วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

เขาเศร้าเราโศก วิปโยคโลก

เขาเศร้าเราโศก วิปโยคโลก

หนึ่งสัปดาห์กว่าๆผ่านไปกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศเฮติ จากตัวเลขของผู้เสียชีวิตในวันแรกๆรายงานว่าเป็นร้อย ขยับเป็นหลักพัน หลักหมื่น ในขณะนี้เป็นแสนสองแสน บางกระแสข่าวรายงานว่าอาจจะถึงห้าแสนคน ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวก็แค่รู้สึกตกใจ ต่อมาได้ทราบข่าวว่ามีพระสังฆราช พระสงฆ์ สามเณร หลายคนต้องสูญเสียชีวิต หลายร่างยังสูญหาย ยิ่งเมื่อได้รับข่าวว่า ดร.ซิลดา อาร์น นิวมาน ผู้ทำงานเพื่อเด็กกำพร้าในแถบประเทศยากจน และเธอกำลังมาทำงานอยู่ในเฮติและได้เสียชีวิตลงในเหตุการณ์ครั้งนี้ ดร.ซิลดา ได้มาเป็นผู้บรรยายหลักเรื่องสิทธิเด็ก ในงานประชุมสื่อมวลชนคาทอลิกโลก ที่จัดขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งรู้สึกว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ใกล้ตัวเราเหลือเกิน

และเมื่อเห็นข่าวการแย่งชิงอาหาร แย่งน้ำกันกิน จนถึงขั้นมีการก่อจลาจล จี้ปล้นกันอลหม่านเมือง เกิดความเศร้าใจระคนสงสารจับใจ คนที่กำลังอดตายย่อมทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตตัวเองรอด ยิ่งหดหู่ที่ได้เห็นซากปรักหักพังของเมือง ของอาคารที่เคยสวยงามและแข็งแรง บัดนี้เป็นเพียงเศษซากก้อนอิฐ ก้อนหิน ที่กินไม่ได้ ใช่หรือไม่ นี่มันคือทุกข์ร่วมกันของมนุษย์โลก ที่เคยกล้าอวดเก่งกับธรรมชาติ เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็จงตระหนักร่วมกันเถิดว่า ยังไงๆมนุษย์ราก็ไม่อาจจะเอาชนะธรรมชาติได้ ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งสร้างมหัศจรรย์ของพระเจ้าได้ การคิดกำแหงที่จะข่มขืนธรรมชาติ บังคับฤดูกาล กดดันฟ้าฝน มันมิอาจจะเป็นไปได้ ธรรมชาติย่อมมีวงจรของมัน หากว่าธรรมชาติคือพระเจ้า เราหรือจะชนะและอยู่เหนือพระองค์ได้

แต่พระเจ้าไม่เคยโหดร้าย การโบยตีมนุษย์บ้าง เพื่อให้ได้กลับเนื้อ กลับตัว มาครุ่นคิด ไตร่ตรอง ปรองดองกัน เป็นบทเรียนครั้งสำคัญอย่างยิ่งบทหนึ่งที่ต้องจดจำกันไว้

ทุกครั้งที่โลกเกิดเหตุร้าย เรามนุษย์ทุกคนก็กลับสู่ความเป็นสิ่งสร้างที่ประเสริฐ กลับมามีจิตใจเมตตา จิตใจที่งดงามร่วมกัน ความเอื้อเฟื้อแผ่ไปทั่วทุกหนแห่ง สิ่งที่เคยแสวงหาและเก็บงำเอาไว้คนเดียว เก็บโกยใส่ไว้ในที่ที่เดียว ก็ต้องถูกนำออกมาแบ่งปันกันกิน แบ่งปันกันใช้ เพื่อเยียวยาความทุกข์โศก ความโหดร้ายที่เกิดขึ้น เงินทองที่หากันมาไว้กับตัวมากมายนั่น ลองคิดดูหากแบ่งปันออกไป บริจาคออกมา รักษาคน รักษาโลก รักษาน้ำใจให้คงอยู่ต่อไป มันคุ้มค่ามหาศาล...

เห็นเขาเศร้า เราก็โศก โลกเป็นเช่นนี้เกี่ยวยึดโยงร่วมกัน ฉันเธอ ใช่อื่นไกลอยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน ต่างกันเพียงช่วงของเวลา จะมีมนุษย์คนไหนเล่าใจร้ายที่เห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันหิวโซ กัดก้อนดินกิน จะมีใครเล่าเห็นน้ำตาที่หลั่งไหลและใจจะเริงร่า เราสุขเขาเศร้า เราจะมีหน้าไปบอกรักและเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร

หลายคนก็ตั้งคำถามว่า ทำไมแผ่นดินไหวมันถึงร้ายแรงยิ่งนัก ลุงคนขับแท็กซี่คนหนึ่งให้คำตอบที่เข้าใจง่าย และก็น่าจะเป็นไปได้ นั่นคือ เราสูบน้ำมัน ขุดแร่ธาตุ สูบทองคำ และทรัพยากรใต้ดินมาใช้กันมากเกินไป ใต้พื้นดินจึงเกิดช่องว่างมากมาย โลกเคลื่อนไปในอวกาศ มีบ้างที่ต้องถูกแรงกระแทก แผ่นดินก็เลยเคลื่อนตัว เมื่อใต้พิภพกลวงโบ๋ ผิวโลกก็ยุบตัวอย่างรุนแรง หนำซ้ำเรายังสร้างตึก สร้างอาคารใหญ่โต ความหนักหน่วงย่อมมีตามมา

เมื่อพูดถึงตึกรามบ้านช่อง วันนี้ยุคนี้มีแต่แข่งกันสร้างให้สูงให้ใหญ่ กดทับผิวโลกลงไปเรื่อยๆ ทรัพยากรที่ถูกขุดขึ้นมาก็นำมาทับถม จากนี้ไปเราก็คงเห็นแผ่นดินยุบ แผ่นดินไหวกันมากขึ้น แล้วเราจะอยู่ยังไง ยิ่งสูงยิ่งน่ากลัว ยิ่งสูงยิ่งอันตราย แต่ก็ยังมิวายมีคนคิดสร้างเมืองให้มันยิ่งใหญ่กันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง วันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะล่วงหล่นลงสู่คืนกลับผิวโลก เราถึงจะตระหนักกันได้ว่า ชีวิตเราเอาเข้าจริงมีเพียงน้ำกิน มีอาหารให้กินทุกมื้อก็เพียงพอแล้ว ซากตึก ซากอาคารกินไม่ได้ ในวันที่ทุกสิ่งราบบนผิวโลก วันนั้นแหละที่เราจะรู้ความจริงว่า สิ่งที่สะสมนั้นไร้ค่า ข้าวปลาอาหารต่างหากคือของแท้และจำเป็นที่สุด สังคมโลกสร้างระบบเก็บเงินเก็บทอง จะมีสักกี่ประเทศที่คิดค้นระบบเก็บอาหารและน้ำไว้ใช้ยามจำเป็น

เขาเศร้าเราโศก เขาเดือดร้อน เราช่วยเหลือ ทุกที่กำลังเร่งระดมความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเรื่องอาหารและน้ำดื่มเข้าไปในประเทศเฮติ และต้องเข้าไปจัดระบบระเบียบสังคมกันใหม่ วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็เช่นกัน พี่น้องหลายคน โทรมาแจ้ง หลายคนกลับบ้านไปนำเงินก้อนมาบริจาค น้ำใจของคริสตชนไทย ไม่เคยห่างหายไป เพราะว่าเราต่างรู้ว่ามนุษย์ทุกคนคือพระคริสตเจ้าองค์หนึ่ง และพระองค์ทรงสอนเราไว้ว่า เมื่อเราเดือดร้อนท่านช่วยเหลือเรา เราไม่มีเสื้อผ้าท่านให้เรานุ่งห่ม เรากระหายท่านให้เราดื่ม เราหิวท่านให้เรากิน ท่านทำกับคนเหล่านี้ ท่านกำลังทำกับเรามธ.25:35-36 สิ่งนี้จะคงอยู่ในหัวใจของเราทุกคน แม้แผ่นดินจะไหวสักกี่ครั้งกี่ที่แต่อุดมการณ์ของเราเช่นนี้คงไม่หวั่นไหวห่างหายไปจากชีวิตคริสตชน.....

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ตามหาสันติภาพสุดขอบฟ้า

ตามหาสันติภาพสุดขอบฟ้า

ทั่วโลกต่างกำลังประสบกับอากาศที่เลวร้ายชนิดว่าไม่เคยมีมาก่อน หลายเมืองหลายประเทศในยุโรปขาวโพลนไปด้วยหิมะที่ตกลงมาจนกระทั่งแทบไม่มีที่ว่างเว้นให้แผ่นดิน ต้นหญ้า ใบไม้ได้หายใจหายคอ ภัยธรรมชาติยังคงตามเล่นงานมนุษย์ยุคเราอย่างไม่หยุดหย่อน ขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ที่ประเทศเฮติก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเป็นร้อยเป็นพัน สิ่งที่มนุษย์มีความเห็นร่วมกัน คือ นี่คงเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่เกือบทุกคนก็ยังไม่ได้ลงมือทำให้โลกเย็นขึ้นเลย โดยเฉพาะโลกภายในของแต่ละคน ต่างยังคงร้อนรุ่มไปด้วยไฟแห่งความละโมบโลภมากอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จิตใจที่เย็นลงของมนุษย์เพียงผู้หนึ่ง จะนำผลมาซึ่งความร่มเย็นในทุกอณูผิวของโลกใบนี้ ตั้งแต่เราเกิดก็ได้ยินได้ฟังเรื่องการเรียกร้องหาสันติภาพ โตขึ้นก็ยังร่วมกันตามหาสันติภาพจนสุดหล้าฟ้าเขียว แต่จะมีสักกี่คนที่เร่งสร้างสันติ เร่งสร้างความสงบในจิตใจให้เกิดขึ้น สันติภาพย่อมเกิดขึ้นจากการไม่เห็นแก่ตัว โดยการทำใจของตนเองให้อยู่เหนือความอยากได้ใคร่มี จิตก็จะผ่องใส ใจก็จะบริสุทธิ์ จิตใจก็เยือกเย็นเป็นอิสระ ก่อเกิดสันติสุขภายใน

ใช่หรือไม่ เรามักจะได้ยินอยู่เสมอว่า ทำไม ทำไม โลกนี้จึงขาดแคลนสันติภาพ ?
มีหลายๆเหตุผลที่ทุกคนต่างคิดต่างไตร่ตรอง บ้างก็ว่าสันติภาพต้องเริ่มจากบรรดาผู้นำประเทศที่ยิ่งใหญ่ บ้างก็ว่าการก่อสงคราม โดยการส่งทหารไปรบราฆ่าฟันกัน โดยอาศัยข้ออ้างเพื่อสันติภาพนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้โลกแร้นแค้นสันติสุข หากเราได้พิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าสาเหตุที่ทำให้โลกนี้ ขาดแคลนสันติภาพ ก็เพราะเราทุกคนคิดเช่นกันว่า เรายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังขาดอยู่ จึงพยายามที่จะแสวงหาและไขว่คว้ามาให้ได้ แค่เพียงพอยังไม่พอใจ ต้องแสวงหา สะสมให้มากๆขึ้นไป หาให้แก่ตนเองอย่างไม่รู้จักจบสิ้น

ปากก็เรียกร้องสันติภาพ มือก็ไขว่คว้า สาวได้สาวเอา ตาก็ขยิบ กระเป๋าก็เขยิบให้ผลกำไรโบยบินเข้าใส่ หลายครั้งในชีวิตจริงการสงครามภายในนั้นหนักหนาสาหัส ในวันที่เห็นเงินทองกองและลอยล่องอยู่เต็มหน้า ใจหนึ่งก็อยากร่ำรวยมีทรัพย์สินให้ใช้อย่างเพลิดเพลินมือ ใจหนึ่งก็ยับยั้งชั่งใจว่าเงินตราเหล่านั้นกำลังไล่ล่า ฆ่ากินอุดมการณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์ผู้ซึ่งเกิดมาอาศัยโลกเพียงไม่เกินสามหมื่นวันให้หมดสิ้นไป

การจะชนะสงครามภายในได้ เราต้องพยายามที่จะรบด้วยปรีชาญาณ ต้องเร่งทำลายข้าศึก ทำลายความมักมาก ความละโมบ ความหลงให้หมดสิ้นไป สันติภาพอันแท้จริงนี้ ย่อมหมายถึง ความเจริญงอกงามทางจิตวิญญาณ ของมนุษย์

ในปัจจุบัน นับวันเรายิ่งจะห่างไกลจากสันติภาพ เพราะต่างก็มีการส่งเสริม ความเป็นปัจเจก ส่งเสริมความเด่น ดัง โก้หรู เป็นเซเลบ (CELEBRITY) ต้องเป็นไฮโซ ต้องมีสไตล์ชีวิตที่ฟู่ฟ่า หาสาวควงไม่ซ้ำหน้า เปลี่ยนหนุ่มเคียงข้างไม่เว้นวัน สังคมแบบนี้ถือว่าเป็นอุปสรรค เป็นต้นเหตุแห่งวิกฤต ขาดแคลนสันติภาพ ที่ขัดขวางการพัฒนา "สันติภาพ" ให้เกิดขึ้นในโลก และภายในจิตใจของตนเอง

สังคมที่ถูกสร้างขึ้นแบบจอมปลอม และถึงเวลาก็ให้คนเด่นดังเหล่านั้นมาอ้าปากพูดเรื่องการสร้างสันติภาพ ให้ดูดีหน่อยก็จัด อีเวนต์ (EVEN) เขียนป้าย แห่ขบวน สร้างรายได้เข้ากระเป๋าโดยใช้คอนเซปต์ Concept เรื่องสันติภาพ สังคมที่หลอกกันไปลวงกันมา จิตใจผู้คนถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นตัวละครโดยผู้มีเงิน มีกิเลศเป็นผู้เขียนบทและกำกับการแสดง คนเล่นก็อินคนดูก็เคลิ้มตาม ทำไปทำมา อันไหนล่ะตัวตนที่แท้จริง

แล้วเราก็ตามหาสันติภาพสุดขอบฟ้ากันอยู่ทุกปี จริงๆแล้วสันติภาพมันอยู่ภายในตัวเรานี่เอง การที่จะรอดจากวิกฤตการณ์ชนิดนี้ได้นั้น อยู่ที่การทำลาย ความเห็นแก่ตัว เราจะต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่มีความเห็นแก่ตัว การที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลกนั้น

ในขั้นแรกที่สุดต้องเริ่มจากตัวเรา เรียนรู้จักหนทางชีวิตที่แท้จริงที่เราต้องเป็น ต้องอยู่ ต้องทำอย่างไร หาสันติสุขภายในให้พบ จากนั้นก็ขยายสันติภาพนั้น
ให้คนรอบข้าง โดยการมองเห็นคุณค่าของคนใกล้ตัว สร้างบรรยากาศแห่งความสงบ หยุดการยุยงส่งเสริม ให้ร้ายผู้อื่น หยุดหลอกตัวเองและคนใกล้ตัวว่าไม่มีชั่วมีแต่สิ่งดีงาม โลกมีสองด้านเสมอ หากเราปรับสมดุลได้สันติสุขก็ตามมา จากนั้นแพร่หลายออกไปยังสังคมโดยกว้างขวาง ในวันนั้นในงานเลี้ยงนั้น เป็นแม่พระมิใช่หรือ ที่อาศัยความมีสันติสุขภายในเข้าใจเจ้าของงาน เพียงแค่เอ๋ยปาก พระเยซูเจ้าก็ทรงกระทำอัศจรรย์ ทุกคนในงานจึงเกิดความสุขกันทั่วหน้า เรามาร่วมกันสร้างสันติภาพภายนอกให้เกิดเป็นสันติสุขภายในหัวใจ ของเรากันก่อน ดีกว่าจะไปวิ่งไล่ล่าจนสุดขอบฟ้า อย่างไรเสียก็ไม่มีทางเจอ.....

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

สุขกายสบายใจได้อย่างไร?

สุขกายสบายใจได้อย่างไร?

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาโพลล์ในหลายๆสำนัก ทำการสำรวจว่าคนส่วนใหญ่เขาไปทำอะไรกัน ผลออกมาคือ ไปทำบุญตามวัดต่างๆ รู้สึกว่าดีจังที่ปีนี้ประชาชนคนไทยหันหน้าพึ่งธรรมะ เข้าวัดเข้าวากันมากขึ้น แต่เมื่อลองดูต่อไปว่า ที่ไปทำบุญนั้นเขาไปทำอะไรกัน ส่วนมากก็ไปทำบุญต่อดวงชะตา วอนขอให้ร่ำให้รวย ให้มีโชคมีชัยกันแทบทั้งนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่า วัตถุนิยม บริโภคนิยมมันเข้าครอบงำจิตใจคนเสียจนโงหัวไม่ขึ้น ทำบุญทำกุศลยังมีแต่เรื่องเงินๆทองๆ แน่ละ เราต้องยอมรับว่าเงินทองคือปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต แต่ลองคิดสักนิดดีไหมว่า เงินทองทำให้เราแค่สบายกาย ความสุขที่แท้จริงย่อมอยู่ที่ใจ ใจสุขกายก็ผ่องใส กายเคร่งเครียดก็มาจากใจที่ฟุ้งซ่าน

สังคมที่ก้าวไปกับกระแสบริโภคและทุนนิยมจนสุดโต่ง ก็ทำให้โครงสร้างทางคุณธรรม ทางจริยธรรมสั่นคลอน เรามักเก็บ กอบ โกย เพื่อตัวเราเอง หาได้เพื่อผ่องถ่ายให้ผู้อื่นได้กินได้ใช้บ้าง วัฒนธรรมนี้ส่งทอดมายังเด็กรุ่นหลังๆ วันนี้เราจึงมีแต่คนเห็นแก่ได้ เห็นแก่กิน เห็นแก่ตัวกันมาก แม้กระทั่งการเรียกร้องว่าให้ทุกคนลดความเห็นแก่ตัว โดยที่ไม่ได้เริ่มจากตัวตนของเราก่อน ก็เป็นการเห็นแก่ตัวในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำอย่างไรหล่ะ เราจึงจะสร้างและยึดโครงสร้างสังคมให้ร่มเย็นและสงบสุขได้ การแบ่งปันกันและกัน การช่วยเหลือกัน เห็นอกเห็นใจกัน คงเป็นแบบฝึกหัดขั้นสามัญที่เราต้องยึดถือปฎิบัติกันต่อไป ลดการแข่งขันเอาเป็นเอาตายในการตะเกียกตะกายแสวงหาลงบ้าง มีเวลาจัดระบบจัดระเบียบวินัยภายในใจ เหลียวแลกันและกันบ้าง หยิบยื่นเพื่อฟื้นสังคมที่ดีงามให้คงอยู่อย่างสันติตลอดไป

มีเจ้าเมืองๆหนึ่งมีบุตรชายโทนอยู่เพียงคนเดียว และเป็นผู้ที่มีความประพฤติและอัธยาศัยดีไม่มีที่ติ ท่านเจ้าเมืองและภรรยาจึงปรึกษากันเพื่อเฟ้นหาหญิงสาวให้เป็นคู่ครอง จึงเรียกลูกชายเข้ามาหารือกันในเรื่องนี้ เจ้าเมืองผู้เป็นพ่อจึงพูดกับลูกชายว่า บัดนี้เจ้าก็โตเป็นหนุ่มใหญ่ อายุสมควรที่จะแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่คนดีอย่างเจ้า ควรจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ดี งดงาม เจ้าพอหมายตาใครไว้บ้างหรือยัง ลูกชายก้มหน้าไม่ตอบ พ่อจึงบอกลูกชายต่อไปว่า ผู้หญิงที่เจ้าจะแต่งงานด้วยนั้น ต้องเลือกด้วยความระมัดระวัง พ่อจะให้เวลาเจ้า 7 วัน ไม่ต้องทำอะไรมากเจ้าไปตามบ้านที่เขามีลูกสาวที่เจ้าถูกตา แล้วให้ถามหญิงสาวแต่ละบ้าน ด้วยคำถามเดียวกัน คือ หากจับปลาช่อนตัวใหญ่มากมาได้ตัวหนี่ง จะทำอย่างไรกับปลาช่อนตัวนั้นจึงจะกินได้นานๆ

ฝ่ายภรรยาเจ้าเมืองก็กำชับลูกชายว่า อย่าลืมหล่ะพอครบ 7 วัน จงรีบกลับบ้านตามคำสั่งของพ่อ เนื่องจากลูกชายเจ้าเมืองเป็นหนุ่มรูปงามมารยาทดี แล้วยังเป็นลูกชายโทนของเจ้าเมือง จึงเป็นการสะดวกแก่เขายิ่งนัก เมื่อพบหญิงสาวบ้านใดเขาก็จะถามเพียงประโยคเดียวเหมือนกันว่า ถ้าแม่นางได้ปลาช่อนตัวโตๆมาตัวหนึ่งทำอย่างไรจึงจะกินได้นานๆ หญิงเหล่านั้นก็มักจะตอบคล้ายๆ กันว่า จะยากอะไร เอาไปทำปลาร้าเสียซิ จะได้เก็บไว้กินค้างปีได้อย่างสบาย ปลาร้าน่ะยิ่งเก็บค้างปียิ่งอร่อยนะจ๊ะ บางบ้านก็ตอบผิดแผกไปนิดหน่อย คือตอบว่า เอาปลาไปย่างไฟให้แห้ง แล้วตากแดดไว้ ค่อยๆ บิเอาออกมากิน ตัวหนึ่งก็จะกินไปได้หลายหน เจ้าหนุ่มก็รับโดยพยักหน้า เพราะคำตอบเหล่านั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากนัก

ในที่สุด เขาก็มาถึงบ้านหลังหนึ่ง ไม่ได้ร่ำรวย แต่ดูสะอาดเรียบร้อย บริเวณบ้านรื่นตา มีสวนครัวอยู่หลังบ้าน น่าสบายยิ่งนัก เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังเก็บดอกไม้อยู่ เขาก็เดินเข้าไปแล้วถามประโยคเดิม เมื่อหญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเขา เขาก็ตะลึงอยู่กับที่ นางนั้นยิ้มแย้มพองาม หน้าตาหมดจด แล้วนางก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังมีจังหวะจะโคนว่า ฉันจะเอาปลาตัวนั้นไปแกง แล้วแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งจะเอาไว้กินกันเองในครอบครัวฉัน อีกส่วนที่เหลือฉันจะเอาไปแจกเพื่อนบ้าน อ้าว! แม่นาง อย่างนั้นก็จะกินแกงวันเดียวหมดนะซี แล้วจะเก็บไว้กินนานๆ ได้อย่างไร คือว่า ส่วนที่บ้านฉันจะกินนั้น ก็จะหมดในวันนั้น หมดแล้วเราหาปลามาในวันอื่นได้ ก็คงจะมีกินกันได้อีก” “แล้วที่เอาไปแจกเพื่อนบ้านล่ะแจกทำไม สาวจึงตอบด้วยเสียงหนักแน่นและแสดงความมั่นใจว่า นั่นแหละ! ทำให้กินปลาได้นานไม่รู้จบละ เราเอื้อเฟื้อคิดถึงเขา เขาก็จะคิดถึงเรา มิตรจิตก็มิตรใจยังไงล่ะจ๊ะ ปลาตัวนี้จะกินไม่รู้จักหมด ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้ง ในคำตอบของหญิงสาวยิ่งนัก จึงรีบกลับบ้าน เล่าเรื่องต่างๆ ให้พ่อแม่ฟังว่าใน 7 วันนั้น เขาไปพบหญิงสาวกี่คน และคนไหนตอบเรื่องปลาช่อนตัวโตว่าอย่างไรเมื่อเขาเล่าถึงสาวคนที่เขาพบล่าสุด เจ้าเมืองและภรรยาก็ตกลงใจทันที ที่จะเลือกหญิงสาวผู้แบ่งแกงออกเป็น 2 ส่วนเป็นลูกสะใภ้ ต่อมาชายหนุ่มและภรรยา ก็ได้รับความสุขความเจริญ ด้วยคุณธรรมความดี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่คนใกล้เคียง จึงเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไปชั่วกาลนาน

หากว่านำเรื่องนี้ไปเล่าต่อให้เด็กๆ ได้ฟัง ความหวังที่เราจะมีสังคมที่น่าอยู่ก็คงอยู่ไม่ไกลเกินไป เราปฏิบัติต่อเด็กๆ อย่างไร เด็กๆ ก็จะปฏิบัติต่อสังคมอย่างนั้น...

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

ถนนนี้กลับสู่ความสงบ

ถนนนี้กลับสู่ความสงบ

มีแต่คนขับขี่และผู้ที่ปรารถนาอยากถึงปลายทางเท่านั้น ที่เฝ้ามองดูหลักกิโลเมตรข้างทาง ในขณะที่อยู่ในพาหนะโดยสาร หลักกิโลเมตรข้างทางผ่านไปทีละกิโล จุดหมายปลายก็ใกล้เข้ามา วันเวลาเป็นดั่งหลักกิโลที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีบ้างบางครั้งที่แอบมอง มีบ้างบางครั้งจงใจมอง และมีบ่อยครั้งที่ไม่สนจะมอง วันคืนเคลื่อนผ่านไป ชีวิตเคลื่อนผ่านตาม วันแล้ววันเล่า ปีใหม่ก้าวเข้ามากลายเป็นปีเก่า ปีใหม่ความหวังใหม่ ตั้งใจที่จะทำสิ่งดีๆตลอดปี ทั้งๆที่จุดห่างระว่างปีใหม่กับปีเก่ามีเพียงวันเดียว คือ วันที่ 31 ธันวาคม แต่ชีวิตก็ยังต้องแสวงหาหนทางใหม่ๆ ปีใหม่เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งกาลเวลา เป็นเพียงสัญลักษณ์หลักกิโลที่บ่งบอกว่า จะอีกกี่มากน้อย ถึงซึ่งปลายทาง ในความเป็นจริง ใครบางเล่า? จะรู้ปลายทางยู่หนใด ใช่หรือไม่ เราควรมีชีวิตที่เคลื่อนไปสู่สิ่งที่สงบ สันติภายใน

หลายคนอาจจะพูดว่า ในยุคสัมยที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เต็มไปด้วยเสียง เต็มไปด้วยการเร่งรีบแข่งขัน จะหาช่องว่างระหว่างชีวิตเพื่อค้นพบความสงบได้เช่นไรเล่า สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ ผู้ที่แข็งแกร่ง มีชีวิตภายในที่เข้มข้น ก็จะกล่าวว่า ความสงบอยู่ที่ใจ หาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมภายนอกไม่...

มีพระราชาพระองค์หนึ่งได้ตั้งรางวัลให้กับศิลปินที่เขียนภาพของความ สงบได้ดีที่สุดและถูกใจพระองค์มากที่สุด ดังนั้น จึงมีศิลปินจำนวนมากเดินทางมาร่วมเข้าประกวด จนมีเหลือเพียง 2 ภาพเท่านั้นที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย เพื่อตัดสินว่ารูปวาดของศิลปินคนไหนควรจะได้รางวัลจากพระรา

ภาพแรกเป็นภาพของทะเลสาบที่เงียบสงบ น้ำใสมีแสงสะท้อนเหมือนกับกระจกบานใหญ่ บริเวณทะเลสาบรายล้อมด้วยภูเขาสูงท้องฟ้าสีคราม พร้อมกับเมฆที่ขาวดุจดังปุยนุ่น ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ต่างมีความคิดตรงกันว่าเป็นภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความสงบได้ดีที่สุด

ในขณะที่ภาพที่สอง มีภูเขาอยู่ในรูปเช่นกัน แต่มันดูหยาบกระด้างและไม่มีชีวิตชีวา ส่วนท้องฟ้าในรูปนั้นก็เป็นท้องฟ้าที่ดูแล้วเกรี้ยวกราด มีฝนตกและฟ้าแลบ ในขณะที่ด้านล่างของภูเขามีน้ำตกไหลลงมาเป็นฟองกระจายเต็มไปหมด ดูอย่างไรก็ไม่สะท้อนให้เห็นถึง ความสงบ แต่อย่างใด

แต่เมื่อพระราชามองดูรูปนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ พระองค์ทรงสังเกตเห็นว่าข้างหลังน้ำตกนั้นมีพุ่มไม้เล็กๆ ขึ้นอยู่บนซอกหินที่แตก และในพุ่มไม้นั้นก็มีแม่นกกำลังทำรัง อยู่ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลลงมาอย่างเชี่ยวกราก แม่นกที่อยู่ในรังนั้นดูแล้วสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

ครั้นเมื่อพระราชาทรงตัดสิน พระองค์จึงทรงเลือกภาพที่สอง ทำให้ผู้คนทั่วไปต่างก็งงงวย และวิพากษ์วิจารณ์กันว่า พระองค์ทรงขาดซึ่งอารมณ์ศิลป์หรือเปล่า... พระราชาผู้นั้นจึงได้สั่งสอนประชานชนผู้มาร่วมงานตัดสินภาพวาดในครั้งนี้ว่า ความสงบมิได้หมายถึงสถานที่ที่ปราศจากเสียง หรือปราศจากปัญหา ความสงบ หมายถึง การอยู่ท่ามกลางสิ่งต่างๆ แต่ยังคงความสงบของจิตใจไว้ได้ นี่ต่างหาก คือ ความสุขและสงบที่แท้จริง

ใช่หรือไม่ ความสงบสุขอยู่ที่จิตใจของเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน รอบกายจะวุ่นวายเพียงใด ถ้าใจของเราสามารถนิ่งสงบได้ เราก็จะมีความสุข แท้ที่จริงแล้ว ความสุขอยู่ที่ตัวเรา อยู่กับสิ่งที่เรามี ในสิ่งที่เราเป็น แต่เรามักมองไม่เห็นคุณค่าของมัน จนกระทั่งในวันที่เราจะสูญเสียมันไป และเมื่อได้มันกลับคืนมาอีกครั้ง เราจึงตะหนักได้ว่า ความสุขอยู่กับความคิด และความพอใจของเรา เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับในตัวตนของเรา มีความสุขกับสิ่งที่เรามีไ ม่ต้องออกไปค้นหาที่ไหน แต่อยู่ในวิถีในการดำเนินชีวิตของเราในทุกย่างก้าว อย่าเสียเวลาไปกับความคิดในอดีตหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะมีใครบ้างเล่าที่มองย้อนกับไปดูหลักกิโลที่เพิ่งผ่านมา จะมีใครบ้างเล่าเห็นหลักกิโลข้างหน้า ใช่ เราคำนวนได้ว่าปลายทางเราจะไปอย่างไร แต่เราไม่รู้ว่าข้างจะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง

ปีเก่าปีใหม่ ผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องราวมากมีที่ชิวตพบเจอ สุข-ทุกข์ สมหวัง-ผิดหวัง เกิด-ดับสูญ มีขึ้นมีลง มีกลางวันและกลางคืนไม่เว้นเพียงกระทั่งในวันปีใหม่ คำถามที่จะฝากไว้ก่อนจบ แล้วที่ผ่านมา เราได้พบความสงบความสุขที่แท้จริงสักกี่ครั้งในชีวิต ถ้ายัง...ถึงเวลาแล้วที่เราต้องก้าวเดินไปบนหนทางสู่ความสงบ ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคม ใจเราสงบ คนรอบข้างก็จะสงบตาม หากเราเป็นผู้เริ่มร้อยสาย สร้างหนทางแห่งความสงบนี้ไปพร้อมๆกัน ภัยอันตรายใดเล่าจะมากรำกราย...สวัสดีปีใหม่ ความสงบเกิดขึ้นในใจทุกๆท่านตลอดไป.....