วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวการประสูติ 2009 ตอน 2

ข่าวการประสูติ 2009 ตอน 2

จากข่าวการประสูติมาของพระผู้ไถ่นำมาซึ่งเหตุการณ์ที่น่ามหัศจรรย์หลายๆเหตุการณ์ สำนักข่าวซีโอนเอน จึงยังคงค้นหาความจริงแห่งปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่อนี้ต่อไป เราได้พูดคุยกับท่านยอแซฟ และคนเลี้ยงแกะผู้เป็นพยานในเหตุการณ์ครั้งนั้น

ซีโอนเอน : อยากจะทราบความรู้สึกของท่านยอแซฟต่อเหตุการณ์ในค่ำคืนที่เบธเลเฮมครับ

นักบุญยอแซฟ : ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปสักนิดหน่อย หลังจากที่เราทราบข่าวว่าคู่หมั้นของเราตั้งครรภ์ เราก็คิดมาก คิดสงสารเธอ หญิงสาวที่ต้องแบกรับภาระที่หนักหน่วง เพราะสังคมชาวยิวถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก เราจึงตัดสินใจโดยอาศัยพระจิตเจ้า ที่ทรงชี้แนะหนทางให้เรา

แม่พระ : ซึ่งในความเป็นจริงท่านยอแซฟก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับในเรื่องนี้ก็ได้ แต่ท่านไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งทั้งปวง แก้ปัญหาด้วยความสุขุมและรอบคอบ

นักบุญยอแซฟ :ในขณะนั้น จักรพรรดิออกัสตัสรับสั่งให้ทุกคนในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโนประชากรตามที่อยู่ เราและแม่นางมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่ จึงต้องเดินทางจากนาซาแร็ธไปยังเมืองเบธเลเฮมอันเป็นเมืองกษัตริย์ดาวิด เพราะเรามีต้นตระกูลอยู่ที่นั่น พอดีถึงกำหนดคลอด ผู้คนเยอะมากเปรียบกับยุคสมัยท่านก็คงนึกภาพการเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนในเทศกาลที่มีวันหยุดยาวๆ

ซีโอนเอน : และเขามีการรณรงค์เรื่องความปลอดภัย เมาไม่ขับบ้างไหม ขอโทษครับนอกเรื่องไปหน่อย ได้ข่าวว่าที่พักเต็มไปหมด และท่านไม่มีบ้านญาติพี่น้องเลยเหรอ

นักบุญยอแซฟ : มีแต่ยังไม่ทันถึงพระนางมารีย์ก็เริ่มปวดท้องเสียก่อน

แม่พระ : เรารู้ว่าเวลาคลอดนั้นมาถึงจึงบอกท่านยอแซฟว่าต้องหาที่พักแล้วหล่ะ ขืนเดินทางต่อทารกที่คลอดมาจะไม่ปลอดภัย เราต้องช่วยกันปกป้องพระกุมารอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้

นักบุญยอแซฟ : เราพบผู้ที่มีใจบุญคนหนึ่ง สงสารพวกเราจึงพาเราไปยังที่คอกเลี้ยงสัตว์ เพราะอย่างน้อยเราก็สามารถได้รับความอบอุ่นจากกองไฟที่ก่อไว้ให้สัตว์เลี้ยงและไออุ่นจากบรรดาสัตว์เหล่านั้น ยังมีบ่อน้ำเพื่อเอาไว้ชำระหลังคลอดได้อีก เราเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจในทันที

ซีโอนเอนหันมาถามแม่พระ : ท่านรู้มาก่อนหรือเปล่าว่าจะต้องคลอดในช่วงเวลานี้ และท่านได้ตระเตรียมอะไรมาบ้าง มีคนช่วยเหลือท่านบ้างไหมในขณะคลอด

แม่พระ : คงเป็นสัญชาตญาณของความเป็นแม่ ที่ให้เราต้องเตรียมตัว แต่ด้วยความจำกัดในการเดินทางไกล เราจึงเตรียมผ้าไปไม่กี่ผืน พอคลอดเราก็ใช้ผ้านั้นพันทารกน้อย เด็กน้อยคลอดได้ไม่อยากนัก เราก็ช่วยๆกัน ก็คงเป็นพ่อแม่มือใหม่หัดคลอด

นักบุญยอแซฟ : ครั้งแรกที่เห็นทารกน้อย เราก็ลืมความเหนื่อยยากตลอดการเดินทาง ความมหัศจรรย์แห่งชีวิตอยู่ตรงหน้าเรา พระผู้ช่วยให้รอดอยู่เบื้องหน้าเรา เสียงแรกร้อง เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังสำหรับเรา

ซีโอนเอน : หลังจากนั้น....

นักบุญยอแซฟ : ผ่านไปไม่นานเราก็เห็นคนเห็นสัตว์เข้ามาหาพวกเรา เรายังงงๆเลยว่าพวกเขารู้ได้อย่างไร ท่านลองถามพวกเขาดูซิ..

ซีโอนเอนหันไปยังกลุ่มคนเลี้ยงแกะเรียกเข้ามาเพื่อสอบถามหาความจริง : พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่ามีเด็กน้อยเกิดมาในสถานที่เช่นนี้

ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม : คืนนั้น ในขณะที่พวกเรานอนเฝ้าฝูงสัตว์อยู่ ก็ปรากฏแสงประหลาด เราก็คิดว่าคงจะมีพายุหรืออะไรสักอย่าง จึงเรียกให้ทุกคนตื่น แต่ที่แปลกคือแสงนั้นมิได้ทำให้สัตว์ตกใจ พวกมันยังสงบกันเป็นปกติ แล้วแสงนั้นก็กลายเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปลอบพวกเราว่า อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติมา พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า หลักฐานที่จะทำให้พวกท่านแน่ใจ คือ พวกท่านจะพบพระกุมาร มีผ้าพันกายนอนอยู่ในรางหญ้า แล้วแสงนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นเหล่าทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า “Gloria in Excelsis Deo” ขอเทิดพระเกียรติพระเจ้า ผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด สันติสุขบนพิภพ จงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย

ซีโอนเอน : และท่านก็ได้เห็น

บรรดาผู้เลี้ยงสัตว์ตอบพร้อมกัน : ถูกต้องครับ

และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อสองพันกว่าปี และยังคงเป็นความจริงยิ่งใหญ่ในทุกยุคทุกสมัย และเช่นนี้เราจะยังมีความสงสัยอะไรในจิตใจ เพราะพระผู้ไถ่ได้ประสูติมาแล้วและยังคงอยู่กับเราตลอดไป ในใจของเราผู้ที่มีความเชื่อ

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ข่าวการประสูติ 2009 ตอนที่ 1

ข่าวการประสูติ 2009 ตอนที่ 1

ในยุคสมัยที่การสื่อสารครองโลก ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยข้อมูลข่าว ทุกอณูของสายลมเต็มไปด้วยคลื่นของการรับส่งข้อมูล จริงเท็จ เท็จจริง เป็นสิ่งที่แฝงเร้น ล่วงหล่นจากฟากฟ้าดังห่าฝน คนรับไร้ความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ข่าวสารทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นสิ่งที่สร้างมลพิษทางจิตใจ...

สมมุติว่าข่าวการประสูติมาขององค์พระผู้ไถ่ถูกย้อนกลับไป ณ วันนั้น
จากคอลัมน์ดังแห่งซ้อ(โก)หก ได้เขียนไว้บนเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกระแสที่แรงและยังเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่อง นั้นคือ ข่าวที่พระนางมารีย์ได้ตั้งครรภ์ แหล่งข่าวยังปูดต่อว่า ท่านโยเซฟไม่ใช่พ่อของเด็กในท้อง วันนี้สำนักข่าวซีโอนเอน จึงได้รับมอบหมายให้ย้อนเวลากลับไปสัมภาษณ์พิเศษผู้อยู่ในเหตุการณ์ โดยเฉพาะพระมารดาผู้ยิ่งใหญ่....
ซีโอนเอน : สวัสดีครับ ก่อนอื่นเลย อยากทราบเรื่องราวในค่ำคืนนั้นที่ทูตสวรรค์มาหาท่าน กลัวไหม และมีการพูดคุยอะไรกันบ้างครับ
แม่พระ : เราเป็นชาวเมืองนาซาแร็ธ เป็นหญิงพรมจารีธรรมดาๆคนหนึ่ง ในคืนหนึ่งเราตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจที่เห็นท่านทูตสวรรค์ ตอนแรกเรายังคิดว่าฝันไป สักพักเมื่อตั้งสติได้ก็รู้ว่านี่เป็นความจริง ทูตสวรรค์กล่าวกับเราว่า "จงยินดีเถิด ท่านที่พระเจ้าโปรดปราน พระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน พระจิตของพระเจ้าจะเสด็จมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน"
ซีโอนเอน : แล้วท่านกล่าวตอบไปอย่างไรครับ
แม่พระ : เราก็พูดไปตามสิ่งที่เราเชื่อ คือ เชื่อในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ เราพูดออกไปว่า"ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด"
จากนั้นทูตสวรรค์ก็กล่าวว่าเราจะตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย ให้ตั้งชื่อว่า "เยซู"
ซีโอนเอน : มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อท่านยังไม่ได้แต่งงาน...
แม่พระ : เราเองก็ถามทูตสวรรค์เหมือนเช่นท่านถามเรา จะเป็นไปได้อย่างไร
ทูตสวรรค์ก็กล่าวตอบว่า "ถ้าท่านไม่เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ ท่านดูนางเอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆที่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์ ใครๆก็คิดว่านางเป็นหมัน"
ซีโอนเอน : ท่านเชื่อเต็มร้อยหรือเปล่า กลัวคำครหานินทาหรือไม่
แม่พระ : เราก็ยังเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มีจิตใจที่อ่อนแอไม่แพ้ท่าน เรายังไม่เชื่อเต็มร้อย เราจึงตัดสินใจไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธ ที่แคว้นยูเดีย พอไปถึงเราก็เห็นทุกสิ่งเป็นอย่างที่ทูตสวรรค์บอกไว้ และที่น่าตะลึงยิ่งกว่า เมื่อนางเอลีซาเบธเห็นเรา นางก็ทักทายเราว่า "ท่านเป็นผู้มีบุญกว่าหญิงใดๆบุตรของเธอก็มีบุญยิ่งนัก" น่าแปลกไหมล่ะนางรู้ได้อย่างไร
ซีโอนเอน : ท่านได้ถามนางหรือเปล่าว่ารู้เรื่องท่านได้อย่างไร
แม่พระ : เราอยู่กับนางจนกระทั่งนางคลอดบุตรชาย ทุกสิ่งทุกอย่างเราคุยกัน ปลอบโยนกัน สวดภาวนาด้วยกัน พลังใจกำลังใจของเราค่อยๆมีมากขึ้น ทุกเรื่องราวเป็นดังคำของทูตสวรรค์บอกไว้
ซีโอนเอน : ที่ท่านไปหาญาติต่างแดนนั้น ท่านต้องการหลบหน้าผู้คนหรือไม่ หรือไปเพื่อหาทางออก
แม่พระ : พูดด้วยความสัตย์จริง เราต้องการไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าทูตสวรรค์ที่มาแจ้งข่าวเรานั้นพูดเรื่องจริง การหลบหน้าผู้คนไม่ใช่ประเด็น เราไม่กลัวเพราะเรารู้ว่าพระเจ้าได้เตรียมทางไว้ให้เราอย่างดีแล้ว
ซีโอนเอน : เมื่อกลับบ้านท่านยอแซฟคู่หมั้นของท่านรู้ไหม และเขาทำอย่างไร
แม่พระ : เราเริ่มตั้งครรภ์ ข่าวของเราก็เริ่มเป็นที่ซุบซิบนินทา ท่านยอแซฟ คือ ยอดชายชาตรี ท่านมาหาเราคิดจะถอนหมั้น แต่ท่านก็เปลี่ยนใจ เหตุเพราะทูตสวรรค์ได้ไปบอกความจริงแก่ท่าน ท่านยอแซฟจึงรับเราเป็นภรรยาและสัญญาจะเลี้ยงดูบุตรของพระเจ้าอย่างดียิ่ง เชื้อสายของบิดาคือการไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
ซีโอนเอน : ท่านเป็นผู้ที่หญิงทั้งหลายในโลกยกย่อง มีอะไรที่จะฝากถึงหญิงสาวทั้งหลายบ้างหรือเปล่าครับ
แม่พระ : เป็นคำถามที่ดียิ่ง เราปรารถนาที่จะบอกว่า ความบริสุทธิ์คือสิ่งที่เราต้องรักษา เรื่องของเราอยู่เหนือความนึกคิดของคนทั่วไป เป็นเรื่องที่พระเจ้าใช้เราเพื่อแผนการณ์ไถ่กู้อันยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยใจที่ศรัทธาเท่านั้น จึงจะน้อมรับสิ่งที่หนักหน่วงในชีวิตได้ เราผ่านมาแล้ว วันนี้ท่านก็รู้ว่าคนทั่วไปไม่ได้มองเรื่องที่เราตั้งครรภ์ก่อนแต่ง แต่นับถือเราที่มีจิตใจที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า มีใจที่อ่อนโยนเป็นเสมือนเชื้อสายของมารดา...
ซีโอนเอน : น่าเสียดายที่วันนี้หน้ากระดาษหมดลง มาต่อกันสัปดาห์หน้าครับ หลายเรื่องหลายคนที่ต้องชี้ชัดๆลงไปในเรื่องการประสูติมาขององค์พระผู้ไถ่ ....

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เวลาในกล่องของขวัญ

เวลาในกล่องของขวัญ

การเดินทางยังมีที่สิ้นสุด จุดสุดท้าย คือ ปลายทาง วันเวลาเดินทางอย่างสัตย์ซื่อ มีแต่คนเราที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อวันเวลา จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี มีสิ่งดีๆงดงามเกิดขึ้นมากมายบนโลกเล็กๆใบนี้ เราก็ควรจะมีสิ่งดีๆกระทำฝากไว้เป็นร่องรอยบ้างในย่างก้าวของชีวิตบนโลกนี้เช่นกัน ใช่หรือไม่ ตลอดวันเดือนปี เรามักมีสิ่งที่คิดจะทำ สิ่งที่ปรารถนาจะกระทำ เพื่อมุ่งสู่ความดีมากมาย แต่เอาเข้าจริงเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาบดบัง ซ่อนเร้นไม่ให้ทำได้สำเร็จ มีปัจจัยมากมายที่เป็นอุปสรรคขว้างกั้น จนถึงที่สุดก็หลุดจากสิ่งดีงามเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย

พอถึงเวลา มีเวลาได้นั่งลงตรวจสอบทบทวน แหม...มันเสียดายที่ไม่ได้ทำสิ่งนั้นไม่ได้ทำสิ่งนี้ มานั่งเสียดายเวลา เสียดายลมหายใจเข้าออก หลายเรื่องหลายความตั้งใจเราหลงลืมมันไปเสียสนิท คิดออกอีกที ก็ไม่สามารถย้อนวันเวลากลับมาได้เสียแล้ว ใกล้สิ้นปีอย่างนี้ ลองสำรวจตรวจดูว่าสิ่งที่เคยตั้งใจไว้เมื่อต้นปี เราได้ทำไปได้มากน้อยแค่ไหน และสิ่งที่ง่ายๆอยู่ใกล้ตัวเราล่ะ เราได้มีความสุขและมอบความสุขนั้นให้ใครบ้าง คนรอบข้างได้เคยเห็นรอยยิ้ม เห็นใบหน้าที่เปี่ยมและเต็มไปด้วยความอภิรมย์จากเรามากน้อยแค่ไหน หรือวันๆได้แต่หอบหน้าที่บึ้งตึง หน้าที่เคร่งเครียด สวมหน้ายักษ์หน้ามารเข้ามาในบ้าน มาโถมใส่ลูกหลาน ใส่สามีภรรยา ใช่หรือไม่ บ้านของเรา ครอบครัวของเรา ควรจะเป็นแหล่งพักพิง แหล่งผลิตรอยรักและรอยยิ้ม ควรเป็นบ้านที่แสนสุข

บ้านไหนที่มีเด็กๆบ้านนั้นควรเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง เพราะความน่ารักและความไร้เดียงสาของเด็ก คือ ยาชุบชูให้ชีวิตยืนยาวแก่ผู้ผ่านวานวันมาอย่างโชกโชน แต่บ้านบางหลังกลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ ลูกๆ ภรรยา สามี กลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์อันขุ่นมัวที่สะสมมาจากข้างนอก ตะคอกใส่กันเมื่อมาถึงบ้าน ก็รู้ว่าเหนื่อย ก็รู้ว่าหนัก วางไว้ก่อนเข้าบ้านได้ป่ะ มันยุติธรรมแล้วหรือที่คนในบ้านจะเป็นถังรองรับอารมณ์ของเรา ใช่หรือไม่ ตราบใดที่เราหลงลืมความรักในครอบครัว สังคมโดยรวมก็สะดุด หยุดลงตรงความขัดแย้ง หรือเราต้องรอให้ถึงวันที่เห็นสิ่งที่มีคุณค่าสูญสลายไปจากชีวิต...

ครั้งหนึ่งในคืนก่อนวันปีใหม่ คุณพ่อคนหนึ่งทำโทษลูกสาวด้วยความอารมณ์เสียหงุดหงิดมาจากที่ทำงาน เขาโกรธที่ลูกสาวตัวน้อยเอากระดาษห่อของขวัญสีทองซึ่งมีราคาแพงมาก มาใช้ห่อของขวัญเล่นอย่างสิ้นเปลือง เขาเข้าใจเอาเองว่าลูกสาวซุกซนและพยายามจะตกแต่งบ้านสำหรับวันปีใหม่เท่านั้น ในช่วงสภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก ใครๆก็มักจะอารมณ์เสียกับเรื่องเล็ก ๆน้อยๆแบบนี้ได้เสมอ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นลูกสาวตัวน้อยก็ยังถือกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองมาให้คุณพ่อ กล่องนี้ของพ่อนะคะ ลูกสาวตัวน้อยเอ่ยกับพ่ออย่างร่าเริง ทำให้คุณพ่อรู้สึกละอายกับการกระทำของตนเองเมื่อคืนนี้ ที่ออกจะรุนแรงเกินไปสักหน่อย เขากล่าวขอบคุณลูกสาวเบาๆพร้อมกับค่อยๆแกะกล่องของขวัญอย่างระมัดระวัง แต่...ปรากฏว่าเป็นกล่องไม่มีอะไรอยู่ข้างในเลย คุณพ่อของเด็กน้อยจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาตะโกนถามลูกสาวว่า นี่ลูกไม่เคยรู้เหรอว่า เวลาจะให้กล่องของขวัญกับใครมันควรจะมีอะไรอยู่ในนั้นบ้างน่ะ ลูกสาวตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองคุณพ่ออย่างช้าๆ เธอสะอึกสะอื้นตอบคุณพ่อของเธอว่า แต่เมื่อคืนหนู....หนูใส่ของขวัญไว้ให้คุณพ่อแล้วนะคะ หนูหอมแก้มคุณพ่อใส่ไว้จนเต็มกล่องเลย

คุณพ่อรู้สึกตื้นตันขึ้นมาทันทีเขายกตัวลูกสาวขึ้นมาอุ้มไว้แนบอกแล้วขอร้องให้ลูกสาวตัวน้อยให้อภัยที่เขาอารมณ์เสียไปบ้าง แต่ที่น่าเศร้าก็ คือ หลังจากนั้นไม่นานลูกสาวตัวน้อยก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ต่อมาอีกหลายปียังมีคนเห็นว่าคุณพ่อคนนี้ยังเก็บกล่องของขวัญสีทองนั้นไว้ที่หัวเตียงอยู่เสมอ เมื่อใดที่เขารู้สึกท้อแท้หรือเศร้าใจเขาจะหยิบกล่องสีทองขึ้นมาเปิด แล้วก็จินตนาการว่าลูกสาวตัวน้อยได้กลับมาหอมแก้มเขาอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ คุณพ่อจึงยังคงจดจำความรักของลูกสาวที่มีให้เขาอย่างมากมายอยู่เสมอมาเหมือนกับว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดของลูกสาวที่เขาสามารถยึดถือเอาไว้ได้ไม่ใช่กล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองหรือกล่องที่ทำจากทองคำแท้ใดๆทั้งนั้น แต่เป็นความรักอันแสนจริงใจที่ลูกสาวของเขาได้ฝากเอาไว้จนเต็มกล่องนั่นต่างหาก

แล้วกล่องของขวัญของเราที่มีเวลาอยู่ในนั้น เคยมอบให้กับใครมาบ้าง ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าหรือยัง ด้วยการให้เวลากับคนรอบข้าง ให้เวลากับครอบครัว เพื่อทำความเข้าใจในผู้อื่นและเอาใจใส่ต่อกันและกัน ที่สุดอย่าเพียงแต่เก็บเวลาอยู่แต่ในกล่องของขวัญให้นอนนิ่งๆอยู่เลย เริ่มแกะมันออกมา แกะด้วยความรักและหัวใจอันงดงาม มอบให้แก่กันและกัน เป็นของขวัญวันคริสต์มาสที่ไม่เหมือนใครและไม่ใคร่จะมีใครคิดทำกัน นี่อาจจะเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่หลายคนปรารถนาที่จะได้รับ .....

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ให้หมดใจ

ให้หมดใจ

ลมหนาวพัดโชยมาได้วันสองวันก็กลับมาร้อนเหมือนเดิม แสงแดดตั้งแต่ยามเช้าแยงตาจนทำให้แสบตาเวลาขับรถ แหงนหน้ามองท้องฟ้าโปร่งโล่งไร้ล่องลอยเมฆน้อยคล้อยเคลื่อน ก็หวังว่าลมหนาวจะหวนกลับมาอีกครั้งเพื่อสร้างบรรยากาศในค่ำคืนวันคริสต์มาส เมื่อกล่าวถึงคริสต์มาสเราคิดถึงอะไร เด็กๆก็อาจจะนึกถึงการละเล่นที่สนุกสนาน มีการจับฉลากสอยดาว สำหรับผู้ใหญ่สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงแก่นของคริสต์มาส คือการให้ ให้แบบหมดใจแต่ไม่หมดตัว ให้เพื่อผู้อื่นไม่ใช่ให้เพื่อผู้อื่นมาชื่นชม การให้ในโลกนี้ในวิถีชีวิตเราทำได้หลายประการ มีแบบอย่างมากมายสำหรับเราที่มีผู้ผ่านกาลเวลาทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์ ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานของจีนในเว็บไซต์ผู้จัดการ www.manager.co.th มีเรื่องหนึ่งน่าประทับใจและเป็นต้นแบบต้นธารการให้ได้เป็นอย่างดี...

ในสมัยคริสศตวรรษที่ 976 ราชวงศ์ซ่ง เมื่อฮ่องเต้ไท่จู่ (เจ้า ควงอิ้น) สวรรคตจากอาการประชวร พระอนุชานาม เจ้า กวงอี้ ขึ้นครองราชย์แทนในนามของฮ่องเต้ไท่จง ยามที่อยู่ในราชบังลังค์ ได้ทรงใช้ชีวิตอย่างประหยัด มัธยัสถ์ และปฏิเสธที่จะใช้เงินหรือทองคำมาประดับตกแต่งราชวังโดยเด็ดขาด
ครั้งหนึ่ง หลังเสร็จจากการว่าราชการแผ่นดิน ขณะที่กำลังเสด็จผ่านอุทยาน ทรงเห็นขันทีผู้น้อยผู้หนึ่งกำลังโดนว่ากล่าวตบตี จึงได้หยุดสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น หัวหน้าขันทีจึงคุกเข่ากราบทูลว่า เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ ได้รดน้ำดอกดอนญ่าเขียว ที่เป็นบรรณาการจากต่างประเทศจนตาย พระเจ้าข้า

ฮ่องเต้ไท่จงได้ฟังจึงตรัสว่า ปล่อยเขาเสีย เพราะเรื่องนี้มิใช่ความผิดของเขา สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับดอกไม้ต่างแดนประเภทนี้ หาได้ตั้งใจทำให้มันตายไม่ ข้ารู้มาว่าดอกไม้ประเภทนี้เติบโตอยู่ทางแดนใต้ เมื่อย้ายมันมายังภาคกลางย่อมไม่อาจเติบโตได้ดี จากนี้ไปข้าขอตั้งกฎว่า ห้ามให้มีการทุบตีผู้คนเพียงเพราะต้นไม้ใบหญ้าเช่นนี้อีก ขันทีผู้น้อยเมื่อได้ฟัง ก็เกิดความซาบซึ้งกระทั่งหลั่งน้ำตา กล่าวคำสรรเสริญให้ท่านฮ่องเต้อายุยืนหมื่นๆปี

อีกเหตุการณ์หนึ่ง เป็นช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวยิ่งนัก ฮ่องเต้ไท่จงเสด็จออกมาจากห้องบรรทม พลันรู้สึกคอแห้ง ต้องการดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ สักแก้ว เมื่อยามจะเอ่ยปากกลับนิ่งไป พร้อมทั้งพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเมื่ออยู่ตามลำพัง ขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดจึงเอ่ยถามว่า เมื่อสักครู่นี้ ท่านฮ่องเต้ทรงต้องการรับสั่งสิ่งใด ข้าน้อยเห็นท่านเหมือนจะเอ่ยปาก แต่กลับนิ่งเงียบ ท่านต้องการสิ่งใด ทรงบอกข้าน้อยได้หรือไม่พระเจ้าข้า

ยามนี้ฮ่องเต้ไท่จงจึงตรัสว่า ข้าอยากดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ แต่นึกไปนึกมาข้ารู้ว่าในวังของเราไม่มีของสิ่งนี้ จึงไม่ได้เอ่ยปาก เพราะหากข้าเอ่ยปาก แม้ว่าตอนนี้ไม่มี แต่วันหน้าวันหลังพวกเจ้าคงต้องตระเตรียมน้ำบ๊วยเอาไว้เผื่อข้าเรียกหาทุกๆ วัน แต่ตัวข้าก็คงไม่ได้อยากดื่มมันทุกวันเป็นแน่ ดังนั้นจึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ข้าเป็นเจ้าแผ่นดิน ย่อมต้องไตร่ตรองให้จงหนัก ไม่อาจเพิ่มภาระให้ประชาชนเพียงเพื่อตามใจปากตนเอง แม้ว่าจะมีผู้เต็มใจรับใช้ข้ามากเพียงใดก็ตาม

ไม่นาน ฤดูหนาวก็มาถึง ลมตะวันตกเฉียงเหนือนำพาพายุหิมะมา ทุกๆ แห่งเปลี่ยนเป็นสีเงินยวง อากาศหนาวเย็นจับใจ ขนาดฮ่องเต้ไท่จงทรงฉลองพระองค์ด้วยหนังสุนัขจิ้งจอกยามเสด็จออกกลางแจ้ง กลับยังรู้สึกถึงความหนาวเย็นจนต้องรับสั่งให้คนก่อไฟ ทั้งยังทรงดื่มสุราเพื่อไล่ความหนาว ยามนั้นเมื่อความหนาวบรรเทาลง ฮ่องเต้ไท่จงทรงทอดพระเนตรไปยังนอกกำแพงวัง และคิดว่า หิมะตกหนักเช่นนี้ ทั่วทั้งเมืองคงมีผู้คนที่ขาดแคลนถ่านไม้ ขาดแคลนข้าวปลาอาหารอยู่ไม่น้อย คนพวกนั้นย่อมลำบากกว่าข้าหลายเท่านัก เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงรับสั่งให้ขุนนางปกครองเมืองหลวงเข้าเฝ้า เพื่อนำถ่านไม้และข้าวสาร อาหารแห้งไปแจกจ่ายให้กับชาวเมืองที่กำลังประสบความยากลำบากเนื่องจากความหนาวเย็นและขาดแคลนอาหาร เมื่อความช่วยเหลือไปถึง ผู้คนที่กำลังตกอยู่ในความยากลำบาก ต่างซาบซึ้งในความเมตตาของฮ่องเต้ พากันแซ่ซ้องสรรเสริญทั่วทั้งแผ่นดิน

สำหรับเราคนไทยองค์พ่อหลวงของเราก็ทรงปฏิบัติตนเหมือนฮ่องเต้ไท่จง ขอให้พระองค์มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน และคริสตชนแบบอย่างของการให้ที่ประเสริฐที่สุดคือ องค์พระคริสตเจ้าที่ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงยอมทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและสิ้นพระชนม์แทนเรา หากวันนั้นองค์พระผู้ไถ่ไม่เสด็จมายังโลก เราจะมีโอกาสได้ลืมตามาชื่นชมโลกนี้หรือเปล่า เราจะมีโอกาสรับรู้ร้อนหนาวเช้าสายบ่ายเย็นหรือไม่ การเตรียมรับเสด็จเป็นช่วงเวลาที่เราคงต้องนั่งคิดสักนิดว่าชีวิตที่ผ่านมาเราเคยให้ใครแบบหมดใจบางไหม หรือแค่เคยคิดจะให้ใครโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนบ้างไหม ถ้ายัง ก็ใช้โอกาสนี้มอบให้กันและกัน ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นคริสต์มาสครั้งสุดท้ายของชีวิตเราก็เป็นไปได้......