วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เราหรือที่ตัดสิน


เราหรือที่ตัดสิน
นี่ขนาดโลกของการสื่อสารวันนี้ว่ารวดเร็วแล้ว ภายในอีกสองปีข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างชนิดที่ว่าเราคิดไม่ถึงเลยทีเดียว และเมื่อถึงวันนั้นสังคมไทยเราจะเป็นเยี่ยงไร ? เรื่องราวข่าวสารไหลหลั่งมายิ่งกว่าสายฝน คำคนคำตัดสินคำวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวร้าย โอ้อวดความรู้กันบนโลกเสมือนจริงคงจะกลายเป็นกองขยะดิจิตอลกองโตและกัดกินจิตวิญญาณของมนุษย์เราจนไม่เหลือชิ้นดี การฆาตกรรมด้วยนิ้วและอักษร ความคิดเห็นที่ไร้ความรับผิดชอบ จะทำให้อีกหลายคนแทบอยู่ไม่ได้บนโลกนี้ การพิพากษาด้วยศาลไฮเทคจะทำให้อีกหลายคนกลายเป็นจำเลยแบบจำยอม สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แทรกซึมซ้อนทับมาอยู่ในวิถีชีวิตผู้คน ไม่ต้องอื่นไกลในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่กี่สัปดาห์มานี้ สังคมไทยเต็มไปด้วยคำตัดสินจากเหตุการณ์ที่เป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นข่าวป้าเจ้าของบ้านทุบรถที่จอดขวางหน้าบ้าน ข่าวหวย 30 ล้านอลเวง หรือกระทั่งข่าวเศรษฐียิงเสือดำ


            แค่ 3 ข่าวนี้ เราเห็นคนไทยแสดงความคิดเห็นกันเป็นหมื่น ๆ ข้อความ บางคนถึงขั้นทะเลาะกันโดยไม่ต้องเห็นหน้ารู้จักกันมาก่อน เพราะแค่เห็นต่าง บางคนวิเคราะห์เป็นฉาก ๆ โดยไม่มีหลักการและความรู้ที่มาที่ไป เช่นนี้แล้วเราจึงกลายเป็นเหยื่อของสำนักข่าวผู้ไร้จรรยาบรรณ  ออกมาตั้งหัวข้อให้โหวตลงคะแนนว่าใครผิดใครถูกทางสื่อใหม่กันอย่างเมามัน เราต่างตั้งตัวเป็นผู้ตัดสินผู้อื่นด้วยเพียงข้อความข่าวเท่านั้นหรือ? สำคัญที่สุด เราเป็นใคร จึงกล้าหาญที่จะเป็นคนตัดสินผู้อื่นได้ หากเรายังจมอยู่ในกระแสแบบนี้ เราก็กลายเป็นคนที่คิดอะไรง่าย ๆ ตัดสินคนอื่นแบบง่าย ๆ ที่สุดเราก็เป็นคนมักง่ายและไร้ความรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ ใครผิดใครถูกเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งทุกสังคมย่อมมีกระบวนคัดกรองตัดสินลงโทษตามแต่ละสังคมกำหนด ใช่ว่า...ทุกเรื่องเราต้องกดดันให้ตัดสินตามเสียงข้างมากลากไป เช่นนี้แล้ว!!!  เราก็ไม่ต่างอะไรกับผู้คนที่ตะโกนให้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซูเจ้าเมื่อครั้งกระโน้นดอกหรือ 
 ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีความเป็นมาและมีเหตุผล มีเบื้องหลังเสมอ เราก็แค่คนรับรู้ แต่จะให้ดีต้องนำไปเรียนรู้ปรับใช้กับหนทางในชีวิตจริงของเรา การไม่ตัดสินใครง่าย ๆ เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของผู้บรรลุวุฒิภาวะทางศีลธรรม ฝึกฝนการใช้หัวใจเมตตาเพื่อให้ความกรุณาต่อผู้อื่น อย่าใช้เพียงประสาทสัมผัสเพราะเราจะได้เพียงผิวผ่าน หากแต่ต้องใช้ใจสัมผัส เราจึงจะพบกับความจริงและความรักในที่สุด เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ขอนำตัวอย่างมาร่วมกันไตร่ตรองให้เห็นสักเรื่อง


ในเมืองแห่งหนึ่งมีชายที่มีฐานะร่ำรวย เขาใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาโดยที่ไม่มีทายาท อยู่กันเพียงสองคน ในเมืองลือกัน (ข่าวลือขายได้กระจายง่ายกว่าข่าวจริง) กระฉ่อนว่าเขาเป็นคนใจดำที่ไม่เคยช่วยเหลือคนยากจนเลยสักคนในเมือง ชาวบ้านต่างพากันประณามและสาปแช่งต่อเขา ตรงกันข้ามต่างพากันชื่นชมคนขายเนื้อในตลาดที่มีจิตใจกุศลชอบแจกจ่ายเนื้อให้กับคนยากจนทุกวัน ที่สุดชาวบ้านจึงพากันไปที่บ้านของคนรวยผู้นี้ พร้อมตำหนิติเตียนต่อว่าต่อขาน ท่านจะรักษาทรัพย์สินไว้เพื่อใคร ชาวบ้านในเมืองยากจนและมีความต้องการการช่วยเหลือ”
คนรวยตอบว่า “ความต้องการของพวกท่านไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย จงไปขอความช่วยเหลือจากคนขายเนื้อ”
มาวันหนึ่ง ชายผู้ร่ำรวยล้มป่วย ไม่มีใครไปเยี่ยมเขาแม้แต่คนเดียว และท้ายที่สุดเขาจบชีวิตลงโดยมีเพียงภรรยาอยู่ข้าง ๆ พิธีกรรมการฝังศพถูกปฏิบัติโดยภรรยาเขาแต่เพียงผู้เดียว เพราะคนทั้งเมืองต่างพากันโกรธเกลียดจากพฤติกรรมที่ตระหนี่ถี่เหนียวของเขา
ในวันรุ่งขึ้น เมืองดังกล่าวเกิดเหตุการณ์ผิดปกติขึ้น เพราะคนขายเนื้อไม่ยอมแจกเนื้อฟรีให้แก่คนยากจน พวกเขาจึงถามขึ้นว่า ทำไมท่านไม่ยอมแจกเนื้อฟรีให้แก่พวกเราแล้ว”
คนขายเนื้อตอบว่า “หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่แจกเนื้อฟรีให้แก่พวกท่านอีกต่อไป เพราะคนที่จ่ายเงินค่าเนื้อให้ฉันมาอย่างยาวนานได้เสียชีวิตไปแล้ว” ดังนั้น อย่าตัดสินใครที่เปลือกตาเห็นเพราะผู้ศรัทธาย่อมเห็นด้วยหัวใจ


ในสังคมเรา เมื่อเห็นคนอื่นกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ซุบซิบนินทา โดยไม่ได้ชั่งใจดูเลยว่าเพราะอะไรเขาหรือเธอ จึงกระทำเช่นนั้น เคยสนทนาพาทีกับผู้ที่กำลังทำสิ่งเหล่านั้นบ้างหรือเปล่า เป็นเพราะหัวใจเราปิดลงกลอนใครจะพูดอะไรก็ไม่ฟัง นอกจากต้องฟังคำพูดของฉันหรือผมเพียงคนเดียว เราต่างคนต่างอวดเก่ง แล้วเบ่งใส่กัน โดยที่ไม่เคารพต่อความสามารถของคนอื่นเลย แล้วหากยังเป็นเช่นนี้ นิสัยแบบนี้ในอีกสองปีข้างหน้าที่โลกจะเปลี่ยนแปลงแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร นอกจากอยู่แบบตัวใครตัวมัน แล้วความสุขจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มาเริ่มคำนึงถึงตัวเองบ่อย ๆ ว่า ฉันเป็นใครมีอำนาจอันใดจึงตัดสินผู้อื่น เพื่อว่าเราจะได้ลดความทะนงในความเก่งกาจให้ลดลงบ้าง เปลี่ยนเป็นความสุภาพอ่อนโอน เพราะโลกวันข้างหน้าต้องการความอ่อนโยนมากกว่าคนอวดเก่ง....

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เริ่มต้นด้วยรัก

เริ่มต้นด้วยรัก
เทศกาลมหาพรตปีนี้เริ่มต้นในวันวาเลนไทน์พอดิบพอดี เป็นเรื่องของความบังเอิญหรือเปล่า ??? แต่มองในแง่หนึ่ง เป็นการดีไม่น้อย ที่เราจะเข้าสู่เทศกาลแห่งการอด ลด ละ เลิก ด้วยรัก ใช่หรือไม่ บางที การออกจากตัวเองเป็นการแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างแท้จริงทีเดียว ในสังคมแห่งความฉาบฉวย ร่ำรวยด้วยข่าวการเลิกรา หย่าร้าง ของคนดัง คนสาธารณะมากมาย เวลาแต่งงานจัดงานกันอย่างมโหฬาร ออกข่าวใหญ่โตอย่างกับเป็นวาระแห่งชาติ ครั้นเมื่อมีอันเลิกร้างลากัน ก็จัดแถลงข่าว เราไปด้วยกันไม่ได้เพราะความแตกต่าง เพราะทัศนะคติไม่ตรงกัน และหลายหลากเหตุผลที่คนเราย่อมหามาพูด มาอ้าง เราเห็นและเสพข่าวเหล่านี้จนชินชากันเกินไปแล้วหรือเปล่า จนเริ่มกลายเป็นค่านิยมที่มองเห็นความรักเป็นเรื่องเปลือกที่เปราะบาง แทนที่จะส่งเสริมให้เห็นคุณค่าการครองคู่ และครอบครัว เพื่อสืบสานวัฒนธรรมที่งดงามให้คงอยู่ตลอดไป



            เริ่มต้นด้วยรักและต้องรักกันตลอดไป หาใช่...เริ่มต้นด้วยรักจบลงด้วยร้าง แบบนี้คือการสะท้อนความเป็นปัจเจกชนคนเห็นแก่ตัว เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมออกจากตัวเอง และเรามักตั้งคำถามว่าในสมัยนี้ยังมีรักจริง คู่แท้ คู่ชีวิต ที่พร้อมจะเคียงคู่กันไปจนแก่เฒ่าอยู่หรือไม่ คำตอบคือ มีแน่นอน หากเรารู้จักที่จะสละตัวเองเพื่อใครบางคนอย่างสุดจิตสุดใจให้เป็น เราก็สามารถรักผู้อื่น ผู้คนรอบข้างได้ไม่ยากเย็นนัก ช่วงเวลา 40 วัน ในรอบ 365 วัน คือช่วงพิเศษที่เราจะเพาะบ่มฟื้นฟูหัวใจรักให้รักให้เป็น เพื่อยืนยันในคำสอนที่เราศิษย์พระคริสต์ทุกคนต้องปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร นั่นคือการรักผู้อื่นเหมือนกับรักตัวเอง เริ่มจากรักคนที่อยู่ข้างกายเรา คนที่เคยสัญญาต่อกันว่าจะรักกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อไม่นานมานี้มีตัวอย่างเล็ก ๆ ในมุมหนึ่งของโลกใบนี้ที่ทำให้เรายังเชื่อมั่นและศรัทธาในความรักที่แท้จริง 
คู่สามีภรรยาชาวอเมริกัน รัฐแคลิฟอร์เนีย เฮเลน กับ เลส บราวน์ เกิดในวันเดียวกันคือ 31 ธันวาคม 1918 ทั้งสองพบรักกันที่โรงเรียน แต่พ่อแม่ฝ่ายชายกีดกันเพราะฝ่ายหญิงยากจนกว่ามาก เมื่ออายุสิบแปดทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกันแบบ ‘วิวาห์พาหนี’ ไปอยู่ด้วยกันเลย ด้วยความแตกต่างกันในสถานะทางสังคม และการไร้ความสนับสนุนจากครอบครัว ไม่มีใครคิดว่าคู่นี้จะไปรอด ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานถึง 75 ปี!
เฮเลนเสียชีวิตวันที่ 16 กรกฎาคม 2013 ไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงถัดมา เลสก็ลาโลกตามเธอไป ไม่มีวันที่เราจะพรากจากกัน!
แม่ลมูล แก้วสุวรรณ์ อายุ 93 ปี แต่งงานอยู่กินกับพ่อปลีก แก้วสุวรรณ์ มากว่าเจ็ดสิบปี มีลูกด้วยกันหกคน ทั้งสองไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเลย
พ่อปลีกอายุ 90 ปี สุขภาพแข็งแรง ส่วนแม่ลมูลป่วยกระเสาะกระแสะมากว่าปี ตลอดเวลานั้นพ่อปลีกดูแลนางอย่างดี ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำให้มาโดยตลอด ด้วยความรัก เมื่อแม่ลมูลป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล พ่อปลีกก็มีอาการซึมเศร้า กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนเมื่อแม่ลมูลเสียชีวิตวันที่ 11 สิงหาคม 2556 ไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงถัดมา พ่อปลีกก็ลาโลกตามภรรยาไป แม้จะยังแข็งแรง แต่เมื่อใจสลาย เขาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตทันที คนรักทั้งสองได้รับการฌาปนกิจพร้อมกันที่วัดไตรรัตนาราม นี่เป็นเรื่องของคู่แท้ที่อยู่ด้วยกันจนวันตายจริง ๆ (ข้อมูลจาก วินทร์ เลียววาริณ)


เมื่อไม่นานมานี้มีรักแท้จริง ที่บ้านโคกกุล ตำบลควนธานี อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง มีพิธีบำเพ็ญกุศลศพของสองสามีภรรยา คือ คุณพ่อติด คุ้นมาก อายุ 99 ปี และคุณแม่เคย คุ้นมาก อายุ 98 ปี โดยมีบรรดาลูกหลาน ญาติพี่น้อง มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก
สองตายาย แต่งงานกันมา 75 ปีแล้ว มีลูกด้วยกัน 8 คน รักเดียวใจเดียว ไม่เคยทะเลาะกัน เป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของความรักให้กับลูกหลาน โดยทั้งคู่เคยสาบานกันไว้ว่าจะไม่นอกใจกัน และหากจะตาย ก็ขอให้ตายไปพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้เกิดเป็นเนื้อคู่กันใหม่ในชาติหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา คุณพ่อติดก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นภรรยาหรือคุณแม่เคย ก็เศร้ามาก ไม่ยอมกินอะไร พูดว่าให้รอ ลูก ๆ ก็ได้แต่ทำใจ จากนั้น 5 วันต่อมาก็เสียชีวิตลง ลูก ๆ จึงได้จัดงานศพไว้คู่กัน และเผาพร้อมกันที่วัดควนธานี อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ความรักแท้มีอยู่จริง ๆ



ความรักที่แท้จริงระหว่างคนสองคนมีอยู่ในโลกนี้เสมอ และถ้ายิ่งมีมากขึ้น ๆ ความรักจะขยายผลไปสู่ลูกหลาน กระจายไปทั่วแผ่นดิน เราเริ่มเทศกาลมหาพรตที่ไม่ใช่เทศกาลแห่งความเศร้าโศก แต่เป็นเทศกาลที่เราต้องชำระล้างใจ ให้ร้างราจากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน เห็นแก่ได้ ลดละเลิกโลภ อยู่บนหนทางแห่งความพอดี เพื่อเราจะได้มีหัวใจที่พร้อมจะรัก เริ่มต้นด้วยรัก เชื่อมั่นศรัทธาในรัก พร้อมที่จะมอบให้กับทุกคน ในสังคมของวันนี้ที่ผู้คนไร้ราก ไร้รัก ให้ความรักในชีวิตของเราเป็นดังแสงสว่างที่จะส่องนำหนทาง เพื่อให้ทุกคนพบกับความงดงามและสันติสุข เฉกเช่นเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าผู้สละชีวิตของพระองค์ด้วยรักอย่างที่สุด เพื่อเราทุกคนจะได้รอดพ้นและพบกับชีวิตใหม่

วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

หนทางใจ

หนทางใจ
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มนักขับร้องวัดเซนต์หลุยส์ของเราบางส่วน มีโอกาสได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูและพักผ่อนที่บ้านสวนจันทน์รีสอร์ท จังหวัดจันทบุรี ซึ่งอยู่ห่างจากอาสนวิหารแม่พระปฏิสนธินิรมลไม่มากนัก พวกเราจึงได้ถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงาม สวดภาวนาด้วยกัน และมีน้อง ๆ เยาวชนของวัด อาสามาให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติวัดและชุมชนชาวจันทน์ และด้วยพื้นที่ของจังหวัดจันทบุรีติดทะเล ล้อมรอบด้วยภูเขาจึงมีแหล่งน้ำ แม่น้ำจันทบูร และลำธารมากมาย บ้านพักที่กลุ่มนักขับร้องไปพักก็อยู่ติดกับลำธาร มีเวลาลงเล่นน้ำ สัมผัสกับความเย็น อยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติ มีเวลาพูดคุยกัน ถามไถ่ความเป็นอยู่ซึ่งกันและกัน


ใช่หรือไม่ บางทีการมีชีวิตอยู่ในเมืองแม้เราจะไม่ไกลกันมากนัก แต่ความห่างของการสนทนาตาจ้องตา หน้าต่อหน้านั้นมีน้อยเต็มที เพระเราเสียเวลาไปกับสิ่งเร้าอื่น ๆ เวลาแบบนี้จึงเหมาะสำหรับการฟื้นฟูหัวใจของเรา หัวใจที่พร้อมจะรับฟัง หัวใจที่พร้อมจะเข้าใจ และพร้อมที่จะปรับจิตปรับใจให้รับรู้ถึงทัศนคติของผู้คนรอบข้าง ที่ล้วนเป็นศิษย์พระคริสต์ นอกจากนี้สิ่งที่เพิ่มเติมอีกประการหนึ่ง คือ การได้เห็นบางสิ่งที่แตกต่างไปจากวิถีเดิมของพวกเรา โดยคุณพ่อ ธีระพงษ์ ก้านพิกุล (คุณพ่อไข่ดาว)

ผู้ที่ครั้งหนึ่งได้มาวางรากฐานให้กับคณะนักขับร้องวัดของเรา ปัจจุบันคุณพ่อเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดพระหฤทัยฯ ขลุง ได้กรุณาช่วยจัดเตรียมเรือให้พวกเราท่องไปในลำน้ำอันกว้างใหญ่เพื่อเรียนรู้วิถีการเลี้ยงหอยนางรม และได้เป็นประธานในมิสซาให้พวกเราอย่างสง่างาม คำเทศน์สอนของคุณพ่อให้พวกเราทำกิจการของพระต้องทำด้วยหัวใจ ทุกกิจการที่เราทำให้พระอยู่เหนือกาลเวลาและเหนือกฎเกณฑ์ เหนื่อยบ้าง ท้อได้ แต่ต้องไม่ถอยห่าง พร้อมทั้งส่งพลังใจให้กับพวกเราด้วยเสียงเพลงที่คุณพ่อร้องให้พวกเราฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน


ตลอดสามวันสองคืนที่ใช้ลมหายใจร่วมกัน ช่วยกันทำนั่นทำนี่ให้กัน ปิ้งย่าง เสียบหมูเสียบผักผสมผสานเป็นอาหารมื้อเลิศ ความอร่อยอยู่ที่น้ำใจที่แต่ละคนใส่ลงไปเป็นมื้ออาหารที่ไม่ใช่แค่อิ่มเอมแต่เปรมปรีดิ์มากกว่า นั่งมองสายน้ำในลำธาร ที่มีคลื่นลมให้ผิวน้ำเป็นลอนล่องคลื่น ความงามที่เกิดจากสองสิ่งมากระทบกัน แต่ผสานกันอย่างลงตัว ยิ่งคิดถึงสภาวะของผู้คนในปัจจุบัน ที่ล้วนมีความต่าง และเมื่อมีใครผู้หนึ่งผู้ใดก้าวก่ายข้ามเขตแดนความต่างเข้ามา ต้องแตกหัก เกิดแรงกระแทกแรงปะทะ จึงมีแต่ความขัดแย้ง เพราะเราประเมินค่าผู้คนด้วยสายตา หาได้ใช้หัวใจ เราอยู่ในสังคมที่ใช้ประสาทสัมผัสตัดสินผู้คน โดยไร้หัวใจ ขณะที่เรารู้สึกกับคนหนึ่งที่ไม่ถูกชะตาหรือไม่ถูกจริตกับเรา เมื่อได้มีเวลานั่งฟังด้วยหัวใจกลับรู้สึกว่าการตัดสินของเราที่ผ่านมามันใช้เพียงอารมณ์ เป็นคลื่นที่ซัดสาดให้เกิดแรงกระแทกมากกว่า เมื่อได้สัมผัสประสบการณ์คนอื่นด้วยหัวใจ เรากลับพบคลื่นบนผิวน้ำนั้นช่างพลิ้วไหวและนิ่มนวลสวยงาม ก่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นเป็นอยู่ บางทีเราต้องใช้หัวใจจึงเกิดศรัทธาในชีวิตของคนอื่นมากขึ้น

ก่อนกลับพวกเราได้ทำกิจกรรมสุดท้ายด้วยกัน เริ่มต้นด้วยการจับคู่คนที่เราอยากจะพูดคุยมากที่สุด แล้วให้แต่ละคนวาดสัญลักษณ์ที่สื่อถึงคนที่อยู่ตรงหน้าเรา เมื่อเสร็จแล้วมีการแบ่งปันกันว่าทำไมจึงเลือกวาดออกมาเป็นอย่างนั้น บางทีในตัวเราแต่ละคนมีมุมงดงามที่คนอื่นมองเห็น แต่เราอาจจะไม่รู้ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมองผู้อื่นในมุมที่งดงามให้เป็น ต้องมองให้เห็นพระที่สถิตในเราแต่ละคนให้ได้ ชีวิตกลุ่มจึงจะเกิดขึ้น
จากนั้นพวกเราก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม นั่งแถวตอนลึกเป็นกิจกรรมบอกต่อ ให้คนแรกบอกสีของลูกปัดให้คนที่สอง แล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จนถึงสองคนสุดท้ายให้ช่วยกันร้อย ให้เหมือนต้นแบบที่อยู่ด้านหน้า ครั้งแรกทั้งสองกลุ่มทำไม่ประสบผลสำเร็จ แต่พอมีเวลาพูดคุย ตกลงกันว่าควรทำอย่างไร เพียงรอบที่สองก็สามารถที่จะร้อยเรียงลูกปัดให้ออกมาเหมือนต้นแบบได้อย่างถูกต้อง การรู้จักฟังอย่างตั้งใจและจริงจังนำมาซึ่งความถูกต้องเสมอ ชีวิตจริงในปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมที่ไม่ค่อยจะฟังกัน ต่างฝ่ายต่างตั้งแง่ ตั้งมาตรฐานตามใจตัวเอง จะบอกจะกล่าวอะไรไม่ฟังกัน ปัญหาเล็ก ๆ ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ นำความแตกแยกมาสู่ความสัมพันธ์เก่าก่อนให้ล่มสลายไป และแน่นอนทีเดียว การฟังที่ดีก็ต้องฟังด้วยหัวใจ



กิจกรรมสุดท้ายที่เราทุกคนต้องร่วมกันทำเป็นกลุ่มใหญ่คือการลำเลียงน้ำจากถังผ่านท่อที่มีขนาดแตกต่างกัน จากท่อหนึ่งสู่ท่อหนึ่งส่งไปให้น้ำเต็มขวดภายในเวลาที่กำหนด เช่นเคย รอบแรกทั้งกลุ่มทำไม่ได้ แต่พอตั้งหลัก มีการบอกกล่าวจัดการพูดคุยรับฟังกันและตั้งใจทำตามที่ตกลงกัน ไม่นานน้ำก็เต็มขวดและทันเวลากำหนด สิ่งสำคัญของชีวิตกลุ่ม ชีวิตหมู่คณะคือการยอมรับความคิดของคนส่วนใหญ่ ไม่ถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ให้ความร่วมมือตามความสามารถของเรา ไม่เกี่ยงงอน ความแตกต่างของเราแต่ละคนเมื่อนำมารวมกัน นำมาผสมผสานกันได้เมื่อไรความลงตัว ความสวยงามก็จะบังเกิดตามมา เฉกเช่นการขับร้องประสานเสียง หากมีการฟังกัน มองตากัน เข้าใจกัน บทเพลงที่ออกมานั้นย่อมไพเราะ และเหมาะสมที่จะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับพี่น้องทุกคน นี่คือเป้าหมายสูงสุดของคณะนักขับร้องวัดเซนต์หลุยส์ของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คุณค่าลมหายใจ

คุณค่าลมหายใจ
โลกทุกวันนี้เราเสพติดสื่อกันตั้งแต่ลืมตาตื่น ส่วนใหญ่เป็นข่าวที่หาสาระประโยชน์ต่อจิตวิญญาณได้น้อยมาก มักเป็นเรื่องความขัดแย้ง หย่าร้าง ฆ่ากัน นาน ๆ จะมีสารที่ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของชีวิต เฉกเช่นจดหมายสุดท้ายจากสาวป่วยมะเร็ง เมื่อใกล้ถึงวันที่ความตายจะมาเยือน เธอได้เขียนข้อความ ที่เหมือนเป็นการแนะนำทางชีวิต สร้างความสะเทือนใจไปทั่วโลกออนไลน์ วันนีจึงขอขอนำมาเสนอ ไตร่ตรองกันดู


 "มันก็แปลกอยู่นะที่ฉันจะต้องยอมรับความตายในวัยแค่ 26 ปี ความตายเป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวอย่างเรามักจะเพิกเฉย เพราะเราคิดว่ายังจะมีวันพรุ่งนี้เสมอ เราจะมีชีวิตไปเรื่อย ๆ ความตายเป็นเรื่องของวันข้างหน้าที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ ฉันนึกภาพตัวเองตอนแก่ หน้าเหี่ยว ผมหงอกเต็มหัว อยู่ท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น มีหลาน ๆ วิ่งเต็มบ้าน ฉันอยากจะสร้างครอบครัวกับคนรักอย่างที่ฝันไว้
ฉันอยากได้ชีวิตแบบนั้น
             คิดแล้วก็ทรมานเหลือเกิน
ชีวิตที่เรารักนี้มันเปราะบาง คาดเดาอะไรไม่ได้เลย ทุกวันที่มีชีวิตคือของขวัญต่างหาก ไม่ใช่การดำรงอยู่เพราะเรามีสิทธิที่จะมีชีวิตต่อไปอย่างที่เข้าใจ ตอนนี้ฉันอายุ 27 ปีแล้ว ฉันรักชีวิตของฉัน ฉันมีความสุขกับมัน ฉันมีความรักที่ดี แต่ไม่มีใครควบคุมชะตาชีวิตได้ทั้งนั้น ฉันเขียนโพสต์นี้ก่อนฉันจะตาย ความตายน่ากลัว แต่เราต่างก็มองข้ามและพยายามไม่คิดถึงมัน  ฉันก็เคยคิดว่ามันคงไม่ได้จะเกิดกับตัวเองหรือใครในเร็ววัน การคิดถึงความตายเป็นเรื่องที่แย่จริง ๆ


สิ่งที่ฉันอยากจะบอกคือ คุณเลิกกังวลกับปัญหางี่เง่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ความเครียดที่ไม่ได้สลักสำคัญที่เกิดกับชีวิตเสียเถอะ และพึงระลึกว่าเราต่างต้องเผชิญกับโชคชะตาทั้งนั้น สิ่งที่เราทำได้ควรจะเป็นการใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความรู้สึกที่ดี มีคุณค่าในตัวเอง ตัดเรื่องปัญญาอ่อนออกไปเหอะ
ฉันใช้เวลาคิด ไตร่ตรองชีวิตของตัวเองในวาระสุดท้ายนี้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และมันมักจะโผล่ขึ้นมากลางดึกซะด้วย ในช่วงเวลาที่คุณเอาแต่บ่นกระปอดกระแปด ขอให้รู้ว่าคนอื่นก็เจอปัญหาแบบเดียวกับคุณและอาจจะอยู่ในเงื่อนไขที่แย่กว่า โยนมันทิ้งไปเถอะ
ต้องยอมรับนะว่าบางเรื่องมันก็กระทบจิตใจและสร้างความรำคาญให้ชีวิต แต่อย่าแบกมันเอาไว้ เพราะตัวคุณเองก็จะส่งต่อผลกระทบทางลบไปที่ชีวิตของคนอื่นรอบข้างด้วย
 เมื่อคุณเริ่มเหวี่ยงหรือปล่อยพลังลบให้คนอื่น ขอให้เดินออกมาจากตรงนั้นก่อน หายใจเข้าลึก ๆ ให้เต็มปอด ดูท้องฟ้าที่ยังสดใส ดูความเขียวชอุ่มของต้นไม้ เห็นไหมว่ามันสวยงามมากเลย คุณโชคดีแค่ไหนแล้วที่คุณยังมีชีวิตและหายใจได้ในตอนนี้
วันที่คุณเซ็งกับรถติดหรืออาจจะนอนน้อยเพราะลูกปลุกคุณทั้งคืน ช่างตัดผมตัดให้คุณสั้นเกินไป เล็บที่ไปต่อมาเป็นรอยไม่สวย คิดว่าตัวเองนมเล็กเกินไป หรือคุณอาจกังวลกับเซลลูไลต์ที่ต้นขาและพุงที่น่าเกลียดของตัวเอง
คุณปล่อยเรื่องบ้า ๆ พวกนี้ทิ้งไปเหอะ
ฉันสาบานว่าคุณจะไม่มีวันคิดเรื่องพวกนี้อีกถ้าคุณกำลังจะตายในอีกไม่ช้า เป็นเรื่องสำคัญนะที่คุณจะต้องถอยออกมาแล้วมองชีวิตแบบภาพรวมทั้งหมด ตัวฉันเองเห็นร่างกายของตัวเองเสื่อมสลายไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ฉันทำอะไรกับมันไม่ได้เลย สิ่งที่ฉันต้องการคือ ฉันอยากจะอยู่ให้ถึงวันเกิดของตัวเองหรือวันคริสต์มาสที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว วันที่ฉันจะได้เล่นกับหมา มีความสุขกับคนที่รัก


แค่อีกสักครั้งเท่านั้น
ฉันได้ยินคนเอาแต่บ่นเรื่องปัญหาจากการทำงาน หรืออ้างแต่ว่าไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย จงสำนึกในตอนนี้เถอะว่ามันดีแค่ไหนแล้วที่ร่างกายคุณยังทำงานหรือขยับเขยื้อนได้ แต่ละวันที่คุณทำงานหรือแต่ละก้าวที่คุณออกวิ่ง มันดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยมาก ๆ นะ แต่มันจะมีค่ามาก ถ้าคุณพบกับวันที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยอีกต่อไป
ฉันพยายามที่จะดูแลตัวเอง นั่นเป็น Passion ของฉันเลยล่ะที่อยากจะมีสุขภาพแข็งแรง จงรักร่างกายของตัวเองเถอะ แม้ว่ารูปร่างเราอาจจะไม่ได้เป๊ะอย่างที่อยากก็ตาม ดูความมหัศจรรย์ของมัน กินอาหารที่สดและเป็นประโยชน์ รักตัวเอง แต่อย่าหลงใหลมันเกินเหตุนะ
จำเอาไว้ คำว่าสุขภาพที่ดีความหมายกว้างกว่าการมีร่างกายแข็งแรง สิ่งที่สำคัญคือสุขภาพจิต อารมณ์ และความสุขในระดับจิตวิญญาณต่างหาก เมื่อกลับมามองใหม่ คุณจะพบว่าเรื่องที่มีสาระยังมีมากกว่าการมีรูปร่างที่ดีไว้อวดในโซเชียลมีเดีย ไปลบหรือ unfollow เพจที่คุณอ่านแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ซะ หรือกระทั่งเลิกยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนหรือใครก็ตามทีที่ทำให้คุณภาพชีวิตคุณตกต่ำ
จงดีใจเถอะถ้าวันนี้ร่างกายคุณยังแข็งแรงดีอยู่ หรืออาจจะแค่เป็นหวัด เมื่อยหลัง หรือข้อเท้าเคล็ดก็ตาม อาการพวกนี้ไม่ทำให้ถึงตายหรอก เดี๋ยวก็หาย
บ่นให้น้อยลง แล้วเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเถอะ
โปรดให้ ให้ และให้ผู้อื่นเสมอ เรามักจะมีความสุขเวลาที่ทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่นมากกว่าตอนที่ทำเพื่อตัวเองเสมอล่ะ ตัวฉันเองก็ยังอยากจะทำดีกับคนอื่นให้มากกว่านี้
ตั้งแต่ป่วยมา ฉันพบกับสิ่งวิเศษ ผู้คนที่จิตใจดีทั้งคนรู้จักและคนแปลกหน้า ความรักและกำลังใจจากครอบครัวที่ยอดเยี่ยมของฉัน พวกเขาให้ฉันมากเหลือเกิน มากกว่าที่ฉันจะตอบแทนได้หมด ฉันจะไม่มีวันลืมพวกเขาและสิ่งดี ๆ นี้เลย
เรื่องเงินก็ด้วย บทจะตายจริง ๆ ฉันไม่ได้คิดเรื่องการใช้เงินเลย มันไม่ใช่เวลาที่เราจะออกไปช้อปปิ้งและซื้อของที่ชอบ ซื้อชุดใหม่ที่อยากใส่ ตัวฉันเองคิดได้ว่าตัวเรานี่ใช้เงินไปเยอะมากกับเรื่องเสื้อผ้าและเรื่องสิ้นเปลืองอื่น ๆ ในชีวิต ตลอดช่วงที่ผ่านมา



             วัน ๆ คุณอาจจะคิดแต่เรื่องการซื้อชุดใหม่ ของสวยงาม เครื่องประดับที่จะใส่ไปงานแต่งงานของเพื่อนครั้งต่อไป โดยที่คุณไม่รู้หรอกว่า 1. ไม่มีใครมานั่งดูหรอกว่าคุณใส่ชุดซ้ำหรือเปล่า 2. เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่จะเอาเงินไปใช้ชีวิต กินข้าว ได้อยู่กับเพื่อน ๆ อาจจะซื้อต้นไม้ หรือชุดสวย ๆ ไปให้พวกเขา หรือจะหากิจกรรมดี ๆ ด้วยกันก็ได้จงเห็นคุณค่าในเวลาชีวิตของคนอื่น อย่าปล่อยให้พวกเขารอคุณเพราะนิสัยสายเสมอของคุณ เพื่อน ๆ อยากใช้เวลากับคนที่ไปถึงก่อนเวลาและแชร์สิ่งที่ดีกับพวกเขา ตัวคุณเองก็จะได้รับความเคารพจากพวกเขาเช่นกัน
ปีนี้ ครอบครัวของฉันไม่ได้ให้ของขวัญกันหรือตกแต่งต้นคริสต์มาสเหมือนเคย มันก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ไม่ต้องกดดันว่าต้องไปหาซื้อของหรือเขียนการ์ดให้คนอื่น แต่ฉันก็แอบคิดนะว่าฉันน่าจะได้ของขวัญ มันอาจจะดูเหยาะแยะ แต่พวกการ์ดอวยพรที่เขียนให้กันมีความหมายกับฉันมากกว่าของขวัญที่ซื้อกันช่วงเทศกาลเสียอีก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่กว่าคริสต์มาสที่มีความหมายหรอก
ใช้เงินของคุณไปกับประสบการณ์ที่ดีเถอะ หรืออย่างน้อยก็อย่าผลาญเงินไปจนหมดจนคุณไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลย คุณอาจจะขับรถไปชายหาดสักที่ จุ่มเท้าในน้ำหรือแทรกมันลงในกองทราย ให้น้ำทะเลเปื้อนหน้าบ้าง


จงอยู่กับธรรมชาติ
ดื่มด่ำกับสิ่งรอบตัวในช่วงเวลาที่ดี ไม่ใช่เอาแต่ถ่ายรูปหรือเล่นมือถืออย่างเดียว ชีวิตจริงไม่ใช่ความเคลื่อนไหวที่หน้าจอหรือคอยแต่มามุมถ่ายรูปที่สมบูรณ์แบบ ใช้ชีวิตกับมัน อยู่ตรงนั้น มีความสุขกับช่วงเวลานั้นเถอะ ไม่ต้องเผื่อแผ่คนอื่น
เรื่องที่ฉันไม่เข้าใจคือ ทำไมผู้หญิงต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงเพื่อแต่งหน้าทำผมในแต่ละวัน หรือกระทั่งคืนที่ออกไปเที่ยวก็ตาม ลองตื่นให้เช้าขึ้นสิ ฟังเสียงนกร้องและดูความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้น ฟังเพลง ฟังมันจริง ๆ ถึงรายละเอียด การบำบัดด้วยดนตรีมันดีจริงนะ
เล่นกับหมาที่คุณเลี้ยงด้วย
            แย่จัง ฉันจะไม่ได้ทำมันแล้ว
คุยกับเพื่อน เลิกสนใจมือถือ ใส่ใจหน่อยว่าชีวิตเพื่อนคุณโอเคหรือเปล่า
ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ อย่าพลีชีพเพื่อการทำงาน
คุณต้องทำให้หัวใจของคุณมีความสุข
กินเค้กเหอะ ไม่ต้องรู้สึกผิด
ไม่ต้องไปไล่ตามคนอื่น ไม่ต้องพยายามเติมเต็มชีวิตแบบที่คนอื่นทำ คุณอาจต้องการแค่ชีวิตพื้น ๆ สบาย ๆ เท่านั้น มันโอเคนะ !


บอกรักคนที่คุณรักทุกครั้งที่มีโอกาส รักในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมี
และเมื่อมีสิ่งใดที่ทำให้คุณทุกข์ คุณสามารถเปลี่ยนมันได้ จะเรื่องงาน เรื่องความรักหรือเรื่องอะไรก็ตามที คุณเปลี่ยนมันได้แน่ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณเหลือเวลาอยู่บนโลกใบนี้อีกนานแค่ไหน อย่าไปเสียเวลากับปัญหาเลย ทุกคนพูดประโยคนี้กันหมดและมันเป็นเรื่องจริงที่สุด
เอาเถอะ ถือว่าเป็นคำแนะนำจากฉัน คุณจะสนใจหรือไม่ก็ตามที
โอ้..และสิ่งสุดท้าย ถ้าคุณสามารถทำอะไรดี ๆ เพื่อเพื่อนมนุษย์อย่างเช่นการบริจาคเลือด มันจะทำให้คุณรู้สึกยอดเยี่ยมที่ได้ช่วยชีวิตคนอื่น การบริจาคแต่ละครั้งช่วยผู้ที่ต้องการมันได้ถึง 3 คนแน่ะ มันทำง่ายและผลของมันยิ่งใหญ่จริง ๆ 
ฉันมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ก็เพราะเลือดบริจาคของคนอื่นนี่แหละ ทำให้ฉันอยู่ต่อได้อีกตั้งปีหนึ่ง ปีที่ฉันตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดบนโลกใบนี้กับครอบครัว เพื่อน และหมาที่ฉันรัก อีกสักปีที่จะยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของฉัน
หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะ   : ฮอล"

ขอบคุณเพจ BizKlass by Lek Monchai จดหมายฉบับสุดท้ายของ ฮอลลี่ บัตเชอร์ ได้โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กของเธอ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2561 ก่อนที่อีกเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมงจากนั้น เธอก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ