วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ก็รู้อยู่นะ

ก็รู้อยู่นะ
การสอบปลายภาคเรียนของเด็ก ๆ กำลังจะเริ่มขึ้น มีเสียงบ่นว่าเครียดอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะดูหนังสือสอบทันหรือเปล่า ผู้ปกครองก็พลอยเครียดตามไปด้วย ต้องมาช่วยลูกหลานเตรียมสอบ เพราะด้วยความที่การเรียนการสอนคนละยุคคนละสมัย จะสอนอะไรก็ลำบาก ไหนวิชาที่จะช่วยสอนก็หลงลืมไปตามอายุตามวงปีที่ผ่านไป ทำไปทำมาเหมือนต้องมาเริ่มใหม่ไปพร้อม ๆ กับเด็ก ๆ ยิ่งเห็นหลักสูตรการเรียนสมัยนี้แล้วยอมรับเลยว่า เด็กเรียนเยอะจริง ๆ ความรู้อัดแน่น แต่ความอดทน อดกลั้นต่ำลง เครียดง่ายขึ้น

เมื่อพูดถึงความรู้ที่นำไปสู่ความเครียด ครั้งหนึ่งมีเพื่อนมาระบายให้ฟังว่า ชีวิตช่วงนี้เครียดมาก ถามกลับไปว่าเครียดเรื่องอะไรบ้าง คราวนี้เรื่องยาวเลย สารพัดเรื่อง เรื่องส่วนตัว ค่าใช้จ่ายไม่พอ เรื่องโน้นนี่นั่น แล้วก็ปรึกษาว่า ทำอย่างไร? จึงจะหายเครียด แค่ฟังยังเครียดเลยยังมาถามว่ามีหนทางบริหารความเครียดหรือเปล่า ก็เลยตอบไปแบบกำปั้นทุบดิน ว่าวิธีแก้เครียดให้ได้ผล คือต้องไม่เครียด ก็คิดว่าเพื่อนคนนั้นคงจะว่าเราบ้าหรือเปล่า แต่เพื่อนกลับนิ่งไปสักพัก และตอบกลับมาว่า เออใช่ วิธีแก้เครียดก็แค่ไม่เครียด แล้วเพื่อนก็ขำขำจากไป ใช่หรือเปล่าหลายสิ่งในชีวิต เรารู้นะว่าจะต้องทำอะไร แต่แล้วมักที่จะทำในสิ่งตรงข้ามเสมอ พอดีประจวบเหมาะกับข้อความที่มีการแชร์กันในโลกออนไลน์เลยนำมานั่งทบทวนถึงชีวิตเรา
ทำไมเรารู้ว่า ควรปล่อยวาง...แต่ยังคิดมาก
ทุกศาสนามักสอนเรื่องนี้ อย่าสาละวนกับปัจจัยภายนอก ต้องรู้จักปล่อยวาง เมื่อเราได้ยินได้อ่านเราก็พยายามที่จะทำตาม แต่เมื่อเกิดความต้องการ เกิดเรื่องราวที่นำความทุกข์ท้อมาสู่ชีวิต สิ่งที่เรารู้มา ได้ยินมา กลับไม่สามารถนำมาปฏิบัติตนได้เลย คิดมาก คิดไปเรื่อย คิดฟุ้งซ่าน ความเครียดมาเยือน ก็รู้อยู่นะว่าต้องปล่อยวาง แต่ว่างไม่ได้เป็นต้องคิดมาก นี่แหละหนอชีวิตคนเราที่สมองกับจิตวิญญาณขาดการประสานงานกัน
ทำไมเรารู้ว่า ควรนิ่ง ควรฟัง...แต่ยังพูด
ก็รู้อยู่ว่าการฟัง การนิ่ง เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งสันติสุข นำมาซึ่งความสงบ แต่ก็ไม่อาจจะสยบปากสยบคำพูดของเราได้ เพราะบางทีการพูดมันทำให้เราแสดงภูมิ แสดงความรู้เพื่ออวดข่มผู้อื่นได้ บางทีเราทนที่จะฟังไม่ได้ เพราะดูเหมือนยิ่งนิ่งฟังยิ่งเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คำพูดคือสิ่งที่จะช่วยปกป้องตัวเรา คราวนี้ยิ่งพูดกันไปมา ยิ่งเรื่องเยอะเรื่องใหญ่ ความสงบสุขก็ไม่เกิด เรารู้นะแต่พอถึงเวลานั้นมันก็อดไม่ได้ เพราะจิตใจเรายังไม่ถึงจุดที่จะหยุดบนความสงบได้
ทำไมเรารู้ว่า ควรหยุดฟุ่มเฟือย...แต่ไม่เคยทำได้
สารพัดเหตุผลที่จะนำมาอ้างเพื่อการจับจ่ายที่เกินตัว เพราะเรามักตีค่าความเป็นคนด้วยวัตถุภายนอก ด้วยของใช้แบรนด์เนม ด้วยรสนิยมหรูหรา ที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งตั้งค่ามาตรฐานไว้ บางครั้งเราไม่ได้ดูถึงความจำเป็น เรากลับไปดูถึงความเลิศหรู พอใกล้สิ้นเดือนเรามักจะบอกว่า จะหยุดฟุ่มเฟือย แต่พอได้รับเงินเดือน เราก็บอกว่าให้รางวัลกับชีวิต นี่แหละวิถีบริโภคนิยม
ทำไมเรารู้ว่า ไม่ควรนินทา...แต่ยังนินทา
การนินทาเป็นสิ่งที่ไม่ดีเราก็รู้ แต่ไม่เคยอยู่ในจิตใจเรา เพราะขาดซึ่งสิ่งนี้ชีวิตกลุ่มเหมือนขาดรสชาติ เหมือนกาแฟที่ไม่ใส่นม ใส่น้ำตาล ยิ่งนินทายิ่งสนุกเพลิดเพลิน ในมุมตรงข้ามหากเราเป็นฝ่ายถูกนินทาด้วยความคะนองปากของคนอื่น เรามักเจ็บแค้นโกรธเคือง ฉันใดก็ฉันนั้น เพื่อไม่ให้เกิดรอยแผลช้ำแบบนี้ ก่อนจะเอ่ยกล่าวถึงคนอื่นในด้านไม่งาม ควรจะรำลึกถึงความเจ็บปวดครั้งเมื่อเราถูกนินทาใส่ร้ายไว้บ้าง ก็จะทำให้เราตระหนักรู้
ทำไมเรารู้ว่า ไม่ควรขี้เกียจ...แต่ยังขี้เกียจ
ในยุคที่คนรุ่นใหม่มองหาชีวิตแบบ slow life โดยไม่ต้องทำงาน เป็นการนำแนวคิดแบบผิด ๆ มาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความขี้เกียจ เราถูกปลูกฝังให้ขยันหมั่นเพียร ให้ต่อสู้กับอุปสรรค ให้รู้จักการทำงานโดยไม่เลือกงาน มาวันนี้ยุคนี้น่าเสียดายที่หนุ่มสาวหลายคนละทิ้งหนทางนี้ เลือกใช้ชีวิตแบบสบายในความเกียจคร้าน หารู้ไม่ความขี้เกียจนำมาซึ่งความไร้ค่าและไม่สร้างสรรค์
ทำไมเรารู้ว่า ไม่ควรเหงา...แต่ยังเหงา
ในโลกยุคโหยหาเพื่อนในอากาศ ความจริงใจต่อกันลดน้อยลงไป อย่างมากก็ได้แค่เพื่อนคุย ที่ไม่ได้สัมผัสถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา เป็นเพียงเพื่อนผิว ๆ ที่จะปลิวหายไปเมื่อไรก็ได้ ความเหงาย่อมเกาะกุมหนุ่มสาวในโลกเสมือนจริง เรารู้นะว่าไม่ควรเหงาแต่เราไม่กล้าก้าวออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เลยเงียบเหงาอยู่เดียวดาย
ทำไมเรารู้ว่า การเปรียบเทียบไม่ดี ...แต่ยังเปรียบเทียบ
ยิ่งชีวิตเราขาดหายสิ่งใด เรายิ่งหาคนอื่นมาเปรียบเทียบ บ้างก็นำคนด้อยกว่ามาเปรียบเทียบเพื่อจุดไฟปรารถนาทะยานอยาก บ้างก็เปรียบเทียบคนที่สูงกว่าเพื่อตะกายขึ้นไปให้ถึงจุดที่เขาอยู่ ทั้งๆที่คนพวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่าเขามาถึงจุดนั้นได้อย่างไง!!!!
ทำไมเราอ่านหนังสือฮาวทูไปแล้วร้อยเล่ม...แต่ยังทำตามไม่ได้
แผงหนังสือมากมายเต็มไปด้วยหนังสือเหล่านี้ แต่เอาเข้าจริงจะมีใครเขียนความจริงทั้งหมดให้เรารู้ เพราะชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำคัญที่เราต้องหาสิ่งที่เราเป็น อยู่ คือ ให้พบแล้วหาหนทางเดินในเส้นทางของตัวเอง โดยมีคนอื่นเป็นเพียงแนวทาง ที่ไม่ใช่หนทาง
ทำไมเราสร้างแรงบันดาลใจได้แล้ว...แต่สามวันถัดไป จิตใจเราเริ่มเหี่ยว

โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ แต่แรงบันดาลใจเหล่านั้นมักเกิดกับเราเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เราฮึดสู้เพียงแป๊บเดียว เพราะเราอ่อนแอเกินไป จิตใจไม่มั่นคง เพียงแค่รู้ยังไม่พอ สุดท้าย ทำไมเรารู้ทุกอย่าง แต่...เราทำอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะเราไม่ได้ใช้หัวใจในการรับรู้ เราจึงแค่รับรู้โดยไม่รู้แจ้ง ใช้หัวใจ ใช้จิตวิญญาณในการดำเนินชีวิตดูบ้าง จะได้ไม่ใช่แค่รู้นะ แต่จะรู้จักนำไปใช้มากยิ่งขึ้น แล้วความสุขจะตามมา

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

ถนนใหญ่ในใจคน

ถนนใหญ่ในใจคน
ถนนหนทางสมัยใหม่ถูกสร้างขึ้นมารองรับกับรถยนต์ที่มากขึ้นในทุก ๆ วัน สร้างเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอกับปริมาณรถ บนถนนที่กว้างใหญ่ขึ้น แต่ละฝั่งก็หลายเลน ยิ่งทำให้การขับขี่ใช้ความเร็วกันมากขึ้น ต่างคนต่างต้องการไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว ใครขับช้าจะถูกไล่ ถูกแซง รถใหญ่ถูกยกให้เป็นเจ้าถนน รถเล็กต้องหลบหลีกให้เสมอ โดยปกติเลนซ้ายสุดให้รถใหญ่วิ่ง แต่ความเป็นจริงรถใหญ่ก็มักซิ่ง วิ่งเข้ามาเลนขวา เพราะด้วยความเร็ว เพราะด้วยความใหญ่ เพราะด้วยความไม่สนใจกัน อุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในต่างจังหวัด แต่...สำหรับในเมืองหลวงที่มีจำนวนยานยนตร์หลายล้าน หลากยี่ห้อ ต่างรุ่น ต่างขนาด ก็มิสามารถมุ่งไปข้างหน้าได้รวดเร็วดั่งใจหมาย โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้าก่อนเริ่มงานและในช่วงเย็นย่ำค่ำคืน ถนนที่ว่ากว้างใหญ่ก็ยังมิเพียงพอ เหมือนเมื่อถึงเวลาก็นำรถออกมาจอดกองรวมกันบนถนนใหญ่ใจกลางเมือง กว่าจะขยับเขยื้อนเลื่อนล้อได้แต่ละวงรอบช่างยากเย็นแสนเข็น และยิ่งในฤดูฝนแบบนี้ หากตกลงมาเมื่อใด เมื่อนั้นถนนใหญ่จะกลายเป็นหนทางที่แสนทุกข์สาหัสไปเลย

บนถนนที่กว้างใหญ่ การขับขี่ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว เพราะอุบัติเหตุย่อมมีขึ้นได้ทุกเวลา บนเส้นทางมุ่งหน้าสู่พัทยา กำลังเพลิดเพลินพูดคุยกันอย่างสนุกปากกับผู้ร่วมทาง พลันทันใดนั้นก็มีวัตถุเล็ก ๆ ปลิวมาด้วยความเร็วสูง ปะทะกับกระจกหน้ารถอย่างจัง เสียงดังจนหยุดเสียงสนทนาให้เหลือเพียงเสียงลมหายใจ จากนั้นสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ คือ รอยร้าวเล็ก ๆบนกระจก สิ่งนี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนหนทางชีวิตในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ที่ต้องมาเจอกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่...กลับมาแสดงอำนาจ อวดบารมี พยายามข่มขู่ด้วยเสียงอันดัง เข้ามาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อต้องปะทะกับคนแบบนี้ เลือกที่จะเงียบ และแสดงออกด้วยผลงานที่เหนือกว่า การควบคุมอารมณ์แบบมีชั้นเชิง เพื่อให้ประจักษ์แจ้งว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าการเบ่งของคุณหลายล้านเท่านัก สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ คือ รอยเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในใจพร้อมทั้งความเวทนาต่อความโอ้อวด เบ่ง วางกล้าม ของคนบางคนในเศษเสี้ยวเวลาที่ต้องพบเจอ
เหตุใดเล่าคนเราถึงจะยิ้มให้กันบ้างไม่ได้??? พูดคุยสนทนาพาทีกันโดยไม่มีขอบเขตยศชั้นกันไม่ได้เชียวหรือ??? จำได้ว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน เราเคยขับขี่รถบนถนนที่สวนไปสวนมา ขับไปโบยมือให้กันไป เปิดกระจกทักทาย ไม่ต้องต่างคนต่างขับต่างแย่งช่องทางเพื่อวิ่งไปจอดติด จากรอยร้าวเล็ก ๆ บนกระจกและรอยหงุดหงิดน้อย ๆ ในใจ ถูกกลบลบเลือนให้หายไป ในค่ำคืนที่มีผู้ใจดีมอบโอกาสให้ไปชมคอนเสิร์ตระดับโลก Bon Jovi ที่เมืองทองธานี ในค่ำคืนที่ฝนฉ่ำ บนทางด่วนในท้องถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าไปนั้น แม้จะมีบ้างบางช่วงที่รถต้องหยุด ค่อย ๆ เคลื่อนไป แต่เรารู้ว่าอย่างไรเสีย เราก็กำลังจะได้เพลิดเพลินกับเสียงดนตรี
กว่าสองชั่วโมงบทเพลงมากมายถูกเลือกมาบรรเลงสด ๆ กับเสียงร้องอันทรงพลัง และยิ่งเมื่อบทเพลง It's my life บทเพลงอมตะบทนี้ดังขึ้น ทุกคนต่างก็ขับขานตาม ในขณะขับรถกลับบ้าน บทเพลงบทนี้ยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท และมีสิ่งให้คิดคำนึงถึงเรื่องราวบนถนนใหญ่ของชีวิตที่กำลังโลดแล่นอยู่ กับเรื่องราวมากมายที่ผ่านประสบพบเจอ
It's my life
It's now or never
I ain't gonna live forever
I just wanna live while I'm alive
นี่คือชีวิตของฉัน
ถ้าไม่กระทำเสียตอนนี้ ก็จะไม่ได้กระทำอีกแล้ว
ฉันไม่ได้อยากที่จะอยู่ค้ำฟ้า
ฉันแค่อยากจะมีชีวิตชีวา ในเวลาที่ยังหายใจ
            บนถนนชีวิต เราอาจจะเลือกหนทางเดินของเราได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า สักวันหนึ่งเราก็ต้องมีเวลาอยู่ในถนนบางสายร่วมกับผู้อื่น แล้วเราจะไปยึดโยงเอาถนนสายนั้นมาเป็นของเราเพียงผู้เดียวได้อย่างไรเล่า??? การแบ่งปัน ความเข้าอกเข้าใจ การรู้จักยอมรับผู้อื่นบ้าง จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราอยู่ในโลก บนถนนใหญ่สายนี้ได้อย่างมีความสุข ลดความเร็ว ความแรง อคติ ความเกลียดชัง ความโกรธเคืองลงไปบ้าง ลงมือกระทำสิ่งดี ๆ เรื่องดี ๆ เสียตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าจะไปสำนึกเสียดายในวันที่มีลมหายใจรวยระรินในโรงพยาบาล
            ในขณะที่เราอยู่บนถนนใหญ่ มีบ้างที่ต้องแวะ มีบ้างที่ต้องหลงทาง ต้องถามทาง ต้องเลี้ยวรถกลับ ตั้งหลักใหม่เพื่อให้ถึงที่หมาย ในหนทางชีวิตของเราก็เช่นกัน เหนื่อยนักก็พักกายพักใจลงบ้าง แวะพักเพิ่มพลังใจ หากผิดพลาดหลงทิศผิดทางก็หาคนที่สามารถจะปลุกปลอบขวัญ เพื่อให้มีกำลังใจ พร้อมที่จะลุกเดินหน้าต่อไป ผิดไปกลับใจตั้งหลักกันใหม่ เพราะนี่คือชีวิต ในขณะเดียวกันระหว่างทางอาจจะมีคนมาถามทาง เราก็ต้องพร้อมจะชี้แนะด้วยความเข้าใจคนหลงทางมา ต้องมีเมตตาต่อคนผิดพลาด เพราะเราไม่อยู่ค้ำฟ้า แต่เราสามารถที่จะใช้ความดีของเราค้ำฟ้าให้อยู่ตลอดไปได้

ใช่.. ถึงแม้ว่าเราจะเห็นท้องฟ้าได้ทุกวัน แต่บางวันเราก็ลืมที่จะมอง เราอยู่บนถนนชีวิตที่กว้างขึ้นปะปนกับผู้คนหลากหลายความคิด หลากหลายทัศนคติ ต่างคนต่างก็มีอิสระในชีวิต เลือกที่จะก้าวไปในถนนใหญ่เส้นใดเส้นหนึ่งได้ เช่นนี้แล้ว เมื่อพระเจ้าประทานชีวิตให้กับเรา เราต้องเลือกทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า ทำให้โลกนี้สวยงามด้วยความดี ด้วยความเมตตาต่อกัน ไม่ข่มขู่ข่มเหงกัน เพราะนี่มันคือชีวิต ชีวิตต้องไม่สิ้นศรัทธาจึงจะกล้าท้าทาย ชีวิตนี้ใครลิขิต เป็นเราที่ต้องขีดเขียน หมั่นเพียรในทางงาม ความสุขจะตามมาในไม่ช้า เรามาทำถนนในใจเราให้ใหญ่ โดยที่ไม่ต้องทำตัวเองให้ใหญ่คับฟ้ากันดีกว่า เพราะนี่คือคุณค่าของ “ชีวิต”

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

หยาดหยดที่งดงาม

หยาดหยดที่งดงาม
ภาพร่างหนูน้อยไร้วิญญาณเกยอยู่ที่ชายหาดในประเทศตุรกี ที่แชร์กันไปทั่วโลก สร้างปรากฏการณ์ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมได้มากมายเลยทีเดียว ชนิดที่เรียกว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ร่างน้อย ๆ สร้างแรงกระเพื่อมแห่งจริยธรรม สร้างความมีเมตตาต่อมนุษย์ด้วยกันได้อย่างยิ่งใหญ่ ท้องฟ้า ท้องทะเล กว้างใหญ่ไพศาล สิ่งเล็ก ๆ ที่ล่องลอยมาเกยนั้น ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงปรับสู่ความสมดุลได้อย่างดีงามสิ่งใดที่เราทำแม้เพียงน้อยนิดย่อมมีผลกระทบต่อสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งนั้น นี่เป็นการสะท้อนในคุณค่าของสิ่งมีชีวิต  ไม่น่าเชื่อเด็กตัวเล็ก ๆ กลายเป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ตีสอนโลกที่หลงทิศหลงทาง ที่สร้างแต่ความบาดหมาง สร้างแต่ทางทุกข์ให้กันอยู่ร่ำไป ได้หยุดและหันมามองกันมากขึ้น
ภาพ :http://www.meekhao.com/wp-content/uploads/2015/09/3-years-old-syrian-dead20.jpg
สงคราม ความขัดแย้ง ความเกลียดชัง การบ้าคลั่งในลัทธิที่ผิดหลง ทำให้หลายล้านชีวิตที่ไม่คิดจะตอบโต้ความรุนแรง ที่แสดงความรักในตัวเองรักในครอบครัว พยายามหนีความโง่เขลาของผู้กระหายหาความรุนแรงในรูปแบบของสงคราม เพื่อให้รอดพ้นจากความทุกข์แค้นเคือง ใครเล่าอยากจะละทิ้งถิ่นกำเนิดเกิดกายหากไม่ถึงที่สุดจริง ๆ นี่เป็นโศกนาฏกรรม
อับดุลเลาะห์ เคอร์ดี ผู้รอดชีวิตแต่สูญเสียสมาชิกทุกคนในครอบครัว เล่าว่านับจากที่กองกำลังรัฐอิสลาม หรือ IS บุกโจมตีและยึดครองเมืองไว้ ตนจึงตัดสินใจทิ้งบ้านเกิด เดินทางข้ามไปยังตุรกี จากนั้นนั่งเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะคอสของกรีซ แต่เพราะมีผู้ลี้ภัยมากเกินกว่าจะรับน้ำหนักได้เรือจึงล่ม
ช่วงที่เรือกำลังจะพลิกผมรีบไปหาลูกเมีย ก่อนที่เราทั้งหมดจะตกลงไปในน้ำ เมียผมเกาะอยู่บนเรือที่คว่ำ ผมเลยมองหาลูก และเข้าไปพยุงให้พวกเขาขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อจะหายใจได้เป็นพัก ๆ ต้องช่วยสลับไปทีละคนทีละคน ผมคิดว่าเราอยู่ในน้ำราว 3 ชั่วโมง ผมมองอย่างสิ้นหวังเมื่อลูกคนหนึ่งหมดแรงแล้วค่อยๆ จมลงไป ผมรีบดันอีกคนไปไว้กับเมีย แต่..ผมขอโทษ ผมจับมือเมียไว้ แต่มือลูกลื่นหลุดไปแล้วชายผู้สูญเสียกล่าว
นายอับดุลเลาะห์ เคอร์ดี เหยื่อสงครามที่เสียลูกเมียไปอย่างไม่มีวันกลับ กล่าวเพียงว่า ในฐานะพ่อที่สูญเสียลูก ผมไม่ได้ต้องการอะไรจากโลกนี้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่อยากขอคือให้โศกนาฏกรรมในซีเรียขณะนี้ยุติลงทันที
นับตั้งแต่ต้นปีถึง ณ ตอนนี้ จำนวนตัวเลขผู้อพยพที่ขึ้นฝั่งหรือเดินทางมาถึงยุโรปกลับพุ่งสูงต่อเนื่องไม่เว้นวัน ตัวเลขผู้อพยพที่ข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนพุ่งสูงถึง 350,000 คนแล้ว ( http://btsstation.com)
เห็นผู้อพยพหนีภัยสงครามมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกหดหู่เหลือเกิน โลกเกิดมีสำนึกร่วมกัน หลายประเทศตื่นตัว เปิดรับผู้อพยพมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่สนใจหรือมีบ้างบางประเทศพยายามผลักดันไปให้พ้น ๆ อาณาเขตแดนของตัวเอง เขตแดนที่ต่างก็เคยไปช่วงชิงมาจากผู้อื่น ยิ่งคิดยิ่งย้อนให้เห็นความแปลกประหลาดในหัวจิตหัวใจของมนุษย์เรา ในสมัยหนึ่งเชื้อชาติที่คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ออกไปทั่วโลกเพื่อไล่ล่าเมืองขึ้น แล้วก็บังคับข่มขู่ให้คนด้อยกว่ามาอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง เพื่อจะใช้เป็นแรงงานพัฒนาประเทศ ครั้นเมื่อมาถึงยุคนี้ ยุคที่เจริญแล้ว กลับบังคับข่มขู่คนด้อยกว่าไม่ให้เข้ามาแย่งชิงสิ่งสร้าง ที่คิดว่าเป็นของตัวเอง เรามาถึงจุดนี้จนได้จุดที่ต้องมีการสูญเสียแล้วจึงคิดจะแบ่งปัน จากหยาดหยดแห่งความทุกข์ของหนูน้อยไอย์ลาน เคอร์ดี วัย 3 ขวบ
ความเมตตา การช่วยเหลือกันและกันเท่านั้นคือสิ่งที่จะช่วยเยียวยาความโหดร้ายของสงครามนี้ได้ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสได้ตรัสว่า “ให้ทุกเขตวัด ทุกหมู่คณะนักบวช อารามทุกแห่ง และสักการะสถานในยุโรปร่วมเป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อจึงขอเรียกร้องการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากเราทุกคน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้จะเริ่มต้นทันทีที่วาติกันเป็นที่แรก วัดคาทอลิก 2 แห่งในเขตวาติกันจะดำเนินการรับครอบครัวผู้ลี้ภัยไปพักอาศัยด้วย” สิ่งนี้สอนเราว่า ต้องเปิดใจในความมีเมตตาจิตต่อกัน ใช่..ในมุมเล็กๆ เราคงพบเห็นความมีเมตตาที่เป็นดังหยาดหยดที่งดงามได้เสมอ เฉกเช่นมีคน ๆ หนึ่งนั่งรถประจำทางมาทำงานทุกวัน สิ่งหนึ่งที่พบเจอบ่อย ๆ คือผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งจะซื้อน้ำ ซื้อกาแฟมาฝากให้พนักงานเก็บเงินและคนขับรถ จนกระทั่งเขาได้ถ่ายเป็นคลิปและนำมาโพสต์บนโลกออนไลน์เพื่อชื่นชม (คลิปครูเป๊ะ  http://www.plug-innews.com/2067)ตอนที่เห็นครั้งแรกก็ชื่นชมอยู่ในใจ ในเวลาต่อมาทราบว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่เรารู้จัก เป็นคุณครูในโรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษา  ที่เราเรียกจนติดปากว่า “ครูเป๊ะ” ครูผู้เข้มงวดนักเรียน แต่หลังเวลาเรียนครูคือคนที่ใจดีมีน้ำใจ มองเห็นความต้องการของผู้อื่นเสมอ สิ่งนี้คือสิ่งที่คุณครูสร้างแบบอย่างไว้ในชุมชนแห่งนี้อย่างเงียบ ๆ มากว่า 30 ปี



เคยมีโอกาสได้พูดคุยในครั้งที่ไปส่งคุณครูปากทางเข้าบ้าน (ก่อนจะมีคลิปนี้หลายเดือน) มีคนร่วมทางถามครูว่า ทำไมซื้อน้ำซื้อของไปฝากพนักงานขับรถและกระเป๋ารถ ครูเล่าว่า ครูต้องออกจากบ้านแถวบางนาตั้งแต่เช้ากลับก็ดึก ๆ เพราะครูจะอยู่ช่วยงานที่โรงเรียนมักกลับเป็นคนสุดท้ายเสมอ จะใช้เวลาบนรถเมล์นอนหลับบ้าง กลัวว่าจะเลยป้าย จึงมักชวนกระเป๋ารถคุยไถ่ถามสารทุกข์สุข พอถึงป้ายกระเป๋าก็จะเรียกให้ตื่นและลงตรงป้ายเสมอ จริง ๆ แล้วนี่เป็นความน่ารักที่มักไม่มีการโอ้อวด สิ่งที่ทำ แท้แล้วล้วนทำด้วยหัวใจแห่งเมตตา ครูมีเมตตากับทุกผู้คน ครูเป๊ะเป็นเหมือนหยาดหยดที่งดงาม ทำในสิ่งเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่สำหรับโลกวันนี้ที่ขาดแคลนน้ำใจ และหยาดหยดของน้ำใจครูนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับลูกศิษย์ที่ผ่านการอบรมจากชีวิตของครู แน่ล่ะครูไม่ต้องการให้ใครมากล่าวยกย่องสรรเสริญ แต่ในฐานะคนร่วมรั้ว ร่วมชุมชนก็อดที่จะภาคภูมิใจ ที่เรามีแบบอย่างที่งดงามนี้ และขอนำแบบอย่างเมตตาจิตของคุณครูมาใช้ในวิถีชีวิต ใช่หรือไม่ หยาดหยดแห่งความเมตตาเมื่อมาหลอมรวมกันมาก ๆ ย่อมกลายเป็นมหานทีที่จะสร้างความร่มรื่นให้กับทุกสรรพชีวิต เพื่อว่าโศกนาฏกรรม ความโหดร้ายใด ๆ ในโลกในชีวิตของเราแต่ละคนจะลดน้อยถอยลงไปได้บ้าง....

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

ผิดที่ปิดใจ

ผิดที่ปิดใจ
เคยไหมที่เดิน ๆ อยู่ในที่ที่มีผู้คนมากมาย แล้วเดินชนกับคนแปลกหน้า ทั้ง ๆ ที่พยายามหลบขวาเขาก็เบี่ยงขวาพอเอียงซ้ายเขาก็เบนซ้ายตามอีก ซ้ายทีขวาทีเหมือนกันอยู่นั่น ทำไปทำมาก็ชนกันจนได้ ส่วนใหญ่ต่างก็ขอโทษขอโพย ขำขำเขินอายกันไปมีบ้างบางคนถลึงตาใส่เพราะคิดว่าเราไปขวางทางเขา  ทั้ง ๆ ที่ทางนั้นเป็นทางเดินสาธารณะ คนแบบนี้มักคิดว่าโลกนี้เป็นของข้าเพียงผู้เดียวจะไม่ขอเหลียวแลใครทั้งนั้น เช่นกันเวลาขับรถในทางเล็ก ๆ แคบ ๆ  แล้วเจอรถสวนออกมาบางคันไม่ยอมหลบคิดว่าตัวเองมาถูกทางอีกฝ่ายสิต้องเป็นฝ่ายถอยหลบไปก่อน ต่างคนต่างคิดเช่นนี้บางทีเล่นเอารถราติดเป็นแถวยาว เป็นต้นเหตุนำความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัว
จะเป็นเพราะด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เราหรือเปล่า ที่มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอแล้วแสดงออกด้วยการพยายามหาเหตุผลทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกและนับวันอาการแบบนี้กำลังหยั่งรากลึกลงในจิตใจของหมู่มวลมนุษย์ จนทำให้เป็นเหตุของความขัดแย้งกัน เท่านั้นยังไม่พอสิ่งที่เพิ่มพูนตามมาคือ การเที่ยวไปวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิคนอื่นเพราะเพียงเพื่อปกป้องตัวเอง เมื่อต่างฝ่ายต่างโยนความผิดคิดร้ายให้ผู้อื่นอยู่ร่ำไป ในชีวิตจึงไม่พบความสุข ปิดตา ปิดหู ปิดใจจนทุกสิ่งทุกอย่างไม่อาจจะไหลผ่านเข้าไปได้

การยอมรับผิดเมื่อตัวเองทำผิด เป็นเรื่องที่เราควรฝึกฝนให้อยู่ในสำนึก ไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่เคยทำผิดพลาด มีแต่คนขลาดเขลาเท่านั้นที่เห็นผิดเป็นชอบ ในแง่หนึ่งการปกป้องตัวเองย่อมเป็นสิ่งที่ดี เพราะชีวิตคือความศักดิ์สิทธิ์ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะให้ออกว่า ความผิดที่เราทำนั้นหาใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตไม่ รังแต่จะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์นั้นลดค่าลง การรักตัวเองเป็นสิ่งที่เราควรกระทำ แต่ต้องรักในสิ่งที่นำสู่ความงดงาม ในความรักนั้นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นคือการเปิดใจออกเปิดใจให้กว้าง แม้หนทางจะคับแคบเราก็สามารถเดินไปได้อย่างสุขใจ
ใช่หรือไม่ หากวัน ๆ หนึ่งเรามัวแต่คอยจับผิดคิดร้ายต่อผู้อื่น ชีวิตเราย่อมต้องเจอแต่ความกระวนกระวาย คล้ายกับคนที่ไร้สุข อมทุกข์ ยิ่งเราคิดร้าย ใจเรายิ่งถูกปิดลงเรื่อย ๆ ความเป็นจริงเราอาจจะโชคดีที่มีหูได้ยินเสียงแต่เรากลับเลือกที่จะทำเป็นหูทวนลม เลือกที่จะเป็นคนหูหนวกไม่รับรู้รับฟังความต้องการของผู้อื่น เราเป็นคนที่พูดได้และชอบจะพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่โสภา แต่จะกลายเป็นใบ้ทันทีเมื่อต้องพูดถึงความดีงามของผู้อื่น เรามองเห็นความต้องการของตัวเองอย่างแจ่มชัด แต่จะบอดมืดทันทีที่เห็นความเดือดร้อน ความทุกข์โศกของผู้คนรอบกาย เรามักจะพูดชัดเจนได้ยินกังวานมองเห็นใสแจ๋วในความผิดของคนอื่น หากเราเป็นเช่นนี้เราก็คือคนผิดคนหนึ่งผิดที่ปิดใจตัวเองแถมยังกล่าวโทษคนอื่น
มีชายผู้หนึ่งโทรศัพท์ถึงหมอประจำครอบครัว “หมอครับที่ ผมโทรมาหาหมอในเวลานี้เพราะผมเป็นห่วงภรรยา”
เมื่อหมอถามว่าเธอเป็นอะไร ก็ได้คำตอบว่า “เธอกำลังจะหูหนวก อยากให้หมอมาดูอาการเธอหน่อย”
หมอไม่สะดวกไป จึงนัดให้เขาพาเธอมาหาในวันจันทร์ แต่เขาอยากให้หมอรีบมาทันที หมอไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยต้องทำการวินิจฉัยทางโทรศัพท์     “คุณรู้ได้อย่างไรว่า เธอไม่ได้ยิน”
“ก็...เวลาผมเรียกเธอ เธอไม่ยอมตอบนี่”    หมออยากรู้ว่าเธอหูหนวกแค่ไหน จึงแนะให้เขาเรียกเธอจากจุดที่กำลังโทรศัพท์ ตอนนั้นเขาอยู่ห้องนอน ส่วนเธออยู่ห้องครัว    เขาตะโกนเรียกชื่อเธอ “มาเรียยยยยย......เธอไม่ได้ยินผมเลย หมอ”
หมอแนะให้เขาเดินไปที่ประตูห้องนอน แล้วตะโกนเรียกเธอจากทางเดิน   “มาเรียยยยยยย.....เธอไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หมอ”
หมอแนะให้เขาเดินไปหาเธอแล้วตะโกนเรียกเธอไปด้วย จะได้รู้ว่าเธอได้ยินเสียงเขาเมื่ออยู่ใกล้แค่ไหน    “มาเรียยย.....มาเรียยยย......มาเรียยยยย ทำอย่างไรเธอก็ไม่ได้ยิน”
แล้วเขาก็พูดต่อว่า ตอนนี้เขาอยู่ตรงประตูครัว เห็นเธอหันหลังให้เขา กำลังล้างจาน แต่ไม่ได้ยินเสียงเขาสักนิด   หมอแนะให้เขาเดินเข้าไปใกล้อีกนิด แล้วเรียกชื่อเธอด้วย   เขาเดินเข้าไปในครัว แตะไหล่เธอ และตะโกนที่หูของเธอว่า “มาเรียยยยยยย....”
คราวนี้ภรรยาหันขวับมาด้วยความฉุนเฉียวแล้วพูดว่า   “คุณต้องการอะไรกันแน่ฮึ ต้องการอะไร ต้องการอะไร ต้องการอะไรรรรรรร.....คุณตะโกนเรียกฉันเป็นสิบครั้งแล้ว ฉันก็ตอบคุณไปทุกครั้งว่า ว่าอย่างไรคะ คุณนับวันจะหูตึงขึ้นเรื่อยๆ ทำไมไม่ไปหาหมอสักที”..
คำตอบของภรรยา  ชัดเจนว่าใครกันแน่ที่หูตึงและควรไปพบหมอ....(จากหนังสือ “จะเล่าให้คุณฟัง” ของ “ฆอร์เฆ่ บูกาย”)

ในวันนี้เราต้องกลับมาย้อนถามตัวเราเองว่า สิ่งที่ชอบกล่าวหาผู้อื่นนั้น แท้จริงเราก็เป็นหรือเคยเป็นแบบเขาหรือเปล่า หลายครั้งเราวิพากษ์ เย้ยหยันผู้อื่นเพียงเพื่อปกปิดความคิดหรือความผิดของเราหรือไม่ บางทีเราปิดใจของเราเกินไปจนใกล้จะกลายเป็นใจที่บอดใบ้ ไม่นำพาต่อเสียงเรียกเสียงเตือนภายใน เฝ้าคิด ชื่นชม หลงใหล ต่อความเก่งความฉลาดความดีของตัวเองจนมองข้ามหัวของคนอื่น เอาเข้าจริงชีวิตแบบนี้มีความสุขดีหรือ??? ความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเรานั้นเริ่มจากตัวเรา เปิดใจให้กว้างยอมรับความผิดพลาดของเราที่อาจจะเกิดขึ้นในทุกช่วงเวลา รู้จักที่จะให้อภัยตัวเองโดยไม่ใช่หาเหตุผลเพื่อลบล้างความผิด แต่อาศัยมโนธรรมสำนึกเพื่อการกลับใจ เมื่อเรารักตัวเองแบบนี้ได้ เราย่อมรักผู้อื่น ให้อภัย เปิดใจกว้างต่อผู้อื่นได้เช่นกันรู้จักมองเห็นคุณค่าของผู้อื่นแม้ว่าคนนั้น ๆ จะดูต้อยต่ำในสายตาของกระแสโลกยุคนี้ก็ตาม นี่จึงเป็นการรักษาอาการบอดใบ้ของคนในสังคมในวันนี้ แล้วเรายังจะยอมใบ้บอดอีกต่อไปหรือ...