ได้เรื่องเช่นเดิม 

ลินดา คิดไม่ออกว่าเพราะอะไร สูตรและวิธีการเดียวกัน ไฉนจึงได้ผลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? ต่อมาในงานชุมนุมสังสรรค์ที่จัดขึ้นโดยชมรมสูตรอาหารครั้งหนึ่ง ลินดาได้เล่าสูตรและกระบวนการการทำขนมดังกล่าวให้เพื่อน ๆ ฟัง มีเพื่อนคนหนึ่งชี้ตรงจุดว่า ส่วนผสมและเครื่องปรุงรสน้อยไป ใส่ไข่มากเกินไป 

“ไข่ไก่ตั้ง 10 ฟอง ส่วนผสมและเครื่องปรุงรสน้อยเกินไป ทำไมเธอไม่ทดลอง ลดจำนวนไข่ไก่ให้น้อยลง?” พริบตานั้น ลินดาเข้าใจโดยพลัน 


เธอคิดออกทันที ไข่ไก่ในประเทศบัลแกเรียค่อนข้างเล็ก พอ ๆ กับไข่ไก่ขนาดกลางในสหรัฐอเมริกา เธอทำขนมโดยใช้ไข่ไก่ขนาดใหญ่ตลอด กลับถึงบ้านแล้ว ลินดาทำขนมตามสูตรที่จดไว้ แต่ใช้ไข่ไก่ขนาดใหญ่แค่ 8 ฟอง ปรากฏว่า เธอทำขนมที่ทั้งหอมและอร่อยตามที่เคยกินมาแล้วในบัลกาเรียได้สำเร็จ  (Cr. เจียระไนปัญญา)

ในชีวิตจริงของเราบางครั้งก็เป็นเช่นลินดา บางทีเราเปิดยูทูปดูวิธีการทำอาหาร ทำตามสูตรทุกอย่าง แต่ทำไมไม่ค่อยอร่อยเหมือนอย่างที่คิด อาจจะเป็นเพราะเราไม่พลิกแพลงตามลิ้นตามรสนิยมของเรา เรื่องอร่อยเขาอร่อยเราย่อมไม่เหมือนกัน เราเอาสูตรเอาวิธีเขามาได้ แต่ต้องต่อยอดให้เหมาะสมกับเรา อย่าเชื่อตามสูตร บางสถานการณ์ บางเวลา เราต้องรู้จักยืดหยุ่น หลายครั้งหลายคราวเวลาเกิดเรื่อง เราก็มักจะเห็นผู้คนใช้วิธีการเก่า ๆ ในใจเราก็คิดว่าไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย อาทิ เกิดเรื่องครั้งใดก็ต้องตั้งคณะการสืบสวน เหมือซื้อเวลาให้เรื่องมันจางหาย แต่ในวันนี้เราต้องก้าวข้ามให้พ้นวิธีการเดิม ๆ ให้เป็น ชีวิตเราไม่มีสูตรตายตัว มีแต่เราต้องปรับต้องเปลี่ยน โดยมีหลักที่อยู่ในความมั่นคง อยู่ในความรักต่อกัน

บนโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย มัน คือ ความสวยงามที่เราจะนำมาถากทอ มิใช่ถากถาง นำความจริงออกไปเพาะหว่านให้เติบโต มิใช่เก็บไว้ในถุงในกระเป๋า โลกเปลี่ยนวิถีทางเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว อย่ากลัวที่จะก้าวไปเพื่อความความจริง นำความรักไปทำให้เกิดผล แล้วนั้น การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสตเจ้าจะไม่สูญเปล่า มีแต่จะขยายออกไปเพื่อคนทั้งปวง

 

*** รายการ IQ 180 เป็นรายการควิชโชว์ทางวิชาการสำหรับเด็กและเยาวชน รายการแรกในประเทศไทย ที่มีอาจารย์ ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย  เป็นพิธีกร ออกอากาศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2525 ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท. 


วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564

ไปต่อไป

 

ไปต่อไป

ณ นาทีที่ความทรงจำเก่าหวนคืนมา ยามที่ต้องมาโดยสารรถไฟไทยเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง นานเท่าไหร่แล้ว? ที่ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศแบบนี้ หลายสิบปีเลยทีเดียวที่เคยใช้บริการรถไฟไทยจากดอนเมืองเข้าสู่ใจกลางเมืองหลวงเพื่อมาทำงาน ช้าบ้าง สายบ้าง ตรงเวลาบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของบริการสาธารณะไทย  วันนี้กลับมาใช้บริการอีกครั้ง ทุกอย่างก็ยังคล้าย ๆ เดิม รถออกตรงเวลาจากหัวลำโพง ที่นี่มีรางวางเรียงราย เพื่อสับหลีกสับเปลี่ยนให้ขบวนรถต่าง ๆ เข้าออกอย่างปลอดภัย คนที่คิดระบบนี้ได้ต้องชื่นชมจริง ๆ การวางระบบขึ้นลงของรางนั้น รางนี้ ได้อย่างสอดประสาน เมื่อขบวนรถเข้าสู่รางปกติ ก็ต้องผ่านชุมชน ยังคงเห็นผู้คนที่มีที่พักริมทางรถไฟ มานั่งดื่มกิน โดยอาศัยขบวนรถไฟผ่านไปมาสร้างบรรยากาศหรรษายามเย็น รถไฟยังเดินทางมุ่งหน้าต่อไป นำความฝัน นำความหวังของใครหลายคน บรรทุกส่งไปให้ถึงยังที่ปลายหมายหมุด


ในช่วงแรกของการกลับมาใช้บริการรถไฟ พอรถเริ่มออกจากสถานีก็รู้สึกตื่นเต้น เห็นนั่นนี่โน่น เป็นสิ่งละลานตา ละลานใจไปหมด ผ่านสถานีบางซื่อ สถานีใหญ่ที่สุด ที่กำลังจะเปิดมาแทนที่สถานีหัวลำโพง ความทันสมัยกำลังเข้าแทนที่ สิ่งเก่าค่อย ๆ กลายเป็นตำนาน... ครั้นพอนั่งไปนาน ๆ เข้า เริ่มเบื่อ เมื่อต้องอยู่กับที่เป็นชั่วโมง สองข้างทางมีแต่ความมืด สายลมปะทะใบหน้าจนหน้าเริ่มชาชิน หมดความตื่นเต้น มีแต่คิดว่าเมื่อไรจะถึงสักที และแล้วเวลาก็ล่าช้าออกไปเป็นครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึง ใช่หรือไม่ ในวิถีชีวิตจริงเราก็มักเป็นเช่นนี้ ถ้าได้ทำอะไรใหม่ ๆ ก็ดูจะกระตือรือร้น พอพ้นไปไม่นานความเคยชินถามหากลายเป็นความคุ้นชิน ความชินชามาพาให้เบื่อหน่ายในที่สุด แล้วจะทำเช่นไรเล่าเพื่อให้การดำรงชีวิตของเรามีคุณค่าในทุกวัน อันนี้ก็ต้องอยู่ที่ทัศนคติ และความคิดจิตใจเราว่า เรามีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร? เพื่อใครบ้าง? นั่นคือ จุดหมายในการก้าวต่อไป ไม่ใช่ไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไปแบบเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ วิถีเช่นนี้จะยิ่งทำให้เราหมดคุณค่า และเมื่อเรายังอยู่ในโลกนี้ เราก็ต้องเดินหน้าไปต่อไปอย่างมีความสุข 


และแน่นอน เราจะยังคงต้องมาใช้เส้นทางนี้และวิธีการเดินทางแบบนี้อีก เมื่อได้สอบถามผู้รู้หลายคนมีคำแนะนำว่า ยังมีรถไฟอีกที่หนึ่ง สามารถมาได้และระยะเวลาอาจจะสั้นกว่า หรือถ้าขับรถมาเองก็เร็วกว่ามาก อีกหนทางหนึ่ง คือ นั่งรถตู้ ทำให้มีทางเลือกมากขึ้น มีคำกล่าวว่า บนทุกเส้นทางย่อมมีความพ่ายแพ้ จำต้องการเรียนรู้และปรับเปลี่ยนอย่างชาญฉลาด ในทุกวันใหม่ นั่นคือ การที่เรากำลังออกเดินทางสู่ประสบการณ์ใหม่ พบปะผู้คนใหม่ มีข่าวใหม่ สะดุดก้อนหินเดินตกท่อ อาจจะเหนื่อย อาจจะสุข อาจจะเครียด อาจจะร่าเริง  สั่งสมบทเรียนที่ดีเอาไว้ ก้าวต่อไปบนเส้นทางแห่งการเติบโต ใช่หรือไม่ เส้นทางที่ไร้อุปสรรคย่อมมิใช่เส้นทางที่แท้จริง

ผู้คนยังคงเดินทางกันทุกวัน เราก็เป็นหนึ่งในนั้นของวันนี้ที่ตัดสินใจที่จะออกเดินทาง และที่ที่จะไปตรงนั้นมีสถานีรถไฟพอดิบพอดี ก็คิดว่าผู้คนคงไม่มากที่จะใช้บริการในช่วงเย็นย่ำค่ำคืน ที่ไหนได้ มีผู้โดยสารเกินครึ่งขบวน และขึ้นตามสถานีต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนไม่น้อย  เรียกว่าเกือบจะเต็ม ใช่ ผู้คนยังเดินทางกันทุกวี่วัน คงไม่ต่างกับชีวิตเราที่ยังคงต้องมุ่งหน้าเดินทางต่อไปในทุกวัน แม้จะรู้จุดหมาย แต่มิอาจจะคาดเดาวันเวลาที่จะถึงได้ รถไฟบอกจะถึงที่หมายในเวลานั้นเวลานี้ มันก็แค่การคาดการณ์และมักจะคลาดเคลื่อนอยู่บ่อย ๆ แล้วชีวิตเราจะคลาดเคลื่อนบ้างได้ไหม? เรื่องความเชื่อ ความศรัทธา เรื่องจิตวิญญาณ แม้จะคลาดเคลื่อนไปบ้าง เราต้องหยุดไตร่ตรอง พักสักนิด ทบทวนสักหน่อย ไว้วางใจในพระเจ้า แล้วก้าวเดินหน้าต่อไป เราไม่จำเป็นต้องเอาชนะทุกอุปสรรค หยุดพัก เรียนรู้ แล้วเปลี่ยนเส้นทาง หลอมรวมอุปสรรคให้เป็นพลังที่แข็งแกร่ง นำมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเหมือนสั่งสมประสบการณ์บนเส้นทางยาวไกล การข้ามผ่านบางสิ่งไม่ได้ในวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่นำไปสู่หนทางที่เหมาะกับตัวเราในวันหน้าก็เป็นไปได้ อย่าเร่งรัดที่จะเอาชนะทุกอุปสรรค นั่นย่อมมิใช่การเดินทางที่น่ายินดี ล้มเหลวบ้าง ผิดพลาดบ้าง เรียนรู้จากทุกความสำเร็จและทุกล้มเหลว ถึงจุดหมายบ้าง เปลี่ยนจุดหมายบ้าง ถึงช้าไปบ้าง มัน คือ การเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและชัดเจนขึ้นในก้าวย่างของเรา


ที่สุดแล้วเราต้องรู้ว่าเรากำลังจะก้าวไปเพื่อสิ่งใด การเดินทางของชีวิตที่ต้องก้าวหน้าต่อไป  ผ่านสถานีแล้วสถานีเล่า จิตวิญญาณไม่หยุด ไม่สะดุดอยู่กับที่ หากเป็นเช่นนี้ได้ ความเชื่อ ความศรัทธา ความรัก และความหวังในตัวเราจะมั่นคงตลอดไป พร้อมถึงที่หมาย ไม่เกิดความชินชา ไม่ตกอกตกใจจนเสียกระบวน ไม่จำเป็นต้องเห็นความจริงในทุกสิ่ง หากแต่เชื่อมั่นในทุกสิ่งที่กระทำด้วยหัวใจแห่งรัก ย่อมมีรางวัลและวันแห่งความยินดีรออยู่ในวันข้างหน้า ชีวิตที่ไปต่อที่แท้ คือ ผู้โอบรับความยากระหว่างทางเดินให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

 

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

ล้ม ลุก เริ่ม

 

ล้ม ลุก เริ่ม


ล้มตอนเด็กไม่เจ็บเท่าล้มตอนโตเพราะตอนเป็นเด็กกับการล้มเป็นการเรียนรู้ที่จะยืนที่จะเดิน และร่างกายส่วนที่เป็นกระดูก เนื้อหนังจะประสานกันง่ายดายเมื่อเกิดบาดแผล ส่วนเวลาโตขึ้นคนเราก็เกิดจริต การล้มทางกายภาคนั้นนาน ๆ ครั้ง ส่วนมากจะเป็นการล้มที่เรียกว่าล้มเหลวเสียมากกว่า ผลลัพธ์ต่อมาคือการผิดหวัง และทำใจยอมรับไม่ได้  จึงเกิดการเจ็บปวดจากภายในที่รักษาหายได้ยากยิ่ง เราทุกคนจะมีบางช่วงเวลาของชีวิต เคยรู้สึกว่า เรากำลังประสบกับความล้มเหลวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเพราะชีวิตเราจะมีคำว่า “ความสำเร็จ” ก็ต้องมีคำว่า “ล้มเหลว”เป็นของคู่กันเพียงแต่ว่าเราจะต้องรับกับสถานการณ์ความล้มเหลวแล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้งได้อย่างไร?ชีวิตนับหนึ่งได้และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอในยามวิกฤตที่ต้องพบกับความล้มเหลวนั้น “เวลา” สำคัญมาก ทบทวน แก้ไข ปรับปรุงจะทำให้เราบาดเจ็บน้อยที่สุดที่สุดแล้วเราต้องใช้ชีวิต มิใช่โชว์ชีวิต ให้คนอื่นมาชื่นชมยกย่อง


ในวันเวลาที่ผ่านมาวันแล้ววันเล่า ในหลายวงรอบที่ตกต่ำทุกข์ท้อ เมื่อเราลุกขึ้นได้เราก็พบกับความสุข มีความแข็งแกร่งขึ้น มีปัญหามาปัญญาแก้ไขก็เกิด ทุกข์นี้หมดทุกข์ใหม่ก็มา สุขวันนี้ก็เช่นกันย่อมมีวันพ้นผ่านสู่หวังในสุขครั้งหน้าในช่วงที่กำลังมีความสุขคงไม่อยากเริ่มอะไรใหม่ อยากจะเกาะกุมความสุขนั้นไว้ให้นานเท่านาน เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็คิดเช่นนี้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ วันดีคืนร้ายชีวิตก็ต้องเผชิญเรื่องที่สุดจะคาดคิดได้ อยู่ ๆ ก็อาจจะพบกับการสูญเสีย การจากลา มีหลายคนอยู่ในภาวะที่รับไม่ได้ เพราะไม่เคยเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมพร้อมว่าต้องมีสักวันมวลทุกข์ก้อนใหญ่จะเข้ามา ยิ่งเราสร้างความผูกพันธ์กับบางสิ่งบางอย่างเอาไว้เหนียวแน่น จนถอยไม่ได้ แยกไม่ได้ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เราประเมินเกินจริง ครั้งเกิดการไม่ได้ดังหวัง ก็เครียด คิดกังวล กลัวมากไปเอง จนยากลำบากจริง ๆ ในการที่จะไปลุกขึ้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจ ชีวิต ความรัก ความสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตาม ถ้าไม่พร้อมลุกขึ้นก็จะไม่มีการเริ่มต้น แต่มนุษย์ไม่ได้ถูสร้างมาให้พบกับความพ่ายแพ้


หากมองย้อนกลับไปเราก็คงมีประสบการณ์การเริ่มใหม่กันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เริ่มโรงเรียนใหม่ ที่ทำงานใหม่ เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงความตื่นเต้นในช่วงแรก ๆ แต่กับสิ่งที่ต้องเริ่มจากความล้มเหลวแล้วต้องเริ่มใหม่นี่สิ เราอาจจะยากยอมรับ และยากที่จะทำใจ มาวันนี้ที่ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ เราก็แค่ผิดหวัง เสียใจจมอยู่กับความเศร้าตรงนั้น เหมือนทุกอย่างพังทลายลงคิดว่าชีวิตมีแต่ถอยหลัง กว่าจะตั้งหลักได้ ก็ต้องใช้เวลาเยียวยากันสักพักการเริ่มใหม่จึงไม่ใช่เป็นการถอยหลัง แต่เป็นการเกิดใหม่ของพลังใจ เป็นความเข้มแข็ง และเป็นการต่อยอดต่อไป โดยที่ไม่ใช่ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น เพียงเริ่มตรงจุดที่เราอยู่จุดที่เราเป็น เริ่มก้าวต่อไป เป็นการเริ่มใหม่ด้วยหัวใจดวงเดิม เพิ่มเติมด้วยความแข็งแกร่ง


ทุกชีวิตเกิดมาล้วนต้องการความสุข แต่บางคนจมจ่อมอยู่กับความทุกข์หมดอาลัยตายอยากและสิ้นหวังกับชีวิต โดยหารู้ไม่ว่าความสุขนั้นมีอยู่รอบตัวเรา อีกทั้งชีวิตที่เป็นทุกข์นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอเพียงมีความกล้าที่จะเปลี่ยนวิธีคิด มีความหวังอยู่อย่างเต็มเปี่ยมว่า ชีวิตที่ดีของเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน และสิ่งดี ๆ รออยู่ในทุกนาทีการมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อทุกเรื่องที่เข้ามากระทบกระเทือน เพราะทัศนคติของเรานั้นมีองค์พระจิต ที่บันดาลดลวิธีคิด วิธีคิดของเรามีผลต่อการกระทำ และการกระทำของเรามีผลต่อทุกข์สุขในใจเรา การมองโลกในแง่ดียอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะช่วยทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เมื่อใดที่เรามีความสุขจงแบ่งปันให้ผู้อื่นการมอบความเอื้ออาทร ความรักความเข้าใจเป็นการสร้างความสุขให้กับตนเองเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ความไม่กล้าแม้แต่จะยอมเปลี่ยนแปลงตนเองต่างหาก ที่ทำให้ยังคงมีชีวิตที่มีแต่ความทุกข์อยู่แบบเดิม ๆมาก้าวข้ามผ่านความกลัว ความล้มเหลว ลุกขึ้นให้เป็น เริ่มต้นใหม่ให้ได้ เพราะทุกวันเวลาคือ ปัสกา บนหนทางชีวิตจริง สุขสันต์วันปัสกา