วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สำรวจความสำเร็จ

 

สำรวจความสำเร็จ

>>> มีเงินทองกองตรงหน้ามากมาย แต่ทว่ายังหาความสุขในชีวิตไม่ได้ มีประโยชน์อันใด<<<

อีก 2 เดือนก็สิ้นปีแล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป ปีนี้เราผ่านอะไรต่อมิอะไรมาไม่น้อย หลายคนเจอวิกฤต เราคนเห็นโอกาส มากคนพบเจอทุกข์มีไม่น้อยเห็นสัจธรรม ชีวิตมีสุขเบิกบานตามกาลเวลา เราอาจจะพบเจอกับคำถามทั้งจากตัวเองและคนรอบข้างว่า ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง? พอมาสำรวจดูก็มักพบว่า ตามมาตรฐานโลกแห่งทุนนิยมครองเมือง มักเน้นที่เรามีเงิน มีรายได้มาก ๆ นั่นคือ ความสำเร็จ หากในความเป็นจริงที่พบมา ความสำเร็จอยู่ที่ความสุขในหนทางชีวิตมากกว่า มิต้องมีตำแหน่ง หรือการมีมากมีน้อย เพียงแค่ได้ทำได้มี ในสิ่งที่ตัวเองชอบ ตัวเองถนัด รักในสิ่งนั้น มีความสุขก็เพียงพอ


ชายคนหนึ่งชีวิตประสบความล้มเหลวตั้งแต่เล็กจนโตความล้มเหลวติดสอยห้อยตามเขาตลอดเวลา  เขารู้สึกว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม  ดังนั้น  เขาตัดสินใจไปหาพระเจ้า  ถามพระเจ้าว่าความสำเร็จคืออะไร เขาเดินข้ามขุนเขามาถึงริมแม่น้ำ
  เห็นชายประมงคนหนึ่งจึงเดินไปถามว่า  “ท่านผู้อาวุโส  ความสำเร็จคืออะไรหรือครับ” ชายประมงตอบเขาว่า  “ความสำเร็จก็คือตกปลาได้ทุกวัน”

ชายหนุ่มเดินทางต่อไป  เขาข้ามแม่น้ำมายังป่าแห่งหนึ่ง  พบนายพรานที่กำลังเดินทางไปล่าสัตว์จึงถามว่า  “ความสำเร็จคืออะไร”  นายพรานตอบว่า  “ความสำเร็จคือล่าสัตว์ได้ทุกวัน”

เขาฟังแล้วยังคงเดินทางต่อไป  เดินผ่านป่าเขามาถึงทะเลทราย  ที่สุดขอบทะเลทราย ณ ที่นั้นเขาพบพระเจ้าแล้วถามว่า  “ความสำเร็จคืออะไร” พระเจ้าตอบด้วยความเมตตาว่า  “ความสำเร็จก็คือการใช้ชีวิต  ความสำเร็จคือประสบการณ์  ความสำเร็จคือเหงื่อไคล  หนุ่มน้อย  จงอย่ายึดติดในความสำเร็จ  แต่ควรจะรู้จักเสพสุขในกระบวนการของความสำเร็จ”

ชายหนุ่มฟังแล้วเข้าใจในบัดดล  จึงกราบลาพระเจ้าเดินทางกลับเริ่มเขียนหนังสือ...

มีคนจำนวนมากอยากประสบความสำเร็จ  แต่กลับยากยิ่ง  เหตุเพราะไม่เข้าใจที่จะใช้ชีวิต  ไปมุ่งเน้นการต้องมีมากกว่าการต้องเป็น ...

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คนสองด้าน

 

คนสองด้าน

>>> คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเองมักมีแนวโน้มที่จะสร้างตัวตนหลอก ๆ

ซึ่งอาจจะเป็นตัวตนที่ตรงตามความต้องการที่เราอยากจะเป็น <<<

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับโลกเราวันนี้ คือ การไม่รู้ว่าคนที่เรารู้จักนั้นตัวตนเป็นเช่นไร เหตุเพราะว่า ตัวเราเองก็ยังมีหลากหลายด้านในตัวตน ยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิต เข้ามากดดันทำให้เกิดกิจกรรมไซเบอร์ในโลกเสมือนจริง อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องอยู่ในโลกจริงทางกายภาพ วิถีชีวิตวันนี้จึงมีสองมิติสองด้านในเวลาเดียวกัน สังคมกายภาพเป็นสังคมบนโลกจริง สังคมไซเบอร์เป็นสังคมที่ตัวตนเป็นอวตารโลดแล่นในโลกไซเบอร์ จึงต้องปรับสมดุล ทำให้สองโลกนี้ไปด้วยกันได้ และหลายคนก็หลงทิศหลงทางผิดเพี้ยน ไปใช้โลกอีกใบสร้างตัวตน โชว์ความหยาบ โชว์ด้านมืดลึก ๆ ออกมา ปลดปล่อยพลังด้านลบอย่างเต็มที่ แตกต่างจากความนิ่งในโลกจริงทางกายภาพที่คนอื่นเห็น โลกจึงน่ากลัวยิ่งขึ้นในวันนี้


การใช้ชีวิตในโลกออนไลน์ ทำให้วิถีชีวิต ความนึกคิด แตกต่างจากโลกจริง สมมุติตัวตนเป็นอะไรก็ได้ คนรุ่นใหม่วันนี้จะมีความคิด ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน ใช้ชีวิตแบบคู่ขนาน เพราะเทคโนโลยีสามารถทำหลายงานพร้อมกันได้ เกิดจินตนาการในโลกเสมือนจริง สร้างตัวตนเป็นตัวแทน มีวิธีการใหม่ ๆ  ใช่หรือไม่ คนวันนี้ไม่ชอบอ่านข้อความยาว ๆ บทความดีต่าง ๆ มักถูกมองข้าม  ชอบดูมากกว่าอ่าน แอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับภาพเคลื่อนไหวจึงได้รับความนิยมสูง คนวันนี้มีจิตใจที่เชื่อมโยงกับโลกโซเชี่ยลตลอดเวลา มีความอดทนต่ำ มีสมาธิสั้น ทำอะไรต้องเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ จนลืมตัวตนว่าเราเป็นคนเช่นไร

 “ต้องคิดเสมอว่า คนที่ติดต่อกับเราบนโลกออนไลน์อาจไม่ใช่ที่เราคิดอยู่” อาจจะเป็นการปลอม จึงมีความเสี่ยงในการติดต่อกัน แล้วเราจะดำเนินชีวิตเช่นไร สิ่งแรกเราต้องมีตัวตนคนของพระอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในโลกออนไลน์หรือในชีวิตจริง มีความนึกคิดเชิงบวก มีวิจารณญานในการใช้สื่อสารสมัยใหม่ และแสดงความคิดเห็น รับผิดชอบต่อการกระทำ ไม่ละเมิด คุกคามผู้ใช้งานออนไลน์คนอื่น ๆ บางทีอยู่อย่างไร้ตัวตนบนโลกออนไลน์บ้างก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงทุกท่าที ไม่จำเป็นต้องอวดอ้าง เราไม่จำเป็นต้องโดนเด่นทางกายภาพ หากแต่ว่าเราต้องเด่นชัดในด้านจิตวิญญาณ...

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

หยุดซ้ำเติม

 

หยุดซ้ำเติม

>>> กาลเวลาไม่เพียงทำให้เรามองคนได้กระจ่าง

แต่ก็ทำให้เรามองตนได้ชัดเจน <<<

วันวานเพิ่มขึ้น วันพรุ่งลดลงเรื่อย ๆ นี่แหละ คือ ชีวิต ฝนตกหนักและแรงขึ้นทุก ๆ ปี น้ำท่วมในพื้นที่มากขึ้นในทุก ๆ ครั้ง แม้ว่าจะเกิดเป็นคนริมน้ำคุ้นชินกับน้ำท่วม แต่ระยะหลังมานี้เห็นน้ำท่วมที่นั่นที่นี่ รู้สึกไม่เหมือนเดิม สมัยก่อนน้ำท่วมไม่น่ากลัวเท่าวันนี้ เหตุเพราะตลอดมาเราพยายามสู้กับมวลน้ำ กั้นด้วยกำแพงดินกำแพงทราย ถ้าแข็งแรงพอก็ชนะ แต่ถ้ามันพังทลายความรุนแรงของกระแสน้ำจะรุนแรงขึ้นมากเป็นทวีคูณ ก็อยากจะให้ฝนฟ้าพัดผ่านไปเร็ววัน เราจะได้กลับคืนสู่ชีวิตแบบเดิม ๆ ไม่มีเหตุใดมาซ้ำเติมอีก


การที่รู้สึกว่าเวลาเดินเร็วขึ้นทุกปี ก็เพราะเวลาสำคัญต่อเรามากขึ้นทุกปี หลายต่อหลายครั้ง เราเรียนรู้จักใช้ชีวิต ในการล้มลุกคลุกคลาน ในความผิดพลาดพลั้งเผลอ เวลาที่ผ่านมาให้บทสอนอะไรกับเราบ้าง เวลาของเด็กกับของผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน เฉกเช่นการกระทำที่ผิดพลาด หากเป็นผู้ใหญ่ที่ทำผิดพลาดก็มักแอบอ้างเหตุผลว่า เกิดการสื่อสารที่คาดเคลื่อน ไม่เป็นไรปล่อยผ่านไป ไม่ขอโทษ แต่ตรงกันข้ามในสิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นผู้น้อยทำก็ต้องถูกต่อว่าไม่รอบคอบ สะเพร่า ประมาท และถูกจดจำในความผิด ถูกซ้ำเติมด้วยเรื่องเดิมของวันวาน มีคำสอนของคนจีนได้ให้ข้อคิดกับวันเวลาอย่างชัดเจน

“จงอย่าได้พร่ำบ่นตัดพ้อทุกวัน นานเข้าเธอจะพบว่า การบ่นนอกจากทำลายอารมณ์ของเรากับคนอื่นแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น อย่าร่ำร้องว่ายากจน ไม่มีใครจะให้เงินเธอ อย่าโวยวายว่าเหนื่อยเหน็ด ไม่มีใครช่วยเธอทำ อย่าคิดร้องไห้ เพราะไม่มีใครสนใจ อย่ายอมแพ้ เพราะไม่มีใครหวังให้เธอชนะ อย่าพึ่งคนอื่น เพราะมีเพียงตนพึ่งได้ดีที่สุด อย่าวอนขอ เพราะคนอื่นคอยดูเรื่องน่าขัน อย่าเสียขวัญ เพราะคนทั้งกลุ่มคอยซ้ำเติม อย่าเหลียวมอง เพราะที่เห็นคือรอยร้าวที่ยังไม่ได้ซ่อม”

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ไม่ต้องแย่ง…แบ่งกัน

 

ไม่ต้องแย่งแบ่งกัน

>>> หากวันหนึ่งเราได้ครอบครองชัยชนะ แต่ต้องโดดเดี่ยว ไม่เหลือใครเคียงข้าง

ชัยชนะจะมีความหมายอะไร >>>

สถานการณ์โลกร้อนแรงขึ้นทุกวัน จ่อว่าใครจะกดระเบิดร้ายแรงล้างโลกก่อนกัน ท่ามกลางสงครามที่ก่อตัวขึ้นจากการแย่งชิง จากการกล่าวอ้างในความชอบธรรม จากการแอบอ้างเพื่อมนุษยธรรม ที่สุดมันก็มาจากความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น การคว่ำบาตร การกดดันทางด้านเศรษฐกิจ การตัดการส่งพลังงาน ต่างคนต่างคิดว่าใครจะเก่งกว่ากัน มันเป็นรากฐานของชีวิตผู้คนที่ถูกหล่อหลอมการแข่งขันแย่งชิงกันตั้งแต่เด็ก ๆ วันนี้ขอนำเสนอแนวคิดใหม่เพื่อปลูกฝังการหยุดแย่งชิง หันมาให้ความสำคัญกับการแบ่ง

“ครูก้า” กรองทอง บุญประคอง ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) ชวนคิด เรากำลังปลูกฝังให้เด็กแก่งแย่ง ชิงดีกัน ไม่แปลกที่เมื่อโตขึ้นมาทำงานข้าราชการแล้วก็เลื่อยขาเก้าอี้กัน หรือแม้กระทั่งการทำงานในองค์กรธุรกิจเอกชน ก็เลื่อยขาเก้าอี้กัน เพื่อจะแย่งตำแหน่งที่สูงที่สุด เพราะเราถูกปลูกฝังผ่านเก้าอี้ดนตรีกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ยังเล่นกันอยู่ ครูก็ยังจัดเก้าอี้ดนตรีให้เล่น ครูก็ยังรู้สึกสนุกแล้วก็ลืมคนที่ถูกออกไป ตบมือให้คนชนะ


ครูก้าตั้งคำถามว่า “แล้วทำไมเราไม่เล่นเก้าอี้ดนตรีแบบเอาเก้าอี้ออก แต่ไม่เอาคนออก แล้วดูซิว่าเหลือเก้าอี้น้อยที่สุด แต่คนยังอยู่ครบ ทำได้ยังไงเด็ก ๆ ได้เล่นจริง ทำจริงแล้วที่โรงเรียนจิตตเมตต์  ครูก้าบรรยายภาพที่เห็นตรงหน้าว่า

น่ารักมาก ๆ เขาแก้ปัญหาว่าเก้าอี้มีอยู่ไม่กี่ตัว เราอยู่บนเก้าอี้สองตัวกับคนหกคนได้ยังไง หรือเรามีเก้าอี้หกตัวแต่อยู่กันทั้งห้องได้ยังไง มันมีวิธีเชื่อมต่อร่างกายกับเก้าอี้ยังไง ทำไมเราไม่เล่นแบบนี้ ถ้าเราเล่นแบบนี้เราปลูกฝังอะไร สิ่งที่เราอยากได้นั่นแหละ คือ ทุกคนรักกัน ช่วยเหลือกัน “แบ่งปัน” กับ “แข่งขัน” มันต่างอารมณ์กันมาก   จะแข่งกันเพื่อล้มโลกหรือจะแบ่งกันเพื่อร่วมโลกอย่างสันติ แบบไหนดีกว่ากัน ขอบคุณเรื่องราวงดงามจากโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย)

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

สักวันจะเข้าใจ

 

สักวันจะเข้าใจ

>>> หน้าที่ของเราคือการเกิดมาเพื่อเข้าใจโลก เข้าใจคน ไม่ใช่แบกโลกหรือให้ทุกคนเข้าใจเรา<<<

เมื่ออายุเพิ่มขึ้น วันเวลาดูเหมือนจะน้อยลง ร่างกายป้อนคำสั่งให้ตื่นเช้าขึ้น มาทำนั่นทำนี่ อ่านข่าวสาร อ่านโลก อ่านชีวิตผู้คนผ่านสื่อสมัยใหม่ ในแต่ละวันเรื่องราวดี ๆ หาอ่านได้ยาก มักจะมีแต่เรื่องราวที่ผู้คนสมัยนี้คิดนอกกรอบ นอกขอบเขตของวัฒนธรรมเก่าก่อน เพียงเพื่อสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ นับวันยิ่งจะ         พิเรนทร์ขึ้นไปเรื่อย ๆ อะไรที่ไร้สาระ คือ สิ่งที่ขายได้ อะไรที่แหวกแนวคือสุดติ่งของความเป็นคนสมัยใหม่ โชว์เนื้อหนังมังสาอย่างไม่รู้สึกเขินอาย อะไรที่ไม่ดีจริงมันไม่คงทน แล้วสักวันคนวันนี้จะเข้าใจอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น หันกลับมาสร้างสรรค์สังคมตามพระพรที่มีในตัวตน

สักวันหนึ่งเธอจะเข้าใจ เมื่อใดที่โมโหใคร ๆ คนที่เจ็บที่สุดคือตัวเอง!!  สักวันเธอจะเข้าใจ เมื่อใดที่งอแง คนที่เสียหายที่สุดคือตัวเอง สักวันเธอจะเข้าใจ เมื่อก่อนนั้นโง่มากแต่แสร้งฉลาดไปเสียทุกเรื่อง แต่เมื่อวันใดที่ฉลาดเธอจะแสร้งโง่ในทุก ๆ เรื่อง

สักวันเธอจะเข้าใจ เรื่องบางเรื่องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แต่พูดแบบหมดเปลือกไม่ได้ สักวันเธอจะเข้าใจ คนบางคนคบมาตั้งครึ่งค่อนชีวิต ยังเดาไม่ถูก สักวันเธอจะเข้าใจ เวลาทุกข์ใจไม่ต้องดื่มเหล้าแก้ทุกข์เสมอไป เพราะยิ่งดื่มมากเท่าใด ความทุกข์ก็ยังมีเท่าเดิม สักวันเธอจะเข้าใจ การโต้เถียงกับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัวนั้น ไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะโทสะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ มีแต่รังจะเสียหายและสุดท้ายก็คือเสียใจ

สักวันเธอจะเข้าใจ เรื่องแย่ ๆ ที่แทบเอาชีวิตไม่รอด หากทนให้ถึงพรุ่งนี้ได้ ก็กลายเป็นเรื่องขำ ๆ สักวันเธอจะเข้าใจ ยิ่งเจ็บจะยิ่งเงียบ ยิ่งทุกข์จะยิ่งนิ่ง  สักวันเธอจะเข้าใจ ว่าการใช้ชีวิตนั้นหากรู้จักคำว่า “นิ่งได้” กลับทำให้เธอเข้าใจชีวิตและคนรอบข้างมากยิ่งขึ้น

หน้าที่ของเราเพียงแค่เข้าใจชีวิต ใช้ชีวิตตามพระพร อย่าไปคิดว่าต้องเหมือนคนนั้นคนนี้ พยายามทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้ และที่สุด ใส่ใจชีวิตพระที่อยู่ในตัวเรา เรียนรู้ พัฒนาจิตวิญญาณ ให้พร้อมคืนสู่บ้านนิรันดร์เพียงเท่านี้แหละชีวิต …