วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เลี้ยวซ้ายผ่านตลาด

เลี้ยวซ้ายผ่านตลาด

อย่าตกใจว่าพิมพ์ผิดหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่มักจะพบเจอป้ายเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ถ้าอยากรู้ว่าทำไมต้องเลี้ยวซ้ายผ่านตลาดก็เชิญทรรศนากันเลยครับ....

ในยุคสมัยที่การบริโภคครอบครองโลก วัฒนธรรมหนึ่งที่มาพร้อมๆกัน นั่นก็คือเรื่อง การตลาด จนกระทั่งคิดค้นกันเป็นทฤษฎี เป็นตำรับตำรา มีการเรียนการสอนกันอย่างมากมายในระบบการศึกษาปัจจุบัน

ทุกวัน ทุกนาทีที่ชีวิตดำเนินอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมักใช้การตลาดนำทาง เป็นการซื้อขาย เป็นการสร้างภาพ สร้างแบรนด์ เพื่อเรียกร้องความสนใจ โน้มน้าวให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ โดยมีสื่อใหม่ สื่อดิจิตอล เป็นพาหนะ นำภาพ นำเนื้อหาที่ต้องการสื่อ ต้องการค้าขาย ต้องการสร้างกระแส ใช้วิธีการสร้างข่าว ปล่อยข่าว ปูดข่าว เป็นข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวหลอก ผู้คนที่ขาดวิจารณญาณ ผู้ที่ไร้ภูมิต้านทานมักตกเป็นเหยื่อ หลงเชื่อ มีการใช้จิตวิทยาทำให้เกิดความขัดแย้ง ทำให้เกิดกลุ่มมวลชน และถึงขั้นเกิดเป็นชุมชน ซึ่งมักพบเจอในโลกไซเบอร์ เป็นตลาดสดออนไลน์ ทุกวันนี้การจะทำธุรกิจอะไรก็ตาม หากต้องการความสำเร็จ ก็ต้องทำให้สินค้าเหล่านั้นเป็นที่รู้จักแพร่หลายให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการตลาดถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีส่วนผลักดันให้ธุรกิจเหล่านี้ประสบความสำเร็จ การตลาดในปัจจุบันนั้น มีหลากหลายรูปแบบ ที่เห็นกันมาก ก็คือ รูปแบบของการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ หรือจัดแคมเปญ ออกโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค คนเรามักเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เห็น ในสิ่งที่ได้ยินบ่อยๆ เมื่อมันฝังรากลึกลงในสมองแล้วก็ยากที่จะปลิดสิ่งเหล่านี้ทิ้งลงไปได้

การตลาดแนวใหม่พอมาผสมกับพฤติกรรมแห่งยุคสมัยใหม่ของผู้คนที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเก่ง ต่างคนต่างยึดโยงในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ โดยไม่ได้กลั่นกรอง ไตร่ตรองให้ลึกลงไป ยึดมั่นในทัศนะคติของตนอย่างมั่นคง ถ้าเปลี่ยนก็จะถูกกล่าวหาว่าไร้จุดยืน ความเห็นแก่ตัวถูกจุดติด ความเห็นแก่ได้ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพ จึงเข้าทางฝ่ายที่เป็นผู้นำแนวคิด และเมื่อการสื่อสารสมัยใหม่ที่ใช้งานง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส จากการที่แต่ละคนมีสิ่งที่ตัวเองเชื่อตัวเองศรัทธาจนล้นเหลือ ก็ต้องการแบ่งปัน ต้องการปลดปล่อย ต่างคนต่างก็แสวงหากลุ่มคนที่มีแนวความคิดเหมือนๆกัน รวมตัวกันเป็นเครือข่าย โยงใยแบบไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเคย เพื่อเผยแพร่แนวความคิดที่เชื่อแบบฝังหัวจนโงหัวไม่ขึ้น ให้ไปสู่ความสำเร็จ ก็อาศัยการตลาดแนวใหม่ส่งต่อเป็นทอดๆกันไป ดังจะเห็นว่าการตลาดแนวใหม่ก็คือการส่งต่อเป็นลูกโซ่ กลายเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่

ใช่หรือไม่ การตลาดมักมากับการทำกำไร มุ่งหวังอยู่ที่การได้เงินได้ทองให้มากๆ การตลาดมักคู่ไปกับความโลภ ความหลงของคน แม้ว่าหลายองค์กรหลายคนพยายามจะใช้จุดยึดโยงที่เรียกว่าอุดมการณ์แห่งการรับใช้ อุดมการณ์แห่งการแบ่งปันมาใช้ แต่ก็มักใช้กันอย่างผิวเผิน ห่างเหินจุดแก่นแท้ หลายคนหลายองค์กรก็คิดแต่ได้ฝ่ายเดียว ใช้เงินต่อเงิน สร้างโครงข่ายให้ตัวเองยกระดับขึ้นไปในตำแหน่งที่สูงๆขึ้น ใช้เพื่อน ใช้ญาติไต่บันไดขึ้น โดยหลงลืมมิติแห่งความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้อง ซึ่งเป็นการทรยศหักหลังกันแบบเนียนๆ หลายคนเมื่อจมลึกลงไปในธุรกรรมการตลาดสมัยใหม่ ก็ต้องการจะถอนทุนคืน ก็ใช้การตลาดไปหลอกต่อกันเป็นทอดๆไป มองในมุมหนึ่ง บางคนจึงกลายเป็นยูดาสยุคดิจิตอลไปเสียแล้ว...

การตลาดที่คู่มากับการสร้างภาพให้ดูดี (เพราะความไม่ดีจึงต้องสร้างให้ดูดี) ให้ดูว่าเป็นคนเก่ง คนรวย เป็นคนเด่นคนดัง การสร้างภาพมักแอบอิงแฝงฝังอยู่บนทุกพื้นที่ของสังคม ใช้เงินและความสะดวกสบายเข้ามาหลอกล่อ คนหลายคนที่ไม่เคยเห็นเงินก้อนโต ก็ตาโต ยอมขายจิตวิญญาณแห่งความเป็นคน พยายามสร้างภาพให้ตัวเองเพื่อให้คนอื่นเชื่อถือ สร้างจนกระทั่งตัวเองยังเชื่อว่านั่นคือตัวตน ยอมโกหกแม้กระทั่งตัวเอง

วันนี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันเลี้ยวผ่านตลาดแนวใหม่ไปกันอย่างมากมาย เลี้ยวซ้ายโดยไม่ต้องติดไฟแดง ไฟแดงที่คอยเป็นสิ่งระแวงระวังให้คนได้ลดความรวดเร็ว ให้ลดความรีบร้อนลงบ้าง หยุดตั้งสติเพื่อสตาร์ทออกไปบนถนนแห่งความดีและความงดงามแห่งชีวิตกันบ้างดีไหม เป็นสิ่งอันตรายไม่น้อย ถ้าเราเกิดเลี้ยวซ้ายผ่านไปตลาดแล้วตรงไปสู่หุบเหวแห่งไฟนรก จะเลี้ยวกลับก็ไม่ได้ จะหยุดก็ไม่ทันวันนั้นเราจะเป็นฉันใด และหากว่าในวันนี้ยังไม่สายเกินไป เราเลี้ยวซ้ายมาแล้ว คงต้องมองหาทางกลับ หาที่ยูเทิร์น กลับเนื้อกลับตัว ลดความรีบเร่ง ลดความโลภ ลดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินเห็นแก่ทองลงบ้าง ชีวิตเรามีทั้งเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาและมีทางตรง คนที่ศึกษาเส้นทางดีๆ ศึกษาอย่างรอบคอบ การเดินทางมักจะปลอดภัยในทุกๆครั้ง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆได้มาฟรีๆโดยไม่ลงแรงลงทุน และทุนแห่งชีวิตที่แท้จริงนั่นคือทุนแห่งคุณธรรมที่ต้องประจำติดตามตัวไปในทุกที่ทุกแห่งทุกหนที่เราก้าวย่าง....

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

แด่...ผู้ที่ไม่เคยรู้จัก

แด่...ผู้ที่ไม่เคยรู้จัก

12 เมษายน 22.30 น.

รถบัสคันใหญ่ที่บรรจุผู้คนกว่า 40 คน เดินทางจากวัดเซนต์หลุยส์มุ่งหน้าสู่จังหวัดชุมพร คือ จุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนร่วมกันของคนคุ้นชิน แม้หลายคนจะไม่คุ้นเคย และด้วยความรู้สึกที่ว่า ก็ดีเหมือนกันที่ได้มีโอกาสพักผ่อนและถอนตัวออกจากชุมชนเมืองเพื่อไปรับพรจากธรรมชาติที่ชุมพร ละจากความเครียดสาธารณะที่พบปะกันมาหลายสิบวัน ห่างเว้นจากข่าวสารลงบ้าง เว้นวรรคการรับรู้จากความใจร้อนใจร้ายของผู้คน แน่ละใจก็ยังครุ่นคิดไปตลอดทาง เหตุไฉนหนอจิตใจผู้คนจึงห่างหายจากความอ่อนโยน อ่อนละมุน เป็นใจแข็งกระด้างกลายเป็นก้อนอิฐ หิน ปาใส่กัน จากที่เป็นคนไทยด้วยกันกลับเป็นคนอื่นคนไกล จากความคับแคบ แค้นเคือง โมโหโกรธา แค่รู้ว่าต่างพวกต่างความคิด ก็หมายเอาชีวิตกันเสียแล้ว ใจที่แคบคับของเรา ควรได้รับการปลอบประโลมจากผืนน้ำ ท้องทะเล ท้องฟ้า อันกว้างใหญ่ เพื่อให้เรากลับคืนสู่ความใจกว้าง และใสเย็นแม้ท่ามกลางคลื่นลม

13 เมษายน 04.30 น.

คณะเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย และเนื่องจากเป็นเทศกาลที่คนหลายคนคิดแบบเดียวกัน ที่พักจึงยังคงเต็มแน่น ทำให้เข้าพักไม่ได้ รถบัสคันนี้จึงเป็นดั่งบ้านต่างเตียงเพื่อนอนหลับพักฟื้น ยามเช้าแสงแดดอ่อนก็มาเยือนอย่างเที่ยงตรง คนรู้จักต่างตื่นและใช้เวลาในการท่องตลาดในที่ต่างถิ่น ต่างคน แวะซื้อหากับคนที่ไม่เคยรู้จักโดยมีการซื้อขายเป็นสื่อกลาง จากนั้นก็ออกท่องเที่ยวชมบ้านชมเมืองสองข้างทาง สิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในใจคนคาทอลิกเสมอนั่นคือแวะหาวัดต่างที่ต่างถิ่นที่ไม่เคยรู้จัก เพื่อสวดภาวนา ทำบุญ วัดคาทอลิกในจังหวัดชุมพร คือ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ แต่ด้วยการที่มาอย่างไม่ได้นัดหมายวัดจึงปิด(คุณพ่อเจ้าวัดไปเข้าเงียบ) แต่แล้วคณะคนคุ้นเคยก็ได้เชยชมความสวยงามและรับความงดงามทางจิตวิญญาณ เมื่อซิสเตอร์ผู้ประจำวัดนั้น ได้มาเปิดประตูสู่ความสงบให้กับพวกเรา ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมรักทักทายดังคนเคยรู้จัก ก็เพราะความรักในพระคริสต์เหมือนกันจึงเกิดความคุ้นเคย

13 เมษายน 11.30 น.

ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากวัดสู่ที่พัก แต่ต้องใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะสงกรานต์สาดน้ำเริ่มขึ้นแล้ว หนุ่มสาวต่างหน้าต่างตา ไม่คุ้นเคย ต่างก็ร่ายรำ พร้อมอุปกรณ์ครบมือดูช่างสนุกสนาน แต่สำหรับอีกหลายคนที่ต้องทนทรมานกับการนั่งอยู่เฉยๆในที่แคบๆ ก็ชักไม่มีอารมณ์สนุกไปด้วย คนที่ไม่รู้จักพยายามทักทาย แต่ความเฉยเมินคือปฏิกิริยาที่ตอบกลับไป มีบ้างบางคนถูกตะโกนใส่ ไม่มาเล่นสงกรานต์แล้วจะมาทำไม ปีหนึ่งมีหนเดียวทำเป็นไม่กล้าจะเล่น คือคำประชดประชันจากคนที่ไม่รู้จัก ...จวบจนเมื่อเข้าที่พักก็ขอพักผ่อนกันในบ้านที่ไม่เคยรู้จัก แต่ก็ตระหนักได้ว่ายังไงๆก็ยังดีกว่านอนในรถ

14 เมษายน 16.30 น.

เดินออกมาสูดลมเย็นริมชายหาดที่ขาวสะอาดแม้จะดื่นดาษไปด้วยผู้คน บางคนก็โดดลงเล่นน้ำบ่อใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ร่วมกับผู้คนที่ไม่รู้จัก เพราะธรรมชาติแห่งนี้ใครเล่าจะบังอาจครอบครองไว้คนเดียว ลมชายหาดพัดสาดใส่ ใจลอยระล่องถึงถิ่นที่จากจร ขณะนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร ความเศร้าเสียใจจากเหตุการณ์ 10 เมษายน หวนกลับสู่สมองอีกครั้ง นั่งลงริมหาดกวาดสายตาไปให้ไกล ใช่หรือไม่ ใจมนุษย์สุดหยั่งถึง ความโลภสุดหยั่งรู้ ความเห็นแก่ตัวสุดขั้วหัวใจ นี่แหละเราในยุคสมัยปัจจุบัน...

15-20 เมษายน 00.00-24.00 น.

ชีวิตสู่ปกติแต่ไม่ปกติสุข เพราะทุกอย่างยังคงเป็นปัญหาเหมือนเดิม..

21 เมษายน 19.30 น.

หน้าศาลาหลุยส์มารี ร่วมสวดภาวนาอุทิศแด่ดวงวิญญาณพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายจักรพงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ผู้ที่เราไม่เคยรู้จัก แต่ความเสียสละของท่านนำหลายคนมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ สิ่งหนึ่งที่เผยแพร่ออกมาคือการอุทิศตนเพื่อหน้าที่อย่างดียิ่ง ยากที่จะหาคนยุคนี้เป็นเช่นท่าน ผู้เป็นทหารที่เคยพูดว่า จะไม่ยอมให้กระสุนออกจากกระบอกแม้แต่นัดเดียวเพื่อเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน ท่านก็ได้พิสูจน์คำพูดด้วยชีวิตที่แลกกับกระสุนจากคนไทยใจกระด้าง ใครเล่าจะกล้ายืนหยัดความดีงามและยอมสละชีพเพื่อหน้าที่ ที่มีที่เห็นก็ทำกันเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น แด่ท่านนายพล ผู้ที่เราไม่รู้จัก แต่รักและเคารพท่านอย่างสุดซึ้ง พักผ่อนเถอะท่านผู้กล้า หลับให้สบาย ท่านจะกลายเป็นคนคุ้นเคยและจะอยู่ในใจของคนไทยหลายๆ คนตลอดไป

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ตายดี-ตายร้าย

ตายดี-ตายร้าย

จากความขัดแย้งทางด้านความคิดเห็น คนเราก็เข่นฆ่ากันอย่างง่ายดาย ทั้งๆที่เราก็รู้อยู่ว่าอีกไม่นานนัก ความตายก็จะมาเยี่ยมกรายทุกผู้คน แต่เหตุไฉนเล่า จึงเร่งกำหนดขีดเส้นยัดเยียดความตายให้แก่กันและกัน ใช่หรือไม่ ไม่มากก็น้อย เราก็ปรารถนาที่จะตายอย่างสงบสันติ หาใช่ตายกลางสนามรบที่ยังหาจุดจบที่สงบมิได้ สำหรับผู้ที่ต้องสูญเสียชีวิตโดยเหตุบังเอิญ เราก็เพียงสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับดวงวิญญาณเขาสู่ที่สงบสันติตลอดนิรันดร์

เมื่อพูดถึงความตาย ยังจำได้แม่นว่าที่บ้านหลังเก่า มีรูปภาพวาด ที่พ่อแม่เคยบอกว่าเป็นรูปภาพของการตายดีกับตายร้าย ภาพตายดีจะมีเทวดามาล้อมรอบ มาร้องเพลง สวดภาวนาให้ ส่วนภาพตายร้ายนั้นมีแต่ปีศาจที่กำลังฉุดกระชากเพื่อให้ไปลงนรก สองภาพนี้เก่ามากๆ คิดว่าหลายท่านคงเคยได้เห็น เป็นภาพที่เตือนใจเราว่า ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ในวันสุดท้ายที่ความตายมาหา เราอยากจะให้เทวดาหรือปีศาจที่มารับเรา และทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งที่นักเขียนเลื่องชื่อชาวเลบานอน คือ คาลิล ยิบราน ได้เขียนเกี่ยวกับความตายไว้อย่างน่าสนใจ
และเมื่อดวงจันทร์จางแสงลงยามใกล้รุ่งและเมืองถูกปกคลุมด้วยม่านอันงดงาม ความตายก็เดินด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบาไปท่ามกลางที่อยู่อาศัยเหล่านั้น จนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ของเศรษฐี มันก้าวเข้าไปข้างในโดยไม่มีใครหยุดยั้งมันได้ มันยืนอยู่ข้างเตียงแล้วแตะเปลือกตา เศรษฐีตื่นตกใจ เขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงที่หวาดกลัวและโกรธว่า
“จงออกไปเสียจากข้า เจ้าความตายที่น่ากลัว ไปให้พ้นนะเจ้าผีที่ชั่วร้าย เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ไอ้ขโมย เจ้าต้องการอะไร ไอ้ผู้ร้าย จงไปเสียให้พ้นเพราะข้าคือนายของบ้านนี้ ออกไปเสียเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะเรียกทาสและคนยามของข้ามาฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”
ความตายเข้าไปใกล้แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า “ข้าคือความตาย จงรู้ไว้และทำตัวให้อ่อนน้อม”
เศรษฐีมีอำนาจผู้นั้นถามว่า “เจ้าต้องการอะไรจากข้า? เจ้ามาหาข้าเพื่ออะไร? เจ้ามาทำไม ในเมื่องานของข้ายังไม่เสร็จสิ้น? เจ้าต้องการอะไรจากผู้มีอำนาจเยี่ยงข้านี้? จงไปหาคนเจ็บซิออกไปให้พ้น” แต่หลังจากเงียบไปด้วยความอึดอัด ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นอีกว่า
“เปล่า เปล่าดอก ความตายผู้เมตตา โปรดอย่าสนใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเลย เพราะความกลัวทำให้ข้าพเจ้ากล่าวในสิ่งที่หัวใจของข้าพเจ้าห้าม จงรับเอาทองคำจากข้าพเจ้าหรือวิญญาณของทาสสักคนหนึ่งไปและปล่อยข้าพเจ้าไว้เถิด ข้าพเจ้ายังต้องคิดบัญชีกับชีวิตซึ่งยังไม่สัมฤทธิ์ผล อีกทั้งบัญชีทรัพย์สินซึ่งคนทั้งหลายยังไม่ได้รวบรวมมาให้ ข้าพเจ้า มีเรือเดินทะเลซึ่งยังมาไม่ถึงฝั่งและผลิตผลจากแผ่นดินซึ่งยังมิได้เก็บเกี่ยว ขอท่านจงรับเอาสิ่งที่ท่านต้องประสงค์และไปเสียเถิด ข้าพเจ้ามีนางบำเรอที่งดงามเหมือนดังอรุณรุ่งให้ท่านเลือก โอ้ความตาย จงฟังต่อสักนิดเถิด ข้าพเจ้ามีบุตรชายคนเดียวซึ่งข้าพเจ้ารักเหมือนแก้วตา ท่านจะเอาเขาไปด้วยก็ได้ แต่จงปล่อยข้าพเจ้าเถิด”
แล้วความตายก็เอามือวางลงบนปากของทาสแห่งโลกีย์ชีวิตผู้นี้ แล้วหยิบเอาแก่นชีวิตของเขาส่งไปในอวกาศ
ความตายเดินต่อไปยังถิ่นของคนจน กระทั่งมาถึงที่อยู่อันซอมซ่อหลังหนึ่ง มันเข้าไปข้างใน ไปยืนอยู่ข้างเตียงซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ หลังจากจ้องมองดูสีหน้าอันสงบของเขาแล้ว มันก็แตะเปลือกตาของเขาและชายหนุ่มก็ตื่นขึ้น และเมื่อเขามองเห็นความตายยืนอยู่เหนือเขา เขาก็คุกเข่าลง พลางยื่นมือออกไปหา ด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันถึง และความรักจากดวงจิต เขาได้พูดขึ้นว่า
ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว โอ้ความตายผู้งดงาม จงรับเอาดวงวิญญาณของข้าพเจ้าไปเถิด โอ้ความเป็นจริงของความฝันและเนื้อหาแห่งความหวังของข้าฯ จงโอบข้าฯไว้เถิด ที่รักแห่งดวงวิญญาณของข้าฯ เพราะท่านนั้นแสนการุญและคงไม่ปล่อยข้าฯไว้ที่นี่อีก ท่านคือผู้สื่อสารแห่งปวงเทพ ท่านคือหัตถ์ขวาแห่งสัจจะ จงอย่าทิ้งข้าฯไปเลย ข้าฯได้แสวงหาท่านมานานแต่ไม่พานพบ ข้าเรียกหาท่านแต่ท่านหาได้ยินไม่ แต่บัดนี้ท่านได้ยินข้าพเจ้าแล้วฉะนั้นจงอย่าตอบแทนความรักของข้าฯด้วยความเมินเฉย จงโอบเอาวิญญาณข้าฯไว้เถิดความตายที่รักของข้า
แล้วความตายก็วางนิ้วอันอ่อนโยนของมันลงบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มและนำเอาแก่นแท้ของเขาสอดไว้ใต้ปีกมัน
ขณะที่ความตายฝ่าอากาศไปนั้น มันได้มองกลับมายังโลกนี้และได้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้มาตามความว่างเปล่า “ผู้ใดมิได้มาจากสิ่งอันเป็นนิรันดร์ย่อมจักไม่กลับคืนสู่สิ่งอันเป็นนิรันดร์” (น้ำตาและรอยยิ้ม : คาลลิ ยิบราน)
แล้ววันสุดท้ายที่ใกล้มาถึงของเรา เราจะเลือกตายดีหรือตายร้ายกันเล่า ในเมื่อวันนี้เรายังมีเวลาที่จะเลือก.......

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

ทุกข์ถมหรือถมทุกข์

ทุกข์ถมหรือถมทุกข์

ท่ามกลางแดดที่ร้อนแรง แรงโทสะที่ร้อนลุ่ม ที่เข้าเกาะกุมผู้คนไปทั่วทั้งเมือง ท่ามกลางความหวาดวิตก หวาดระแวงและหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นปกติของบ้านเมือง ท่ามกลางสังคมที่ยังเต็มไปด้วยการแบ่งแยก แบ่งฝักฝ่าย แยกเขี้ยว คำราม และพร้อมจะตะครุบเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ทำให้บรรยากาศของชีวิตความเป็นอยู่ของคนเมืองเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก ข่าวร้อน ข่าวร้าย ข่าวด่วน ข่าวลือ คือ สิ่งเสพที่ต่างฝ่ายต่างสร้าง ต่างฝ่ายต่างช่วงชิง สิ่งสุดท้ายคืออะไร จุดจบอยู่ตรงไหน ใครรู้ช่วยตอบที....คนไทยด้วยกันเป็นเช่นนี้แล้วหรือ อากาศที่ร้อนแผดเผาผิวหรือจะสู้อาการใจร้อน ใจร้ายชนิดที่ขาดความเคารพในความเป็นอยู่ของกันและกัน ไม่เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นคนไทยด้วยกัน มีแต่การช่วงชิงความได้เปรียบกัน เพื่อขึ้นครองโน้มน้าวผู้คนด้วยคำพูดคำจาที่เสกสรรหามาสาดใส่เข้าหากัน....

ทั้งๆที่ชีวิตดำเนินอยู่บนหนทางปกติสุข เรายังเจอความทุกข์ซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่มากมาย เรายังสร้างทุกข์มวลชนให้กันอย่างไม่หยุดหย่อนกันอยู่ทำไม แต่นั่นแหละ...อย่างที่ผู้บรรลุธรรมเคยพูดและจดจารเอาไว้ ไม่มีความสุขใดที่จะไม่เคยผ่านหนทางทุกข์ได้ ไม่มีทุกข์จะพบสุขได้เช่นไร เราผู้เดินดินกินข้าวสวยที่ไม่ได้ร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์ แต่โชคดีที่ยังไม่ถึงกับต้องกินดินเป็นอาหาร ที่ทนทุกข์กันจะเป็นจะตายอยู่อย่างนี้ ก็เพราะความวุ่นวายที่มีไม่รู้จักพอ อิ่มไม่เป็น เต้นกันไม่เลิก เลยต้องหาแล้วหาอีก พอเกิดช่องว่างนิดหน่อยก็พลอยคิดว่าเป็นหลุมใหญ่เบ้อเล่อเท่อ แล้วก็ตีอกชกตัวว่าทำไมถึงต้องเป็นเรา

เราวุ่นวายสุดท้ายก็ตายคือกันใช่หรือเปล่า ในวันเวลาจริงแห่งชีวิตเราก็มักหลงลืมสัจจะอันนี้ พอตกหลุมทุกข์ก็ถูกทุกข์ถมจมหาย โศกเศร้าไม่เลิกรา ไม่ยอมยืนหยัดลุกขึ้นเหยียบกองทุกข์เพื่อตะกายสู่ความสุข หลายคนคงปล่อยให้ทุกข์ทับถมจับลับหายไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ใช้พระพรอันประเสริฐ ไม่ใช้สติปัญญาที่ถูกใส่ร่างอย่างชาญฉลาด

มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาแก่ ไว้ตัวหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่ง ชาวนาได้พาลาแก่ตัวนั้นออกไปข้างนอก ด้วยความโง่ของลาแก่ มันเดินซุ่มซ่าม โซเซ ทำให้มันเดินตกลงในบ่อร้าง มันร้องครวญครางอยู่เป็นเวลานานสองนาน ผ่านไปหลายเพลา ชาวนาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยมันอย่างไรดี และเจ้าลาก็แก่มากเหลือเกิน ที่สำคัญอีกอย่างคือบ่อร้างนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องกลบอยู่แล้ว คิดใคร่ครวญแล้วไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลาตัวนั้น ถมบ่อฝังลาแก่ตัวนี้ไปเลยดีกว่า

คิดได้ดังนั้นชาวนา จึงไปขอแรงชาวบ้าน มาช่วยกันกลบบ่อร้าง ทุกคนใช้พลั่ว ตักดิน สาดลงไปในบ่อ ครั้งแรก เมื่อดินตกลงไปในบ่อ เจ้าลาเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเอง ทำให้มันร้องโหยหวน ทันที เพื่อขอความเมตตาสงสารลาตาดำๆ

สักพักหนึ่งทุกคนต่างแปลกใจ เมื่อเสียงลานั้นเงียบหายไป ทุกคนจึงมองลงไปในบ่อ ก็พบกับความประหลาดใจ เพราะว่าทุกครั้งที่ตักดินใส่ลงไปในบ่อ ลาตัวนั้นมันก็จะสะบัดดิน ออกจากหลังของมัน และก้าวขึ้นมาเหยียบบนกองดินเหล่านั้น และในที่สุดมันก็สามารถหลุดพ้นจากบ่อนั้นได้...(และมันจะกลับไปอยู่กับชาวนาผู้นั้นหรือไม่ ตกลงลาโง่หรือชาวนานั้นโง่ ใครฉลาดน้อยกว่ากัน)

ใช่หรือไม่ ทุกชีวิตย่อมมีอุปสรรค ย่อมมีทุกข์ หากไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและไม่ก้มหัวให้กับความทุกข์ยากที่ถาโถมเข้ามา ที่เปรียบเสมือนดินที่สาดโถมเข้ามายังลาตัวนั้น ก็จะไม่ถูกอุปสรรคและความทุกข์เหล่านั้นถมทับ จงอย่าท้อถอย และอย่ายอมแพ้ และจงแก้ไขมัน แก้ไขสถานการณ์นั้น ๆ ให้ดีที่สุด เพื่อที่เราจะได้เหยียบมัน เพื่อที่จะได้ก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ และให้คิดว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ทางแก้ไข แต่ใจเท่านั้นที่พร้อมจะแก้ไขหรือเปล่า..

และเราจะยอมเป็นลาที่โง่หรือชาวนาที่คิดไม่เป็นผู้นั้นหรือ ความสุขยิ่งอย่างหนึ่งของเรา อยู่ตรงที่เราข้ามผ่านความทุกข์มาได้ ในวินาทีนั้นคือสุดยอดแห่งความสุข ไม่เคยมีใครในโลกเล็กๆใบนี้ที่ไม่พบกับอุปสรรคและความทุกข์ยากในชีวิต ไม่เคยมีผู้บรรลุธรรมผู้ใดไม่เคยผ่านทุกข์แสนสาหัส มองอีกด้านหนึ่งการมีทุกข์ในหนทางชีวิตก็เป็นบททดสอบความกล้าแกร่งแห่งจิตวิญญาณ คิดผิด เรียนรู้ และแก้ไขเรื่องราวต่าง ๆ ก็จะทำให้ชีวิตมีความหมายมากยิ่งขึ้น

สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด เป็นคำตรัสของพระเยซูเจ้าในห้องชั้นบน ในเวลาที่พระองค์เสด็จกลับมา เพื่อให้สานุศิษย์ผู้กำลังทุกข์ทนพบกับความยากลำบาก ในภาวะที่พวกเขากำลังขาดผู้นำ ผู้นำที่พวกเขาเคยละทิ้งให้ถูกทรมานบนกางเขน แต่แล้วจากความตายสู่แสงสว่าง พระองค์ได้ประทานพระจิตเจ้า เป็นดังดินที่ถมทับบนหลุมกว้าง เพื่อให้พวกท่านเหล่านั้นได้หยัดยืน ลุกขึ้นต่อสู้กันอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสันติสุขและความกล้าหาญ จากวันนั้นถึงวันนี้ความรักของพระคริสตเจ้าแผ่ไปทั่วโลกหล้า แล้วเราในวันนี้ที่ต่างก็ทุกข์ระทมกับวันเวลา กับสถานการณ์ เราจะก้าวผ่านไปพบแสงสว่างได้อย่างไร เราจะถูกดินทับกลบหน้าโดยไม่ยอมลุกยืนกันอีกครั้งล่ะหรือ ขอให้สันติสุขจงมีแก่ท่านและนำสันติสุขนี้แผ่ไปยังทุกผู้คนที่ทุกข์เข็ญ เพื่อสันติสุขของประเทศไทยของเราจะได้กลับมาอีกครั้งและเป็นนิรันดร์ตลอดไป...

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

ใจที่นิ่งสิ่งนี้คือชัยชนะ

ใจที่นิ่งสิ่งนี้คือชัยชนะ

ใครๆก็อยากจะพบความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสุขคืออะไรเล่าในความหมายของแต่ละคน การได้มีเงินมีทองใช้ การมีชีวิตที่สะดวกสบายนี่คือนิยามความสุขของคนหมู่มาก แต่สำหรับผู้ที่แสวงหาหนทางสายจิตวิญญาณ ความสุขนั้นเริ่มต้นในความศักดิ์สิทธิ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่มิได้มาจากสิ่งภายนอก ความสุขไม่ปรารถนาความพอใจเลย เพราะความสุขมิใช่อะไรอื่นนอกจากความใฝ่ฝันคะนึงหาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โอบรัดไว้ ส่วนความพอใจนั้นคือความไขว้เขวซึ่งมิช้าความหลงลืมก็จะมาพิชิต วิญญาณอมตะจะไม่พึงพอใจเพราะว่ามันปรารถนาความสมบูรณ์อยู่เสมอ และความสมบูรณ์คืออนันตภาพนั่นเอง (คาลิล ยิบราน)

ฟังๆดูแล้วรู้สึกว่ายากยิ่งนักที่จะเข้าถึงความสุขแบบนั้นได้ แค่ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนก็เพียงพอแล้วกระมังในชีวิต!!! ถ้าเราคิดกันเช่นนี้นี่เป็นเพียงแค่ความพึงพอใจ เป็นเพียงความสมใจแต่ไม่ใช่สุขใจ การค้นพบความสุขที่จริงแท้นั้น เริ่มต้นด้วยการสละน้ำใจ ใจที่ต้องไม่ว้าวุ่น ใจที่สงบและนิ่ง สิ่งเหล่านี้จะพาเราเดินผ่านทางทุกข์ พ้นผ่านเพียงความสะดวกสบาย ข้ามผ่านความพึ่งพอใจไปได้

ท่ามกลางกระแสหลักของโลกวันนี้ ด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยความอลหม่านของผู้คน ด้วยการกินการอยู่ที่คู่ไปกับเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยก้าวหน้าและต้องวิ่งไล่ล่าตามให้ทัน มันหนักเอาเรื่องที่จะค้นหาความสุขลึก ความสุขที่เที่ยงแท้

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตของชายคนหนึ่งซึ่งวันนี้ได้เปิดหัวใจ เปิดจิตวิญญาณของผู้คนบนโลกหลายล้านคน ชายผู้นั้น คือ พระเยซูเจ้า ตลอดเส้นทางสู่ประตูเมืองเยรูซาแล็ม ที่ผู้คนแห่แหนต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เยี่ยงกษัตริย์ พระองค์กลับนั่งนิ่งอยู่บนหลังลาหาได้โลดเต้นยินดีในความเปรมปรีดิ์ที่ผู้คนหยิบยื่นให้ แล้วในเส้นทางสู่เขากัลวาริโอ พระองค์ก็ยังคงนิ่งสงบสยบยอมรับภายใต้กางเขนอันหนักอึ้ง หนักด้วยความผิดหวังของคนที่เคยต้อนรับพระองค์ ถูกกดทับด้วยความแค้นที่ผู้คนไม่ได้เป็นดังใจหมาย ความตายจึงเป็นคำตอบแทน ด้วยใจที่นิ่งแม้ร่างกายจะแสดงซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัสออกมาบ้าง พระองค์ก็ขึ้นสู่ชัยชนะบนกางเขน การเสียสละชีวิตเพียงหนึ่งชีวิต เพื่อไม่ให้เกิดการเข่นฆ่าให้สูญเสียชีวิตของผู้คนทั้งเมือง สะท้อนออกมาเป็นแบบอย่างของการเสียสละเพื่อคนทั้งโลกในนามพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงรับความตายเป็นเครื่องไถ่บาปของเราทั้งหลาย ด้วยความตายของพระองค์ ด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว ด้วยหัวใจของผู้กล้าและนิ่งสงบ เราจึงได้รับแสงแห่งชัยชนะ บทเรียนบทนี้มิใช่หรือที่จะสอนเราค้นพบความสุขที่เที่ยงแท้ได้ คือ ปัสกาที่นำเราก้าวผ่านเรื่องภายนอกสู่จิตวิญญาณอันแท้จริง

ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาก็พบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขาอย่างมาก ด้วยว่ามันเป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขารีบวิ่งกลับไปที่คอกม้า รื้อค้นหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดินหา แต่ก็หาไม่พบ ? เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงคิดได้ว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง ทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆ หูตายังใสคม น่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆ มาแล้วบอกว่า ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้รางวัลคนนั้น

เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้ามาทีละคน ต่างมีสีหน้าผิดหวังที่หานาฬิกาพกไม่เจอ

ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า ผมจะลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจนัก คิดในใจว่า พวกเราทั้งเยอะแยะแทบจะพลิกคอกม้าก็ยังหาไม่เจอ? แล้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร

เด็กคนนั้นเข้าไปนานก็ยังไม่กลับออกมา ชาวนาเริ่มสิ้นหวัง ในขณะที่ชาวนาคิดจะเลิกรอและจากไปนั่นเอง เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้าในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า เจ้าหาเจอได้อย่างไร เด็กชายบอกว่า พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้น ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กตอก ติ๊กตอก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไป แล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้

แล้วเราล่ะท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมจะมีเวลาได้นั่งฟังเสียงหัวใจ ฟังเสียงภายในกันมากน้อยแค่ไหน ความสุขอยู่ไม่ไกลมันซ่อนอยู่ภายในใจเรานี่เอง หยุดฟังบ้างแล้วจะพบว่า ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ไม่ต้องไปตะโกนร้องเรียกหาที่ไหน นี่คือปัสกาในวันเวลาที่เราต้องก้าวผ่านข้ามไปเพื่อพานพบกับความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน....สุขสันต์วันปาสกาครับพี่น้อง