วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สูงเด่นเช่นดังน้ำตก

 

สูงเด่นเช่นดังน้ำตก

ของที่ตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มักจะเร็วและแรงตามหลักแรงโน้วถ่วงของโลก แต่ก็มีบางสิ่งที่หล่นมาจากที่สูงดูอ่อนไหว ดูนุ่มนวล งดงาม สิ่งที่นึกถึง คือ น้ำตก เวลาได้เห็นภาพ หรือได้ไปเที่ยวชมยังน้ำตก มักจะคิดว่าน้ำนั้นมันโผล่มาจากตรงไหน และก็ไม่เคยขึ้นไปถึงยังจุดเริ่มของน้ำตกนั้นเลยสักครั้ง เพียงแต่ได้ยลโฉม รับความสดใสเบิกบานตามชั้นที่น้ำไหลลงมา น้ำตกในหลาย ๆ แห่ง ธรรมชาติจัดสรรให้น้ำนั้นตกลงมายังชั้นหินตามภูเขา จากชั้นหนึ่งลงมาชั้นหนึ่งลดหลั่งลงมา จากความแรงกระทบความแข็ง กลับกลายเป็นความอ่อนเบาใสสด สร้างความร่มเย็นให้สรรพสิ่ง


และหากว่าผู้คนจะเห็นวิถีธรรมที่สอนเรา
จะเข้าใจว่า คนเรายิ่งอยู่สูงจะด้วยฐานะ หน้าที่ ตำแหน่งแห่งหน ย่อมจะก่อให้เกิดความรุนแรงได้ง่าย แต่หากการปฏิบัติตนของเรามีความอ่อนโยน มีความรู้จักจะลดแรงปะทะ รู้จักที่จะพักคอย เข้าใจคนอื่นบ้าง อำนาจหรือคำสั่งการเหล่านั้นก็จะกลายเป็นความร่มเย็นให้กับชุมชน ให้กับสังคมที่เราสังกัด แต่วันนี้ในสังคมเราหาได้เป็นเช่นน้ำที่ไหลลงมาอย่างน้ำตก เรากลายเป็นน้ำป่าที่ไหลทะลักทะลุทะลวงไปทุกที่ที่ไปได้ ทำลายสิ่งที่ขว้างหน้า เพียงเพื่อไหลไปให้ถึง ยังจุดหมาย แข่งขันด้วยความเร็ว ทะยานด้วยความโหยหาโลภ อยากได้ใคร่มี เราจึงเห็นแต่ความระทมทุกข์ภายในเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า

พระเยซูเจ้าสด็จสู่สวรรค์สู่ที่สูงสุด ก็ไม่เคยใช้ความสูงส่งแรงปะทะมาสู่โลกเรา มีแต่ส่งความรักความห่วงใย มาให้ผู้ไว้วางใจในพระองค์เสมอมา ทั้ง ๆ ที่เรายังตรึงแขวนพระองค์อยู่ในทุกเช้าค่ำ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่พระองค์จะทรงทำรุนแรงกับมนุษย์เรา มีแต่ความร่มเย็น ให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ในความรักของพระองค์ เราได้อยู่ในธารเมตาธรรมของพระองค์แล้วหรือยัง?

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ใครอีกคนในตัวเรา

 

ใครอีกคนในตัวเรา

>>> เราเป็นใคร ใครเป็นเรา ในวันนี้ เมื่อวันนั้น

เราเปลี่ยนไป เปลี่ยนตามครรลองหรือเปลี่ยนตามกระแส

เป็นคนดี หรือเพียงแค่อวดดี เราเป็นเรา หรือเป็นใครกันแน่ในวันนี้? <<<

            เมื่อสถานการณ์โรคโควิด 19 เริ่มปรับความร้ายแรงลดลง ทำให้กิจกรรมหลาย ๆ อย่างกลับมาดำเนินการกันอีกครั้ง โดยเฉพาะโรงเรียน การเรียนการสอนที่ต้องหยุดการมาเรียนที่โรงเรียนไป 2 ปีกว่า ๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง ก็หวังว่าเราทุกคนคงเริ่มขยับปรับตัวกันได้ตามสภาพ หลายคนอาจจะยังคงชินกับการทำการที่บ้าน ในช่วงวิกฤตเราเห็นการเปลี่ยนทาสังคมอย่างเงียบ ๆ แต่รวดเร็ว นั่นคือ การใช้โทรศัพท์มือถือสื่อโซเชี่ยลที่เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตเราอย่างมาก ก่อเกิดวัฒนธรรมใหม่ ก่อเกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ ทั้งด้านดีงามและด้านหยาบทราม


คิดว่าเป็นเหมือนกันเกือบทุกคนยุคใหม่ ว่างเมื่อไรก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิด ถู ๆ ไถ ๆ ไป มีสารพัดให้เสพ ชอบสิ่งไหน สิ่งนั้นก็จะวนเวียนมาให้เห็นเรื่อย สิ่งที่เราคิดเราดู ชอบหาเสพในสื่อก็วนเวียนเข้ามาหาเราทุกวี่วัน นี่เป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สถิตกับเรา และมันก็ซึมเข้าไปอยู่ในความทรงจำแบบไม่รู้ตัว จนวันหนึ่งก็เกิดการอยากมีอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง และก็ต้องพยายามเป็นให้ได้อย่างนั้น เราเสพซึมเข้ามาในเส้นเลือด จนเรากลายเป็นใครก็ไม่รู้ พฤติกรรมเราเริ่มเป็นเหมือนคนที่เราติดตามจากสื่อใหม่นี้ จากไม่มีตัวตนก็พยายามดิ้นรนให้มีตัวตนเป็นคนมีพื้นที่เหมือนเขาบ้าง อยากจะเป็นคนเด่นคนดังมีคนติดตาม มีคนค่อยชื่นชมยกนิ้วโป้งให้ ต้องหา Content โพสต์ลงในโซเชี่ยลกันทุกวัน จนกลายเป็นกิจกรรมหลักของใครหลายคนไปเสียแล้ว ทำอะไรนิด อะไรหน่อยต้องบอกชาวโลก สมัยนี้เราอยู่เงียบ ๆ กันไม่เป็น เราอยู่กับตัวเองไม่ได้ นั่นแปลว่า เราอยู่กับพระในตัวเราไม่เป็น สนทนากับพระเจ้าไม่ได้เสียแล้ว เราเปลี่ยนไปกันมาก ต่างคนต่างเปลี่ยนตัวตนจนหลงลืมความเป็นตัวตนที่พระมอบให้เรามา


ในการเสพสื่อโซเชียลได้เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเอง เพราะมันคือโลกเสมือนจริง แต่เรากลับคิดว่า โลกจริง เพราะมันทำให้เรากลายเป็นคนที่มีคนรู้จัก เลยคิดว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียง หรือมีฐานะทางสังคมเหมือนกับคนที่เราติดตาม ทำไปทำมาคิดว่า เป็นตัวเราจริง ๆ ทำให้หลงลืมสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยมี ที่เราเคยเป็น เรียกว่าลืมกำพืดตัวเอง ในที่สุดเราก็กลายเป็นอีกคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน รู้สึกภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ ดีพร้อม อยู่ในสถานะเหนือกว่าคนอื่น จึงเกิดอาการกดทับ บังคับคนอื่น ไม่เคยผิดเลยสักครั้ง เมื่อเกิดการผิดพลาด ก็หาคนมารับโทษ เมื่อไม่มีใครให้โทษ ก็โทษฟ้าโทษดินโทษพระเจ้า เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางบัญชาการ เพียงเพื่อให้คนมายอมรับตัวเองตลอดเวลา คิดว่ายิ่งใหญ่ พอใครจะพูด จะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ก็มักจะไม่ฟังกัน แถมโต้เถียงเอาความคิดตังเองเป็นที่ตั้ง  คนรอบข้างก็เริ่มถอยห่างไปทีละคน เพราะเราไม่เหมือนเดิมที่เคยรู้จัก อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย เพราะมันจะนำมาซึ่งความล่มสลายทางจิตวิญญาณ สันติสุขในจิตใจเราไม่มี เพราะแท้จริง ที่เราพยามเป็นใครสักคนในตัวตนเรานั่น เกิดมาจากความกลัว และไร้ความวางใจในพระเจ้า  นั่นเอง

“เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย เราให้สันติสุขของเราแก่ท่าน เราให้สันติสุขแก่ท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว หรือมีความกลัวเลย”  คำสอนนี้จะทำให้เราเป็นตัวของเราตามแบบที่พระมอบให้เราแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน โลกสวยงามเพราะความต่าง อย่าเอาความเป็นคนอื่นมาสู่ชีวิตเรา แต่จงเอาความดี ความรัก ความเมตตาของกันและกันมาโถมใส่ในชีวิตเราให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อสันติสุขจะคงอยู่ตลอดไป  

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

จงรักจึงรอด

 

จงรักจึงรอด

>>> โลกวันนี้ดูน่ากลัว และน่ากลัวมากขึ้นทุกวัน

โลกวันนี้ดูวุ่นวาย และวุ่นวายขึ้นทุกวัน นำศรัทธามาปะปนกับคติการเมืองเรื่องส่วนตัว

อยู่อย่างกล้าท้าความกลัว มีมุมสงบเล็ก ๆ เพื่อสร้างสันติ คุณค่าคู่ควรของวันนี้ <<<



ค่าเงินดิจิทัลเหรียญคริปโตถล่มอย่างหนัก วิกฤตความเชื่อมั่นที่มีต่อเหรียญต่าง ๆ ทำท่าว่าจะร่วงลงแรงตามมา คนที่เคยลงทุนที่ย่ามใจว่าเป็นตลาดในการหาเงิน ทำกำไรง่าย ๆ กำลังสูญเสียกันทั่วหน้าภายในคืนเดียว เป็นยิ่งกว่าพายุโหมกระหน่ำใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว ในโครงสร้างระบบที่ทุกคนคิดว่าปลอดภัยที่สุด ก็ยังมีช่องว่างให้โจมตี นี่คือ สงครามเศรษฐกิจในระบบใหม่

วิกฤตศรัทธาต่อศาสนาก็ยังคงมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ผู้นำจิตวิญญาณผู้นำจิตใจควรมุ่งสอนในทางสงบ แต่หลายบุคคลกลับสยบยอมต่อความโลภ ความหลงของตัวเอง ท่ามกลางความหลงในศรัทธาของผู้คน ท่ามกลางโลกที่มีแต่คนออกมาโอ้อวดสารพัดสารเพสรรพคุณ กระแสแรงในโลกออนไลน์ ยิ่งกว่าฟ้าฝนที่โหมเทสาดลงมา นำมาซึงความเสื่อมศรัทธา เป็นสงครามความเชื่อ

ท่ามกลางความหวาดหวั่นต่อสงครามที่ก่อตัวจากคนที่มีอำนาจไม่กี่คนบนโลกใบนี้ กำลังเขย่าโลกทั้งใบให้สั่นไหว หัวใจผู้คนไร้รักจึงจมปลักกับความโกรธเกรี้ยวกันเหลือคณานับ จะมีสักกี่ยุคกี่สมัยที่โลกใบนี้ปราศจากการรบราฆ่าฟันกัน ไม่เคยมี พัฒนาอาวุธเพื่อป้องกัน คือ ข้ออ้าง อาวุธ คือ สินค้าฆ่ารัก ประหารเมตตา แล้วเราจะมีความสงบสันติกันได้เช่นไร จะหาความรักความเมตตาได้จากไหน? คำตอบ คือ จากตัวเราจากใจเรา สร้างมุมรักเล็ก ๆ สร้างเรือนเมตตาน้อย ๆ ในพื้นที่ของเราให้เกิดขึ้น กลางพายุที่โถมใส่ บางทีเราจะยังมีมุมงดงามซ่อนอยู่

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีพระราชา ทรงจัดประกวดภาพวาด “สันติ” ที่งามที่สุด ศิลปินจำนวนมากส่งผลงานเข้าประกวด  พระราชาทรงพินิจพิจารณาแล้วเลือกได้สองภาพที่ทรงโปรดที่สุด  พระองค์ต้องทรงตัดสินว่าจะให้ภาพใดได้รางวัล

ภาพหนึ่งเป็นภาพทะเลสาบสงบนิ่ง ผิวน้ำใสดุจกระจกเงา สะท้อนภาพภูเขาแวดล้อม เหนือหัว คือ ผืนฟ้าสีฟ้า เมฆขาวลอยเอื่อย  ทุกคนที่เห็นภาพนี้คิดว่านั่นคือภาพสันติที่งดงามสมบูรณ์



อีกภาพหนึ่ง คือ ภาพทิวเขาเช่นกัน แต่เป็นเทือกเขาหัวโล้นทุรกันดาร เหนือหัว คือ ฟ้าพิโรธ ฝนกระหน่ำหนัก สายฟ้าแปลบปลาบ  ข้างล่าง คือ น้ำตกทะลักลงจากเขา สายน้ำคลุ้มคลั่ง  มองอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่ามีสันติ

ทว่า เมื่อพระราชาทรงพิศมองใกล้ ๆ ก็ทรงเห็นว่าหลังน้ำตกมีพุ่มไม้เล็กโผล่ขึ้นจากร่องแยกในโขดหิน  ในพุ่มไม้มีแม่นกสร้างรังอยู่  ณ ที่นั้น กลางสายน้ำโกรธเกรี้ยว แม่นกนั่งนิ่งอยู่ในรัง  อยู่ในสันติโดยสมบูรณ์ พระราชาควรจะทรงเลือกภาพใด? แน่นอน ทรงเลือกภาพที่สอง เหตุผลหรือ?

“เพราะสันติไม่ได้หมายถึงการอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงัด ไร้สรรพสำเนียง ไร้ความยากลำบาก หรืองานหนัก” ทรงให้คำอธิบายต่อว่า “สันติหมายถึงการอยู่ท่ามกลางสิ่งทั้งหมดนี้ แล้วยังคงความสงบนิ่งในใจ  นั่นคือ ความหมายที่แท้จริงของสันติ”  (ที่มา: วิภาดา กิติโกวิทย์)

แล้ววันนี้ท่ามกลางวิกฤตหลากหลาย เรามีใจที่นิ่งสงบมากน้อยเพียงใด ศรัทธาที่แท้จริงมิใช่เรื่องการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว อยู่ที่เรามีเมตตาต่อโลกนี้เพียงใด ท่ามกลางการรบราฆ่ากัน เพียงเพื่อช่วงชิงอำนาจ แต่อำนาจใดเลยจะยิ่งใหญ่กว่าอำนาจแห่งความรักที่มีต่อกันเล่า? ลองนิ่ง ๆ เราจะรู้ว่าหลังจากต้องทนทุกข์กันมานาน จิตวิญญาณของเราย่อมโหยหาสิ่งที่สูงส่ง ที่อบอุ่นกว่า บริสุทธิ์กว่าวีถีเดิม ๆ ของโลกใบนี้ นั่นคือ ความรัก

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

รู้จักดีแล้วหรือ

 

รู้จักดีแล้วหรือ

>>> เรารู้จักคนเยอะ แต่จะมีกี่คนรู้จักจริง ๆ

คนที่รู้จักจริง ๆ ในชีวิตเรามีสักกี่คน

สุดท้าย บ่อยครั้งที่เรายังไม่รู้จักตัวเองดีพอ <<<

พอเรามีอายุมากขึ้น ก็เริ่มที่อยากจะอยู่เงียบ ๆ คนเดียวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เห็นความวุ่นวาย กระเสือกกระสน กระวนกระวาย เป็นเรื่องน่าเบื่อ การพบปะเพื่อนฝูงเริ่มห่างหาย แต่กลายเป็นการพบกับหมอพยาบาลแทนเป็นว่าเล่น พบกันเดือนละหลายหน ในแต่ละวันที่พ้นผ่านไป เริ่มมองหาความสุขใกล้ ๆ ตัว ไม่แสวงหาตำแหน่งหน้าที่งานให้มากล้น มีเวลาละเมียดละไมกับไออุ่นของกาแฟยามเช้า มีเวลาสนทนากับคนในบ้านในมื้ออาหารยามค่ำ บางทีชีวิตที่ผ่านมาดิ้นรนแทบตาย สุดท้ายความสุขอยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง มีเรื่องหนึ่งที่เคยอ่าน แล้วประทับใจขอนำมาแบ่งปัน

เมื่อเศรษฐีพันล้าน ฟีมี โอเทโดลา [Femi Otedola] นักธุรกิจชาวไนจีเรีย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เขาถูกถามว่า ท่านครับ ท่านจำอะไรได้บ้าง!? ที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุดในชีวิต

ฟีมี โอเทโดลาตอบว่า ผมผ่าน “4 ขั้นตอนของความสุขในชีวิต” มาแล้ว จนในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของความสุขอันแท้จริง


 
ความสุขขั้นที่
1 : คือ การสะสมความร่ำรวย และหนทางสร้างความร่ำรวย แต่! ในขั้นตอนนี้ ผมก็ไม่ได้รับความสุขตามที่ผมต้องการ จากนั้น

ความสุขขั้นที่ 2 : คือ การสะสมข้าวของที่มีราคา มีคุณค่านานาชนิด แต่! ผมก็ได้รู้ว่า... ผลของการทำเช่นนี้ มันไม่ยั่งยืน และความแวววาวของสิ่งมีค่าทั้งหลายก็อยู่ได้ไม่นาน แล้วก็ถึง..

ความสุขขั้นที่ 3 : คือ การได้ทำโครงการใหญ่ ๆ ซึ่งตอนนั้น ผมได้ครอบครองการจ่ายน้ำมันดีเซลล์ถึง 95% ในประเทศไนจีเรีย และในทวีปแอฟริกา ผมยังเป็นเจ้าของเรือบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกาและเอเซีย ถึงขนาดนี้ผมก็ยังไม่ได้รับความสุขอย่างที่ผมเคยใฝ่ฝันไว้

สุดท้าย ความสุขขั้นที่ 4 : เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนของผมคนหนึ่ง เขาขอให้ผมซื้อรถนั่งติดลูกล้อให้กับเด็กพิการก็แค่ 200 คนเท่านั้น! ผมทำตามคำขอร้องของเพื่อน ซื้อรถสำหรับคนพิการในทันที แต่! เพื่อนคนนั้น ขยั้นขยอให้ผมไปกับเขา เพื่อไปมอบรถให้กับเด็ก ๆ ผมจึงไปกับเขา ผมได้มอบรถนั่งติดล้อให้กับเด็กเหล่านั้นด้วยมือของผมเอง

ผมได้เห็นความสุขอันเรืองรองอย่างน่าประหลาดใจ บนใบหน้าของเด็ก ๆ เหล่านั้น ผมได้เห็นพวกเขานั่งบนรถติดล้อ ผลักไปรอบ ๆ สนุกสนานกันใหญ่ นี่เหมือนกับว่า พวกเขาได้ไปสถานที่ ที่สนุกสนาน ดูเหมือนกับว่า พวกเขากำลังได้รับรางวัลใหญ่กันเลย ผมรู้สึก มีความปิติอย่างแท้จริงอยู่ภายในตัวผม พอผมจะต้องออกจากที่นั่น เด็กคนหนึ่งมาเกาะที่ขาของผม ผมพยายามขยับขาออกเบา ๆ แต่! เด็กคนนั้น จ้องหน้าของผม โดยโอบขาของผมไว้แน่น ผมก้มลง ถามเด็กคนนั้นว่ายังอยากได้อะไรอีกหรือหนู? คำตอบที่เด็กคนนั้นให้ผม ไม่เพียงแต่ทำ
ให้ผมมีความสุขเท่านั้น แต่! ยังเปลี่ยนทัศนคติให้กับชีวิตของผมไปอย่างสิ้นเชิง  โดยเด็กคนนั้นพูดว่า...

หนูต้องการจดจำใบหน้าของลุงเผื่อว่า  หนูได้พบลุงในสวรรค์หนูจะได้จำลุงได้ และบอกขอบคุณลุงอีกครั้งหนึ่ง(บทความโดย... ชารีฟ วัยรุ่น​ร้อยล้านฉ

ความสุขแท้จริงมิใช่ว่าเราต้องเป็นที่รู้จักของใคร ๆ หรือต้องเป็นคนดังประหนึ่งดารา การสร้างตัวตนบนโลกนี้ไม่มีค่าเท่ากับการมีตัวตนเพื่อคนอื่น นับวันผู้คนไม่ค่อยจะรู้จักตัวเองกันเสียแล้ว เพราะมัวแต่สร้างภาพให้คนอื่นมารู้จัก หนักเข้าเราก็ลืมตัวเอง ลืมความสุข เพราะทุรนทุรายทุกเวลาเพื่อเรียกร้องความสนใจ หากเราไม่รู้จักตัวเองเราก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระองค์สถิตในตัวเรา ใยต้องแสวงหาจากที่อื่นอีกเล่า