วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ก้าวต่อไปในความพอดี


ก้าวต่อไปในความพอดี
คริสต์มาสผ่านไปอีกหนึ่งปี ปีเก่ากำลังจะล่วงเลยผ่านไป หลายที่หลายแห่งก็จัดงานกระตุ้นให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจคล่องตัว มีการหมุนเวียนเงินในระบบมากขึ้น จนทำให้ผู้คนหลงทางในการใช้ชีวิตแบบโดยหวังว่าจะพบความสุข บางทีระบบทุนนิยมก็ป้อนทัศนคติให้ต้องมี และต้องมีมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ พอไม่เป็นเช่นนั้น ก็มีความเครียด มีความทุกข์ เพราะเกิดการใช้จ่ายจนเกินตัว จะมีสักกี่คนที่ก้าวผ่านเรื่องดังกล่าวท่ามกลางกระแสวัตถุนิยม ทุนนิยมที่ถาโถมเข้าใส่จนกลายเป็นเงาร่างของผู้คนทั่วไปได้
ในระหว่างพิธีสมโภชพระคริสตสมภพในปีนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเทศน์ว่า “การบังเกิดของพระเยซูเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ด้วยการไม่ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและสะสม แต่ต้องเป็นไปเพื่อการแบ่งปันและมอบให้ผู้อื่น คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่การครอบครอง ความโลภที่ไม่รู้จักพอปรากฎให้เห็นมากมายในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แม้กระทั่งในปัจจุบัน มีผู้คนเพียงน้อยนิดที่ทานอาหารอย่างหรูหรา ขณะที่คนจำนวนมากไม่มีแม้แต่อาหารที่จำเป็นสำหรับประทังชีวิตในแต่ละวัน พระองค์ระบุด้วยว่า คุณค่าที่แท้จริงของเทศกาลคริสต์มาสถูกทำให้จมหายไปกับลัทธิวัตถุนิยม”


ตลอดระยะขวบปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังนี้ เสียงบ่นเรื่องการค้าการขาย เรื่องเศรษฐกิจ เงิน ๆ ทอง ๆ มีให้ได้ยินว่าฝืดเคือง ไม่คึกคัก สภาพไม่คล่อง ตลาด ร้านรวงดูเงียบเหงา เหมือนราวกับว่าวัน ๆ มานั่งเฝ้าร้าน ในอีกมุมหนึ่งการซื้อขาย การสั่งของผ่านทางอินเตอร์เน็ตกลับขยายตัวพุ่งแรงแซงทางโค้ง เข้าวิน จนทำให้เกิดการบริโภครูปแบบใหม่ การจับจ่ายที่ง่ายดาย การเลือกสินค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังแหล่งจำหน่าย เพียงเปิดหน้าจอมือถือ กดสั่งซื้อโอนเงิน หรือ เก็บปลายทาง ไม่กี่วันของนั้นก็มา การเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มมีบทบาทในวิถีชีวิตเมืองมากขึ้น และจะกลายเป็นเครื่องกระตุ้นความอยากได้เป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าเรายังคงต้องจมอยู่กับการจับจ่าย และฟุ่งเฟ้ออยู่ตลอดเวลา
โลกเปลี่ยนเร็ว โลกเปลี่ยนไป แม้เราจะตามไม่ทัน ก็อย่าท้อถอย ค่อย ๆ ก้าวไปด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง อย่าคิดเปลี่ยนเราให้มาเป็นแบบโลกที่มีแต่ความอยากและแข่งกันเก็บครอบครอง แต่จงเปลี่ยนตัวเราให้อยู่ในโลกด้วยความดีมีเมตตาต่อกัน ไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นไปเป็นอันดับแรก ๆ เพียงแค่รักษามาตรฐานในคุณค่าของเรา ในคุณค่าแห่งความเป็นศิษย์พระคริสต์อย่างมั่นคงให้ได้ และพยายามใช้ชีวิตเพื่อกันและกัน ช่วยกันขับเคลื่อนพลังความดีให้ปรากฎในโลกวันใหม่ ในความเปลี่ยนแปลงยังคงต้องมีความดีฉายแสงอยู่ แล้วเราต้องเป็นแสงสว่างเหล่านั้นร่วมกัน


ในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนรับรอยต่อแห่งปีเช่นนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านก้าวหน้าต่อไปในหนทางธรรม พลาดพลั้งลุกขึ้นก้าวเริ่มใหม่ ด้วยหัวใจแห่งรักจะนำพาเราทุกคนผ่านวันเวลาไปได้ตลอด อย่าไปนำความเจ็บปวดในอดีตมากีดกั้นความหวัง อย่าไปนำความคาดหวังมาฉุดรั้งให้หนักล้น มีทุกข์สุขปะปน เลือกที่จะยอมรับในยามทุกข์ ยินดีในยามสุข ข้ามผ่านวันนี้ด้วยความดีความงาม และความพอเพียง ข้ามผ่านเวลาด้วยคุณค่า เราจึงจะเป็นผู้คนที่มีคุณภาพ 
คุณแม่ท่านหนึ่งกลัดกลุ้มเรื่องการเรียนของลูกชาย จึงเข้าไปขอคำปรึกษากับพระอาจารย์
“เรื่องการเรียนของลูก สมควรเป็นเรื่องของลูกถึงจะถูกนะ โยมจะไปกลุ้มแทนเขาทำไม?” พระอาจารย์เอ่ยขึ้นหลังจากฟังนางพูดเสร็จ
“จะไม่ให้กลุ้มได้ยังไงคะ นักเรียนในห้องมี40คน ลูกชายอิฉันสอบได้ที่40ตลอดเลยค่ะ!” นางเล่าไปพลางส่ายหน้าไปพลาง
“หากอาตมาเป็นโยมนะ อาตมาจะดีใจซะมากกว่า” พระอาจารย์ตอบไป
“ทำไมละคะ?”
“ก็โยมลองคิดดูสิ ลูกชายของโยมเขาจะไม่มีทางถอยหลังไปมากกว่านี้แน่นอน เขาไม่ตกไปอยู่ลำดับที่41หรอก ใช่ไหมละ?”พระอาจารย์ตอบไปแบบยิ้มๆ
เมื่อนางได้ฟังดังนั้น นางก็หัวเราะออกมา 
“นี่ก็เหมือนกับการปีนเขานั่นแหละ ลูกชายของโยมตอนนี้ก็เหมือนกันคนที่ยืนอยู่ตรงหุบเขา ก้าวที่เขาเดินไปแต่ละก้าวก็คือก้าวที่มุ่งสู่ยอดเขา ขอเพียงโยมหยุดกลัดกลุ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นให้กำลังใจลูกชายแทน เป็นเพื่อนเขาเดินไปข้างหน้า เขาย่อมเดินออกจากหุบเขาแห่งนี้ได้แน่นอน ”
นางได้ฟังดังนั้นก็กราบขอบคุณพระอาจารย์ แล้วก็ขอตัวกลับ ไม่นานต่อมา นางก็ได้โทรศัพท์ไปขอบคุณพระอาจารย์อีกครั้ง นางเล่าว่า การเรียนของลูกชายดีคืนดีวัน สอบปลายภาคที่ผ่านมา ลูกชายสอบได้ลำดับที่35ของห้อง!(บทความ : นุสนธิ์บุคส์)


ขอเราร่วมใจในคำภาวนาเพื่อส่งไปให้กับผู้สูญเสียและประสบภัยจากสึนามิที่ประเทศอินโดนีเชีย และเราต้องตระหนักว่าชีวิตนี้ไม่ยืนยาวและไม่อาจจะคาดคะเนได้ อย่าไปคิดแข่งขันกัน อย่าสะสม อย่าฟุ้งเฟ้อเอาแต่สร้างสิ่งประดับกับสิ่งภายนอก เดินออกจากกระแสนิยมบ้าง รู้จักให้ผู้อื่นบ้างอย่างน้อยแค่รู้จัก “ขอบคุณ” ผู้อื่นให้เป็นชีวิตก็น่าอภิรมย์ยิ่งนักแล้ว

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สร้าง(สันติ)ภาพ


สร้าง(สันติ)ภาพ
ตอนเกิดมาจะมีสักกี่คนที่จะทำให้ทุกคนรู้จักและรับรู้ เราก็เหมือนกับอีกหลายร้อยล้านคนที่เกิดมาแบบเงียบ ๆ ท่ามกลางความรัก และความรักนี้เองหล่อหลอมความจริงที่ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวตนที่แท้จริงให้แต่ละคนมีคุณค่าขึ้นในวันข้างหน้า บางคนยังไม่รู้เลยว่าเราเกิดที่ไหน? ที่บ้าน? ที่โรงพยาบาล? ที่อื่น ๆ นี่ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร หลายคนหลงลืมความจริงข้อนี้ไป ทำให้เราเดินหลงทาง ห่างจากความจริงยิ่งทียิ่งมากขึ้น เมื่อหลงทางเราจึงแสวงหาต้นแบบ แล้วก็พยายามเลียนแบบเพื่อจะให้มีตัวตน เอาเข้าจริงเราล้วนแล้วแต่มีหนทาง มีสถานะ มีความพิเศษเป็นของตัวเองที่แตกต่างกัน เพื่อที่จะเอื้อเกื้อกูลกันและกัน ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างให้คนที่ไม่รู้จักมายอมรับเรา ต้องเป็นตัวเรา ตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่มีดี ที่ทำได้ดี ในส่วนที่เรามี ในส่วนที่เราเป็น 


ในสังคมสมัยใหม่เรามักจะเห็นการพยายามสร้างเรื่องราว หรือที่เรียกว่า“ดราม่า” เพื่อเรียกร้องความสนใจ ยิ่งผสมผสานกับการตลาดยุคใหม่ที่เป้าหมายเหมือนเดิม คือ เพื่อเพิ่มยอดขาย โดยไม่สนใจผลกระทบต่อคนรอบข้าง ต้องให้ตอกให้ย้ำในตัวสินค้า มีการเปิดการสอนในการสร้างเรื่อง สร้างดราม่า เพื่อให้ได้มาซึ่งยอด สร้างช่องทาง ทำทุกอย่างให้ปังให้ดังให้เด่น บางคนพยายามหนักมาก จนลืมว่าตัวเองเป็นใคร เป้าหมายจริง ๆ คืออะไร? หลงไปกับชื่อเสียงลวง ๆ หลงไปกับยอดไลค์จอมปลอม หลงไปกับคำชื่นชมลมลวง พยายามสร้างตัวตนให้คนเห็นภาพความหรูหรา ให้คนเห็นวิถีชีวิตที่แสนสุข สนุกสนาน สบาย ๆ สร้างเครดิตให้ดูดีในโลกออนไลน์ แต่ชีวิตจริงเชื่อถือได้หรือเปล่าไม่รู้!!! ในขณะที่เรายังไม่ค่อยจะเชื่อเพื่อนของเราที่เรารู้จักเป็นอย่างดี เห็นเขาสร้างเรื่องราวสวยงามในโลกเสมือนจริง แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น แล้วกับผู้คนอีกหลายต่อหลายคนที่สร้างตัวตนขึ้นมาล่ะ เราจะไม่เชื่อเชียวหรือ ต่อให้ “เนียน” แค่ไหน เราก็สัมผัสได้ คนอื่นก็ต้องคิดกับเราเช่นกัน ในวันที่เราใส่สร้างภาพปลอม ๆ
ในโลกเสมือนจริงของปลอมมีมากมาย ข่าวลวงข่าวลือมีก่ายกอง นับวันเรายิ่งเห็นของปลอมถูกตีแผ่ ถูกจับได้ไล่ทัน แต่ก็ไม่วายที่ยังมีคนที่จะสร้างสิ่งปลอม ที่สำเร็จรูปขึ้นมาอยู่ทุกวัน หากเราไม่หลอกตัวเองและถามว่าของ “ปลอม!” นั้นดูออกไหม ใครจริง หรือ ปลอม ในโลกออนไลน์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป เรามิอาจจะปฎิเสธได้ว่าโลกแห่งการสื่อสารพัฒนามาไกล แต่ไฉนความจริงยิ่งถูกทิ้งไว้กลางทางให้ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ และความสุขในชีวิตผู้คนที่มีแต่สิ่งปลอม ๆ มีแต่การสร้างเรื่องเศร้าเล่าความเท็จกันไปมาจะหาเจอกันหรือไม่ ท่ามกลางความเงียบย่อมมีความสงบ ชีวิตเรียบง่ายนำมาซึ่งความสันติ และสำคัญกว่าความ “ฉาบฉวย” ในโซเชียล


เราต้องทำให้ชีวิตของเราอยู่บนความเป็นจริง อย่าแกล้งทำเป็นชีวิตดี ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความไม่ดีไม่งามในจิตใจ ต้องขจัดอคติเหล่านี้ทิ้ง เอาเวลาที่สร้างภาพมาทำตัวเองให้มีสันติภาพ มีคุณค่าในโลกแห่งความเป็นจริงกันดีกว่า แล้วเราจะสร้างโลกแบบนี้ได้อย่างไร?อันดับแรกต้องสร้างด้วยตัวเองก่อน ต้องพยายามค้นพบความเป็นเรา แล้วค่อย ๆ เรียนรู้สิ่งรอบกาย ไม่ไปตื่นเต้น ตื่นตูม ตื่นตามสิ่งที่แย่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต อย่าหัวร้อนหัวเร็ว อดทนเพิ่มไปอีกนิด มีที่ว่างเพิ่มไปอีกสักหน่อย อย่าด่วนในการตัดสิน เพราะความเร็วนำมาซึ่งอันตรายเสมอ รู้จักผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา แล้วเราจะพบกับเหตุผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรอบตัวเรานั้นมาจากสิ่งใด หยุดเพื่อให้จิตใจเราได้พักฟื้น แค่พักสักนิดสันติก็เกิดขึ้น คุยกับตัวเองบ้างในบางครั้ง ไม่ใช่ระบายทุกสิ่งที่คิดให้คนทั่วไปได้รับรู้


ความจริงเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องราวที่สร้างขึ้นในโลกเสมือนจริงลดหายไปได้ เราต้องมีปรีชาญาณในการแสวงหาความจริง อาศัยพระจิตเจ้าพินิจพิจารณาต่อข่าวต่อเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทุกวัน ใช้ความสงบภายในสยบความเคลื่อนไหวภายนอก มองให้ทะลุในทุกมุม ทุกมิติ มองมุมเขามุมเรา มุมชาวบ้าน มุมมืด มุมสว่าง ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรออกไป สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้ก็ต้องฝึกฝนการไต่ตรอง ยิ่งฝึกฝนมากยิ่งมีภาวะรับรู้ต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่เชื่อต้องเริ่มฝึกฝนกันดู เริ่มจากไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น รับรู้เพียงผ่านๆ ในบางเรื่อง นำเรื่องที่จะมีผลกับวิถีชีวิตมาศึกษาหาความจริง บางทีเราจะพบความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ยิ่งเมื่อเราเห็นสิ่งไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น เราก็ไม่จำเป็นต้องไปวิพากษ์ด้วยคำพูดที่หยาบคาย เราไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์ลงในคำพูดคำจา สันติสุขมันสร้างไม่ยากเลยใช่ไหม...


ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกล้วนแล้วเป็นสิ่งที่ดี บนโลกมีความงดงามมากมาย โลกที่กว้าง โลกที่ลึก โลกที่เพียบพร้อม โลกนี้น่าอยู่ อย่าใช้โลกนี้เพียงภาพที่ปรากฏ แต่เราต้องใช้โลกนี้ในด้านที่งดงามต่อกัน การสร้างภาพในโลกเสมือนจริงเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากนัก แต่ความยั่งยืนนั้นไม่คงทน การสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นภายในชีวิตของเราแต่ละคนต่างหากที่จะนำพาความสุขมอบให้แก่กันและกัน สร้างสิ่งดี สิ่งที่งดงามให้เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบันด้วยหัวใจแห่งรักและเมตตา จะนำพาสันติสุขมาสู่โลกในวันนี้ เราเกิดมาเพื่อสร้างคุณงามความดี หาใช่มาเป็นภาระต่อกัน เราเกิดมาเพื่อกันและกันหาใช่เกิดมาเพื่อแก่งแย่งกัน เราเกิดมาเพื่อสร้างสันติภาพ หาใช่เกิดมาเพื่อสร้างภาพไปวัน ๆ พระกุมารแห่งสันติสุขได้ทรงบังเกิดมาแล้ว

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สายตาคู่นั้น


สายตาคู่นั้น
ได้รับเชิญให้ไปแบ่งปันถึงความหมายของคริสต์มาสที่แท้จริงให้กับเด็กนักเรียนในระดับชั้นมัธยมต้นของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะรังสรรค์ผลงานออกมาในกิจกรรมที่โรงเรียนให้ช่วยกันจัดบอร์ดในห้องเรียน เกี่ยวกับวันคริสต์มาสอย่างมีความหมาย ไม่ใช่ให้มีเพียงความสวยเท่านั้น แต่ต้องมีความงามแง่คิดแฝงตามมาด้วย จึงได้มีโอกาสออกจากบ้านตั้งแต่แสงพระอาทิตย์ในฤดูที่เคยหนาวยังมิทอแสง ความขมุกขมัวยังคงปกคลุมไปทั่ว บนถนนเจริญกรุง ถนนที่เต็มไปด้วยโรงเรียนมากมาย ยามเช้าเช่นนี้จึงเห็นนักเรียนมายืนรอรถโดยสารประจำทางเป็นจำนวนมากพอสมควร แต่ที่สะดุดตา คือมีผู้ปกครองหลายต่อหลายคนตามมาส่งถึงป้ายรถเมล์ และเมื่อส่งลูกหลานขึ้นรถแล้ว สายตาของผู้ปกครองยังคงมองดูลูกหลานจนสุดสายตา ในสายตานั้นดูเหมือนมีความห่วงใย ดูเหมือนมีความภาคภูมิใจ และเต็มไปด้วยความหวัง เต็มไปด้วยความอาทร ไม่ใช่แค่ผู้ปกครองที่มาส่งลูกหลานยังป้ายรถเท่านั้น สายตาแบบนี้ยังมีให้เห็นแม้ผู้ปกครองที่ขับรถมาส่งถึงโรงเรียนก็ไม่แตกต่างกัน สายตาคู่นั้นเป็นสายตาที่ทำให้โลกนี้มีความอบอุ่นที่อบอวลไปด้วยความรักปรากฏอย่างเด่นชัดขึ้นในทุกยามเช้า


เด็ก ๆ หลายคนเมื่อพ้นจากมือพ่อแม่ พ้นจากสายตาผู้ปกครองก็มิได้มองย้อนกลับไป มุ่งเดินหน้าก้าวไปในหนทางของตัวเองอย่างเดียว มุ่งที่จะไปหาเพื่อน ๆ ตามประสาวัยที่เพื่อนสำคัญที่สุด ปล่อยให้สายตาคู่นั้นลอยละล่องไป บางทีพวกเขาอาจจะชินชากับความห่วงใย หรือบางทีเขาอาจจะรำคาญกับความห่วงใยที่ไม่ปล่อยให้พวกเขามีอิสระเสียทีก็ไม่ทราบได้ และสักวันพวกเขาจะเข้าใจถึงความห่วงหาอาทรเหล่านี้ และจากสายตาคู่นี้อาจจะมีบางสายตาคู่เดิมจะเพิ่มเติมความอิ่มเอมในวันที่เห็นลูกหลานเรียนจนบรรลุเป้าหมาย เรียนจนได้รับปริญญา ในวันนั้นสายตาคู่นี้อาจจะอาบและคลอไปด้วยน้ำใส ๆ ที่เอ่อล้นออกมา ทุกชีวิตต่างสร้างความหวัง ต่างสร้างพลังให้แก่กันและกัน พลังที่ขับเคลื่อนสังคม แม้ว่าจะเป็นพลังเล็ก ๆ ที่ส่งผ่านทางสายตาคู่นั้นก็อาจจะมีส่วนทำให้วันข้างหน้าเราจะมีคนดี ๆ เกิดขึ้นตามมา
สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในวันข้างหน้าที่โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และยิ่งในสภาพสังคมปัจจุบัน เรามักเห็นและโหยหาความสำเร็จรูปมากกว่าความพยายามทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ ทุกคนต่างหวังถึงอนาคตตามแบบฉบับของคนดังคนออกสื่อ แต่มิได้หันหลังกลับมาดูว่า ยังมีคนใกล้ตัวเราที่มอบความห่วงใย มอบความรักและหวังว่าสักวันเราต้องก้าวสู่ความสุขที่มากกว่าความสำเร็จรูป กระแสที่บูชาเพียงเปลือกมักจะทำให้หลงทาง และหมดความชื่นชมยินดีต่อชีวิตในที่สุด  
การได้เห็นภาพเล็ก ๆ ในสังคมเมืองใหญ่ยามเช้าเช่นนี้ ยิ่งทำให้การแบ่งปันเรื่องการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้ากับเด็ก ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจมากกว่าความเข้าใจให้กับพวกเขามีความหมายมากยิ่งขึ้น จึงได้นำตัวอย่างของการจัดถ้ำหน้าพระมหาวิหารนักบุญเปโตรที่วาติกันไปให้พวกเขาได้ดู ที่นี่จะเปลี่ยนรูปแบบการจัดในทุกปี และในแต่ละปีก็จะมีความหมายที่ลึกซึ้ง เข้ากับยุคสมัย เป็นบทสอนให้กับสังคมโลกในยุคนั้น ๆ อีกด้วย ทุกสิ่งตรงนั้นเกิดจาการสร้างสรรค์อย่างแท้จริง ปีนี้ยิ่งมีความแปลกอย่างยิ่ง มีการนำเอาทรายสีทองจำนวน 720 ตันมาอัดแน่นและแกะสลักให้เป็นรูปการบังเกิดมาของพระเยซูเจ้า พระผู้เป็นเจ้าพระบุตรที่พระบิดาเจ้าส่งลงมาบังเกิดท่ามกลางคนยากไร้ และท่ามกลางนานาชาติ ผ่านทางพญาสามองค์ ภายใต้เพิงพักกันลมกันฝน ด้านข้างเป็นต้นสนสูงใหญ่ที่รอดจากพายุที่เคยพัดกระหน่ำในแคว้นเวนเนเซีย เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตและความแข็งแกร่ง


สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้กล่าวว่า “ทรายเป็นสัญลักษณ์ของความยากจน ความเรียบง่าย เล็ก เบา และความอ่อนน้อม ที่พระเจ้าแสดงให้เห็นผ่านการประสูติของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเราซึ่งตั้งอยู่ในรางหญ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ในความยากจน ในความเรียบง่ายและความอ่อนน้อมถ่อมตน” ที่พระองค์เปรียบเปรยเช่นนี้เพราะโลกกำลังตกอยู่ในภาวะของความอวดเก่ง อวดรวย มักง่ายและเห็นแก่ตัว เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ไม่รับฟังกันและกัน การบังเกิดขึ้นของพระเยซูเจ้าตรงข้ามกับกระแสของโลกวันนี้อย่างสิ้นเชิง


สายตาของเด็ก ๆ ที่จับจ้องมองไปบนจอที่นำเสนอภาพสถานที่จำลองนี้ ต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และแฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เกิดความคิดที่จะช่วยกันทำให้ภาพการบังเกิดมาของพระกุมารน้อยมีความหมายทั้งต่อชีวิตของเราและคนที่ได้พบเห็น พลังเล็ก ๆ ดั่งเช่นเม็ดทรายเมื่อรวมกันจะเกิดเป็นพลังแข็งแกร่งมากที่สุด และจะนำความชื่นชมยินดีสู่ทุกคน หากทุกคนรับฟังกันด้วยความอ่อนน้อม ความเห็นแก่ตัวและความโอ้อวดของคนในสังคมจางหายลงบ้าง เพื่อให้กระแสแห่งสำเร็จรูปลดลง ความเรียบง่ายจึงเป็นสิ่งที่จะสร้างพลังความหวัง เพื่อปลุกพลังศรัทธาแห่งรัก ให้ค่อย ๆ ทวีขึ้นในหัวใจของเด็ก ๆ การแบ่งปันในครั้งนี้ จึงเป็นเรื่องที่มีความหมายอย่างยิ่งและเป็นสิ่งที่น่ายินดียิ่งนักที่มีส่วนทำให้พลังเล็ก ๆ เหล่านี้ได้ลุกโชนขึ้นมา เพื่อสืบสานความหมายภารกิจแห่งรักของพระคริสต์ผ่านไปยังสายตาคู่อื่น  ๆ ที่จะได้พบเห็น ได้ชื่นชมความงามของบอร์ดหลังห้องเรียนร่วมกัน คริสต์มาสปีนี้เราได้ให้พลังรักแก่กันและกันบ้างหรือยัง อย่าทำทุกเรื่องอย่างสำเร็จรูป แต่จงทำทุกอย่างให้สำเร็จจากหัวใจแห่งความชื่นชมยินดี...

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ย้อนรอยรัก


ย้อนรอยรัก
บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามตึกตามอาคาร และสถานที่ต่าง ๆ ถูกตบแต่งให้สวยงาม ประดับประดาด้วยไฟหลากสี เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่กำลังมาเยือน คริสต์มาสสำหรับคนทั่วไป คือความรื่นเริง สีสัน ของขวัญ แต่...สำหรับเราคือสิ่งใด???เราเตรียมภายนอกเพื่อมอบความสุขให้กับคนอื่น หรือเรากำลังเตรียมสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อความสุขของเรา คริสต์มาสปีนี้กำลังจะมาถึง เราได้ตั้งใจจะทำอะไรเพื่อผู้อื่นมากน้อยเพียงใด แล้วสิ่งที่เรามีสิ่งที่ได้ทำมาตลอดปีมากพอที่จะมอบให้กับผู้คนรอบข้างบ้างหรือเปล่า เป็นคำถามที่เราจำต้องถามเพื่อเตือนตนให้บ่อยขึ้น และที่สำคัญเราได้พบกับความหมายที่แท้จริงอย่างไรในบรรยากาศเช่นนี้ บางทีเราต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น คริสต์มาสแรกนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

เราอาจจะตกอยู่ในกระแสนิยม กระแสแห่งวัตถุจนเลยทะลุผ่านต้นฉบับแบบคริสต์มาสแรกไปไกลเพียงใด เราหลงเดินไปบนหนทางที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเรื่อยเปื่อย ไปกับชีวิตภายนอกจนลบเลือนคุณค่าแห่งชีวิตที่เกิดมาเพื่อสร้างสันติแก่กันและกันหรือเปล่า ชีวิตสังคมก้าวมาไกลจนย้อนแย้งกับคำกล่าวที่ว่า“เทศกาลแห่งการให้” แต่ทุกสิ่งกลับถูกปลุกให้ความโลภบังเกิดแทนความรักความเมตตา อย่าทำให้ความฝันวันคริสต์มาสของเราจมหายไปกับสิ่งลวงโลภ เราต้องค้นหาและย้อนกลับไปในหนทางรักแรกที่มีเพื่อผู้อื่น และอย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราเตรียมเราทำนั้นเพื่อผู้อื่น เพราะบางทีเราก็ทำเพื่อสนองความสุขของตัวเองมากกว่า
หนุ่มน้อยคนหนึ่งมีความตั้งใจแน่วแน่ในหนทางที่จะอุทิศรับใช้ผู้อื่นตามความสามารถของตน จึงพยายามสะสมความรู้ ความเข้าใจต่อสภาพความเป็นจริงของสังคม อยู่มาวันหนึ่งเขาได้พบกับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูท่าทางว่าจะเป็นผู้ที่จะช่วยส่งเสริมให้เขาบรรลุความฝันตามอุดมการณ์ ทั้งสองคุยถูกคอกันตั้งแต่พบหน้ากันในครั้งแรก ยิ่งเมื่อถูกเชิญชวนให้มาร่วมทำงานด้วยกัน หนุ่มน้อยยิ่งรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันเป็นยิ่งนัก
และเมื่อทำงานร่วมกัน ความใกล้ชิดสนิทเหมือนดังพี่น้องที่ต้องไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แรก ๆ หนุ่มน้อยชื่นชมชายผู้นี้ที่บัดนี้เรียกว่า “ผู้พี่” วันคืนผ่านไป หลายเหตุการณ์ผ่านพบ หนุ่มน้อยเริ่มเกิดความไม่แน่ใจในผู้พี่คนนี้ขึ้นมา เพราะอะไรเล่า? เพราะหลายครั้งหลายคราวความย้อนแย้งเกิดขึ้นมันไม่เหมือนกับภาพลักษณ์ที่แสดงให้ทุกคนเห็น ต่อหน้าผู้คนผู้พี่คนนี้คือคนอ่อนน้อม ฉลาดหลักแหลม รับฟังปัญหา ช่วยเหลือทุกคนที่เข้ามาขอ ผ่านทางกองทุนที่ผู้พี่คนนี้จัดตั้งขึ้น และนับวันยิ่งได้รับการสนับสนุนจากทั่วทุกสารทิศเมื่อได้เงินจำนวนมากมายมหาศาล เงินจึงกลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นคนที่ไม่ใช่ของแท้ของผู้พี่ เขาใช้เงินจากกองทุนเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัว นำไปเล่นหุ้น นำไปจับจ่าย แล้วให้ฝ่ายบัญชีทำเป็นรายจ่ายเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้

นานวันเข้าหนุ่มน้อยเริ่มสะอิดสะเอียนเริ่มขยะแขยงผู้พี่ ในเหตุการณ์หนึ่งเมื่อผู้พี่ต้องขึ้นกล่าวปราศรัย เขาได้นั่งอยู่ด้านบนที่สามารถมองลงมาเห็นทุกสิ่งบนเวทีแห่งนั้น ผู้พี่พูดถึงความตั้งใจที่จะขจัดความทุกข์ยากของผู้คน และเรียกร้องให้ทุกคนร่วมกันทำบุญบริจาค เขากล่าวถึงความเมตตาที่เราจำต้องช่วยเหลือกันของทุกคนบนโลกนี้ กล่าวย้ำถึงความฝันที่จะรวมทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียว สร้างจิตวิญญาณแห่งความรักลงในหัวใจเด็ก ๆ ลดสร้างวัตถุเปลือกนอกที่ปรุงแต่ง เรียกเสียงปรบมือกึกก้องไปทั่ว แต่สำหรับหนุ่มน้อยเขารับรู้อยู่เต็มอกว่า การระดมทุนครั้งนี้มีเพื่อจะนำไปสร้างคฤหาสน์อันหรูหราในที่ดินกลางเมืองแปลงงาม วันนั้นหนุ่มน้อยเกิดสภาวะหมดแรง หมดศรัทธาในผู้คน เขาจำได้ว่าผู้พี่เขาเคยบอกว่า คุณจะรู้อะไรมากกว่าผม อย่ามาอวดรู้ ถ้าผมไม่ฉลาด จะมาอยู่จุดนี้ได้เยี่ยงไร
เขาเดินจากมาบนถนนที่ว่างเปล่า ค่อย ๆ ถอดเสื้อสูท เน็คไทด์ และไม่ใส่ใจมือถือรุ่นใหม่วางไว้ตรงที่นั่ง หนุ่มน้อยรู้สึกถึงอิสระภาพอย่างแท้จริง ถนนหน้างานหรูหราก็ยังมีคนเก็บขยะ มีคนไร้บ้าน มีหลายคนยืนรอรถเมล์ยามค่ำคืน ความรักความเมตตาของคนในงานนั้นคืออะไร? เขาเดินย้อนกลับสู่วันเวลา สู่อ้อมกอดของไอดินกลิ่นน้ำยังบ้านเกิด มีความรักของพ่อแม่อยู่ที่นั่น มีความห่วงใยของพี่น้อง และความอาทรของคนรอบบ้าน วันคืนผ่านไปแบบเรียบง่ายแต่ความหมายของชีวิตกลับเพิ่มพูน



ความรักความเมตตาเอื้ออาทรไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบภายนอกที่รุงรัง ไม่ต้องมีสีสันที่มีแค่บางวัน แต่จำต้องมาจากภายในที่รุ่งเรือง มาจากการสร้างสรรค์จากหัวใจ แน่ล่ะ บางครั้งเรามิอาจปฏิเสธสิ่งภายนอกได้ เราไม่อาจจะฝืนกระแสได้ หากแต่เราต้องหมั่นฝึกฝนตัวตนให้อยู่ในกระแสสังคมแห่งเปลือก ด้วยการเลือกที่จะอยู่ ที่จะเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยหัวใจ ด้วยจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ตระหนักให้ได้ว่ารักต้องมาจากภายในหาใช่สิ่งภายนอกที่เติมแต่ง ที่ไม่นานก็เบื่อ ก็ต้องเปลี่ยนไป มีเพียงไออุ่นของความจริงใจก็ทำให้ความสุขบรรเจิดตลอดไป