วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ความงามที่ซ่อนเร้น



ความงามที่ซ่อนเร้น
เราก็มาถึงวันที่เราสามารถที่จะเนรมิตรูปร่างหน้าตาอย่างไรก็ได้ จะให้สวยงามตามแบบพิมพ์นิยมเช่นไร เปลี่ยนแปลงได้ในพริบตาด้วยเงินตรา ด้วยเทคโนโลยีทางด้านศัลยกรรมที่นับวันยิ่งทำให้โลกนี้มีแต่คนสวยที่ต่างอวดรูปโฉมโนมพรรณกันตามหน้าสื่อสมัยใหม่ จนบางครั้งแทบแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือที่เรียกว่าความงามที่แท้จริง? ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ความสวยเติมแต่งได้ แต่ความงามภายในนั้นกลับหดหายลงไปทุกที เราบูชาเทิดทูนความสวยภายนอกกันอย่างล้นเหลือ แต่ความงามภายในปล่อยละลายหายไปในอากาศ แล้วเราก็ต้องตกอยู่ในภาวะดูแคลนคนอื่นที่ไม่ยอมทำตัวให้สวยตามสมัยนิยม กลายเป็นค่านิยมที่ดูถูกเหยียดหยามกัน หรือไม่ก็กลายเป็นความอิจฉาริษยาใส่กัน ความงามที่ซ่อนเร้นอยู่ยังคงถูกปิดบังต่อไป


ในชีวิตจริงเรามักถูกปลูกฝังให้ใช้สายตาในการตัดสินผู้อื่นมากกว่าใช้หัวใจ ใครสวยใครหล่อ ใครดูดี บุคลิกภาพเลิศเลอมักได้เปรียบ มักจะได้รับการยอมรับง่ายกว่า ทั้ง ๆ ที่เรารณรงค์ในความเสมอภาค แต่ก็คงเป็นเพียงมโนทัศน์เท่านั้นเองที่สร้างเป็นกำบังเพื่อให้เป็นวาระสากลที่ดูดี เพื่อความเป็นหนึ่งเดียว ในความเป็นจริงเราก็ยังเหยียดหยามกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่มีวิธีการแสดงออกที่ดูเนียนขึ้น ใช่หรือไม่ ตราบใดที่เรายังไม่เห็นความงามในความแตกต่าง ระหว่างคนนั้นคนนี้ เราย่อมมีอคติใส่กันได้เสมอ เราต้องฝึกจิตใจเราให้เห็นความงามในความต่างแตก ให้เห็นพระพรในความไม่เหมือน แล้วจึงสอนให้เด็กที่กำลังจะก้าวขึ้นมารับผิดชอบสังคมแทนเรา ให้มองความงามด้วยหัวใจ เคารพในความงามในตัวตนให้เป็น แล้วเมื่อนั้นเราจะเห็นความงามในคนอื่นสิ่งอื่นได้ ถึงแม้ว่าความงามของใครบางคนจะถูกซ่อนเร้นอยู่ หน้าที่ของเราต้องแสวงหาความงามมิใช่ฝักใฝ่เพียงความสวยภายนอกเท่านั้น
ในการแข่งขันกีฬาการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติยังมีให้เห็นมาโดยตลอด เพราะเราสร้างผู้คนให้ยึดมั่นในความหลงใหลความเก่งเฉพาะตัวเอง ซึ่งไม่ต่างกับการมองเพียงความสวยเท่านั้นเลย มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่อเมริกา วันหนึ่งคุณแม่ผิวขาวพาลูกชายอายุ 6 ขวบ ออกจากบ้าน เธอได้เรียกรถแท็กซี่มาคันหนึ่ง ปรากฏว่าคนขับเป็นชายผิวดำ   เด็กน้อยคนนี้ไม่เคยพบกับคนดำมาก่อน  เมื่อได้พบเจอกับชายผิวดำก็รู้สึกกลัว พร้อมกันนั้นก็ได้ถามคุณแม่ออกไปว่า

“ชายคนนี้เป็นคนชั่วร้ายใช่ไหมครับ! ทำไมถึงได้ตัวดำขนาดนี้?”
ชายผิวดำเมื่อได้ฟังก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  ในขณะเดียวกันนั้น    คุณแม่ผิวขาวก็ได้บอกกับลูกชายว่า
“คุณลุงไม่ใช่คนชั่วร้ายจ้า คุณลุงเป็นคนดี” เด็กน้อยเงียบไปสักครู่แล้วถามต่อไปว่า
“ถ้าไม่ได้เป็นคนชั่วร้ายเขาต้องทำอะไรที่เลวร้ายแน่ ๆ ไม่งั้นพระเจ้าไม่ลงโทษเขาอย่างนี้หรอก!” เมื่อชายคนดำได้ยินน้ำตาก็คลอเบ้า   เขาอยากรู้ว่าแม่ของเด็กน้อยจะตอบลูกของนางว่าอย่างไร? คุณแม่ตอบลูกชายไปว่า
“คุณลุงเป็นคนดี    และไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายเลย ดอกไม้ที่อยู่ในสวนหลังบ้านของเรา   มีทั้งสีแดง สีขาว สีเหลือง...... ใช่ไหมจ๊ะ?” “ใช่ครับ ๆ”
“แล้วเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้ต่างก็เป็นสีดำใช่ไหมจ๊ะ?" เด็กน้อยคิดสักครู่หนึ่งก็ตอบออกไปว่า
“ใช่ครับ มันเป็นสีดำ” “เมล็ดพันธุ์สีดำ ออกดอกสีสันงดงาม  ทำให้โลกนี้มีสีสันหลากหลายใช่ไหมจ๊ะ?” “ใช่ครับ” เด็กน้อยรู้สึกเข้าใจในทันที
“ถ้าอย่างนั้น คุณลุงคนขับรถก็ไม่ใช่คนเลวร้ายนะสิครับ ขอบคุณคุณลุงมากครับเพราะคุณลุงทำให้โลกนี้มีสีสัน ผมจะสวดให้คุณลุงครับ”
เด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาจึงสวดให้คุณลุงในทันที คนขับแท็กซี่น้ำตาไหลคลอออกมาไม่หยุดพลางคิดในใจ
“คนดำถูกดูถูกจากคนทั้งโลก  แต่มาวันนี้ คำสอนของคุณแม่ผิวขาวที่สอนลูกของเธอทำให้ลูกของเธอไม่กลัวฉันอีกต่อไป อีกทั้งยังสวดเพื่อฉันอีก ต้องขอบคุณเธอจริงๆ"
เมื่อถึงจุดหมายชายผิวดำไม่ยอมรับเงินค่ารถ เขาบอกกับเธอว่า
“ตอนเป็นเด็กผมก็เคยถามคำถามนี้กับแม่ แม่บอกกับผมว่า พวกเราคือคนดำถูกสาปมาให้เป็นคนชนชั้นต่ำ    หากแม่ตอบผมเหมือนที่คุณตอบลูกของคุณ ชีวิตผมคงไม่เป็นเหมือนวันนี้”

ในความต่างมีความงามและความยิ่งใหญ่เสมอ สองท่านนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ นักบุญเปโตรและเปาโล ต่างก็มีที่มาที่ไปแตกต่างกัน ต่างคนต่างนำความงดงามแห่งรักของพระเจ้าไปเยียวยาสังคมที่กำลังโหยหาสัจจะในวันนั้น ในวันนี้สังคมก็ใช่ว่าจะไม่โหยหาสัจจธรรมความจริง แต่ยังหาน้อยคนที่จะนำพาให้พบเจอสิ่งเหล่านั้น เพราะอะไร? เพราะเราก็ต่างแสวงหาความสวยความเก่งของตัวเองเป็นสรณะ ปล่อยปละละเลยให้ความงามยังคงถูกซ่อนเร้นให้อยู่ในกล่องแก้วอันสวยเลิศเท่านั้นเอง และกว่าที่พระศาสนจักรจะผ่านวันเวลามั่นคงถึงวันนี้ได้ ทั้งเนื้อเลือดถูกทาบทาลงแผ่นดินไว้อย่างมากมาย เราล่ะ!!! จะสามารถช่วยกันนำความงามออกมาสู่สังคมนี้ได้หรือไม่ ศัลยกรรมจิตวิญญาณบ้าง เพื่อทุกคนที่สัมผัสเราจะรู้ว่าเราคือศิษย์พระคริสต์

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2562

สำคัญว่าทำอะไร?


สำคัญว่าทำอะไร?
หลังจากจบชั่วโมงสอนยังเห็นนักเรียน 2-3 คน วนเวียนหาบางสิ่งบางอย่างอยู่ จึงเข้าไปสอบถามได้ความว่า สิ่งที่หาอยู่นั้นเป็นวัสดุที่จะเอาไปทำพานไหว้ครู เลยถามว่า “ปีนี้หนู ๆ ทำพานเป็นรูปอะไร” เด็กยิ้มอย่างภาคภูมิใจแล้วตอบว่า “ชั้นของหนูตกลงทำพานเป็นรูปนกยูงค่ะ”
“หมายถึงอะไรหรือครับนักเรียน” ถามเพื่ออยากให้เด็กแสดงความคิดเห็น
“ก็นกยูงมีหางที่สวยงาม เวลารำแพนกางออก เราจะรู้ว่านั่นคือนกยูง ถ้าไม่มีหางมันก็ไม่ใช่นกยูง เปรียบเหมือนคุณครูทั้งหลายที่สอนพวกหนู ให้มีความรู้ที่สวยงามและพวกหนูก็จะมีคุณค่าค่ะ”
ใช่เลย ความคิดที่จะเขียนเรื่องนี้ เลยต่อยอดจากคำตอบของนักเรียน นกยูงทุกตัวมีคุณค่าที่หางยามรำแพน โดยที่มิได้สนใจให้ใครจดจำถึงตัวมัน เราคงไม่ไปจดจำว่านกยูง ก. สวยกว่านกยูง ข. ในเวลานึกถึง หรือยามต้องวาดรูปต้องทำสัญลักษณ์นกยูง คมได้เลือกนกยูง ก. มากกว่านกยูง ข. แต่เรารู้ว่านกยูงต้องมีหางรำแพนออกแล้วสวยงามต่างหาก...

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
วันเวลาเดินทางปกติ แต่เมื่อเราผ่านวันเวลามามากก็รู้สึกว่า ทำไมวันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยังนึกว่าเพิ่งฉลองปีใหม่หยก ๆ ผงกหน้าดูปฏิทิน อ้าว ย่างเข้าครึ่งปีหลังอีกแล้ว แต่ละวันผันผ่านชนิดที่เรียกว่ายังไม่ทันทำอะไรก็หมดวันเสียแล้ว แต่เมื่อนึกดู จริง ๆ ไม่ใช่ว่ายังทันทำอะไร แต่เราไม่ทำอะไรต่างหาก เราปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปอย่างไร้ค่า หลายครั้งเราเสียเวลากับการสไลด์หน้าจอขึ้นลงอย่างไร้จุดหมาย รูดไปรูดมา เพื่อหาข่าวใหม่ ๆ สิ่งใหม่ ๆ แต่สิ่งที่พบคือข่าวเดิม วนซ้ำไปมาด้วยเจ้าใหม่ที่ก็อปปี้มาลงต่อ ๆ กันไปมา เป็นชั่วโมง ๆ ที่เราจมดิ่งไปกับข่าวสั้น ข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวของคนนั้นคนนี้ เรื่องราวของผู้นั้นผู้นี้ บางคนถึงขั้นนิ้วอยู่ไม่สุข ขอละเลงความคิดเห็นส่วนตัวสักหน่อย เพื่อให้ชาวบ้านเมืองเน็ตได้รู้ความเป็นตัวเรา นาน ๆ ที เราจึงจะได้ข้อคิดข้อเตือนใจ ได้อ่านได้ฟัง พอให้ได้สติ ครั้นหันคืนสู่ปกติวิถีเราก็ถูกดูดเวลาไปเสียมาก

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ยิ่งเราอยู่กับเครื่องมากเท่าใด เรายิ่งจมจ่อมอยู่กับตัวเองมากเท่านั้น แล้วก็มองไม่เห็นสิ่งเป็นจริงรอบตัว ได้แต่เอาความเสมือนจริงมาก่อกิเลสให้กับชีวิต เห็นคนอื่นมี เห็นคนอื่นได้ ยิ่งอยากมีอยากได้อย่างเขา รับเพียงแค่ความมีความเป็นของคนอื่น หาได้ศึกษาขั้นตอน หนทางที่กว่าเขาจะมาถึง เมื่อต่างคนต่างจ้องมองคนอื่นเพื่อสร้างแรงกระตุ้นความอยากให้ตัวเองมากเท่าใด จิตใจเราจึงสาละวนอยู่แต่เรื่องของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็พาลคิดเข้าข้างตัวเอง สร้างโลกอีกใบให้ตัวเอง สร้างความเป็นยอดมนุษย์เพื่อหล่อเลี้ยงความโลภในชื่อเสียง โลภในความอวดดี ความเก่ง จนหลงลืมโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่อิงบทละครว่าคนเรามีหลากหลายมิติ มีเวลาพลาด เวลาดี เวลาสุขเวลาทุกข์ และคุณค่าของความเป็นคนที่แท้จริงคือ เราทำอะไรให้ผู้อื่นบ้างหรือยัง??? การหลงตัวเองจนโงหัวไม่ขึ้น บ่อยครั้งสร้างความรู้สึกโดดเดี่ยวให้กับเรา บ่อยครั้งสร้างความอ้างว้างเข้าครอบครองจิตใจเรา เราไม่จำเป็นต้องให้ใครจำเราได้ ขอแค่เขาจำความดีงามที่เราทำไว้ นี่คือสิ่งที่คนจะรำลึกถึงเรา และความดีนั้นจะงอกงามออกดอกผลต่อไป 
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
วันหนึ่ง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (นักเขียนบทละครผู้โด่งดังชาวไอริช) ว่างจากงานเขียน เขาไม่รู้จะทำอะไรจึงออกมาเดินเล่น และได้พบกับเด็กหญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาพูดคุยและเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กหญิงคนนั้นไปค่อนวัน พอตกค่ำก่อนที่จะจากกันเขาได้บอกกับเด็กหญิงคนนั้นว่า
“เด็กน้อย เมื่อเธอกลับไปถึงบ้าน จงบอกแม่ของเธอว่า วันนี้เธอได้พูดคุยและเล่นกับ  จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เกือบค่อนวัน
โดยคาดไม่ถึงเด็กหญิงตัวน้อยก็ได้ตอบกลับเขาไปว่า
“คุณก็เช่นกัน เมื่อคุณกลับไปถึงบ้าน จงบอกแม่ของคุณว่าวันนี้คุณได้พูดคุยและเล่นกับแมรี่เกือบค่อนวัน”
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา  จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ มักจะพูดต่อผู้คนทั้งหลายว่า
“คนเรา อย่าได้มองว่าตนเองสำคัญกว่าใคร ๆ
นกยูงก็คือนกยูง คนเราก็คือคนเหมือน ๆ กัน ชื่อเสียงมีไว้ให้เรียกขาน มิได้มีไว้ให้ไขว่คว้าหรือให้ได้มาซึ่งการยกย่องสรรเสริญ ประกาศก้อง ถ้าเราจะได้สิ่งเหล่านี้จริง ๆ นั่นล้วนมาจากการที่เราได้ทำความดีงาม เราได้สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน เราอย่ามัวมุ่งหาความสำคัญจากตัวเรา ในชีวิตจริง เราต้องรู้จักที่จะเป็นห่วงผู้อื่นบ้าง ฝึกใจให้มีเมตตากรุณา เราจะได้หัวใจที่ละมุนมากขึ้น เราจะได้ไม่เห็นแต่ความสำเร็จของเราฝ่ายเดียว แต่ต้องใช้ความสำเร็จเพื่อผู้อื่นเราจึงมีค่าน่าจดจำ ในสังคมที่เต็มไปด้วยการสร้างตัวตนโดยไร้ตัวตน สิ่งนี้ไม่คงทน ความดีที่ปลอม ๆ หรือจะสู้ความจริงใจที่จะทำดีได้ ผลของความดีแม้อาจจะไม่เห็นผลในวันนี้ แต่ผลจะคงอยู่ให้ผู้คนระลึกถึงตลอดไป บางทีเวลาที่ผ่านพบ สายฝนที่เริ่มโปรยปรายฤดูกาลเคลื่อนคล้อยเข้ามา กำลังจะบอกกล่าวเราว่า เรามีความดีอะไรให้ผู้คนคิดถึงเราบ้างในฐานะลูกของพระเจ้า เหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าสละเลือดเนื้อ แล้วเรายังจำพระองค์ได้ พระองค์ที่เน้นย้ำกับเราว่า “จงทำดังนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”  

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2562

หนึ่งเดียวหาใช่หนึ่งเดี่ยว


หนึ่งเดียวหาใช่หนึ่งเดี่ยว
สำหรับคนมีงานทำประจำหลายคนมีวิถีชีวิตหมุนวนเวียนแบบเดิมซ้ำ ๆ วันจันทร์คงเป็นวันเศร้า ที่ต้องเริ่มต้นทำงานประจำ ต้องตื่นแต่เช้า ฝ่าจราจรอันวุ่นวาย และวันศุกร์คงเป็นวันสุข เพราะได้มีเวลาพักผ่อนถึงสองวัน แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เหมือนดั่งสายฝนอัดอั้นมาแต่หนไหนก็ไม่รู้ เทระบายสาดใส่เมืองกรุงตั้งแต่บ่ายยันค่ำ วันศุกร์วันที่ทุกคนกำลังจะกลับไปเพื่อหาความสุขตามวิถีทางคนเมือง ต้องมาพบเจอวิกฤติ ใช้ชีวิตครึ่งค่อนคืนอยู่ในรถ ยืนรอรถเมล์ บนท้องถนนกลายเป็นลานจอด จำนวนรถมากประดังออกจากซอกหลืบทุกซอยมาติดค้างร่วมกัน ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนต้องการกลั่นแกล้งแย่งความสุขอันน้อยนิดให้หายไป ถนนหลายสายกลายเป็นลำคลอง ทางเดินเท้ากลายเป็นทางสัญจรของน้ำ แล้วสิ่งที่ไม่ควรเห็นก็ลอยฟ่องสะท้อนความเป็นจริงของความเห็นแก่ตัวในรูปของขยะ ถึงแม้น้ำจะแห้งหายไป ก็ยังฝากไว้เป็นที่ระลึกให้เราเห็นกันเกลื่อนกลาด กลายเป็นวันทุกข์โดยจำยอม เด็ก ๆ ลูกหลานติดรออยู่ที่โรงเรียน เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองไปรับไม่ได้ เด็ก ๆ มีเวลาเล่นกับเพื่อนได้มากขึ้น แต่งานเข้าผู้บริหาร หลายแห่งต้องทำอาหารเย็นเลี้ยงนักเรียน บางโรงก็ข้าวต้ม บางโรงข้าวไข่เจียว เด็กกินแล้วยังติดใจมีความสุข พูดว่า “อยากให้เป็นอย่างนี้ทุกศุกร์” ผู้ปกครองได้ยินลมแทบจับ เป็นความงามยามวิกฤติ

ในความเป็นมนุษย์ของเรา ล้วนมีสังคมเป็นกลุ่มก้อน เข้าสังกัด ยามทุกข์ร้อนช่วยเหลือกันยามมีมากก็แบ่งปันกัน ในประเทศนอร์เวย์ บ้านไหนแอปเปิ้ลออกลูกดก เขาก็แบ่งปันให้คนอื่นด้วยการใส่ถุง แล้วผูกแขวนตามกำแพงบ้าน ใครอยากได้อยากกินก็เอาไป น้ำใจยิ่งใหญ่จริง ๆ เรื่องน้ำใจคนไทยเราไม่แพ้ชาติอื่น ๆ ในโลก หลายครั้งเราเห็นเหตุการณ์คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เห็นใครประสบปัญหาก็จะมีคนเข้าช่วยเหลือทันที แต่เนื่องจากเราติดเสพสื่อที่แข่งขันกันเสมอ เสนอเรื่องที่ก่อให้เกิดความกระทบกระทั่ง ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และยิ่งในยุคที่ทุกคนเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง จึงได้ระบายความเห็นแก่ตัวที่เกาะกุมเรามาอย่างเนิ่นนาน เกิดภาวะอยากจะเป็นที่หนึ่ง อยากเก่ง จึงแสดงออกด้วยอาวุธมีเดียยุคใหม่ เข้าห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง หลงลืมความมีน้ำใจอันงดงามของวัฒนธรรมเก่าก่อนจนหมดสิ้นไปอย่างน่าเสียดาย รอให้มีวิกฤติจึงจะมีน้ำใจกันหรือ??


ตั้งแต่โลกต้อนรับศตวรรษใหม่ด้วยการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ เกิดความท้าทายหลายด้านทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม ศาสนาและสิ่งแวดล้อม ที่ล้วนแต่เป็นโจทย์สำคัญให้มนุษย์ต้องร่วมกันคลี่คลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่โลกแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็ถูกออกแบบมาเพื่อร่วมกันในการทลายข้อจำกัดเดิม และเชื่อมทุกคนเข้าหากัน ก่อให้เกิดการเข้าถึง แลกเปลี่ยน แบ่งปัน หรือแม้แต่ร่วมมือกันเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันและกัน แต่ที่ไหนได้ เรากลับนำสิ่งเหล่านี้มาใช้เพื่อสร้างตัวตน เพื่อให้กลายเป็นที่หนึ่งเดี่ยว ๆ ไม่สนใจผู้คน ไม่แยแสใส่ใจกัน หันมามองดูเราในวันนี้มีเทคโนโลยีมากมาย ที่ช่วยให้สามารถทำกิจกรรมหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นถ่ายรูป Selfie ด้วยตัวเอง ถ่ายปุ๊บเห็นปั๊บ ไม่ต้องรอไปล้างที่ร้าน ไม่ต้องลุ้นว่ารูปจะเสียหรือเปล่า ไม่ต้องง้อช่างถ่ายรูป มี App แผนที่ค้นหาเส้นทาง ไม่ต้องใช้วิถีทางอยู่ที่ปากอีกต่อไป เชื่อเครื่องนำทางมากกว่าคนนำทาง พาเข้าป่าเข้าดงก็คงไม่เป็นไร!!! หรือแม้แต่ Google ที่มีคำตอบทุกอย่างรวมไว้ในที่เดียว เป็นอับดุลตามงานวัด รู้ทุกอย่างตอบได้ทุกเรื่อง เมื่อไม่ต้องพึ่งพิงใครมาก คนรุ่นใหม่จึงมีความแข็งกระด้าง ไม่มีความสุภาพ ไม่ยอมโอนอ่อนให้ใครง่าย ๆ เมื่อก่อนมีอะไร เด็กต้องมาปรึกษาพ่อแม่ คุณครู พระสงฆ์ ซิสเตอร์ มาเซอร์ แต่ทุกวันนี้ หา “อากู๋” (Google) เป็นที่หนึ่งในดวงใจ มีคำตอบให้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องชีวิตภายใน ชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปเสียแล้วสำหรับคนยุคนี้



เนื่องด้วยเพราะมนุษย์เรามักตัดสินกันที่ความเป็นรูปแบบ ที่รูปลักษณ์ภายนอก เสื้อผ้า หน้า ผม รถยนต์ มองข้ามความจริงที่ดำเนินอยู่ภายใน  หรือใช้เวลาหมดไปกับการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกนี้  และละเลยการพัฒนาภายใน  อันเป็นการพัฒนาที่แท้จริง การพัฒนาภายในนี้จำเป็นต้องใช้เวลา ไม่รวดเร็ว ไม่ทันใจ  สิ่งที่ท้าทายกว่านั้นก็คือ  ชีวิตภายในนี้มองไม่เห็น  อาศัยพระจิตนำทาง  เป็นการท้าทายในระดับหนึ่งของการพัฒนาตนเอง แต่การพัฒนาในระดับนี้เองเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน  มิใช่การพัฒนาอย่างฉาบฉวย อย่างผิวเผิน  หรือขอไปทีเหมือนการพัฒนารูปลักษณ์ภายนอกเป็นที่มาของการขอเป็นที่หนึ่งเดี่ยว ๆ ไม่เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น
ใช่หรือไม่ ความไม่เคารพในบทบาทและหน้าที่ การสอดแทรกการกระทำของผู้อื่น การวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์และการด่าทอใส่กันแบบไม่เห็นหน้า การคอยจับตามองความผิดหรือการพยายามควบคุมผู้อื่นให้อยู่ภายใต้ความคิดเห็นของเราฝ่ายเดียว เปรียบเหมือนเสียงดนตรีที่ไร้ความไพเราะ กระทบต่อสายใยและความสัมพันธ์อย่างรุนแรง ความหลงทะนง ความกระหายการยอมรับจากผู้อื่น ไปจนถึงความอิจฉา ทำให้เกิดความไม่สอดคล้อง ที่สร้างความแตกร้าวและความขัดแย้งในที่สุด ในฐานะที่เราเป็นคริสตชนเรามีพระเจ้าเป็นศูนย์ของสรรพชีวิต มีความเชื่อร่วมกัน เราควรมีความหนึ่งเดียวกัน อย่าฉายเดี่ยว เดี๋ยวเราจะกลายเป็นคนเชื่อถือพระเจ้าเพียงแค่ผิว ๆ อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย มามีชีวิตภายในร่วมกันฉันพี่น้องเพื่อความร่มเย็นของสังคมจะคงอยู่ตลอดไป

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

สายปัญญา


สายปัญญา
ท่ามกลางความเปลี่ยนของมวลโลก ทำให้การปรับตัวของมวลหมู่มนุษย์เราสับสนอลหม่านพอสมควร ออกอาการหงุดหงิดง่าย หัวร้อนใจร้ายกันตั้งแต่เด็ก พ่อแม่หลายคนถึงกับเอ่ยปากเลยว่า ไม่รู้จะสอนกันยังไงแล้ว!!!! วิถีชีวิตคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าเกิดปะทะกัน จนทำให้คำสั่งสอนในเรื่องคุณธรรมกลายเป็นสิ่งโบราณควรเก็บใส่กล่องลงกุญแจ เพราะเป็นคำสอนแบบไม่ทันสมัย ไม่ทันความคิดเด็ก หลายครอบครัวกำลังอยู่ในภาวะแบบนี้ จึงพากันปล่อยเลยตามเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโรงเรียนบ้าง ปล่อยให้เป็นงานภาระของครูบ้าง ในโรงเรียนก็ไม่อาจจะสอนสั่งในรูปแบบเดิมได้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความกระทบกระทั่ง กลายเป็นความอิหลักอิเหลื่อ เบื่อหน่ายเหนื่อยล้าในการทำหน้าที่ผู้สอน ภาวะนี้เกิดขึ้นในทุกมุมโลก เราเห็นเด็กหนุ่มทำร้ายเพื่อนสาวแบบที่ลูกผู้ชายในสมัยก่อนไม่กระทำกัน ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะมาเห็นเด็กเพียงไม่กี่ขวบควงปืนยิงเพื่อนเสมือนเล่นเกมหน้าคอมพิวเตอร์ เราเห็นเด็กสาวพูดจาหยาบโลน ตะโกนโวยวายเมื่อไม่ได้ดังใจเป็นเรื่องดูโก้หรู จะต้องทำอย่างไรดีจึงจะนำความดีงาม ความมีเมตตาต่อกันกลับคืนสู่หัวใจผู้คนยุคนี้ได้ 


แน่นอน ความดีความงามยังเป็นเช่นเดิม และจะเป็นเช่นนี้ตลอดมาตลอดไป วิธีการต่างหากที่ต้องปรับเปลี่ยนไปตามกระแสแห่งวันเวลา เราต้องหาวิธีพูด วิธีบอกให้ลูกหลานได้เข้าใจถึงคุณค่าของความดี คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน เรามีสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าประทานให้อยู่กับเราตลอดมา แต่บางทีเราก็หลงลืม และไม่ได้นำออกมาใช้ นั่นคือ “องค์พระจิตเจ้า” ผู้ทรงพระคุณมากมายและไม่เคยหนีหายไปจากพวกเรา เป็นเราเองที่ใช้สิ่งอื่นมาบดบัง เราใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล เราใช้ความอวดรู้มากกว่าใช้สติปัญญา เราใช้คำก่นด่ามากกว่าใช้วิจารณญาณ เราใจร้อนต้องเห็นผลในทันทีโดยไม่เห็นความงามของการรอคอย และที่สุด ไร้ความอดทนที่จะหาวิธีสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกหลานสำนึกในความดีความงามของผู้คนรอบข้าง มีตัวอย่างหนึ่งที่พ่อคนหนึ่งสอนลูกด้วยปัญญามากกว่าอารมณ์ และให้ลูกได้เห็นวิธีทำดีจากการกระทำ

“พ่อครับ ข้างบ้านขโมยสอยมะม่วงเราครับ” เด็กชายตัวน้อยวิ่งมาหาพ่อ พ่อหัวเราะแล้วถาม “เราเหลืออีกหลายลูกไหม? ลูก”
“ผมเห็นอีกหลายลูกเลยครับ” “งั้นไปสอยมะม่วงสุกมาให้พ่อสักเจ็ดลูกสิ”
เด็กชายเข้าใจว่าพ่อคงใช้ให้สอยมะม่วงเพราะกลัวเพื่อนบ้านจะขโมยอีกจึงรีบสอยมะม่วงมาให้พ่อ เมื่อได้มะม่วงก็หอบมาให้พ่อ หวังว่าจะได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ปรากฏว่า ผู้เป็นพ่อนำมะม่วงทั้งหมดมาจัดใส่ตะกร้าอย่างสวยงามแล้วจูงมือลูกชายไปกดกริ่งหน้าประตูของเพื่อนบ้าน ที่ลูกชายบอกว่าสอยมะม่วงไป
เด็กชายงง ไม่เข้าใจว่าพ่อจะทำอะไร เมื่อเพื่อนบ้านเปิดประตูรั้วออกมาเป็นชายวัยกลางคน หน้าตามีพิรุธเหมือนทำผิดอะไรบางอย่าง ผู้เป็นพ่อจึงยื่นมะม่วงทั้งตะกร้าให้ แล้วกล่าวว่า “ผมเอามะม่วงมาฝากครับ เป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านข้าง ๆ นี่เอง มีอะไรก็บอกกันนะครับ จะได้ช่วยเหลือกัน”
ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกให้พ่อรอสักครู่พร้อมทั้งกลับมาด้วยตะกร้าใบเดิม แต่คราวนี้มีไข่ไก่เต็มตะกร้า
“ผมเลี้ยงไข่ไก่ไว้หลายตัว ขอให้ไข่ไก่เป็นของตอบแทนน้ำใจนะครับ”
พ่อกล่าวขอบคุณ แล้วจูงมือเด็กชายกลับบ้าน เด็กชายถามพ่อด้วยความสงสัย
“ทำไม? พ่อถึงเอามะม่วงไปให้เขา แทนที่จะไปทวงมะม่วงของเราคืนมา”
ถ้าพ่อไปทวงมะม่วง เราอาจจะได้มะม่วงคืน แต่เราจะเสียเพื่อนบ้านและอาจจะโกรธกัน แต่นี่พ่อเอามะม่วงไปให้เขาเจ็ดลูก รวมที่เขาสอยไปหนึ่งลูกเป็นแปดลูก แต่เราได้ทั้งน้ำใจเขา ซึ่งก็คือไข่ตะกร้าใหญ่ แถมยังได้เพื่อนบ้านเพิ่ม ลูกว่าแบบไหนดีกว่ากันล่ะ” (CR;แสงและเงา คือมายา)
           
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของการใช้สติปัญญา ความคิดอ่านอย่างรอบคอบ เพื่อเข้าครอบครองใจของผู้อื่น ใช่หรือไม่ ยิ่งใช้อารมณ์เรายิ่งเจอแต่ปัญหา ปัญญายิ่งมืดบอดลงไปอีก ทุกหนแห่งเราเห็นแต่คนใช้อารมณ์ ตามท้องถนนหนทาง ในความวุ่นวายของจราจร บนความเบียดเสียดของผู้คนจำนวนมาก เส้นทางที่เราใช้เดินทางจึงเป็นเส้นทางสายอารมณ์ เส้นทางที่มีแต่ความกดดัน มีแต่ความเบื่อหน่าย เมื่อถึงที่หมายอารมณ์โกรธยังคงเก็บกด จึงไร้แรงบันดาลใจที่จะสร้างความงามในวันเวลา แต่หากเราใช้เส้นทางนั้นให้เป็นเส้นทางสายปัญญาญาณ รู้จักรัก อภัย มีเมตตาต่อกัน การเดินทางเราก็พบกับความสดชื่นเสมอ
            อารมณ์ นำมาซึ่งปัญหาที่จะพาไปสู่ความขัดแย้ง ใช้สติปัญญาก่อนที่จะเกิดอารมณ์ไม่ดีต่อกัน ย่อมจะเป็นหนทางที่ดี ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอหากเรามองปัญหาด้วยสติปัญญาอย่างรอบคอบ ถ่องแท้ เราย่อมจะได้แนวทางแสงสว่างนำทางที่จะแก้ปัญหาได้เสมอ และนี่จึงเป็นการนำสันติสุขมาสู่คนรอบข้าง สันติสุขจะดำรงอยู่ตลอดไปในทุกกาลสมัย อย่าปล่อยให้ลูกหลานเผชิญความหัวร้อนใจร้ายกันเลย มาช่วยกันสร้างทางแห่งสันติด้วยกัน และเชื่อว่าอีกไม่นานผลนั้นจะทำให้เกิดความร่มเย็นผาสุกตลอดไป

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

นิวเคลียร์โซเชียล


นิวเคลียร์โซเชียล


ขณะที่ปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายเผาผลาญร่างกายเพื่อขับส่วนเกินให้ลดหายไปบ้าง ในความหมายของการปั่นคือการไปข้างหน้า ตามจังหวะของเท้าทั้งสองสลับกันเหวี่ยงแรงขับเคลื่อน บางจังหวะเพิ่มแรงให้เร็ว ปั่นให้ถี่ มีบางจังหวะผ่อนลงเพื่อพัก และอาจจะเป็นความชอบส่วนตัวที่จะใช้บทเพลง ดนตรีคลอ ๆ เพื่อล่อให้ล่องลอยลดรอยความเหนื่อยเมื่อยขา แต่ทุกครั้งบทเพลงที่เปิดอยู่นั้นมักพาให้ความทรงจำวันวานหวนวนเวียนกลับมา ความเจ็บปวด ความแพ้ภัยในตัวเอง การกระทำที่เคยพลาดพลั้งไปทำให้คนรอบข้างเสียใจ เสียน้ำตา ครั้งแล้วครั้งเล่าตอกย้ำซ้ำเติมเรื่องเก่า ความรู้สึกผิดมักเกาะกุมหัวใจให้สำนึกผิดอยู่เสมอ บางทีการปั่นก็ไม่ใช่การมุ่งหน้าเพียงอย่างเดียว แต่กลับเกี่ยวร้อยถอยหลังในวันวานให้เกิดพลังเพื่อมุ่งหน้าสู่วันใหม่ต่างหาก

ในชีวิตเรามีพลังขับเคลื่อนแฝงเร้นอยู่มากหลาย บางพลังส่งเสริม บางพลังทำลาย หากเราสามารถที่จะนำพลังด้านดีงามเหล่านั้นมาถักทอ เปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจ แบบนี้จึงเรียกว่าการใช้พลังในเชิงสร้างสรรค์  และเป็นพลังบริสุทธิ์ แต่...นั่นแหละเมื่อวันเวลาเปลี่ยนแปลงความใหม่เปลี่ยนแทนความเก่า แรงบันดาลใจถูกเปลี่ยนเป็นแรงอาฆาตมาดร้าย เป็นแรงริษยา ที่สะสมกลายเป็นพลังทำลายสูง ที่ได้ใช้ความรวดเร็วของสื่อที่อยู่ในมือเป็นตัวปล่อยผ่านไป เป็นท่อแรงดันสูง แล้วให้ผลกระจายขยายสู่สาธารณะแบบไร้ความรับผิดชอบ เราตำหนิ ด่ากราด วิจารณ์ได้ในทุกเรื่อง ในบางเรื่องแค่ได้ยิน ชินหูสู่ยานความปราดเปรื่องคุยเขื่องว่ารู้ดี ถ้าผิดจากนี้ จากที่มีข้อมูล ที่รู้มา คือสิ่งตรงข้าม คือศัตรู คือสิ่งที่ต้องกำจัด
แล้วเมื่อถูกระบบที่วางไว้ให้การต่อท่อถ่ายทอดกันแบบรวดเร็วเช่นนี้ เราจึงเห็นการใส่ร้ายกันแบบใหม่เกิดขึ้นในทุกวัน การเอาดีใส่ตัวชั่วร้ายยกให้คนอื่นมีให้เห็นดาษดื่น การสร้างเรื่อง สร้างวาทกรรมก่อให้เกิดความชิงชังต่อความดีก็มีอยู่มาก การเอาความคิดตัวเองเป็นตัวตั้งต้นโดยไร้ราก ผุดขึ้นให้เห็นเต็มพื้นที่ ความหยาบคายในคำกล่าว คำพูดผ่านตัวอักษรเหมือนศรธนูที่ยิงออกไป แล้วแตกกระจายเพื่อบ่อนทำลายในวงกว้างมีให้เห็นเป็นประจำ ขบขำในความทุกข์ของผู้อื่น ดูถูกในความดี ไม่มีการสืบสานในต้นธารแห่งความงาม เพียงเห็นปลายลำธารที่น้ำนิ่งก็บ่นว่ากล่าวร้ายให้เสียหาย สังคมแบบนี้ดูเหมือนพัฒนาก้าวไปก็จริง แต่ถอยหลังกลับสู่ความดิบเถื่อนของคนที่ไม่มีสำนึกผิดติดตัว มันช่างแตกต่างกับการที่ว่าโลกพัฒนาเสียนี่กระไร หรือการพัฒนาของคนยุคเราหยุดแค่ที่การมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เอื้อต่อความสบายทางกาย แต่เรื่องจิตใจ เรื่องจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องพูดถึง

เอาเข้าจริง คนเรานั้นมีดีมีพลาดพลั้งคละเคล้ากันไป แต่ก็แปลก คนเรามักเอาความผิดพลาดของคนอื่นมาทำให้ตัวเองดูดี ดูเก่งขึ้น ในยุคสมัยใหม่เรากำลังเห็นการปล่อยพลังนิวเคลียร์ดิจิตอลใส่กันบนเครือข่ายโซเชียล แล้วเร่งให้มันขยายพันธุ์การทำลายให้สูงขึ้น โดยการป้อนชุดความคิดให้เชื่อถือข้อมูลด้านเดียวแบบเด็ดเดี่ยว สอนวิธีให้ปล่อย(คัด)วางรูปแบบสมัยใหม่ที่อันตรายและเห็นแก่ตัวเป็นที่สุด ปล่อยวางแบบหวังผล ให้คัดลอกแล้ววางคำพูดชุดเดิมไว้ในทุกที่ที่เข้าไป  หารู้ไม่ ทุกถ้อยคำหยาบคายนั้นได้ทำลายหัวใจแห่งรักและสันติลงอย่างสิ้นเชิง การกระทำแบบนี้ไร้ซึ่งความเมตตาและต่ำตมเป็นที่สุด ยิ่งกว่าทหารที่พูดจาประชดประชัน ถ่มน้ำลายรดหน้าพระเยซูเจ้าในกาลก่อนเสียอีก เพราะทหารยังทำต่อหน้าพระเยซู แต่คนวันนี้ทำแบบลับหลังไม่กล้าเผชิญหน้า
ในอีกด้านหนึ่งพลังนิวเคลียร์นี้ถ้าถูกนำมาใช้ในด้านดีจะมีประโยชน์มหาศาล สมมุติว่าถ้ามีใครทำไม่ดีใส่ร้ายกล่าวหา เราก็จะโกรธ หรืออาจจะเกลียดคน ๆ นั้นไปเลย ที่มีส่วนทำให้ชีวิตเราแย่ลง แต่...เราจะไม่ได้อะไร นอกจากความคิดในแง่ลบที่เกิดขึ้น และถ้าเราปล่อยให้มันเข้าครอบงำ ปล่อยให้มันบงการชีวิตเรา ชีวิตเราก็จะจมอยู่ในความคับแค้น ขัดขวางไม่ให้เรามีความสุขสันติ ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะใช้เหตุการณ์เหล่านี้มาทบทวน เรียนรู้จากมัน เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้แทนที่เราจะเกลียด ขุ่นเคือง ไม่พอใจ เราก็ลองเปลี่ยนไปให้อภัยคนที่ทำไม่ดีกับเรา แล้วเราจะปล่อยวางความคิดแง่ลบได้ ทำให้เรามีเวลาเอาไปคิดและทำสิ่งที่ดี ใช้สื่อดิจิตอลเป็นพลังด้านบวกเพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ สร้างสรรค์ความงามให้คงอยู่


เป็นไปได้ไหมถ้าเราจะก้าวกลับมาเพื่อตั้งหลักกันใหม่ เพื่อการกลับคืนสู่บ้านอันถาวรของเราจะได้เป็นไปอย่างงดงาม เหมือนกับองค์พระอาจารย์ที่เสด็จสู่สวรรค์ด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ และเพื่อจะเป็นเช่นนั้น เราเริ่มต้นวันนี้ด้วยการให้ความรัก ให้อภัย ต่อกัน แล้วก็อย่าลืมให้อภัยตัวเองด้วย เราต่างก็เคยทำผิดพลาดกันมาทั้งนั้น บางทีเริ่มด้วยการถอยหลังเพื่อจะมุ่งทยานอย่างสมบูรณ์ก็เป็นหนทางที่น่าจะนำมาทบทวนมาร่วมกันสร้างสำนึกในมโนธรรม มาร่วมกันปลุกให้เสียงเตือนตนดังขึ้น เพื่อเราจะได้หยุดยั้งพลังการทำร้ายกันของวันที่ทันสมัยนี้ แล้วใช้อุปกรณ์ให้เป็นเครื่องมือนำความดีสู่ปวงชน ด้วยความอดทน ด้วยสายตาของคนที่เป็นศิษย์ของพระคริสต์รู้จักให้อภัย อย่าใจร้ายกับตัวเองมากเกินไป มองหาโอกาสเรียนรู้ฝึกฝนตนตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้าในความโชคดีของตัวเอง ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ขอบคุณในสิ่งที่เรามี เราเป็น และอย่าลืมว่าเราต้องเป็นคนที่ดีขึ้นทุก ๆ วัน พัฒนาชีวิตจิตวิญญาณเพื่อต้านภัย และขจัดขยะ กากนิวเคลียร์โซเชียล ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ ให้ลดลงไปบ้าง..