วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กำลังภายใน



กำลังภายใน
จำได้ว่าในสมัยวัยเรียนชั้นมัธยมปลายมีหน้าที่หนึ่งคือการไปเช่าวิดีโอมาให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ ได้ดูร่วมกันในทุกค่ำคืนวันศุกร์ และด้วยความชอบส่วนตัวจึงเช่าภาพยนตร์จีนกำลังภายในมาดูเป็นประจำ โดยทั่วไปเนื้อเรื่องก็จะคล้าย ๆ กัน คือพระเอกจะถูกรังแก ถูกเอาเปรียบ และไม่ใช่คนเก่ง  แต่มักเป็นคนจิตใจดีงามชอบช่วยเหลือผู้อื่น จนในที่สุดด้วยความดีความเพียรทน พระเอกก็จะได้พบเจอกับอาจารย์ที่เก่งกล้าสอนวิชาให้ เคล็ดลับของวิชาส่วนใหญ่คือการฝึกกำลังภายใน มีความนิ่งมีความสงบ พร้อมรับมือกับทุกความเคลื่อนไหวที่มาทำร้าย ต้องฝึกฝนอย่างหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตราบจนเป็นที่พอใจของพระอาจารย์ จึงให้กลับมาทำการชำระสะสางคนอันธพาลให้สิ้นซาก เสร็จแล้วก็จากมาอย่าได้รับตำแหน่ง คำสรรเสริญใด ๆ ตอนนั้นที่ดูก็เพราะความสนุกสนานในการต่อสู้ แต่ครั้นเมื่อมานึกย้อนหลังกลับไป จะเห็นภาพชัดว่า ยามใดที่เรามีจิตใจที่มั่นคง เราก็ทำงานได้อย่างบรรลุเป้าหมาย มีสติปัญญา ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เสมอ

ท่ามกลางความวุ่นวายสาละวนของผู้คนในทุกวันนี้ ทำให้กำลังภายในของแต่ละคนอ่อนล้าลงเมื่อจิตใจอ่อนแอ การถูกครอบงำด้วยสิ่งภายนอกก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ต่อให้มีกฎหมาย กฎบ้านกฎเมืองเท่าใดหากผู้คนไม่ปฏิบัติตามด้วยหัวใจด้วยจิตใจก็ไร้ความหมาย ถ้าผู้คนมีชีวิตภายในที่เข้มแข็ง มีจิตใจที่มั่นคง กฎต่าง ๆ นั้นก็ไร้ความจำเป็น เพราะคุณค่านั้นเกิดขึ้นในตัวผู้คนแล้ว ใช่หรือไม่ จิตใจของเราวันนี้กลับถอยห่างจากคุณค่าลงไปทุกที ๆ เราปล่อยให้ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเด่นอยากดังเข้ามามีบทบาทในชีวิต กำลังภายในเราไม่ได้รับการฝึกฝน มันจึงทำให้เราสับสน ยึดเอากฎภายนอกเป็นหลักชัย ละเลยกฎภายใน เท่านั้นยังไม่พอเรายังนำกฎภายนอกมาเป็นข้อยกเว้นและข้ออ้างเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงกฎแห่งใจไปเสียอย่างนั้น
ในยามค่ำคืน ผัวเมียสูงวัยนั่งคุยกันอยู่ในกระต๊อบที่ทรุดโทรม 
การทำตามคำสอนของพระเจ้า    ก็คงมีแต่พวกคนรวยเท่านั้นที่ทำได้ ใครที่มีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขอยู่แล้ว คงไม่ไปทำอะไรผิดกฎตามที่พระเจ้าห้ามไว้
บังเอิญพระเจ้าได้ยินคำสนทนาเหล่านี้จึงส่งเทวดาลงมาองค์หนึ่ง นำพาทั้งคู่ไปอยู่ในคฤหาสน์สุดหรู เทวดาบอกทั้งสองว่า 
จงอยู่ที่นี่ให้สุขสบายที่สุดตามคำอนุญาตของพระเจ้า อาหารข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมีให้พร้อมแต่มีข้อแม้อยู่ข้อเดียว 
เทวดาชี้ไปที่ชามธรรมดา ๆ ที่มีฝาปิดอยู่ใบหนึ่งบนโต๊ะ แล้วบอกว่า 
ไม่ว่าเวลาไหนไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ห้ามเปิดฝาของชามใบนี้ออกเด็ดขาด   มิเช่นนั้น พวกเจ้าก็จะถูกส่งกลับไปอยู่กระต๊อบเหมือนเดิม
ทั้งสองยิ้มรับอย่างมีความสุข    มีเรื่องดี ๆ แบบนี้เกิดขึ้นกับชีวิตคงมีแต่ไอ้โง่เท่านั้นที่จะไปสนใจชามใบนั้น   ชีวิตที่แสนสุขดำเนินไปอย่างราบรื่น    ไม่มีใครไปสนใจชามใบนั้นแน่นอน แต่ความสุขที่มากล้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องความเคยชิน  จนอาจกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ  นานวันเข้า ทั้งสองคุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างทุกซอกทุกมุมในบ้านยกเว้นชามใบนั้นที่ยังไม่เคยแตะต้อง พวกเขาเริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า แท้จริงแล้วมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในชามใบนั้น ความรู้สึกมันเพิ่มดีกรี ความอยากรู้อยากเห็นขึ้นทุกวัน ในที่สุด วันนั้นก็มาถึง เมื่อลุงตะโกนออกมาด้วยความอึดอัดว่า
ไม่ไหวแล้ว หากไม่เปิดฝาออกดู เราต้องบ้าแน่ ๆ พระเจ้าให้เราเยอะแยะขนาดนี้แล้ว จะมาสนใจอะไรกับแค่ชามใบนี้ใบเดียว
ว่าแล้ว ลุงก็เปิดฝาออกทันที สิ่งที่ปรากฏคือ ไม่มีอะไรอยู่ในชาม  และแล้วเทวดาก็ปรากฏตัวขึ้น
พวกท่านมีความสุขสบายความร่ำรวยที่โหยหามาตลอดชีวิต   แต่ก็ยังปล่อยวางกับชามธรรมดา ๆใบนึงไม่ได้ เห็นไหมว่ากิเลสตัณหากับฐานะความรวยจนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน พวกเจ้าจงกลับไปอยู่กระต๊อบเหมือนเดิม กลับไปรับเคราะห์กรรมที่ตัวเองสร้างไว้ (บทความ:ขจรศักดิ์)


เราแสวงหาสิ่งภายนอกกันมามากแล้ว ปิดฝาชามความว่างเปล่าลงบ้าง ปล่อยวาง และกลับมาฝึกฝนกำลังภายใน สร้างชีวิตจิต ให้เข้มแข็ง เพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในวันข้างหน้า กระแสความเปลี่ยนที่รวดเร็ว และการเติบโตของการพัฒนา อาจจะพัดพาผู้คนที่ไม่เข้มแข็งให้ล้มหายจากไปอย่างไร้คุณค่า การฝึกฝนกำลังภายในฉบับง่าย ๆ คือ การรู้จักอยู่กับตัวตน สวดภาวนา รำพึงก่อนเข้านอนว่า วันนี้เราได้ทำความดีงามอะไรให้กับโลกใบนี้บ้าง ทำให้ผู้คนคนใดทุกข์เศร้าเพิ่มขึ้นบ้างไหม? สวดขอกำลังจากพระเจ้าเพื่อวันรุ่ง เราจะได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้มากขึ้น ลดการเบียดเบียนผู้อื่นให้น้อยลงฝึกฝนวันละนิดติดเป็นนิสัยแล้วเราจะมีกำลังภายในที่มั่นคงแข็งแรงตลอดไป

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เราต่างก็โชคดี


เราต่างก็โชคดี
ด้วยความที่มีอะไรให้ต้องทำต้องแก้ไขปัญหาอยู่หลายวัน ทำให้บางคืนถึงกับนอนไม่เต็มตื่น อยากจะมีเวลาทำให้เรื่องนั้นเรื่องนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามใจปรารถนา แต่ก็อีกนั่นแหละ ความสมบูรณ์หามีไม่ ตราบยังมีลมหายใจ มีแต่ความสุขใจเท่านั้นแหละที่เราพึงต้องพยายามสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นมาในชีวิต การแก้ปัญหาอย่างดีที่สุด แก้ให้ได้ แม้อาจจะต้องเสียเวลาสักหน่อย ไม่ยอมพ่ายแพ้สิ้นหนทาง เป็นที่มาของปัญญาและการเรียนรู้ใหม่ ๆ ไม่จมอยู่กับความคุ้นชิน จนวนเวียนอยู่ในวงจรเดิม ๆ ของชีพจรในโลกนี้

 และด้วยความที่ว่าวันเวลาที่ผ่านมาในชีวิตทวีขึ้นทุกวัน จะให้มีพลังทำงานเหมือนเมื่อครั้งวัยวานหนุ่มแน่นนั้นยากยิ่ง นั่งทำงานได้ไม่นานก็เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว พักบ้างทำบ้าง มีครั้งหนึ่งพักด้วยการออกมาเดินเล่นซื้อของกินที่ตลาดนัดแถวบ้าน เห็นแม่ค้าพ่อขายขะมักเขม้นเรียกลูกค้าอย่างอึกทึก มีหลายเสียงก็บ่นถึงความยากไร้ การขายของไม่ได้ คุยกันว่าอยากถูกหวยจะได้เลิกจน เลิกขายของเสียที ในจังหวะนั้น เห็นชายที่ไร้อวัยวะที่ใช้เดินเหิน ขอรับบริจาคเงินทอน เงินเหรียญจากผู้มีจิตเมตตา โลกนี้ช่างมีความบังเอิญเสียจริง คนที่บ่นจนยังมีทางเลือก คนที่ไร้ทางเลือกกลับนิ่งสงบ ทำให้คิดถึงเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านและได้นำมาไตร่ตรองกับชีวิตกลางตลาดสดยามนี้
เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งมักจะบ่นกับใคร ๆ เสมอว่า ตนเองนั้นช่างอาภัพ เกิดมายากจน วันหนึ่ง ชายชราได้ถามเขาว่า
พ่อหนุ่มทำไมดูเธอเหมือนไม่มีความสุขเลย?”
ผมไม่เข้าใจ! ทำไมผมถึงจน! เด็กหนุ่มตอบ
จนเหรอ? เธอรวยต่างหากล่ะ! ชายชราตอบ
คุณตาเอาอะไรมาพูด ผมเนี่ยนะรวย ดูจากตรงไหนครับ?" เด็กหนุ่มย้อนถามด้วยความสงสัย
หากมีคนมาขอซื้อนิ้วเธอหนึ่งนิ้ว และให้เงินเธอนิ้วละ1พันเธอจะขายไหม?
จะบ้าเหรอครับใครจะขายเล่าครับคุณตา!เขาตอบออกไปเสียงดัง
สมมุติว่ามีคนมาขอซื้อมือของเธอข้างละ1หมื่นเธอจะขายไหม? ชายชราถามต่อ
ไม่ขายๆ
สมมุติมีคนมาขอซื้อลูกตาของเธอข้างละแสนเธอขายไหม? ชายชราถาม
ไม่ขาย!
สมมติมีคนสามารถทำให้เธอกลายเป็นคนแก่อายุสัก 80 แล้วให้ค่าจ้างเธอ 1 ล้านเธอจะเอาไหม?
ไม่เอาครับ
สมมุติมีคนมาขอซื้อชีวิตของเธอ ให้เธอตาย ณ เวลานี้ แล้วให้ค่าจ้างเธอ 10 ล้าน เธอจะเอาไหม? ชายชราถาม
โธ่คุณตาเป็นคุณตาจะเอาไหมล่ะ? เป็นผม ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ
นี่ยังไงล่ะที่ตาบอกว่าเธอรวย ตอนนี้ตัวของเธอมีมูลค่าถึง 10 ล้านเลยนะแล้วเธอจะบ่นไป
ทำไมว่าเธอยากจน!” ชายชราหัวเราะแล้วก็เดินจากไป เด็กหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจในบัดดล (คัดจากหนังสือ เรียนทำทั้งชีวิต)


เราทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้เสมอถ้าเรานำสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะที่ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจ ไม่ว่าจะสติปัญญา ใช้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและผู้คนรอบข้าง อย่าเอาแต่บ่นว่าและกล่าวหาถึงความยากไร้ ลองพิจารณาดูตื่นนอนขึ้นมาเราก็มีลมหายใจ มีอาหารกิน มีภารกิจให้ทำ มีขาให้เดินก้าวหน้า มีแขนเพื่อโอบกอดโอกาสที่ผ่านมาถึง มีสายตาที่จะมองให้ไกลออกไปและมองดูความงามของสิ่งสร้าง มีหูที่จะรับฟังเสียงบรรเลงของสรพพสิ่งที่สั่นไหว มีปากลิ้นรับรสอาหาร และเปล่งเสียงสรรเสริญความดี มีหัวใจที่เต้นระบำนำความมีชีวิตชีวาท่ามกลางวันเวลา สิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้เรามีความรักความเมตตาต่อกัน เราโชคดีเพียงใดที่เรามีในสิ่งที่หลายคนไม่มี แต่เรากลับว้าวุ่น วุ่ยวาย วนเวียน เที่ยวหาให้มีมากขึ้นและมากขึ้นจนเกินความจำเป็น และบ่นว่า โชคไม่ดีการมีชีวิตอยู่คือที่สุดของความโชคดี แต่จะให้ดีต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความดีโดยไม่ต้องพึ่งพาโชคลาภ ที่จะนำความโลภมาขวางทาง มาทำให้สะดุด ยิ่งเรามี เราต้องช่วยผู้อื่น นำสิ่งที่มีที่เป็น


และเมื่อไรที่เรามองเห็นถึงความที่เรามีพระพร ไม่มีขาดในสิ่งใดเลย เราจำต้องแบ่งปันให้กับผู้คนรอบข้าง หรือผู้ยังยากไร้ พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางสงครามแย่งชิง ท่านกลับเลือกที่จะมอบเมตตาต่อผู้ไร้ที่พึ่ง นำความมีพร้อมของท่านไปช่วยเหลือผู้คน นักบุญหลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ผู้เป็นต้นแบบให้เรา แล้ววันนี้เราผู้โชคดีได้นำความดีให้กับผู้ใดบ้าง

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

แจ้งเตือน


แจ้งเตือน
ในโทรศัพท์มือถือที่เรียกว่า สมาร์ตโฟน มักมีเครื่องมือหนึ่งที่ตั้งเตือนให้เห็นความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ เคยคิดว่าหากเครื่องมือเหล่านี้ตั้งค่าเตือนให้เราสามารถควบคุมอารมณ์ได้คงดีมิใช่น้อย แต่ก็อีกนั่นแหละ หน้าที่และความรับผิดชอบความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์คือการรู้จักควบคุมตัวเองให้ได้ในทุกเรื่องทุกด้านโดยอาศัยจิตสำนึกที่คอยแจ้งเตือนตน ยอมรับเลยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมารู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองออกจะหงุดหงิดง่าย อาจจะมาจากความไม่มั่นคง ความอดทนที่หายไป ด้วยการที่เราคิดอย่างหนึ่ง คิดว่าทำดีที่สุดแล้ว พอต้องเจอกับความดื้อรั้น ไม่น้อมรับความคิดของคนอื่น ยึดถือตัวเองเป็นที่ตั้งของหลายคน อธิบายอย่างไรก็ไม่รับฟัง ก็พยายามอดทนอดกลั้น ถอยออกมาอย่างเงียบ ๆ กับบางคนก็แค่ยิ้มให้แล้วเดินจากมา แปลกใจที่คนเราสมัยนี้มักไม่ค่อยเคารพในความคิดเห็นกันและกัน ถือว่าใคร ๆ ก็ทำได้ สุดท้ายก็เกิดอาการเบื่อที่จะมีปฏิสัมพันธ์กัน ต่างคนต่างอยู่กันไป ใช่ ความคิดของเราก็ใช่ว่าถูกทั้งหมดเสียทีเดียว สิ่งที่เราทำไม่ได้ประสบผลสำเร็จก็มี พลาดบ้าง หลุดบ้าง หากว่าเราต่างคอยแต่จะจับจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ มาสร้างความไม่เชื่อถือต่อกัน สังคมแบบนี้ก็อยู่ยาก สังคมที่ไร้ความเคารพในความเชี่ยวชาญของกันและกัน สังคมที่คิดว่าตัวเองเก่งอยู่คนเดียว สังคมที่เลือกเชื่อถือคนที่มีดีกรี คนที่มีตำแหน่งนำหน้า สังคมแห่งความอาทรจางหายไป ในทางกลับกันสังคมที่เคารพให้เกียรติกัน สังคมนั้นจะนำความร่มเย็นมาสู่ ณ ที่นั่น

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

สังคมสมัยใหม่มีความรวดเร็วรวบรัดเร่งสูงขึ้นมาก นำมาซึ่งความบีบรัดในทุกเรื่อง ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วจนหลายต่อหลายคนปรับเปลี่ยนตามไม่ทัน เมื่อไม่ทันก็ทำไม่ได้ดังใจ อารมณ์หงุดหงิด ก็ตามมาเป็นระลอก จิตใจไม่สามารถที่จะควบคุมร่างกายและสมอง ยิ่งถ้าไม่เคยถูกจัดระบบระเบียบก็เกิดระเบิดกระเจิดกระเจิง ฆ่าแกงกันง่ายๆ ความสัมพันธ์ต่อกันก็จางหาย การช่วยเหลือเกื้อกูลกันนับวันน้อยลงทุกที เพราะทุกการกระทำต่อกันต้องมีผลตอบแทน เรื่องแมน ๆ ที่ทำโดยไม่มีความมุ่งหวังนั้นหาน้อยลง เราสอนเด็กทำจิตอาสาเพื่อแลกคะแนน เราสอนลูกหลานด้วยรางวัลล่อหลอก การรอคอยเฝ้ารอเป็นเรื่องเสียเวลา ความอดทนของคนในวันนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการดูแคลนไปเสียแล้ว
ยุคสงครามกลางเมืองของสองพรรคต่างขั้วในประเทศจีน เหตุการณ์ความรุนแรงทำท่าจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พ่อค้าใหญ่ท่านนี้ตัดสินใจยุติธุรกิจของเขาทั้งหมด แล้วนำเอาเงินทองส่วนใหญ่ไปแลกเป็นตั๋วแลกเงิน ระหว่างนั้นเขาก็ไปสั่งทำร่มมาคันหนึ่ง แล้วก็นำเอาตั๋วแลกเงินทั้งหมดซ่อนเก็บไว้ในช่องลับของแกนร่ม สุดท้ายเขาก็แต่งตัวเป็นแบบชาวบ้านธรรมดาทั่วไป นำเอาร่มและสัมภาระเท่าที่จำเป็นเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนเพื่อหลบภัยสงคราม

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ระหว่างทาง เขาแวะพักเหนื่อยในศาลาข้างทาง เผลองีบหลับไปเดี๋ยวเดียว พอตื่นมาก็พบว่าร่มได้หายไปแล้ว แม้จะตกใจอย่างมาก แต่จากประสบการณ์การต่อสู้ในวงการค้าขายมาหลายสิบปี ช่วยให้เขาสามารถควบคุมสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เขารีบสำรวจสัมภาระรอบตัว ก็พบว่าไม่มีอะไรสูญหายนอกจากร่มคันนั้น เขาแน่ใจว่าคนที่หยิบเอาร่มไปนั้น ต้องไม่ใช่เป็นพวกโจรมืออาชีพ แต่คงเป็นคนที่เดินผ่านมา แล้วก็ถือวิสาสะหยิบเอาร่มของเขาไปใช้เป็นการส่วนตัว คน ๆ นี้น่าจะเป็นชาวบ้านในระแวกนั้น
พ่อค้าตัดสินใจปักหลักหาบ้านอยู่อาศัยแถวนั้น เขาไปหาซื้ออุปกรณ์ซ่อมร่มมาครบคัน แล้วก็เริ่มอาชีพใหม่เป็นช่างซ่อมร่ม เฝ้ารอด้วยความอดทนว่าสักวันต้องมีคนเอาร่มของตนมาซ่อม ฤดูกาลเปลี่ยนไป จากร้อนเป็นหนาว จากหนาวเป็นร้อน สองปีที่รอคอย แต่ยังไร้วี่แววที่จะเจอร่มของตน พ่อค้าต้องนั่งตรึกตรองใหม่อีกครั้ง เขาสังเกตว่าพอร่มเริ่มใช้การไม่ค่อยได้ ผู้คนก็มักจะตัดสินใจซื้อใหม่แทนที่จะเอามาซ่อม
พ่อค้าจึงตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธใหม่ เขาเริ่มรายการ "ร่มเก่าแลกร่มใหม่" ผู้คนสามารถนำร่มคันเก่ามาแลกใหม่โดยไม่มีข้อแม้ ไม่ต้องจ่ายเงินสักแดงผู้คนนำร่มคันเก่ามาแลกกันมากมายไม่ขาดสาย ไม่นานเกินรอ ก็มีผู้ชายวัยกลางคนนำร่มกลางเก่ากลางใหม่มาขอแลก พ่อค้ามองดูก็รู้ทันทีว่า นี่คือร่มคันที่เขาเฝ้ารอมาเป็นเวลากว่าสองปี เขารับร่มจากชายผู้นั้นด้วยใจระทึก แกนร่มยังอยู่ในสภาพแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่มีรอยถูกงัดแงะ พ่อค้าหยิบร่มคันใหม่ส่งให้ชายผู้นั้นด้วยความโล่งใจอย่างที่สุดพอคนแลกร่มออกจากร้านไป พ่อค้ารีบเดินเข้าไปหลังร้าน หยิบเอาสัมภาระติดตัวเท่าที่จำเป็นพร้อมร่มคันนั้นออกจากร้านไป แล้วก็ไม่มีใครในถิ่นนั้นได้เคยพบเจอแกอีกเลย ขจรศักดิ์แปลและเรียบเรียง

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ความอดทน เป็นเครื่องมือที่เราสามารถที่จะฝึกฝนได้ ความอดทนนั้นมักมากับความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับและเคารพซึ่งกันและกัน สังคมเดินหน้าพัฒนามาถึงวันนี้ได้ ต้องผ่านความอดทนของผู้คนมามากต่อมาก อย่างน้อยท่านแหละที่อดทนจนยอมพลีชีวิต น้อมยอมรับผิดติดกางเขนเพื่อแจ้งเตือนให้เรารู้ว่า หากไม่มีความอดทน ความรักและความสงบสันติ ก็จะไม่บังเกิดขึ้น

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

แด่เทวดา...


แด่เทวดา...
ต้นเดือนสิงหาคมเป็นวันที่เราลูก ๆ จะไม่เคยลืมที่จะทำให้ผู้หญิงอันเป็นที่รักของพวกเราได้มีความสุข เพราะเป็นวันคล้ายวันเกิดของแม่ ทุกปีต้องหาเวลารวมตัวไปกราบไปกอดแม่ แต่ปีนี้ แม่มาพบหมอเช็คสภาพร่างกายและโรคประจำตัวจึงไปเจอกันที่โรงพยาบาล วันเวลาก้าวหน้ามากขึ้นเพียงใด วันเวลาก็มาพรากความทรงจำของหญิงคนนี้ให้เลือนหายไปเรื่อย ๆ มีเพียงความทรงจำในเรื่องราวของลูกหลานเท่านั้นที่แม่ไม่เคยลืมเลือน แม้จะเรียกชื่อผิด ๆ ถูก ๆ บ้างในบางครั้ง ความชราในวัย 80 ได้พรากความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อให้อ่อนแรงลง ตรงกันข้ามความแกร่งทางด้านจิตใจแม่กลับมั่นคงยิ่งขึ้น จากที่เคยขยันทำนั่นนี่แต่เช้าตรู่ มาวันนี้มีเวลาพักผ่อนมองดูผู้คนทำนั่นทำนี่แทนและมีเวลาใกล้ชิดกับพระในการสวดสายประคำ ซึ่งแม่จำไม่ได้ว่าสวดไปกี่สายแล้ว บางทีก็คิดว่ายังไม่ได้สวดจึงสวดใหม่ น่ารักอ่ะ



ทุกครั้งที่มองหน้าแม่ ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้ม บ่อยครั้งที่ได้ยินความห่วงใย ทำให้เราตระหนักถึงเวลาที่มีค่าของเรา เวลาที่ผ่านมาหลายสิบปีที่มีหญิงผู้หนึ่งอยู่เบื้องหลัง เป็นความหวัง เป็นพลัง จนมีเราวันนี้ได้ แม่ที่อ่อนโยนสอนให้รู้ถึงความใจดีมีเมตตาต่อทุกคน เพราะในวันที่แม่ไม่มีเงินติดตัว แม่ก็ไม่กลัวไม่อายที่จะทำทุกอย่างรับจ้างทุกงานเพื่อมีเงินซื้อข้าวเลี้ยงลูก ๆ แม่จึงเข้าใจในความจนที่บางคนต้องดิ้นรนมาขอยืมเงินแม่ ในวันที่แม่มีแม่ไม่เคยหวง ด้วยความจนข้นแค้นแสนลำบากในวันนั้น วันนี้แม่จึงเก็บเงินไว้ให้ใกล้ตัวที่สุด แต่หากลูกหลานขอแม่จะรีบให้ทันที นี่แหละเทวดาประจำบ้าน แม่ 2018 แม่ที่ไม่มีวันหมดอายุ


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าจะส่งเด็กน้อยคนหนึ่งลงไปเกิดแต่ยังต้องรอคิวอีก 3 วันจึงจะไปเกิดได้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เด็กน้อยได้เข้าทูลถามกับพระเจ้าว่า พวกเขาพูดกันว่า พระองค์จะส่งลูกไปเกิดในโลกมนุษย์ในวันพรุ่งนี้ แต่ลูกจะมีชีวิตอยู่อย่างไร ในเมื่อลูกก็ตัวเล็กนิดเดียวแถมยังช่วยตัวเองไม่ได้.???
พระเจ้าทรงตอบว่า ในท่ามกลางเทวดาทั้งหลาย เราจะเลือกเทวดาองค์หนึ่งไว้สำหรับเจ้า และเธอผู้นั้น จะรอคอยเจ้าอยู่และจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง
เด็กน้อยถามต่อว่า แต่โปรดบอกลูกเถิด ในสวรรค์นี้ ลูกไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ได้ขับร้องเพลงก็ทำให้ลูกมีรอยยิ้มได้ และลูกเองก็มีความสุขมากพออยู่แล้ว
พระเจ้าทรงตอบว่า เทวดาของเจ้า จะคอยร้องเพลงกล่อมเจ้าเอง และจะคอยส่งยิ้มให้เจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตัวเจ้าจะได้รู้สึกถึงความรักที่เทวดาองค์นั้นมีต่อเจ้าและก็จะเป็นสุขใจ
เด็กน้อยยังถามต่อว่า แล้วลูกจะเข้าใจเวลาที่พวกมนุษย์พูดกับลูกได้อย่างไรเล่า ในเมื่อลูกไม่รู้จักภาษาที่พวกมนุษย์พูดกันเลย.???
พระเจ้าทรงตอบว่า เทวดาของเจ้าจะสอนให้เจ้ารู้จักภาษาที่งดงามที่สุดที่เจ้าไม่เคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน และด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้งและความอดทนเป็นเลิศ เธอจะค่อย ๆ สอนให้เจ้าพูดจนได้
 เด็กน้อยยังคงกังวลจึงถามว่า ลูกได้ยินมาว่าบนโลกมนุษย์มีคนเลวมากมาย แล้วใครเล่าจะคอยปกป้องลูก.???
พระเจ้าก็ทรงตอบว่า ก็เทวดาของเจ้าไงที่จะคอยปกป้องเจ้า แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีอันตรายจนต้องเอาชีวิตเข้าแลก
และในเวลานั้น ถึงแม้ว่าในสวรรค์จะสงบสุขเพียงใด แต่เสียงเรียกจากโลกมนุษย์ก็สามารถได้ยินกันไปทั่ว และเด็กน้อยก็รู้ว่าต้องรีบไปเกิดแล้ว จึงถามพระเจ้าเบาๆ ว่า 
ข้าแต่พระเป็นเจ้า นี่คงถึงเวลาที่ลูกจะต้องไปเกิดแล้ว ได้โปรดบอกลูกด้วยเถอะ ว่าเทวดาของลูกนั้นมีชื่อว่าอะไร.???
พระเจ้าทรงตอบอย่างใจดีว่า เทวดาของเจ้านั้นเหรอ ชื่อของเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรอก แต่เมื่อพบกันเจ้าจะเรียกเธอว่า ....... แม่...... (Line group)


โชคดีที่ยังมีแม่ แม้วันเวลาจะพรากหลายสิ่งไปจากความทรงจำ ความชรานำพาความเป็นเด็กที่น่ารักกลับมา รอยยิ้มที่บริสุทธิ์ ความอ่อนโยนจากใจจริง นี่คือเทวดาประจำบ้าน ผู้ที่สร้างอัตลักษณ์ของพระเจ้าให้ประทับอยู่ เทวดาองค์นี้ทำหน้าที่แม่อย่างสมบูรณ์ ขณะประคองแม่ขึ้นรถกลับบ้าน แม่ยิ้มส่งกำลังใจให้เช่นเคย วันนี้ได้กอดแม่อย่างแนบแน่น ที่ผ่านมาเราเคยทำให้เทวดาองค์นี้ทุกข์ใจก็คงหลายหน กระวนกระวายด้วยความห่วงใยก็หลายครั้ง จากนี้ความรักที่แม่มอบให้มาจะบังเกิดผล ด้วยการพยายามเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม จากนี้สิ่งที่แม่ถ่ายทอด ความอดทน ความถ่อมตน ใจดีมีเมตตา จะคงอยู่ในสายเลือดของลูกต่อไป เพื่อให้เทวดาองค์นี้ได้สุขใจเมื่อมองเห็นความดีงามของลูก
ปล. ขอบคุณ แด่ เทวดาที่เราเรียกว่า แม่ ทุกท่าน ขอน้อมลงก้มกราบ...

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สัญญาณแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลก


สัญญาณแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลก
ในบ่ายวันอาทิตย์มีภารกิจที่ต้องเดินทางไปแถวสะพานซังฮี้ ชั่งใจอยู่นานว่าจะออกเดินทางไปอย่างไรดี มองดูท้องฟ้าก็สลัว ๆ เดินทางด้วยเรือด่วนเจ้าพระยาคือทางที่สะดวกสุด และถ้ารีบไปรีบกลับก็น่าจะทันฝนฟ้าที่มักชอบตกในช่วงเย็น ๆ  และเมื่อทำธุระเสร็จเรียบร้อยก็นั่งเรือย้อนกลับมาท่าต้นที่วัดราชสิงขร จากนั้นก็กลับเข้าบ้าน ระหว่างนั่งบนเรือพยายามมองดูท้องฟ้าอยู่หลายรอบ บางช่วงมีแสงแดดทำให้เบาใจขึ้น ยังไงเสียก็ไม่เปียกปอนแน่นอน แต่แล้วเมื่อเดินมาถึงถนน ท้องฟ้าข้างหน้ากลับมืดเขียวอย่างเฉียบพลัน ลมโชยเย็น ๆ ก็ยังปลอบใจตัวเองว่าต้องทัน เพราะเกิดความมั่นใจในควารู้สึกมากเกินไป จนทำให้ละเลยต่อสัญญาณของธรรมชาติที่เตือนมา เพียงถึงแค่ปากซอยทางเข้าบ้านฝนมวลใหญ่กระหน่ำไม่รั้งรอตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา วิ่งเข้าหาที่กำบังริมข้างทาง นึกย้อนว่าเราน่าจะเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนมาด้วย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฝนตกทุกวัน และเวลาตกทีไรมักจะตกหนักในทุกวันนี้

ระหว่างยืนมองดูสายฝน ปนกับความว่า...รู้ยังงี้นะ.... และก็คิดถึงเรื่องราวที่โลกวันนี้กำลังพบเจอกับวิฤกติทางธรรมชาติมากมายในหลายที่ ซึ่งบางครั้งธรรมชาติก็ส่งสัญญาณเตือนเราก่อนเสมอ แต่เป็นมนุษย์เราที่มักคิดว่าสิ่งนั้นไร้ค่าไร้ประโยชน์สู้ความอวดเก่งของพวกเราไม่ได้ เรามีเครื่องตรวจสอบสภาพอากาศที่ทันสมัยและชาญฉลาด แต่เท่าที่เห็นสัญญาณเตือนโลกเราเกิดขึ้นในหลาย ๆ ที่ ความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทำให้ในท้องที่แต่ละแห่งเริ่มประสบผลภัยเกินคาด มีผู้รวบรวมไว้ในทวิตเตอร์ Nuncius_ธรรมชาติเปลี่ยนยุคไว้ว่า
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ : คลื่นความร้อน             จีน ไต้หวัน : คลื่นความร้อน พายุไต้ฝุ่น
ลาว : เขื่อนแตก                                      อินเดีย : คลื่นความร้อน
กรีซ : ไฟป่า                                            ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ : ภัยหนาว
สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส : คลื่นความร้อน
สหรัฐฯ : ไฟป่า ภูเขาไฟ     สุดท้ายที่จังหวัดน่านดินถล่ม สกลนคร นครพนม น้ำท่วม  นี่แค่ สัญญาณเตือน เท่านั้น ฉะนั้น อย่ารับรู้แบบผ่านเลย และอย่าประเมินอยู่กับความคุ้นชิน ความอวดเก่งจนมองผ่านสัญญาณแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลก ใช่หรือไม่ บางทีคนเราก็มองข้ามสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เรามา มองไม่เห็นคุณประโยชน์ ตราบจนเมื่อวันเวลามาถึงตัว นั่นแหละจึงสำนึกย้อนกลับไปเสียดาย


วันหนึ่ง พระเจ้าได้เรียกเหล่าสรรพสัตว์มาทานมื้อค่ำ หลังจากทานเสร็จ พระองค์ก็ได้หยิบปีกคู่หนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า เรามีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้แก่ทุกท่าน หากท่านทั้งหลายชอบของขวัญชิ้นนี้ ก็จงหยิบมันขึ้นมาและวางไว้ที่บ่าของตัวเอง
เมื่อสัตว์น้อยใหญ่ได้ยินว่าเป็นของขวัญก็พากันกรูเข้ามา หมายที่จะหยิบของขวัญนั้น ต่างผลักต่างดึงกันไปมาเพื่อที่จะเป็นคนแรกที่ได้ของขวัญนั้น แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้นเป็นปีกคู่หนึ่ง พวกมันต่างก็มองด้วยสายตาที่ผิดหวัง ต่างก็คิดเหมือนกันว่า
หากเอาปีกอันหนักอึ้งคู่นี้ไว้บนบ่า ไม่เหนื่อยตายก็เป็นเรื่องแปลกสินะ!
สัตว์ทั้งหลายมองปีกคู่นั้นแล้วพากันส่ายหัวและเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตามเดิม นกน้อยที่ช้ากว่าเพื่อนเพิ่งเดินมาถึง มันมองปีกคู่นั้นและพลางคิดในใจ
พระเจ้าจะหลอกพวกสัตว์อย่างพวกเราได้อย่างไร? แม้ปีกคู่นี้จะดูเหมือนหนักอึ้ง แต่มันอาจเป็นพรอันประเสริฐจากพระเจ้าก็เป็นได้” 
เมื่อคิดดังนั้น มันจึงหยิบปีกคู่นั้นแล้วแบกขึ้นบ่า แล้วก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น! พอนกน้อยเริ่มขยับปีกเบาๆ มันกลับไม่รู้สึกถึงความหนักและร่างของมันก็ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า สัตว์ตัวอื่น ๆ เมื่อเห็นดังนั้น ต่างก็รู้สึกอิจฉาและรู้สึกเสียดาย สิ่งที่พวกมันคิดว่าเป็นตัวถ่วงและจะหน่วงชีวิต กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้นกน้อยมีพลังเหนือกว่าสัตว์ทุกตัว
มนุษย์เรา มักใช้ความรู้สึกของตนมาประเมินสิ่งที่ไม่คุ้นชินว่าสิ่งนั้นคงไม่ใช่สิ่งดีแน่ ๆ เราจึงใช้ความรู้สึกที่เคยผ่านพบมาประเมินสิ่งต่างๆ โดยไม่ยอมเปิดปากไตร่ถามผู้มีความเชี่ยวชาญในแขนงหรือสาขานั้นๆ เหมือนพวกสัตว์ทั้งหลายที่กล่าวมา เพราะพวกมันคิดว่าปีกเป็นของหนัก จึงพลาดโอกาสที่จะโบยบินเป็นอิสระอยู่บนท้องฟ้าเหมือนนกน้อย Cr. Page นุสนธิ์บุคส์


การเห็นสัญญาณเตือนก่อนและเชื่อในสิ่งนั้น ก็จะทำให้เรารอดพ้นจากความทุกข์ยากในชีวิตได้ แต่อีกนั่นแหละคนเราวันนี้มักมีความที่อยากจะอวดภูมิ อวดเก่งกันมาก มองไม่เห็นคนรอบข้าง มองข้ามสิ่งเตือนรอบตน ไม่ได้ดั่งใจก็บ่น ๆ เรามีอิสระที่ได้รับมาเหมือน ๆ กัน แต่เรามักใช้เพื่อเรียกร้องจากคนอื่นแทนที่จะใช้เพื่อเสริมส่งกันและกัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเตือนตนอย่าหลงใหลไปกับความคิดที่ว่าตัวข้าสุดยอดอยู่เลย บางทีเราก็แค่เศษเสียวธุลีจักรวาล น้อมนบเคารพต่อสิ่งสร้างทุกสรรพสิ่งรอบตัว แล้วทำความดีงามตามอิสระภาพที่เราได้รับมา.