วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ฉลาดแบบไหน?

ฉลาดแบบไหน?
            ในยุคที่สังคมมีแต่ความฉาบฉวย อวยคนสวยใส หลงใหลในดราม่า ไม่ค้นหาความจริง เชื่อง่าย ขายความโลภ สร้างโลกส่วนตัว กลัวตกเทรน และโชว์ความฉลาดที่ขาดเฉลียวได้อย่างเชี่ยวชาญอย่างเช่นทุกวันนี้ เราจึงเห็นการดูถูกความเห็นคิดของผู้อื่นเต็มบ้านเต็มเมือง สิ่งที่คนอื่นทำนั้นไม่ดี ความคิดคนอื่นนั้นโง่ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ยึดโยงความเก่งกาจแต่เพียงผู้เดียว หากเราก้าวเข้าสู่ความฉลาดสำเร็จรูปแบบนี้ นับเป็นความอ่อนด้อยทางจิตวิญญาณโดยแท้ ใช่หรือไม่ สิ่งที่พัฒนามาถึงวันนี้ได้ย่อมมาจากฐานรากที่มั่นคง เป็นการต่อยอดความฉลาด ต่อยอดความสร้างสรรค์ของคนเก่าก่อนทั้งสิ้น คนเรามิได้เกิดมาเพื่อความยิ่งใหญ่ แต่เราเกิดมาเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในใจผู้อื่นต่างหาก เราทุกคนจึงมีศักดิ์ศรีเท่ากัน ไม่มีความโง่ความฉลาดเหนือกว่ากัน มีเพียงหัวใจที่พร้อมจะสร้างความดีงามให้เกิดขึ้นในทุกลมหายใจ และทุกย่างก้าวที่เราเดินไปเหมือน ๆ กัน



ในการประชุมผู้ปกครองของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในขณะที่คุณครูให้สัญญาณขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ประตูที่พึ่งถูกปิดลง ก็ค่อย ๆ เปิดออกอีกครั้ง ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง แสดงตัวอยู่หน้าประตู ทั้งตัวคลุกไปด้วยฝุ่น ใบหน้ายิ้มเจื่อน ๆ ใช้สำเนียงแหบแห้งพูดกับคุณครูว่า ขออภัยครับ
ผู้ปกครองท่านนี้ ลูกของท่านคือ....” “ผมเป็นพ่อของ หวังจื้อห้าว คุณครูแสดงความแปลกใจออกมาทางสีหน้า แล้วพูดว่า รบกวนคุณพ่อเซ็นต์ชื่อรายงานตัวด้วย ปากกาอยู่นี่แล้ว” “คุณ....คุณครูครับ คือ..ผม..ผมอ่านหนังสือไม่ออกครับ พูดจบ พ่อของหวังจื้อห้าวก้มหัวลงต่ำมาก ๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังทั่วห้องประชุม ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผมเซ็นแทนแล้วกัน เรียนเชิญคุณกลับไปนั่งที่ของหวังจื้อห้าว
ผู้ปกครองทุกท่าน การประชุมผู้ปกครองในวันนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของเทอมแล้ว  ขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนกิจกรรมตลอดมา และในตอนนี้ใคร่ขอเรียนเชิญผู้ปกครองของเด็กผลการเรียนดีที่สุด ขึ้นมาบอกเล่าวิธีการและเคล็ดลับในการอบรมสั่งสอนเด็กของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?แล้วคุณครูก็เรียกชื่อผู้ปกครองของ หวังจื้อห้าว ขึ้นเวที ห้องประชุมก่อนหน้าที่มีแต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวก็เงียบลงในทันใด 
เอ่อ อืม.....พ่อของหวังจื้อห้าว เริ่มด้วยเสียงแหบแห้ง สายตาไม่กล้ามองไปทางผู้ปกครองคนอื่นๆที่นั่งอยู่ด้านล่าง ปะ.....ประสบการณ์ผมไม่รู้จักหรอกครับ ผมเพียงแต่ชอบนั่งมองดูลูกทำการบ้านทุกวันหลังเลิกงาน ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงใด ผมก็จะนั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วดูเขาทำการบ้าน
พ่อของจื้อห้าวหยุดชั่วครู่ หันไปมองคุณครู คุณครูยิ้มตอบแสดงท่าทางให้เขาพูดต่อ มีวันหนึ่ง ลูกชายถามผมว่า  พ่อ ทุกวันนั่งอยู่ข้างผม แล้วดูผมทำการบ้าน การบ้านนี้พ่อดูเข้าใจหรือไม่? ผมตอบว่า ไม่เข้าใจ  ลูกชายถามอีกว่า ในเมื่อพ่อดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แล้วพ่อรู้ได้อย่างไรว่าผมทำได้หรือไม่ได้? ผมตอบว่า หากลูกทำอย่างรวดเร็ว จับปากกาขึ้นมาแล้วเขียน เขียน เขียน ก็รู้ว่า คำถามข้อนี้ทำได้ และทำได้โดยง่าย หากลูก ต้องเดินไปเปิดพัดลม ไปดื่มน้ำ พ่อก็รู้ว่า คำถามข้อนี้ทำยาก ผมมีอาชีพทำงานก่อสร้าง ปกติแล้วงานยุ่งมาก


ผมเองไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่รู้จักหนังสือสักตัว หาเหตุผลลึกซึ้งมาอบรมสั่งสอนเด็กไม่เป็น ได้แต่อาศัยเวลายามทำงาน เห็นอะไรก็คุยกับลูกอย่างนั้น เมื่อเห็นลูกพยักหน้าไม่หยุดผมก็จะดีใจมากเมื่อผมดีใจก็ชอบที่จะลูบหัวเขา พูดถึงประสบการณ์ ผมไม่มีจริง ๆ ผมเพียงแค่ชอบคลุกคลีกับลูก ชอบดูเขาทำการบ้าน ชอบที่จะลูบหัวเขา ชอบบอกเขาว่า รู้จักขอบคุณโรงเรียน ต้องขอบคุณคุณครูที่อบรมสั่งสอน ลูกของผมได้ดีเช่นนี้ เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ  คุณครูต้องลำบากมากแล้ว
พูดจบเขาหันไปโค้งคำนับคุณครูหนึ่งครั้ง การโค้งคำนับของเขาครั้งนี้สะเทือนเข้าไปในหัวใจของกลุ่มผู้ปกครองที่อยู่ในห้อง! ทำให้พวกเขาคิดได้ว่า  พวกเราที่เป็นผู้ปกครอง ไหนเลยจะเคยคิดโค้งคำนับให้กับคุณครู ไหนเลยจะเคยคิดกล่าวคำ ขอบคุณแก่คุณครู ไหนเลยจะเคยคิดกล่าวคำ ลำบาก คุณครูมากแล้ว ผลการเรียนของลูกไม่ดี เรามักโทษคุณครูอบรมสั่งสอนไม่ดี ผลการเรียนลูกดี ความดีทั้งหมดมักเข้าหาตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ปกครองของหวังจื้อห้าวที่อ่านหนังสือไม่ออกสักตัว พวกเราที่มีการศึกษา ช่างน่าละอายใจยิ่ง ขณะที่คุณพ่อของหวังจื้อห้าว เดินกลับไปถึงที่นั่งของตนแล้วภายในห้องประชุม ก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง

ฉลาดแบบไหนเล่าที่เราโหยหากัน ฉลาดแบบหยิ่งผยองหรืออ่อนโยน ฉลาดแบบดูถูกคนอื่นหรือโค้งคำนับผู้อื่น คนฉลาดที่โอ้อวดไม่มีวันที่จะอยู่ในหัวใจคนได้ กษัตริย์หรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่นั่งอยู่ในใจคนตลอดกาลได้นั้น ส่วนมากมักมีจิตใจที่งดงาม เมตตา เสียสละ และไม่เคยดูถูกคนอื่นใช่หรือเปล่า..


วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ดอกใบในตัวเรา

ดอกใบในตัวเรา
เวลาที่ผู้คนในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน ก็มักจะเป็นเรื่องที่อยู่บนพื้นฐานพื้นเพของคนกลุ่มนั้น ๆ แม่ค้าพ่อขายในตลาดคงหนีไม่พ้นละครหลังข่าว บนรถแท็กซี่ก็ไม่พ้นเรื่องการบ้านการเมือง ร้านตัดผมเรื่องหวยเรื่องบอล พนักงานห้างร้าน คงเป็นเรื่องดัง ๆ  ในตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องของพี่ตูนกับการวิ่งในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” แล้วชุมชนวัดเราคุยเรื่องอะไรกัน...????  (ตอบในใจ)



ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสได้นั่งคุยปรึกษาหารือเรื่องที่จะทำให้เด็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ได้เดินตามความฝันของพวกเขาอย่างมีความสุข เป็นเด็กกลุ่มเล็ก ๆ ที่ใช้เสียงดนตรี เครื่องดนตรีที่พอจะหาได้ มาประกอบกันเป็นวงแล้วร่วมกันบรรเลงเพลงต่าง ๆ นอกจากเรื่องดนตรีแล้วยังมีการสอนเรื่องที่ในโรงเรียนไม่มีสอน คือสอนการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงที่เป็นรูปธรรม โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง
และด้วยเวลาไม่มากนักที่ได้ฟังเรื่องราวของโรงเรียนนี้จากครูลี่ (คีตา วารินบุรี) หนุ่มร่างเล็กผิวเข้ม แต่เป็นเรื่องราวที่ทำให้หัวใจของเราพองโต และมีความรู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์ที่พ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ได้เพาะหว่าน มาบัดนี้ค่อย ๆ ผลิดอกออกผล ใช่หรือไม่ หากเราลองดูดี ๆ วันนี้เราได้เห็นคนไทยหลายคนออกมาทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และที่สำคัญทุกคนทำด้วยหัวใจ ความงดงามของสังคมไทยกำลังหวนคืนมาอีกครั้งแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป การที่พระองค์ท่านจากพวกเราไปนั้นเป็นเพียงทางกายภาพ แต่สิ่งที่จะดำรงคงอยู่คือบทสอนและวิถีทางที่พระองค์ท่านทรงมอบไว้ให้เราคนไทย ตรงกับพระวาจา ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก(ยน.22:24)



ในขณะที่รถตู้พาคณะนักดนตรีรุ่นจิ๋ววิ่งเลียบทางด่วนรามอินทราอยู่นั้น ครูลี่ก็กล่าวขึ้นมาว่า แถวนี้คือแหล่งที่ทำมาหากินและแหล่งเพาะความหยิ่งทนงในตัวผมครูลี่เป็นนักดนตรีที่เก่งมาก ๆ คนหนึ่ง เคยเล่นตามร้านอาหาร เคยเล่นเป็นแบ็คอัพให้กับนักร้องดังหลายคน ก็เลยคิดว่าตัวเองนี่สุดยอดมนุษย์คนดนตรี ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรม ใช้ชีวิตสุขสนุกสบายไปวัน ๆ แต่ภายในมิได้มีความสุขเลย จนวันหนึ่งออกตามหาความหมายของชีวิต และพบจุดเปลี่ยนที่เชียงใหม่ จึงกลับมาที่บ้านเกิด จ.บุรีรัมย์ ลองทำสิ่งที่ในใจเรียกร้อง และนำบทเรียนในชีวิตที่ผ่านมา เป็นบทสอน เพื่อไม่ให้เด็ก ๆ ตกอยู่ในวังวนที่ครูเคยประสบมา



ครูลี่ จึงก่อตั้งโรงเรียนและหาวิธีให้เด็ก ๆ หันกลับมาดูใช้ชีวิตอยู่ในชนบทที่มีความงดงามไม่ให้เลือนหายไป ปลูกฝังให้เด็กสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงาม ผ่านการถ่ายทอดดนตรี นอกจากนี้แล้วยังจะได้ให้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตดั้งเดิม และซึมซับความเป็นธรรมชาติทั้งท้องทุ่งนา ป่าเขา ลำธาร เพื่อให้เด็กลืมกับสิ่งยั่วยวนในสังคมสมัยใหม่ โดยการใช้ดนตรีเป็นสื่อกลาง เด็กที่มาเรียนที่นี่ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เพราะสถานที่เรียนส่วนใหญ่ก็จะเป็นธรรมชาติ เครื่องดนตรีก็ประยุกต์จากวัสดุเหลือใช้ หรือสิ่งของที่หาได้จากท้องถิ่นนำมาดัดแปลง แต่ก็มีเสียงไพเราะไม่ต่างจากเครื่องดนตรีราคาแพง เด็กจะมาเรียนที่นี่เฉพาะช่วงเย็น ๆ  มีเด็กมาขอเรียนเพิ่มอีกแต่ก็ไม่สามารถรับเพิ่มได้
ในช่วงแรก ๆ ทุกคนในหมู่บ้านมองครูด้วยสายตาแปลก ๆ แม้กระทั่งแม่ของครูก็คิดว่าลูกชายตัวเองบ้าหรือเปล่า แต่ที่สุดวันนี้ครูก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ ทำให้เกิดพลังชุมชนช่วยเหลือกัน พ่อแม่เด็กมักจะนำข้าวปลาอาหารมาช่วยครูในการเลี้ยงเด็ก ๆ ครูบอกว่า หากทำอะไรแล้วเอาเงินเป็นที่ตั้งเราก็จะไม่พบความสุขและความงาม เราก็ได้แค่กำไรขาดทุน แต่ถ้าหากเราทำด้วยความรักและจิตวิญญาณ เราจะได้อะไรมากกว่าที่เราคิดหวังไว้เสียอีก ครูลี่สอนเด็กไม่มีหลักสูตร มีเพียงจิตวิญญาณ จะเล่นดนตรีต้องเล่นด้วยจิตวิญาณ ไม่ใช่ตามทฤษฎีเป๊ะ ๆ แล้วคนฟังก็จะรับรู้ถึงความสุขที่เราส่งผ่านไป ความงดงามที่ครูปลูกฝังให้เด็ก ๆ เริ่มมีการส่งผ่านออกมาสู่โลกภายนอกมากขึ้น สิ่งที่ครูสอนเด็กคือไม่ให้หลงไปกับชื่อเสียง ในวงจะผสมผสานกันไม่ใช่ใครต้องเด่นต้องดังกว่าใคร พยายามสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ความฝันแบบสังคมทุนนิยมมาทำลายคุณค่าในความเป็นเด็กไป





และสิ่งนี้จึงเป็นที่มาของการจัดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เพื่อให้เด็กมีเวทีแสดงออก จะมีขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ที่หอประชุมครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการร่วมมือร่วมใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งซึ่งมาร่วมกันด้วยหัวใจ แม้จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่กำลังช่วยเตรียมงานนี้อยู่ แต่กลับได้เรียนรู้และซาบซึ้งในหัวใจของหลายต่อหลายคน ก็อดไม่ได้ที่กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อย ๆ ว่า วันนี้ดอกใบกิ่งก้านในตัวเราได้เติบโตให้ร่มเงากับผู้อื่นมากน้อยเพียงใดหรือเราได้ทำให้ชีวิตจิตวิญญาณของเราเติบโตขึ้นเพียงแค่เพื่อปกคลุมตัวตนเอง!!!! หากเรามีชีวิตที่กำลังรอการสลายไป แล้วสิ่งที่จะเจริญในเมล็ดที่เปื่อยเน่าของเราจะมีอยู่มากน้อยเพียงใด ความเก่งกาจหรือความยโสที่ท่วมท้นอาจจะเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างมลายหายไป วิถีเด็ก ๆ ในโรงเรียนเล็กในทุ่งกว้างได้เปิดจิตใจน้อย ๆ ให้ค่อย ๆ เปิดกว้างขึ้น นี่คือแก่น ดอกใบ ที่กำลังเจริญเติบโตในสังคมไทยที่จะคงอยู่ตลอดไป....

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ก้าวทีละก้าวกับเท้าเปล่า ๆ

ก้าวทีละก้าวกับเท้าเปล่า ๆ
การวิ่งในโครงการ ก้าวคนละก้าว เพื่อหาทุนบรรเทาทุกข์ที่เกิดจากการขาดแคลนทุนในโรงพยาบาล 11 แห่งทั่วประเทศไทย ของคุณตูน บอดี้สแลม ระยะทาง 2,191 กิโลเมตร จากใต้สุดที่ อ. เบตง จ. ยะลา ขึ้นมาจนถึงเหนือสุดที่ อ. แม่สาย จ. เชียงราย ที่ต้องใช้เวลาถึง 55 วัน กำลังได้รับความสนใจและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ตามประสาคนของโลกยุคใหม่ ยุคแห่งความรวดเร็วที่ขอให้ได้แสดงความคิดเห็น เพื่อแสดงความต่างบ้าง เพื่อแสดงความเก่งโชว์กร่างโชว์กากก็ว่ากันไป แต่สิ่งหนึ่งที่มองเห็นและชื่นชมผู้ชายคนนี้คือเลือกที่จะนิ่งและวิ่งตามอุดมการณ์ของตัวเอง ไม่ออกมาตอบโต้ตีโพยตีพาย ไม่ได้วิ่งไล่ตามกระแส แต่ทำตามภารกิจที่ตั้งมั่นเอาไว้ คนเรามีสองขาเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ขาของเรามีไว้ก้าวไปข้างหน้ามิใช่เอาไว้ขัดขาคนอื่น ความมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อคนอื่นในสังคมยุคนี้นั้นหาได้น้อยเต็มที บางครั้งชีวิตเราเดินทางสู่ความสำเร็จได้โดยอาศัยเพียงขาสองขา เท้าสองข้างที่เรามี



และด้วยความกระทันหันญาติที่มาจากต่างประเทศออกปากชวนให้เดินทางไปเป็นเพื่อน ที่เกาะมัลดีฟส์ เป็นการเดินทางที่รู้รายละเอียดไม่มากนัก รู้แต่ว่ามีที่พักและจะมีคนมารับ เป็นการเดินทางที่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจรับทุกสถานการณ์ ในวันเดินทางเมื่อมาถึงสนามบินจึงรู้ว่าตารางการบินของเราจะล่าช้าประมาณหนึ่งชั่วโมง และมีความกังวลนิด ๆ เพราะต้องต่อเครื่องเพื่อไปยังที่พัก เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจะทันหรือเปล่า!!!ในใจก็คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ทุกอย่างฝากความไว้วางใจในพระเจ้า แล้วก็เป็นเช่นนั้น มีคนมารอรับที่ท่าอากาศยานนานาชาติเวลานาหรือมักเรียกว่า ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล เป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศมัลดีฟส์ ตั้งอยู่บนเกาะฮุลฮูเลล ทางตอนเหนือของเกาะมาเล ใกล้กับเมืองหลวงกรุงมาเล จากนั้นก็พาไปต่อเครื่องเพื่อไปยังสนามบินเกาะดาราวานดู หรือท่าอากาศยานเกาะดาราวานดู ใช้เวลาบินอีกประมาณ 25 นาที เช่นเคยเมื่อมาถึงเราก็ยังงง ๆ ว่าจะทำอย่างไรต่อ!!!แต่เพียงเดินพ้นประตูก็มีชายหนุ่มเดินมาทักและแนะนำตัว แล้วก็พาเราเดินออกมา ในใจก็คิดว่าดีจริงเชียวที่พักอยู่ใกล้สนามบิน ที่ไหนได้เขาพาเรามาลงเรือเพื่อต่อไปยังอีกเกาะหนึ่ง ใช้เวลาอีก 10 นาที แม้แต่ชื่อเกาะเรายังไม่รู้เลย ยังพูดกันเล่น ๆ ว่าสงสัยจะถูกปล่อยเกาะ



มัลดีฟส์ (Maldivesหรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ( Republic of Maldives ) เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการังจำนวนมากในมหาสมุทรอินเดีย และตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดียและประเทศศรีลังกา มีพื้นที่ความยาวจากเหนือจรดใต้ 821 กิโลเมตร จากตะวันออกจรดตะวันตก 120 กิโลเมตร แต่เป็นพื้นที่ดินรวมเพียง 300 ตารางกิโลเมตรมีจุดสูงสุดเพียง 2.3 เมตร ประกอบด้วยหมู่เกาะปะการัง 26 กลุ่ม (atoll) รวม 1,190 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่เพียงประมาณ 200 เกาะ และได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยว 74 เกาะ

เมื่อมาถึงที่บนเกาะ MAALHOS ก็มีผู้จัดการผิวเข้มมายืนคอยแล้วก็พาเดินต่อไปยังที่พักอีกสัก 5 นาที ต้อนรับด้วยมะพร้าวสด ๆ สีส้ม น้ำออกจะเปรี้ยวนิด ๆ ไม่หวานเหมือนบ้านเรา และจากตรงนี้เป็นการเริ่มต้นของการเดินเท้าเปล่าตลอดเวลาที่อยู่บนเกาะนี้ เพราะเมื่อออกจากที่พักทุกอย่างก็เป็นพื้นทราย และเพราะหลงลืมที่จะหยิบรองเท้าแตะมาจากบ้าน ก็เลยคิดว่าจะลองใช้เท้าเปล่านี่แหละอยู่บนเกาะแห่งนี้สัก 2-3 วัน เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะผู้คนที่นี่เดินเท้าเปล่าก็หลายคน การเดินเล่นบนหาดทรายสวยขาวสะอาดด้วยเท้าเปล่าเป็นการหวนคืนสู่ธรรมชาติ มนุษย์เราพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายเพื่อร่างกายของเรา แต่หลายครั้งก็กลับทำให้ร่างกายเราอ่อนแอลง เราพัฒนาเครื่องยนต์กลไกมาแทนที่การเดิน การวิ่ง และเราก็สูญเสียชีวิตผู้คนด้วยอุบัติเหตุไปก็มิใช่น้อย บนพื้นทรายขาว เห็นรอยเท้าเราที่เหยียบย่ำลงไป ไม่นานคลื่นก็สาดซัดพัดหายไป ความสดสะอาดของน้ำทะเลที่มัลดีฟส์ยังคงงดงามเสมอ ยิ่งกับชีวิตผู้คนบนเกาะแห่งนี้ที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่ต้องเร่งรีบ วุ่นวาย การค้าการขายแทบไม่มีให้เห็น อยากกินปลาก็ออกเรือหาปลาด้วยการตกปลาทีละตัว ไม่มีตลาดขายส่งอาหารทะเล นี่จึงเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ได้แอบอิงพิงธรรมชาติอย่างแท้จริง



ระหว่างที่เดินเท้าเปล่าทีละก้าว ค่อย ๆ เดิน จึงมีเวลาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า มีเวลานั่งมองดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า และอิ่มเอมกับค่ำคืนพระจันทร์เต็มดวง (ตรงกับลอยกระทง) และเนื่องจากเป็นประเทศที่นับถืออิสลามจึงไม่มีการดื่มแอลกอฮอล์และการจัดเลี้ยงบันเทิงใด ๆ ทั้งสิ้น มีเวลาที่จะนั่งรำพึงบนเปลแบบชาวบ้านใต้ต้นไม้ริมหาด มองย้อนกลับมาในชีวิตเมืองที่เราใช้สิ่งอำนวยความสะดวกจนเกินไป เรามีขาสำหรับเดิน แต่วันนี้เราแทบไม่ได้ใช้มันมากนัก มีเท้าเหยียบย่ำไปบนพื้นดิน แต่วันนี้เรากลับเอาไว้ใช้เหยียบคันเร่งรถ เรามีพื้นดินพื้นทรายพื้นหญ้า วันนี้เราไม่อาจจะเห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะถูกปูทับด้วยถนนปูน ใช่หรือไม่ บางทีการที่เราใช้ขาก้าวเดินใช้เท้าเปล่าสัมผัสพื้น มักจะทำให้เรารู้ตัว และพร้อมที่จะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข พร้อมที่จะออกไปเพื่อรับรู้ความรักของพระเจ้าผ่านทางธรรมชาติที่สวยงามและบริสุทธิ์ที่มีอยู่ทั่วไป

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เหนือกว่าราคาค่างวด

เหนือกว่าราคาค่างวด
 ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพและริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ แด่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ช่างพร้อมเพรียงสมบูรณ์ สง่างามยิ่งนัก ทุกคนต่างทำหน้าที่เพื่อมอบให้แด่พระองค์ท่านสุดหัวใจ แม้ว่าการเคลื่อนขบวนจะดูเนิ่นนานหลายชั่วโมง แต่ก็ไม่อาจจะลดทอนความตระการตาลงได้เลย แม้ว่าจะเป็นวันที่ไม่อยากให้มีมาถึง แต่เมื่อมาถึงจึงเกิดความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ไทยที่สืบทอดกันมาจากอดีต และก็ไม่เคยจางหายไป ใต้ร่มโพธิสมภาร ทั่วประเทศไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดความเชื่อศรัทธาใดต่างออกมาแสดงความอาลัยต่อพระองค์ท่านอย่างเนืองแน่น คนคุ้นเคยในรอบรั้ววัดเซนต์หลุยส์หลายกลุ่มหลายคนต่างนัดแนะเวลาเพื่อไปวางดอกไม้จันทน์ถวาย หลายคนไปตั้งแต่เช้าและส่งข่าวสถานการณ์ ที่ใกล้สำหรับหลายคนคงเป็นที่วัดยานนาวา พระอารามหลวง เพียงไม่ถึงชั่วโมงผู้คนเริ่มต่อแถวเข้าคิวจนมาถึงใต้สะพานตากสิน พอตกบ่ายแถวยาวเลยไปจนถึงตลาดบางรัก แล้วต้องมีการจัดแถวให้โค้งเลี้ยวคดไปตามตรอกซอย 



แล้วเราผู้ไปถึงช่วงบ่ายกว่า ๆ ค่อย ๆ เดินตามแถวทีละนิด เป็นการรอคอยที่ไม่รู้สึกเมื่อยเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นอีกครั้งในชีวิต ในใจก็ครุ่นคิดว่า แท้จริงคนเราสามารถที่จะเดิน จะยืนได้เป็นวัน ๆ เหมือนกัน แต่เพราะวิถีชีวิตแนวใหม่ที่ถูกเครื่องอำนวยต่าง ๆ มายึดความอดทนของคนเราไปหมด จนแล้วจนรอดเกือบจะได้เข้าวางฯ สุดท้ายต้องหยุดเพื่อรอพระราชพิธีสำคัญ ณ ท้องสนามหลวง จนที่สุดเราได้มาถึงจุดที่แสดงความอาลัยตอนทุ่มครึ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงหัวใจของคนที่อดทนรอต่อแถวเพื่อเข้าใกล้บริเวณงานพระราชพิธีฯ มีสิ่งหนึ่งที่ยึดความอดทนของหลายคนเอาไว้ได้นั่นคือ ความรัก เมตตาอาทรต่อกัน จิตอาสานำน้ำดื่ม อาหาร ยาบรรเทาปวด สารพัดมาบริการ แถมมีการเก็บเศษขยะเป็นระยะอย่างไม่ขาดสาย ได้เห็นนักเรียนโรงเรียนเซนต์หลุยส์เป็นจิตอาสา พูดจาไพเราะ เดินบริการร่วมกับจิตอาสาอื่น ๆ ทำให้จิตใจที่เศร้าหมองคลายลง ทำให้อากาศที่ร้อนกลับชุ่มชื่นหัวใจขึ้น คำพูดขอบคุณของหลายคนในแถวล้วนเป็นกำลังใจให้จิตอาสาเหล่านั้นได้อย่างดี  



จากที่เคยเป็นสังคมที่ต่างคนต่างยึดโยงพื้นที่ของตัวเองเอาไว้ วันนั้นทุกพื้นที่กลายเป็นที่สาธารณะทุกอย่างไม่ต้องใช้เงินซื้อหา เดินทางไม่เสียค่ารถ กินข้าวไม่ต้องจ่ายตังค์ ยืนบังหน้าร้านหน้าบ้านหน้าห้างโดยไม่มีใครมาไล่ แถมยังให้ร่มให้น้ำดื่ม คำพูด รอยยิ้ม ต่างมีให้กันอย่างบริสุทธิ์ใจ วันนั้นเราเห็นความอ่อนน้อมของทุกผู้คน นี่กระมังที่ลดทอนความเมื่อยล้าให้หายไป ของแบบนี้เราวัดเป็นค่างวดในระบบเศรษฐศาสตร์เงินทุน จะตีราคาค่างวดเป็นไปไม่ได้เลย คนต่างชาติต่างวัฒนธรรมยืนทึ่ง ในสิ่งที่เราแสดงต่อพ่อหลวง แค่นี้มันยังน้อยไปสำหรับสิ่งที่พระองค์ท่านมอบมรดกไว้ให้กับพวกเรา น้องคนหนึ่งได้เขียนบรรยายความรู้สึกยิ่งอ่านเรายิ่งต้องสำนึกในบุญคุณนี้ไปจนชีวิตหาไม่ พร้อมทั้งส่งต่อไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
ลูกอยากจะขอบคุณพ่อมากมาย ขอบคุณพ่อที่ให้น้ำที่อุดมสมบูรณ์  ที่สร้างป่าไม้ที่เขียวขจีที่สร้างดินดีทั่วแผ่นดิน ที่ประทานสายฝนโปรยปรายเย็นฉ่ำ ที่ค้นคว้าหญ้าแฝก ที่สอนลูกปลูกผลไม้เมืองหนาว ขอบคุณพ่อที่ให้ต้นกาแฟ ที่เลี้ยงปลานิล ที่ประทานนมวัว ที่ให้เกลือไอโอดีน ที่คิดค้นเยลลี่อาหารเพื่อผู้ป่วย ที่ปลูกข้าวอร่อยที่สุดในโลก ที่ให้ผักผลไม้อร่อยมากมาย ที่เพาะดอกไม้แสนงามขอบคุณพ่อที่ให้ถนนหนทางที่สะดวกและปลอดภัย ที่สร้างเขื่อนให้ลูกได้มีน้ำดื่มกินใช้ ที่สรรสร้างอ่างเก็บน้ำและฝาย ที่ให้สะพานต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาการจราจร ขอบคุณพ่อที่ให้โรงพยาบาลที่ดีและเพียงพอ ที่ให้โรงเรียนเพื่อเยาวชนทุกเผ่าพันธุ์ชนชั้น ขอบคุณพ่อที่สร้างโครงการพระราชดำริล้ำค่า ที่สรรสร้างเศรษฐกิจพอเพียงและขอบคุณพ่อ......อีกมากมายมหาศาลในทุกสิ่งที่พ่อเป็น พ่อมี พ่อให้ พ่อสร้างให้กับประเทศไทยและโลกใบนี้
อยากจะบอกรักพ่อ ลูกรักพ่อ  เพราะ...พ่อหล่อ เท่ห์ สมาร์ทที่สุด  พ่อเป็นคนน่ารัก ใจดี พ่ออดทน ใจเย็น พ่อเป็นตัวอย่างที่ดี พ่อฉลาด เฉลียว เก่งในทุกด้าน พ่อเป็นคนดีแท้ พ่ออ่อนโยน อ่อนหวาน พ่อยิ้มสวยและทุก ๆ คน อยากเห็นพ่อยิ้ม ลูกรักพ่อ  เพราะพ่อไม่โกรธง่าย อดกลั้น พ่อมีอารมณ์ขัน พ่อถ่ายรูปเก่ง แต่งเพลงได้ เล่นดนตรีเพราะ  พ่อดูแล เอาใจใส่ พ่อรักทุกคนพ่อโอบอ้อมอารี พ่อมีคุณธรรม พ่อซื่อสัตย์ พ่อเข้าอกเข้าใจ  พ่อเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ลูกรักพ่อ  เพราะ...พ่อรักสัตว์ รักธรรมชาติ พ่อรักครอบครัวและมิตรสหาย พ่อครองใจคนทุกชนชั้น พ่อติดดิน พ่อประหยัดอดออม  พ่อพอเพียง พ่อมีความเพียร ไม่ย่อท้อ พ่อเป็นกันเอง พ่อรักชาติ ศาสนา พ่อไม่ทอดทิ้งคนชายขอบสังคมและลูกรักพ่อ...เพราะอีกมากมายหลายเหตุผล และลูกรักพ่อสุดหัวใจ ขอให้พ่อพักผ่อนอย่างสงบและมีความสุขในสวรรค์ ลูกรักและคิดถึงพ่อสุดหัวใจ
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า นางสาว ศิริวรรณ ศิริศักดิพร” 



สิ่งเหล่านี้มิอาจจะใช้มูลค่าทางราคาไหนมาเปรียบเทียบได้ เพราะนี่คือคุณค่าในหัวใจไทยทุกดวงอย่างหาที่สุดมิได้