วันพุธที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2560

สมเป็นผู้ผ่านกาลเวลา

สมเป็นผู้ผ่านกาลเวลา
ในวันที่เรามีเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่ในมือกันเกือบทุกคน และเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะห่างหายจากตัวเรา มีแค่เพียงสิ่งเดียวก็ทำให้เรากลายเป็นหลากหลายคนในร่างเดียว กลายเป็นช่างภาพ คนสร้างภาพ นักข่าว นักเล่า นักล่าฝัน นักขาย นักซื้อ และอื่น ๆ อีกมากมาย ย้อนหลังกลับไปสัก 20 ปีก่อน ใช่หรือไม่ กว่าจะได้ภาพสักภาพหนึ่ง กว่าจะได้ข่าวสักข่าว กว่าจะเขียนเรื่องราวสักเรื่อง ช่างยากลำบากเสียเหลือเกิน ต้องใช้เวลา ต้องพึ่งพาผู้ชำนาญการด้านต่าง ๆ มาวันนี้ เรา... ทำได้เกือบจะทุกอย่างโดยไม่ต้องไปพึ่งพาผู้อื่น เพียงแค่ปลายนิ้วเดียวรูดปรื๊ด เราก็สามารถได้งานได้ภาพแล้ว  แต่... แน่ล่ะ สิ่งเหล่านั้นในสมัยก่อนมันดูจะมีคุณค่าและคุณภาพกว่าสิ่งที่เราทำได้จากเครื่องมือสมัยนี้มากและแขวงไปด้วยความสร้างสรรค์ มีความละเมียดละไมอยู่ในตัวงาน 

ภาพ  : http://3.bp.blogspot.com


เทคโนโลยีโดยเฉพาะสมาร์ทโฟน มีให้เราเลือกมากมาย และใคร ๆ ก็สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ไม่ยากนัก  และหลายคนที่เคยผ่านวันเวลามามากกว่า เมื่อได้สิ่งนี้มาก็เพลิดเพลินเลยทีเดียว บางคนถึงขั้นเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่น บ้าเห่อ และใช้แบบลืมตัว ลืมกาลเทศะไปและในทุกวันนี้เรามักเห็นผู้คนไม่น้อยที่มาร่วมพิธีกรรม แต่ไม่ได้ตั้งใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมนั้น ๆ เพราะใจไปอยู่กับการจ้องจะถ่ายรูป จิตใจมิได้ยกให้มีส่วนร่วมเลย บางครั้งก็หาคำตอบไม่ได้ว่าจะถ่ายไปเพื่ออะไร? แน่นอนบางคนต้องการนำไปโพสต์โชว์เพื่อน ๆ เพื่อให้เพื่อนรู้ว่าฉันมาร่วมพิธีนะ ฉันถ่ายภาพสวยนะ วัดนี้สวยงาม ดอกไม้จัดได้เลิศหรูหรืออื่น ๆ มีบ้างบางคนหลงลืมความพอเหมาะพอดี ถ่ายทอดสด ถ่ายภาพช่วงที่สำคัญ ๆ ที่เราต้องยกจิตยกใจขึ้นหาพระ มิใช่ยกกล้อง ยกมือถือมาถ่าย ใช่.. ทุกคนมีเสรีภาพ แต่เสรีภาพเหล่านั้นควรที่จะมีมาพร้อมกับความเติบโต ความรับผิดชอบรู้จักกาลเวลาบ้าง ไม่รบกวนหรือทำให้ผู้อื่นเสียสมาธิในพิธีกรรม ทั้ง ๆ ที่เราก็เคยได้ยิน มีการกล่าวขอร้องกันมาหลายครั้งหลายหน ก็ยังไม่เป็นผลสักเท่าไหร่...

ภาพ : http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=3533551
           การรู้จักที่จะใช้สื่อไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร แต่การใช้อย่างไรต่างหากคือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ อย่างเเรกจะต้องเริ่มที่ตัวเรา ลองสำรวจตรวจสอบตัวเองดูว่า ตัวเองต้องการใช้เครื่องสื่อสารนั้นเพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์อย่างไร เเล้วมันมีหรือได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราต้องการจะสื่อออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงใด ข้อสำคัญที่สุดเราจะต้องมีคุณธรรมในตัวเอง เคารพสิทธิคนอื่นให้เหมือนกับที่เราเรียกร้องให้ผู้อื่นเคารพในเสรีภาพเรา ทุกคนล้วนแต่เป็นสื่อด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับเราศิษย์พระคริสต์ เราต้องเป็นสื่อแห่งความรัก ใช้เครื่องมือเป็นตัวกระจายความรักนี้ออกไปยังสังคม และการจะใช้สื่อเราจะต้องมีสติทุก ๆ ครั้งว่าเรากำลังทำอะไร ไม่ใช่ใช้สื่อเพื่อมาสร้างโทษให้กับตนเองเเละผู้อื่น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเครื่องมือสมัยใหม่ที่สร้างมา มันขึ้นอยู่กับตัวเรามากกว่าว่าจะใช้ไปในทางไหน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ถือว่าดีและไม่เคยทำร้ายใคร และพระเจ้าให้เสรีภาพเราในการที่มีความคิดสามารถเเยกเเยะได้ว่าสิ่งไหนดีเเละสิ่งไหนไม่ดี ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเครื่องมือสื่อสารเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากขึ้นในทุก ๆ ด้าน เเต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรให้เครื่องมือเหล่านั้นเป็นเเค่ส่วนหนึ่งของชีวิตไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต...
            โลกนี้กำลังถูกเทคโนโลยีลดค่าความเป็นผู้ใหญ่ของหลาย ๆ คนลงอย่างไม่รู้ตัว การรู้ตัวของคนเราย่อมทำให้เราเป็นคนที่มีค่าขึ้น อย่าปล่อยให้วิถีชีวิตเราถดถอยเพราะความเจริญ เครื่องมือสมัยใหม่เหมือนจะเปิดดวงตาให้เห็นโลกกว้าง แต่กลับทำให้เราพิการทางสำนึก การที่เราจะรู้ตัวได้นั้นเราต้องรู้จักที่จะหาเวลาเงียบ ๆ นิ่ง ๆ ทำใจให้ว่าง และคิดทบทวนสิ่งที่เรากระทำในแต่ละวัน ยิ่งเราฝึกฝนการรู้ตัวมากเท่าไร เราก็จะมีการรู้สำนึกในการกระทำในทุก ๆ ด้าน และนำมาซึ่งความสงบสุขของจิตใจ สามารถที่จะอยู่กับความทุกข์อย่างไม่ทุกข์ยากเกินไป ...
ชาวนาจีนแก่ ๆ คนหนึ่งเดินไปตามถนน บนบ่ามีไม้พาดอยู่ ที่ปลายไม้นั้น ก็มีหม้อดินใส่แกงจืดเต้าหู้ผูกห้อยไว้ ขณะที่เดินไป เขาเกิดสะดุดก้อนหิน หม้อดินก็หล่นลงกระทบพื้นแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ชาวนาผู้เฒ่าคนนี้ก็ลุกขึ้นแล้วก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป โดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์รีบวิ่งมาหา แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า
นี่ ๆ พ่อเฒ่าท่านไม่รู้หรือว่าหม้อดินหล่น
ชายชราหันไปตอบว่า
ฉันรู้ ฉันได้ยินเสียงมันหล่นอยู่
ผู้อ่อนอาวุโสมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น
อ้าวแล้วทำไมท่านไม่ย้อนกลับไปทำอย่างใดอย่างหนึ่งล่ะ
สีหน้าของผู้เฒ่ายังเป็นปกติ ขณะที่ตอบชายหนุ่มด้วยคำพูดที่หนักแน่นชัดเจนว่า
“ก็หม้อดินมันแตกแล้วแกงจืดก็ไม่เหลือแล้วจะให้ฉันทำอะไรอีกล่ะ
พูดจบชายชราผู้มากด้วยประสบการณ์ชีวิตก็ย่างเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ภาพ : http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=3143903

ในชีวิตจริงเรา มักจะพบเจอเรื่องราวอย่างที่ไม่คาดคิดอยู่เสมอ ๆ หากเราไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ทางด้านจิตใจ เติบโตทางด้านจิตวิญญาณเพียงพอ เราก็มักจะร้องแรกแห่กระเชอ ให้คนนั้นคนนี้มาช่วย หรือในวันที่ไม่ได้ดั่งใจก็โกรธพาลมีโมโหกับผู้ที่อยู่ใกล้ และสิ่งที่สำคัญในวันนี้ เราต้องอย่าปล่อยให้สื่อสมัยใหม่ เครื่องมือสื่อสารใหม่เข้ามานำการดำเนินชีวิตของเรา ต้องรู้จักที่จะลด ละ ถอยห่างจากกันบ้าง โดยเฉพาะช่วงมหาพรต เพื่อว่าเราจะได้มีเวลาในการสวดภาวนาพัฒนาชีวิตภายในของเราให้เติบโตสมกับเป็นผู้ผ่านกาลเวลา และพร้อมที่จะอยู่หรือจากไปอย่างผู้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ 

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560

ด้วยใจที่เห็นใจ

ด้วยใจที่เห็นใจ
ความร้อนตอนเที่ยง ๆ ในช่วงฤดูนี้ทำให้รู้สึกผิวหนังแสบ ๆ คัน ๆ เมื่อต้องเดินออกไปในที่โล่งแจ้งเป็นเวลานาน ๆ ยิ่งหากไม่มีอุปกรณ์ช่วยกันช่วยกรองแสงด้วยแล้ว อย่างกับถูกไฟไหม้เลยทีเดียว ทำให้เกิดข่าวลือว่า จะเกิด “ฮีตเวฟ” เนื่องจากตลอดช่วงตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมไปจนถึงกลางเมษายน ระดับอุณหภูมิในพื้นที่ภาคกลาง ตามคำพยากรณ์ล่วงหน้า 3 เดือน ของกรมอุตุฯ บอกเอาไว้แล้วว่า น่าจะพุ่งไปอยู่ที่ระดับ 42-43 องศาเซลเซียสเป็นอย่างน้อย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านโลกร้อนยืนยันว่า ไทยเสี่ยงต่อปรากฏการณ์ “ฮีตเวฟ” เป็นอย่างมาก 

ภาพ : https://hilight.kapook.com/img_cms2/user/thitima/New/fgtjtrfj.jpg

แล้ว “ฮีตเวฟหรือ ภาวะคลื่นความร้อน คืออะไร? อธิบายง่าย ๆ ภาวะนี้จะเกิดขั้นในพื้นที่ซึ่งสะสมความร้อนเป็นเวลานาน อากาศแห้ง ลมนิ่ง ทำให้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เมื่ออุณหภูมิร้อนสะสมหลายวันก็จะเกิดคลื่นความร้อนมากขึ้น เช่น หากพื้นที่ไหนมีอุณหภูมิ 38-41 องศาเซลเซียส แล้วไม่มีลมพัดต่อเนื่องสัก3-6 วัน ไอร้อนจะสะสมจนกลายเป็นคลื่นความร้อน แต่ประเทศไทยเรามีลมพัดอยู่ตลอดเวลา ภาวะนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก ก็เป็นคำชี้แจงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้ไม่ตื่นตระหนกกับข่าวลือกันเกินไปนัก
เรื่องความร้อนเพิ่มขึ้นของอากาศในทุก ๆ ปี กลายเป็นเรื่องไม่ปกติที่เป็นปกติเสียแล้ว เนื่องด้วยเพราะความพยายามก้าวเดินในเส้นทางความเจริญ ความทันสมัย ก้าวหน้า ในระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อความเป็นที่หนึ่ง ที่เหนือกว่าคนอื่นในทุกด้าน นำมาซึ่งการเอารัดเอาเปรียบ เบียดเบียนกัน แม้กระทั่งทรัพยากรธรรมชาติก็ถูกครอบครองและช่วงชิง ใครใหญ่ใครมีอำนาจมากกว่าก็เข้ายึดครอง กระแสค่านิยมแบบนี้เข้ามาเป็นวิถีชีวิตของผู้คน ที่มีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และเมื่อมีมากก็คิดว่าเป็นสิทธิ์ที่จะย่ำยีกระทำต่อผู้ด้อยกว่า โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต คนที่ไม่มีหัวใจเผื่อแผ่ เลือกที่จะอยู่กับคนพวกเดียวกัน รังเกียจคนต่างเชื้อชาติ ต่างฐานะ ต่างความรู้ หารู้ไม่ว่ายิ่งใหญ่ยิ่งเยอะยิ่งพะรุงพะรัง พังเอาง่าย ๆ ในวันที่ภัยมา ...
ในทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น   ตามธรรมชาติก็จะมีพวกสัตว์น้ำต่าง ๆ  อาศัยรวมกันอยู่อย่างมากมาย    จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และก็แน่นอนที่ในท้องทะเลนั้น    จะมีพวกปลาชนิดต่าง ๆกำเนิดขึ้น  และพวกปลาเหล่านั้นโดยทั่วไปก็จะมาอยู่รวมกันเป็นฝูง ปลาในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ได้มีปลาตัวใหญ่ที่มีนิสัยตะกะตะกาม โลภมาก  และเห็นแก่ตัวอย่างที่สุดอยู่ฝูงหนึ่ง  พวกมันจะจับกลุ่มรวมกันอย่างเหนียวแน่น คล้าย ๆ กับพวกนักเลงประจำท้องทะเลแห่งนั้นก็ไม่ปาน  ว่ายออกหาอาหารไปเรื่อย ๆ พอเจอฝูงปลาที่ตัวเล็กกว่าก็จะตรงเข้าแกล้งและพูดเบ่งบารมี     และมักจะแขวะเอาเสมอ ๆ ว่า
“เจ้าปลาจิ๋ว   เจ้าเคยได้ยินคำพังเพยที่ว่า   ปลาใหญ่กินปลาเล็กไหมล่ะ! ฮ่าๆๆ   ถ้าไม่อยากตายเร็ว ๆ ก็ถอยออกไปให้ไกล ๆ พวกหอยกุ้ง ปู และอาหารที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนี้เป็นของพวกข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์กินหรอกวุ้ย ฮ่า ๆๆ
เจ้าปลาจิ๋วรีบตอบ จ๊ะ  ผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมอยู่ได้ ผู้ที่อ่อนแอย่อมต้องถูกกำจัด พวกเราเข้าใจดีจ๊ะ ว่าแล้ว ก็รีบว่ายหนีหลบไปอยู่ไกล ๆ  
ปลาใหญ่นั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งเหิมเกริม  บ้าอำนาจมากขึ้นทุกวัน  และเมื่ออาหารนั้นหากินได้อย่างง่าย  เพราะไม่มีใครกล้ามาแย่ง  พวกมันก็เลยยิ่งตัวใหญ่ขึ้นและอ้วนขึ้นจนจะกลายเป็นปลายักษ์เข้าไปทุกทีเลยทีเดียว  ส่วนพวกปลาเล็กนั้นเมื่อโดนแย่งพวกอาหารกินเสียจนหมด   ไม่ค่อยได้กินอะไร   จึงอยู่กันด้วยความหิวโซมาตลอด   นับวันก็จะยิ่งตัวเล็กลง ๆ และผอม จนเหลือแต่กระดูกทุกตัวไปก็ว่าได้….

ภาพ :  http://www.thaigoodview.com/files/u7229/yokubari02.jpg

และแล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง ได้มีชาวประมงที่เห็นว่าแถวนี้ได้มีปลาว่ายมารวมกันอยู่อย่างมากมายจึงลงอวนเพื่อจับพวกปลาเหล่านั้น ฝูงปลาต่าง ๆ และเจ้าปลาใหญ่ฝูงนั้นก็เช่นกัน ด้วยไม่ทันระวังตัวจึงติดอวนของชาวประมงเสียแล้ว พวกปลาต่างๆ ตกใจและพยายามว่ายหนีกันให้เป็นการใหญ่   เจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายก็พยายามที่จะว่ายหนีกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยพวกเจ้าปลาใหญ่ตัวร้ายนั้นตัวของพวกมันใหญ่มากอย่างกะปลายักษ์     จึงไม่สามารถที่จะหนีไปทางไหนได้เลย  จึงจำต้องติดอวนของชาวประมงไปอย่างน่าสงสาร  ส่วนฝูงปลาเล็กนั้นด้วยตัวเล็กและผอมกันจนจะเหลือแต่กระดูก     จึงสามารถว่ายลอดอวนออกมาได้อย่างง่ายดาย    
เจ้าปลาจิ๋วเมื่อหลุดรอดออกมาได้ก็ว่ายไปหาปลาใหญ่ที่ติดอวนอยู่และกำลังจะถูกยกขึ้นไปสู่ด้านบนอยู่นั้นแล้วพูดว่า
ปลาใหญ่เอ๋ย  ท่านคืออาหารของคน แต่เราไม่ใช่  เราดีใจที่อ่อนแอกว่าท่าน
ที่มา : www.suriyothai.ac.th


ภาพ : http://thaigoodview.com/files/u70817/jpeg.jpg

ใช่หรือไม่ อากาศเมื่อร้อนไปถึงที่สุดก็จะมีสายฝนโปรยลงมาเพื่อลบร้อน คลายอบอ้าวลง เป็นความเมตตาของธรรมชาติ ที่ไม่เคยเลือกหน้าตา เลือกเชื้อชาติ ศาสนา หากคนเรามีใจเมตตา ทำหัวใจให้เล็กลงแต่เปิดกว้าง ดีกว่ามีหัวใจที่ใหญ่แต่ปิดมืดมิดและกระด้าง ก็จะทำให้โลกนี้น่าอยู่มิใช่น้อยและไม่ว่าเราจะใหญ่โต เล็กกระจิดริดสักเพียงใด แต่ทุกคนก็อยู่ในโลกเดียวกัน เราต้องเมตตาต่อกัน เราต้องช่วยกัน มีหัวใจที่เห็นคนอื่น เพื่อลดความร้อนแรงของความขัดแย้งในสังคมโลกนี้ให้ลดลงบ้าง อย่าให้ความร้อนของอากาศเป็นภาวะที่ให้เราปล่อยอารมณ์เสีย ๆ ปล่อยคลื่นความโกรธต่อกันเลย ใช้ช่วงเวลาที่มีค่าสร้างความชุ่มฉ่ำแก่กัน ดังคนกระหายหาน้ำแล้วมาพบเจอเราเป็นคนหยิบยื่นน้ำเย็นสักแก้วให้เขาดื่ม นี่คือสิ่งที่เราควรทำควรเป็น เพื่อความรอดพ้นแห่งความทุกข์เข็ญของมวลมนุษย์....

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2560

หยุด “ด่วน”

หยุด “ด่วน”
            การขับรถออกจากกรุงเทพฯบนถนนสายเอเชีย ในตอนบ่าย ๆ เป็นการขับรถที่มีความสุขพอสมควร รถราไม่เยอะ ถนนหลายช่องทาง และค่อนข้างจะเรียบ แต่ก็ไม่วายที่จะเห็นรถหลายคันขับขี่ด้วยความเร็วที่สูง อาจจะรีบเร่งไปทำธุระ อาจจะรีบกลับไปให้ถึงเป้าหมาย ในระหว่างขับก็ยังมีบ้างบางคนที่นึกจะแซงนึกจะเลี้ยวก็ตัดสินใจโดยไม่ได้เปิดไฟขอทาง หรือเป็นเพราะรถที่ทันสมัยขึ้นสามารถทำความเร็วได้มากขึ้น หรืออาจจะเป็นความใจร้อนของผู้คนวันนี้ ที่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกเวลานาทีมีแต่ความรีบเร่ง ด่วนจี๋มีอยู่ในทุกลมหายใจ หรือว่า เราช้าเกินไป คงไม่ใช่ เพราะอย่างน้อยเราก็เดินทางถึงเป้าหมายในเวลาที่ตั้งใจไว้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ 



ปัญหามักเกิดขึ้นกับทุกคนได้เสมอ อันนี้ย่อมเป็นสัจธรรม เพียงแต่ว่าเมื่อมีปัญหา เรามีปัญญาเกิดขึ้นหรือเปล่า สำหรับชายหนุ่มหญิงสาววัยที่กำลังเติบโตขึ้นเพื่อรับช่วงต่อในสังคม มักจะพบเจอกับปัญหาในการอยู่ร่วมกันระหว่างเพื่อน หรือกลุ่มสังกัด ความไม่เข้าใจกันนำไปสู่ความขัดแย้ง และก่อให้เกิดความตึงเครียดคิดมากติดตามมา บางคนก็ด่วนตัดสินใจทำอะไรลงไปด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ ยิ่งในสังคมทุกวันนี้ที่เรามักมิค่อย “หยุด” ใช้ความคิดไต่ตรองใคร่ครวญเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยสติกันสักเท่าไร อะไรที่เห็นที่ได้ยินเข้าสู่ประสาทสัมผัสก่อน ก็มักจะเชื่อแบบหมดใจ อะไรที่เกิดขัดใจ เราก็มักโต้กลับด้วยกายสัมผัสทันที ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ในยุคที่มีกระแสความใหม่ล่าสุด ข่าวด่วน ข่าวเร็ว ข่าวลือ กระพือในทุกนาทีจนไม่มีเวลาให้หยุดคิดพินิจพิจารณา ว่ามาก็ว่าตามกัน จึงกลายเป็นอุปนิสัย “ด่วนด่า” “ด่วนแสดงภูมิ” “ด่วนโชว์” โดยเพียงแค่อ่านหรือเห็นแค่คำโปรยหัวข้อ ที่สุดก็“ด่วนตัดสิน”คนอื่นบนพื้นฐานแห่งความฉาบฉวย สิ่งเหล่านี้คือการสร้างและปลูกฝังความเครียดสู่กันและกันแบบไม่รู้ตัว
“จะทำอย่างไรอยู่ดี ๆ ก็ถูกต่อว่า”  เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นในวันที่เธอร้องไห้และเครียดหนักกับปัญหาของการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น สำหรับเธอ...นี่อาจจะเป็นปัญหาใหญ่โตถึงขั้นโลกแถบจะระเบิด แต่สำหรับเรา...ผู้ที่เกิดมาก่อนมองเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เดี๋ยวมันก็ผ่านเลยไป 
“แล้ว...เราเป็นอย่างที่เขากล่าวหาหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดแก้ต่างแก้ตัวอะไรอย่าไปต่อล้อต่อเถียงให้เลี่ยงเบี่ยงตัวออกมา” และอีกหลายคำปลอบโยนเพื่อให้อารมณ์ขุ่นข้องได้ลดลงบ้างถึงแม้ว่าเธอผู้นั้นจะไม่ยอมเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ต้องเสียน้ำตา เพราะกลัวว่าผู้ใหญ่จะไปลงโทษเพื่อนร่วมกลุ่ม อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งงดงามเล็ก ๆ ที่งอกเงยขึ้นในหัวใจที่ไม่ยอมจะทำร้ายคนอื่นด้วยการกล่าวโทษกันไปมา เพราะถ้าทำแบบนั้นรังแต่จะยิ่งสร้างปัญหาโดยไม่รู้จบ การเลือกที่จะนิ่งแบบเสียน้ำตาคนเดียวก็เป็นจุดเริ่มต้นของความเมตตา
 คำถามสุดท้าย “แล้วถ้าเพื่อนมาขอโทษล่ะจะยอมยกโทษให้หรือเปล่า” เธอตอบทันที “ค่ะ” การให้อภัยหยุดทุกอย่างลงได้จริง ๆ และรอยยิ้มก็ปรากฏบนหน้า เธอคงได้พบกับสันติและผ่านวันเวลาที่ทุกข์โศกลงไปได้บ้าง ทำให้คิดถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง



นกสองตัวทะเลาะกันอยู่บนต้นไม้ ต่างก็ไม่ยอมซึ่งกันและกัน ยิ่งทียิ่งมีเสียงดังและสีหน้าของมันทั้งคู่ต่างแดงกล่ำ และเหตุการณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นกฝั่งซ้ายจึงคว้าเอาอะไรสักอย่างขว้างใส่นกฝั่งขวา 
เมื่อสิ่งที่มันปาไปถูกนกฝั่งตรงข้าม มันตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่มันปาไปนั้นก็คือไข่ฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่ในรังของมัน...ถึงตรงนี้จึง “นก” เลยทั้งคู่ (นก : คำสแลงที่หมายถึง อด )
ใช่หรือไม่ ยามที่เราประสบกับเรื่องราวต่าง ๆ เราต้องรู้รับมือด้วยความสงบนิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่ต้องเจอกับปัญหาหรือเรื่องความขัดแย้ง จะต้องมีสติระงับอารมณ์ให้ได้ อย่าได้มุทะลุหรือเลือดร้อน เพราะมันไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใด และจะทำให้เรื่องราวยิ่งแย่ลง สุดท้ายยิ่งจะเพิ่มเติมความเจ็บปวดและความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ในสังคมวันนี้ที่มีความเครียดจากภาวะปัจจัยภายนอกมากมาย แตกต่างกันไปของแต่ละคนที่มักพบเจอปัญหาด้วยกันทั้งนั้น บางคนไม่ยอมปล่อยวางให้จิตใจว่างเว้นลงบ้าง มีแต่ความขุ่นมัว และแยกแยะไม่ออกเอาปัญหาจากที่หนึ่งมาลงอีกที่หนึ่ง เพราะความเร่งรีบเร่งรวยรวบรัดตัดความให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วกระมัง กระทั่งไม่มีเวลามองสิ่งรอบกายด้วยใจ ฟังด้วยจิต คิดเอาเอง แล้วก็ด่วนทำในสิ่งที่มีอารมณ์ชักนำ จากนกตัวเดิม ที่ทะเลาะกับเพื่อนพอกลับมาบ้านก็เป็นดังนี้
นกตัวผู้ออกไปเก็บผลไม้มาเก็บไว้ที่รัง อีกกำชับไม่ให้ใครมาขโมย แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงหน้าแล้ง ผลไม้ที่มันหามา ก็เริ่มเหี่ยวเพราะถูกแดดดูดเอาน้ำไปเสียหมด
วันหนึ่ง มันสังเกตว่าปริมาณของผลไม้เริ่มลดน้อยลง มันคิดว่านกตัวเมียขโมยกิน ด้วยความโมโห มันจึงจิกนกตัวเมียตายไปด้วยความโกรธ
และแล้วฝนก็ตกติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน ทำให้ผลไม้ที่เหี่ยวแห้งในรัง กลับเต่งตึงอิ่มน้ำดังเดิม เมื่อนกตัวผู้เห็นดังนั้น จึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง “ไม่น่าเลย เราไม่น่าเข้าใจผิดเลย!”




ใช่..คนเรามักชอบ “ตัดสิน” ผู้อื่นจากมุมมองและจริตของตนเป็นที่ตั้ง แต่..บางที “สิ่งที่เห็นและสิ่งที่ได้ยินมา” กับ “สิ่งที่เป็นและสิ่งที่เกิดขึ้น” อาจจะไม่ใช่ที่เราคิดเสมอไป อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใคร มองให้ครบทุกมุมทุกด้าน ทุกมิติ ทุกคนย่อมมีดีเป็นของตัวเอง เราควรที่จะต้องหัดมองด้วย “ใจ” ใจที่ขาวสะอาดในการจะตัดสินคนอื่น ที่ไม่โอนเอนเพราะ “อคติ” โลกก็จะน่าอยู่ เราก็จะเป็นที่พักที่พึ่งแก่กันและกัน นี่คือสันติสุขที่กำลังรอคอยเราอยู่...

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

วันนี้ วันนั้น วันไหน

วันนี้ วันนั้น วันไหน
ในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง คงจะพบเจอการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อยู่หลายครั้งหลายหน บางคนถือว่าการนับหนึ่งใหม่เป็นการเริ่มต้นของความสำเร็จในครั้งใหม่ บางคนเริ่มต้นใหม่เพราะความพ่ายแพ้และล้มเหลวมาก่อน มีบ้างบางคนที่เห็นการเริ่มต้นเป็นความทุกข์ยากลำบาก แท้จริงแล้วชีวิตเราเริ่มต้นใหม่ในทุก ๆ วัน ไม่ว่าวันนี้ วันนั้น วันไหน ลืมตาตื่นนอนนั่นคือการเริ่มต้นใหม่ของการมีชีวิตอยู่ เริ่มต้นวันใหม่แม้จะหัวใจเดิม ๆ เพิ่มเติมคือประสบการณ์และความดีงาม...



1 มีนาคม คือวันที่เริ่มต้นเขียนบทความนี้ เป็นวันเริ่มต้นของเดือนที่สาม และเป็นวันเริ่มต้นของเทศกาลมหาพรต “วันพุธรับเถ้า” วันที่เริ่มนับหนึ่งเพื่อการทำให้ชีวิตมีคุณค่ามากขึ้นกว่าเดิม เป็นช่วงเวลาที่เราต้องมีสติและทำให้การดำเนินดำรงของเราพบกับสันติสุขทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง เราทำได้ไหม วันนี้จึงเป็นวันที่เริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่เริ่มต้นแบบไม่มีอะไรผ่านมาเลย แต่เป็นการเริ่มต้นจากสิ่งที่มี จากสิ่งที่ผ่านมา พัฒนาต่อยอด เพื่อให้วันนี้ดีขึ้นกว่าทุกวัน แม้ว่าเมื่อจบวันผลลัพธ์อาจจะไม่ดีขึ้นสักเท่าไร แต่หากเราได้พยายามทำให้ดีขึ้น ก็ต้องถือว่าเป็นการเริ่มต้น และวันนี้ก็จะมีคุณค่าและคุ้มเวลาในการมีลมหายใจแล้ว
เขาว่ากันว่าชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก แต่เรามักคิดว่ามันยาวนานและมีเวลาอีกเยอะที่จะทำดี ที่จะละสละความสบายฝ่ายกาย หลายสิ่งหลายอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แม้โอกาสที่เราจะทำความดี โอกาสที่เราจะได้รับความดีงามผ่านมาผ่านไปหลายต่อหลายครั้งและการที่เรามีชีวิตที่มีความสุขนั้นเป็นโอกาสที่เราต้องใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ และความสุขจะอยู่อย่างยาวนานได้นั้นเราต้องฝากความสุขนี้ไปให้กับผู้อื่นด้วย ว่ากันว่าคนเรานั้นเกิดมามีชีวิตอยู่ประมาณสามหมื่นวัน เหมือนจะยาวนาน แต่เอาเข้าจริง ๆ สั้นนิดเดียว
นักปราชญ์บอกว่า...
หนึ่งหมื่นวันแรก มีไว้เพื่อที่จะเรียนรู้วิทยาการต่างๆ เพื่อที่จะนำไปใช้ในหมื่นวันที่สอง
หนึ่งหมื่นวันที่สอง เราต้องนำเอาความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในหนึ่งหมื่นวันแรกมาประกอบสัมมาอาชีวะเพื่อที่จะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม 
และในหมื่นวันสุดท้าย เราควรที่จะเอาสิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่ทำให้คนอื่นเป็นสุขมอบกลับคืนให้คนรอบข้างเรา เพื่อที่เราจะได้จากไปอย่างไม่ต้องกังวลอะไร
และไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงหมื่นวันในระยะไหน...ไม่สำคัญ เราต้องรู้จักที่จะเริ่มต้นเพื่อสันติสุขในทุกวัน เราต้องทำวันนี้ให้งดงาม มีคำแนะนำในการที่จะทำวันนี้ให้เป็นสุขมาฝากและเริ่มต้นทำให้เกิดผล เริ่มต้นวันนี้ ....



ในวันนี้...ฉันจะเป็นมิตรกับทุกคนที่ทำงานด้วยให้มากที่สุด จะปฏิบัติเสมือนหนึ่งว่าคนเหล่านั้นมีส่วนให้ฉันได้ทำงานที่นี่ต่อไป และขอขอบคุณที่มีพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมงาน
 ในวันนี้...ฉันจะไม่ทำตัวเป็นคนช่างตำหนิติเตียน จะพยายามมองเห็นข้อดีในทุกสถานการณ์ และหาข้อดีมาชมเชยทุกคนในที่ทำงานด้วย
 ในวันนี้...ฉันจะไม่ยืนกรานว่าทุกสิ่งฉันทำ จะต้องสมบูรณ์เพียบพร้อม จะไม่พยายามทำลายสถิติความเร็วใด ๆ จะทำงานทุกอย่างตรงหน้าเต็มกำลังความสามารถ แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกบีบคั้นจนทุกข์ทรมาน
ในวันนี้...ฉันคิดว่าตนเองมีความสามารถพอที่จะทำงานในความรับผิดชอบ จะไม่มัวมาตั้งคำถามอย่างไม่จบสิ้นว่า มีตำแหน่งที่เหมาะสม และได้รับคุ้มค่าเหนื่อยแล้วหรือ
ในวันนี้...ฉันจะรู้สึกปลาบปลื้มที่ได้อยู่ในสังคมและยุคสมัย ที่ไม่ต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ในสภาพอันโหดร้ายทารุณ และขอบคุณที่ได้อยู่ในประเทศเสรี ที่ไม่มีใครมากะเกณฑ์ใช้งานได้
ในวันนี้...ฉันจะรู้สึกมีความสุขที่ได้ทำงาน และสุขกายสบายใจที่ไม่ต้องออกไปต่อสู้ในสนามรบ หรือเจ็บป่วยจนต้องรอเข้าห้องผ่าตัด
ในวันนี้...ฉันจะไม่คาดหวังให้ใครมาทำดีกับฉัน จะไม่เปรียบเทียบรายได้หรือสถานภาพ ของตนเองกับผู้อื่น จะพอใจอย่างที่ฉันเป็นอยู่
ในวันนี้...ฉันจะไม่คอยเป็นห่วงว่า แล้วฉันจะได้อะไรจากงานนี้? จะคิดเพียงว่า วันนี้ฉันจะเข้าไปมีส่วนช่วยในเรื่องต่างๆ ได้อย่างไรบ้าง?
ในวันนี้...เมื่อฉันออกจากที่ทำงานฉันจะไม่มัวครุ่นคิดว่าได้ทำงานไปมากแค่ไหนหรือยัง ทำอะไรไม่เสร็จ แต่จะนึกถึงเวลาค่ำที่รออยู่ และรู้สึกขอบคุณสำหรับงานที่ทำสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
(บทแปลและเรียบเรียงจากข้อเขียนของ นอร์แมน วินเซนต์ พีล จากหนังสือเรื่อง ความคิดเชิงบวก)
            หากวันนี้เรารู้จักที่จะเริ่มต้นพัฒนาชีวิตของเราด้วยการไม่ไปยึดติดด้วยการลด ละ เลิก เปลี่ยนแปลงจากเรื่องง่าย ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา รู้จักที่จะปรับจิตใจเราให้มองเห็นสิ่งที่สวยงามของสิ่งรอบกาย และพยายามที่จะเข้าใจความเป็นไปของโลก ของสังคม ด้วยความห่วงใยมีใจเมตตา มองดูผู้คนด้วยหัวใจมากกว่าสายตาและความขัดแย้ง สร้างสันติให้เกิดขึ้นในหัวใจเรา ท่ามกลางหนทางที่มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็มีต้นกุหลาบและดอกไม้หลากหลายอยู่ข้างทางให้หยุดชื่นชม มาเริ่มต้นวันนี้อย่างดีที่สุด แล้วไม่ว่าวันนั้นวันไหนที่ความทุกข์ยากจะผ่านเข้ามา มันก็จะผ่านไปดังสายลมที่พัดผ่านไปนั่นเอง....