วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปจิตวิญญาณ

ปฏิรูปจิตวิญญาณ
กระแสของการปฏิรูประบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ กำลังกลายเป็นกระแสหลักของโลกในยุคปัจจุบัน หลายๆประเทศมีผู้คนออกมาเรียกร้อง เพื่อต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง และกำลังนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวง จนกระทั่งกลัวว่าจะเกิดความรุนแรง ซึ่งในหลายๆประเทศกำลังเกิดปัญหานี้ และแน่นอนในประเทศไทยของเราก็กำลังจมอยู่กับภาวะเช่นนี้ แต่ปัญหาใหญ่มันติดอยู่ตรงที่ว่า ยังมีหลายคนกลัวการเปลี่ยนแปลงและยังยึดมั่น ยึดติด ในสิ่งเดิมๆ หรือด้วยเพราะกลัวจะสูญเสียอำนาจการครอบครอง ในขณะเดียวกัน มีอีกหลายคนคิดว่า เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้วจะดีกว่าเดิมหรือไม่ จริงๆก็ไม่มีใครตอบได้ เพราะเป็นเรื่องของอนาคต แต่ที่เรียกร้องให้ต้องเปลี่ยนเพราะเห็นว่าระบบเก่าที่ใช้มานั้น ไม่สามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้แล้ว ติดหล่ม ติดกับ ขยับเขยื้อนไปไหนก็ไม่ได้ หรือถ้ายังย่ำอยู่กับที่รังแต่จะทำให้สังคมเสื่อมลงไปเรื่อยๆ
ภาพประเทศยูเครน
ระบบสังคมในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มักใช้การบริโภคนำหน้าการบริจาค (แบ่งปัน) ใช้การตลาดเข้าครอบงำและสร้างรสนิยมให้กับผู้คน แสวงหากอบโกยฉกฉวยครอบครองแต่เพียงผู้เดียว นำมาสู่ผลของการเอารัดเอาเปรียบ นำมาซึ่งความเห็นแก่ตัวขนาดใหญ่ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างสะสม เพราะมาตรฐานใหม่นิยมวัดค่าความเป็นคน จากการมีเงินมากน้อยเพียงใด มากกว่าวัดจากความดีของคน ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งแข่งขัน แบบตัวใครตัวมัน เหยียบหัว ถีบส่ง คนที่พลาดต้องจมอยู่ใต้อำนาจตน เบียดเบียนกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม นำความทุกข์มวลรวมมาสู่สังคมก้อนมหึมา ทุกคนต่างแบกรับความทุกข์นี้ไว้ด้วยกันทั้งนั้น มีเงินทองมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นแต่มโนธรรมกลับเหี่ยวเฉา เสื้อผ้าหน้าผมดูดีสวยเด่น แต่นัยน์ตาต่างเศร้าเหงาหงอย จะมีประโยชน์ใดเล่า?
แท้จริงแล้ว ใช่หรือไม่ สิ่งที่เราพยายามไขว่คว้าหามายึดครองนั้น ล้วนนำมาแต่ความทุกข์และความเกลียดชังซึ่งกันและกัน
คุณครูในโรงเรียนสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่ง ตัดสินใจที่จะให้เด็กนักเรียนในชั้นของเธอเล่นเกม ดังนั้น เธอจึงบอกให้เด็กนักเรียนแต่ละคนในชั้นนำมันฝรั่งใส่ถุงพลาสติกมาจำนวนหนึ่ง บนมันฝรั่งแต่ละหัวให้เขียนชื่อของคนที่รังเกียจไว้ ดังนั้นจำนวนหัวมันฝรั่งที่เด็กนักเรียนใส่ไว้ในถุงของเขาจะขึ้นกับจำนวนคนที่เขารังเกียจ ไม่ชอบหน้า
และเมื่อถึงวันกำหนด เด็กๆ ทุกคนก็นำมันฝรั่งที่มีชื่อคนที่เขารังเกียจติดตัวมา บางคนมีมัน 2 หัว บางคนมีมัน 3 หัว ในขณะที่บางคนมีถึง 5 หัว จากนั้นคุณครูได้สั่งให้เด็กนักเรียนนำมันฝรั่งของตนเองใส่ถุงถือติดตัวไปทุกๆ แห่ง (แม้กระทั่งเข้าห้องน้ำ) เป็นระยะเวลา 1 อาทิตย์
ผ่านไปหลายๆ วัน พวกเด็กนักเรียนก็เริ่มบ่นถึงกลิ่นที่ไม่สู้จะดีที่ออกมาจากมันฝรั่งซึ่งเริ่มจะเน่า นอกจากนั้น เด็กที่มีมันฝรั่ง 5 หัวก็ยิ่งบ่นที่ต้องถือถุงหนักกว่าคนอื่น เมื่อเวลา 1 อาทิตย์สิ้นสุดลง พวกเด็กนักเรียนจึงได้รู้สึกปลดปล่อย และโล่งขึ้น เพราะเกมได้จบลงแล้ว
คุณครูถามว่า พวกเธอรู้สึกอย่างไรกับการที่ต้องถือมันฝรั่งติดตัวอยู่ 1 อาทิตย์
พวกเด็กนักเรียนจึงระบายความหงุดหงิดไม่พอใจออกมา และบ่นถึงความลำบากที่พวกเขาต้องเจอจากการที่ต้องถือถุงมันฝรั่งที่ทั้งหนักและส่งกลิ่นเน่าเหม็น
หลังจากนั้นคุณครูจึงได้อธิบายให้พวกเด็กได้ทราบถึงความหมายแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในเกม
คุณครูกล่าวว่า นี่เป็นเหมือนกับสถานการณ์จริงๆ เมื่อเราต้องแบก เก็บความเกลียดชังผู้อื่นไว้ในใจ มลพิษของความเกลียดชังจะกัดกร่อนใจของเรา และติดไปกับตัวเราในทุกๆ ที่ที่เราไป ถ้าขนาดที่เรายังทนไม่ได้กับกลิ่นเน่าเหม็นของมันฝรั่งในช่วง 1 อาทิตย์ ลองคิดดูว่ามันจะเป็นเช่นไร ถ้าเราแบก เก็บความเกลียดชังไว้ในใจตลอดชั่วชีวิต ?”
การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปทางด้านการเมือง ทางด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับมติของคนในสังคม แต่...เราแต่ละคนต้องปฏิรูปตัวเองก่อน โดยเฉพาะเรื่องของจิตใจ เรื่องคุณธรรม เรื่องจริยธรรม ต้องให้อยู่กับตัวเรา เป็นมโนสำนึกตลอดไป เริ่มเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ลดการยึดติดเสพติดกับความสุขส่วนตัวลงบ้าง มองเห็นผู้อื่นบ้าง และอย่าปล่อยให้สิ่งที่ครอบครองนั้นเน่าเสียไปอย่างไร้ประโยชน์ นำความรักและการอภัยมาใส่บ่าใส่ไหล่มิดีกว่าหรือ เราก็รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เรานำมาแบกใส่นั้นไม่นานก็เน่าแล้วใยเรายังไม่ปล่อยวาง หรือให้คนที่เขาน่าจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
การปฏิรูปเริ่มต้นด้วยการกลับใจ แล้วจึงเดินไปสู่ ความรัก ความจริง และความงามของชีวิต สู่ความสมบูรณ์ โยนทิ้งความเกลียดชังผู้อื่นออกไปจากใจ ให้อภัยผู้อื่นถือเป็นทัศนคติที่ดีที่สุดที่ควรยึดถือไว้ รักชื่นชมผู้อื่นแม้ว่าจะไม่ชอบพวกเขา

เมื่อเราเริ่มปรับปรุงจิตวิญญาณของเรา ไม่นานรอบข้างก็จะเริ่มเปลี่ยน ทีละเล็กทีละน้อยค่อยๆทำ ความสะอาด ความร่มเย็นก็จะบังเกิดขึ้น เราอาจจะวิตกกันมากถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ เท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตวิญญาณของผู้คนเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่น้อย และไม่ต้องรอให้ใครต้องมาเป็นแกนนำ เราทำได้เลยนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป...

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

สอนชีวิตด้วยชีวิต

สอนชีวิตด้วยชีวิต
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในบ้านเมืองเรา โรงเรียนหลายแห่งในเมืองหลวงต่างหยุดการเรียนการสอน เพื่อรอดูสถานการณ์ ในช่วงระหว่างนี้เองมีวันสำคัญอีกวันหนึ่ง นั่นคือ วันครู เลยได้หยุดกันยาวต่อเนื่อง พูดถึงเรื่องครู ทำให้นึกย้อนว่าในชีวิตเราที่ผ่านมา จำครูคนไหนได้บ้าง ใช่หรือไม่ ครูที่เราจำได้ส่วนใหญ่มักเป็นคนที่ดุ คนที่เข้มงวด เจ้าระเบียบ และใส่ใจดูแลเราในทุกๆเรื่อง มีจิตวิญญาณของผู้อภิบาล ทำให้นึกถึงเรื่องของครูคนหนึ่งในบทความอันงดงาม ที่ถูกแบ่งปันกันทางอินเตอร์เน็ต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
คุณครูทอมป์สัน โกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกของการเรียนเลย ด้วยการบอกว่า ครูรักเด็กๆเท่ากันหมดเลย  แต่...มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่ง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์  ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีหนึ่งแล้ว สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเพื่อนคนอื่นสักเท่าไหร่เสื้อผ้าของเขาสกปรกและก็ตัวเหม็น ครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ
โรงเรียนที่ ครูทอมป์สัน สอนอยู่นั้น คุณครูทุกคนต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคน แต่ครูทอมป์สัน ก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้ จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่เมื่อตรวจ ครูทอมป์สันก็แปลกใจเมื่อพบว่า ….
ครูชั้น ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่าน้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 2 เขียนว่าเท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่กำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่าเขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 4 เขียนว่าเท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อน และชอบหลับในห้องเรียน
ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนมาก และรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ ห่อด้วยกระดาษสีสดสวย พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่อ ด้วยกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟัน เปิดกล่องของเท็ดดี้ดู ท่ามกลางกองของขวัญอื่นๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำหอมอยู่ก้นขวดแก่ครู แต่ครูทอมป์สัน ก็พูดขึ้นว่า กำไลเส้นนี้สวยมากเมื่อสวมมัน และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ นิ่งอยู่นานพอที่จะพูดว่าครูทอมป์สันครับวันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ
หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้านหมดแล้ว ครูทอมป์สันก็ร้องไห้เป็นชั่วโมง วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียน และเลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง  ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้นเท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และได้กลายไปเป็นศิษย์โปรด
หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตูจากเท็ดดี้ บอกครูว่า คุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่า เขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิ สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง  และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา จากนั้นสี่ปีผ่านไปจดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว  เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่อ จดหมายนั้นอธิบายว่า คุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ในงานแต่งงาน ครูทอมป์สันก็มา และใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลู และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่า แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน  ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบข้างหูคุณครูทอมป์สันว่า ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ครูทอมป์สันก็กระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่าหมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้  ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอนั่นแหละ
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

การสอนให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนคุณภาพหาใช่การสั่งสอนทางวิชาการเท่านั้น แต่เป็นการสอนชีวิต สอนให้เด็กเป็นคนดีมีคุณค่าต่อสังคม วันนี้ยุคนี้เราตกเป็นทาสของทุนนิยม ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เงินซื้อ เราจึงวัดค่าคนด้วยเงิน หาซื้อความรู้ด้วยการใช้เงินว่าจ้าง ผลักใสให้เด็กๆตกอยู่ในกระแสด้วยการแห่ซื้อใบปริญญา และตำแหน่งนำหน้า เราในฐานะผู้ปกครองเราก็เป็นครูคนสำคัญของลูกหลาน วันนี้เราสอนอะไรให้พวกเขาแล้วเราสอนเป็นหรือเปล่า ใช้ชีวิตสอนให้พวกเขามีชีวิตที่สมบูรณ์สมค่าได้มากน้อยเพียงใด 

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

โคมลอย

โคมลอย
ท่ามกลางมวลมหาประชาชนบนหาดพัทยาตลอดแนวเหนือ กลาง ใต้ ต่างถูกจับจองให้เป็นพื้นที่ส่วนตัวด้วยเสื่อ ผ้าปู เก้าอี้ เตียงผ้าใบ (ที่มีบริการขายส่งถึงที่ ยิ่งดึกราคายิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ) เพื่อรอดูพลุต้อนรับสู่ปีใหม่ เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ และเป็นสิ่งที่ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะต้องตกเป็นส่วนหนึ่งของมวลมหาประชาชน ณ ที่แห่งนี้ เนื่องด้วยเพราะมีภารกิจการงานที่ต้องมาทำตอนหัวค่ำที่โรงแรมหรูแถวๆพัทยาเหนือ เมื่อเสร็จงานผลปรากฏว่ารถราติดเหยียดยาว และถนนเส้นที่ผ่านโรงแรมนั้นเป็นการเดินรถแบบทางเดียวที่คู่ขนานไปกับชายหาด คะเนการณ์ได้ว่า ถ้าจะกลับกรุงเทพฯ ในค่ำคืนนี้ท่าทางจะเหนื่อยเปล่าๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้วจอดรถไว้ในที่ทำงาน แล้วออกเดินย่ำปะปนไปกับฝูงชนพร้อมๆกับคนรู้ใจ จากแถวชายหาดพัทยาเหนือล่วงเลยมาจนถึงพัทยากลาง ได้ที่เหมาะๆกับคนคุ้นชินที่รู้ว่ามาอยู่ในที่นี่เหมือนกัน จึงนัดหมายปักหลักรอชมพลุเมืองพัทยา นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ต้องมาต้อนรับปีใหม่ริมชายขอบทะเล
และกว่าจะถึงซึ่งเวลาข้ามขอบเขตวันเขตปี ในหมู่มวลชนคนเหล่านั้นก็มีกิจกรรมทำกันหลากหลาย แต่สิ่งที่เห็นมากหน่อย คือ การจุดและปล่อยโคมลอย ซึ่งแต่ก่อนนั้นเราเห็นประเพณีนี้จะมีอยู่แถวๆภาคเหนือ ทางลำพูน เชียงใหม่ ที่เรียกกันว่า ยี่เป็ง ซึ่งเป็นประเพณีเก่าแก่มาก จากข้อมูล ประเพณียี่เป็ง คือ ประเพณีลอยกระทงแบบล้านนา โดยคำว่า ยี่ แปลว่า สอง ส่วน เป็ง แปลว่า เพ็ญ หรือ คืนพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งหมายถึงประเพณีในวันเพ็ญเดือนสองของชาวล้านนา ซึ่งตรงกับเดือนสิบสองของไทย งานประเพณีจะมีสามวันคือ
วันขึ้นสิบสามค่ำ หรือ วันดา เป็นวันซื้อของเตรียมไปทำบุญที่วัด
วันขึ้นสิบสี่ค่ำ จะไปทำบุญกันที่วัด พร้อมทำกระทงใหญ่ไว้ที่วัดและนำของกินมาใส่กระทงเพื่อทำทานให้แก่คนยากจน
วันขึ้นสิบห้าค่ำ จะนำกระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็กส่วนตัวไปลอยในลำน้ำ
ในช่วงวันยี่เป็งจะมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน ทำประตูป่า ด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา และมีการจุดถ้วยประทีป (การจุดผางปะตี๊บ) เพื่อบูชาพระรัตนตรัย และมีการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (วิกิพีเดีย)
แต่วันนี้ประเพณีนี้ได้ถูกนำมาใช้ในทุกภาคของคนไทย และมีการจุดปล่อยกันในทุกๆเทศกาล จนอาจทำให้คุณค่าดั้งเดิมและความหมายที่แท้จริงสูญหายไปกับการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ในการปล่อยนั้นต้องมีการตั้งโคมที่ทำมาจากกระดาษว่าว และต้องรอไฟที่จุดเผาเพื่อก่อให้เกิดก๊าซให้ได้ที่ได้จังหวะ จึงปล่อยให้โคมลอยขึ้น หลายคนรีบร้อน หลายคนไม่เข้าใจ จุดปุ๊บปล่อยปั๊บ เล่นเอาโคมนั้นพัดไปตกในกลางมวลชนคนใกล้เคียงแถวนั้นให้แตกฮือ บางโคมก็ไหม้ลุกเป็นไฟต้องไล่ดับกันจ้าละหวั่น บางโคมเขียนคำอวยพรให้ มั่งมีศรีสุข ให้เฮงๆเจริญๆ ใครปล่อยโคมขึ้นลอยเด่นบนท้องฟ้าได้ ใจก็คงพองโต แต่อันที่เขียนและปล่อยไม่เป็นปล่อยไม่ขึ้นนี่สิ คนปล่อยใจคงแฟบไปเลย 
นั่งมองไปมองมาใจก็คิดว่า คนเราจะลอยสูงขึ้น ประสบความสำเร็จได้นั้น มันต้องถูกที่ถูกทาง ต้องมีจังหวะ รอจังหวะ รอความพร้อม รอทิศทางลม ใครที่รีบร้อนมักจะหล่นล่วงลงมาไม่เป็นท่า โคมลอยขึ้นฟ้าและก็ลอยลับหายไป หายไปไหน ตกลงที่ใด ไม่มีใครทราบและตามเก็บ คนที่ลอยสูงเด่นบางครั้งก็เป็นเช่นนั้นโดดเดียวเดี่ยวดาย หมายยิ่งใหญ่แต่ต้องเงียบเหงาไร้คนคบหา จะมีประโยชน์ใดเล่า 
คิดไปอีกว่า โคมลอยในอีกความหมายหนึ่ง คือ การปล่อยข่าวลือข่าวลวง ยิ่งในสถานการณ์บ้านเมืองเราจะเดินไปทางไหนสู่หนทางใดยังไม่มีใครรู้ ต่างฝ่ายต่างเต้าข่าว ปล่อยข่าวลอยๆมาลวง เพื่อให้มวลชนคนของฝ่ายตัวเองเชื่อและศรัทธา ความจริงเป็นสิ่งที่หายากในยุคนี้ อ่านข่าวติดตามข่าวต้องตั้งสติวิเคราะห์ให้ดีๆ ต้องเตือนตนด้วยมโนธรรม ไม่ใช่ใช้แต่อคติและจริตของตนฝ่ายเดียว อะไรดีอะไรไม่ดี จิตพิเคราะห์ได้ หากเราหลงไปกับข่าวโคมลอยที่ถูกปล่อยออกมาในทุกนาที ชีวิตเราจะไร้ซึ่งความจริง เราจะจมอยู่กับโทสะและโมหะ ข่าวโคมลอยมาและหายไปอย่างไร้เยื่อใย แต่มันจะทำให้ใจเราไปปักจมกับข้อมูลเหล่านั้นตลอดไป ข่าวทุกวันนี้พูดตามความจริงล้วนแล้วแต่มาตามกระแสทั้งสิ้น ข่าวที่เราอ่านๆกันเป็นข่าวมือสามมือสี่ ฉะนั้น เวลาอ่านข่าว อ่านบทวิเคราะห์อะไรก็ต้องคิดให้ดีๆพิจารณาให้รอบด้าน เราจะได้ไม่ถูกข่าวโคมลอยครอบงำเอา

วันเดือนเริ่มต้นปีแบบนี้เราได้เห็น ได้มีเวลาหยุดนิ่งเพื่อพิจารณาไตร่ตรองชีวิตของเรา แล้วมองดูว่า จังหวะ ในการก้าวย่างเปลี่ยนผ่านนั้นเราพร้อมพอหรือยัง เราเรียนรู้ทิศทางความน่าจะเป็นในการดำรงอยู่บนหนทางใด ยอมรับการจะขึ้นสูงเหนือกว่าคนอื่นโดยเสียสละมากกว่าคนอื่นได้หรือไม่ และที่สุดเรายืนอยู่ ยึดมั่น ในความถูกต้องมากน้อยเพียงใด โดยปราศจากความชอบไม่ชอบ ถูกใจหรือไม่ถูกใจ หากสิ่งใดถูกต้องเราต้องเลือกโดยยอมสละจริต อคติส่วนตนลงให้ได้ โคมลอยนี้ก็จะขึ้นไปเป็นสิ่งงดงามเพื่อขึ้นไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เป็นข่าวดีที่ไม่ใช่ข่าวโคมลอย เราพร้อมหรือยังที่จะถูกปล่อยเพื่อให้ลอยสู่ฝากฟ้า เป็นดวงดาวน้อยประดับในท้องนภาอันมืดมน...