วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

บางมุมมอง


บางมุมมอง
ด้วยว่าผู้คนในสมัยนี้มักจะเอาแต่ใจตัวเอง และทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ชอบเรียกร้องให้ผู้อื่นมาทำตามใจเราคิด พอไม่เป็นดังนั้นก็หงุดหงิดโมโห ชวนทะเลาะ ในยุคที่เราขาดแคลนการเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง จึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายไปทุกหัวระแหง การที่เราไม่ใส่ใจกัน จึงเกิดการตัดสินคนอื่นว่าเป็นคนบาปหยาบช้า โดยที่ไม่ได้เห็นบางมุมบางด้านของคนอื่นเลย ใช่หรือไม่ การกระทำของแต่ละคนนั้นเขาย่อมมีเหตุมีผล แต่เราอาจจะเห็นแค่ผลเล็กที่เกิดขึ้น และผลนั้นมันไม่ได้ถูกใจเรา เพียงแค่นี้เราก็ตัดสินแล้วว่า การกระทำนั้นใช้ไม่ได้ คนกระทำแบบนี้เป็นคนไม่ดี เรามักใช้มาตรฐานแบบเคร่งครัดต่อคนอื่น แต่ยอมผ่อนปรนให้กับตัวเอง 
และด้วยความรวดเร็วของวิถีชีวิตในปัจจุบัน ปลูกฝังให้เรากลายเป็นคนใจร้อน ไม่รู้จักการรอคอย อยากได้อะไรก็ต้องได้ ใครทำไม่ถูกใจก็ต่อว่าต่อขาน ยัดเยียดความผิด คิดตัดสินว่า เป็นคนใช้ไม่ได้ เรามักใช้อารมณ์ตัดสินคนอื่น การตัดสินที่แย่ที่สุดคือ การตัดสินคนอื่นด้วยความรู้สึกของเราเอง   เพราะในบางครั้งเราก็อาจจะมองคนอื่นในทางที่ผิด และอีกอย่างหนึ่งเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็เป็นได้ และในสังคมที่หลากหลาย อยู่รวมกันมาก การนินทา กล่าวร้ายจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครเกิดมาจะไม่ถูกนินทา และเช่นกันไม่มีใครไม่เคยนินทาคนอื่น ฉะนั้นแล้วอย่าตัดสินคนอื่นด้วยว่าเขาเล่ามา โดยที่เราไม่เคยแม้แต่พูดคุยกับเขาเลย...
ค่านิยมอย่างหนึ่งของผู้คนสมัยวัตถุนิยม ที่มักใช้มาตรฐานจากวัตถุที่หุ้มห่อเป็นตัวบ่งชี้ความดีงาม อย่าตัดสินคนอื่นเพียงจากรูปลักษณ์ภายนอก เพียงแค่เห็นการแต่งตัวก็สรุปแล้วว่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆมันไม่ยุติธรรมเลย อย่าได้ตัดสินใครสักคน เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง 
หมอคนหนึ่งได้รีบร้อนเข้าโรงพยาบาล หลังจากได้รับโทรศัพท์ให้รีบมาผ่าตัดด่วน พอมาถึงก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และมุ่งสู่โซนผ่าตัด
หมอได้พบกับพ่อของเด็กชาย กำลังเดินไปๆมาๆอยู่ในห้องโถงและกำลังรอหมออยู่ ตอนที่หมอเจอ พ่อของเด็กโวยวาย
ทำไมคุณมาช้ามากๆ? คุณรู้ไหมชีวิตลูกชายของผมอยู่ในอันตราย? คุณมีความรู้สึกรับผิดชอบบ้างไหม?”
หมอยิ้มและพูดว่า
ผมขอโทษ เผอิญผมไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาลตอนที่ลูกชายคุณมาถึง และผมก็มาอย่างเร่งด่วนที่สุด ทันทีที่รับโทรศัพท์ และตอนนี้ ผมต้องการให้คุณใจเย็นๆ ผมจะได้ทำงานได้
ใจเย็นเหรอ?! ถ้าลูกชายของคุณเป็นคนที่อยู่ในห้องตอนนี้ คุณจะใจเย็นไหม? ถ้าลูกชายของคุณตายคุณจะทำยังไง??” พ่อพูดอย่างโกรธกริ้ว
หมอยังยิ้มและตอบกลับไปว่า หมอไม่สามารถต่อชีวิตมนุษย์ได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ไปขอร้องพระองค์เพื่อลูกชายของท่านเถอะ เราจะทำอย่างดีที่สุด โดยพระประสงค์ของพระเจ้า
คำแนะนำแบบนี้มันง่ายเกินไป พ่อบ่นพึมพำ
การผ่าตัดใช้เวลาไปหลายชั่วโมง หมอออกมาอย่างมีความสุข
ขอบคุณพระเจ้า ลูกชายของคุณปลอดภัย! และยังไม่ทันได้รอคนเป็นพ่อพูดอะไร หมอบอกพ่อของเด็กตอนที่วิ่งรีบออกไป ถ้าสงสัยอะไร ให้ถามพยาบาล!
ทำไมหมอถึงยโสอย่างนี้? รอผมถามคำถามเกี่ยวกับลูกชายซักคำก็ไม่ได้ พ่อของเด็กติหมอให้พยาบาลฟัง ทันทีที่หมอไป
น้ำตาไหลรินผ่านใบหน้าของพยาบาล เธอตอบว่า ลูกชายของหมอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนถนนเมื่อวาน หมอกำลังอยู่ในงานพิธีฝังศพตอนที่เราโทรตามหมอเพื่อมาผ่าตัดลูกชายคุณ และตอนนี้เขาช่วยชีวิตลูกชายคุณเสร็จแล้ว เขาจึงรีบวิ่งเพื่อไปพิธีฝังศพลูกชายของเขาให้เสร็จ
คนเราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์คนซักคน เพราะเราไม่เคยรู้ว่าชีวิตของพวกเขาเป็นยังไง เกิดอะไรขึ้น และผ่านอะไรมา ( credit: EverydayLoL แปลและเรียบเรืยงโดย: Me Pokpong Ponga)
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ทรงเตือนสติคริสตชน อย่าไปตัดสินคนบาปว่า เขาต้องถูกพระเจ้าลงโทษ ตรงกันข้าม เราควรให้อภัยคนบาปและมีเมตตาต่อพวกเขาเหมือนที่พระเจ้าทรงสอนเราผ่านเรื่องลูกล้างผลาญ ทรงสอนชัดๆ ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยคติ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เราจะไม่สามารถเอาชนะ จิตชั่วในใจเรา ได้เลย พร้อมกันนี้ ทรงย้ำ พระเจ้าคือองค์แห่งความสุขความชื่นชมยินดี และความสุขความยินดีของพระเจ้าคือการได้ให้อภัยมนุษย์ตลอดเวลา[Pope Report]
           
บ่อยครั้งที่เราตัดสินผู้อื่น ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าอะไรคือเหตุผลที่แท้จริงทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา หน้าที่พิพากษาตัดสินเป็นของพระเจ้าแล้วเราเป็นใครกัน จึงบังอาจแย่งหน้าที่ของพระเจ้า อย่าตัดสินผู้อื่น แต่จงยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่พยายามบังคับให้เขาเป็นตามอย่างที่เราอยากให้เป็น เพราะพระเจ้าเองยังไม่เคยทำเช่นนี้กับเราเลย มองทะลุไปยังความน่ารักที่ซ่อนอยู่ในตัวของคนอื่น แทนที่เราจะเคร่งครัดกับคนอื่น เราควรเคร่งครัดกับตัวเราเอง และใจกว้างกับคนอื่นดีกว่าไหม..

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

สุข ทุกข์ อยู่ที่การบริหาร


สุข ทุกข์ อยู่ที่การบริหาร
ในสังคมที่เราอยู่ด้วยกันย่อมมีอุปนิสัยของผู้คนแตกต่างกันไป อาจจะมาจากการสืบสายเลือด พื้นหลัง การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม การศึกษา บางสิ่งที่เราทำอาจจะไปทำให้คนอื่นรู้สึกขัดหูขัดตาขัดใจ ในขณะที่เราเองก็อาจจะไม่สบอารมณ์กับการกระทำของคนบางคน ในขณะที่เราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้วคนอื่นยังบอกว่าไม่เห็นจะดีเลยก็มี สิ่งเหล่านี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่หลีกเลี่ยงได้คือเราต้องไม่นำการกระทำของคนอื่น มาพูดเพื่อเอาดีใส่ตัวเราเป็นอันขาด หลีกเลี่ยงที่จะไปพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดีลับหลัง เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เราไม่มีทางรู้ว่าการกระทำนั้นมาจากเหตุผลอันใด แล้วเราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปตัดสินใครคนใดในโลก เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของเบื้องบนมิใช่คนที่เดินชนกันบนพื้นดินแห่งนี้
สิ่งที่เรามักจะนำมาเป็นหัวข้อในการพูดถึงคนนั้นคนนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ได้ครอบครองทรัพย์สินไม่เท่าเทียมกัน บางคนมักพูดว่าทำงานแทบตายทำไมได้เงินน้อยกว่าพวกที่นั่งสบายๆในห้องแอร์ คนที่นั่งในห้องแอร์ก็นั่งคุมขมับนับตัวเลขที่มีอยู่ทำอย่างไรจึงจะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ คนที่มีเงินเดือนเรือนแสนย่อมมีค่าใช้จ่ายมากกว่าคนที่มีเงินเดือนเป็นหมื่น เราจึงไม่ควรที่จะนำคำนิยมทางตัวเลขไปเปรียบเทียบกับความมีความไม่มี การได้มากได้น้อย และที่สุดของการได้มาในทรัพย์สินของแต่ละคนนั้นย่อมมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน การจะทำให้ชีวิตมีความสุขได้นั้นเราจึงจำเป็นที่จะไม่ไปทุกข์กับเรื่องทรัพย์สมบัติให้มากไปนัก
หลายครั้งหลายคนบ่นว่า การมีชีวิตที่ไม่ได้ใส่ใจกับทรัพย์สินเงินทองนั้นทำได้ยากยิ่งในยุคทุนนิยมครองเมือง ทุกสิ่งดูเหมือนว่าจะต้องใช้เงินทองแลกมาทั้งนั้น และเพื่อให้ได้มาเราก็ต้องหา ต้องเก็บไว้เพื่อซื้อหาสิ่งที่จะนำมาซึ่งความสุขความสะดวกสบาย แต่พอเก็บไปเก็บมากลายเป็นสะสม แล้วพอมีมากยิ่งอยากมีมากไปอีก ตรงนี้พอเลยจุดพอดี ก็เลยทำให้เกิดความโลภพอกพูน การมีชีวิตอยู่ในยุคทุนนิยมอย่างมีความสุขความสบายใจได้นั้น แต่ละคนต้องรู้จักที่จะบริหารสิ่งที่มีอยู่ ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมิใช่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเท่านั้น เรายังมีคนรอบๆตัวเราที่เราต้องดูแล ห่วงใย ที่เราต้องบริหารสิ่งที่เราได้มาอย่างชาญฉลาด เคยครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานเหมือนกันว่า เราจะมีวิธีการอย่างไรเพื่อไม่ให้หลุดเลยไปสู่ความโลภในทรัพย์สินที่หามาได้ พอได้อ่านนิทานเรื่องนกแขกเต้ากับชาวนา จึงพอจะเห็นแนวทางในการที่เราจะติดตามพระโดยที่รู้จักบริหารทรัพย์ บริหารชีวิตอย่างไร นิทานเรื่องนี้มีอยู่ว่า..
มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งประมาณ 500 ตัว อาศัยอยู่ในป่างิ้วบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาหากิน ฝูงนกแขกเต้าต่างพากันบินไปกินข้าวสาลีในนาของชาวมคธ  เมื่อกินข้าวสาลีอิ่มแล้ว ต่างก็บินกลับรังด้วยปากเปล่าๆ ทั้งนั้น ส่วนพญานกแขกเต้าที่เป็นหัวหน้า เมื่อกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบข้าวสาลีอีก 3 รวงกลับไปด้วย ชาวนาเห็นก็แปลกใจ จึงพยายามดักจับพญานกแขกเต้าให้ได้ ด้วยการสังเกตที่ยืนของพญานกนั้น แล้ววางบ่วงดักไว้ วันหนึ่งพญานกถูกจับได้ ชาวนาจึงถามพญานกว่า "นกเอ๋ย ท้องของท่านคงจะใหญ่กว่าท้องของนกอื่น เพราะเมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบรวงข้าว กลับไป อีกวันละ 3 รวง เป็นเพราะท่านมียุ้งฉาง หรือเป็นเพราะเรามีเวรต่อกันมาก่อน? "
พญานกตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ได้มียุ้งฉาง และเรา ก็ไม่มีเวรต่อกัน แต่ที่คาบไป 3 รวงนั้น
รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า รวงหนึ่งเอาไปให้เขา และอีกรวงหนึ่งเอาไปฝังไว้ "
           ชาวนาได้ฟังก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า "ท่านเอารวงข้าวไปใช้หนี้ใคร เอาไปให้ใคร ? และเอาไปฝังไว้ที่ไหน?!
         "พญานกแขกเต้าจึงตอบว่า "รวงที่หนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า คือเอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะท่านแก่แล้ว และเป็นผู้มีพระคุณอย่างมาก ทั้งให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้าพเจ้า จนเติบใหญ่ นับว่าข้าพเจ้าเป็นหนี้ท่าน จึงสมควรเอาไปใช้หนี้" "รวงที่สองเอาไปให้เขา คือ เอาไปให้ลูกน้อยทั้งหลายที่ยังเล็กอยู่ ไม่สามารถหากินเองได้ เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยงเขาในตอนนี้ ต่อไปยามข้าพเจ้าแก่เฒ่า เขาก็จะเลี้ยงตอบแทน จัดว่าเป็นการให้เขา" "รวงที่สามเอาไปฝังไว้ คือ เอาไปทำบุญด้วยการให้ทานกับนกที่แก่ชรา นกที่พิการหรือเจ็บป่วยไม่สามารถหากินได้เท่ากับเอาไปฝังไว้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การทำบุญเป็นการฝังขุมทรัพย์ไว้ "
ชาวนาฟังแล้วเกิดความเลื่อมใสว่า นกตัวนี้เป็นนกกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นนกมีความเมตตาต่อลูกน้อย และเป็นนกใจบุญ มีปัญญา รอบคอบ มองการณ์ไกล
พญานกได้อธิบายต่อไปว่า "ข้าวสาลีที่ข้าพเจ้ากินเข้าไปนั้น ก็เปรียบเหมือนเอาทิ้งลงไปในเหว ที่ไม่รู้จักเต็ม เพราะข้าพเจ้าต้องมากินทุกวัน วันนี้กินแล้ว พรุ่งนี้ก็ต้องมากินอีก กินเท่าไหร่ ก็ไม่รู้จักเต็ม จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะถ้าท้องหิวก็เป็นทุกข์"
ชาวนาฟังแล้วจึงกล่าวว่า "พญานกผู้มีปัญญา ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่า ท่านเป็นนกที่โลภมาก เพราะนกตัวอื่นเขาหากินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่คาบอะไรไป ส่วนท่านบินมาหากินแล้วก็ยังคาบรวงข้าวกลับไปอีก แต่พอฟังท่านแล้ว จึงรู้ว่าท่านไม่ได้คาบไปเพราะความโลภแต่คาบไปเพราะความดี คือเอาไปเลี้ยงพ่อแม่ เอาไปเลี้ยงลูกน้อย และเอาไปทำบุญ ท่านทำดีจริงๆ"
ชาวนามีจิตเลื่อมใสในคุณธรรมของพญานกมาก จึงแก้เครื่องผูกออกจากเท้าพญานก ปล่อยให้เป็นอิสระ แล้วมอบนาข้าวสาลีให้ พญานกรับนาข้าวสาลีไว้เพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งกะคะเนแล้วว่าเพียงพอแก่บริวาร จากนั้นจึงให้โอวาท แก่ชาวนาว่า "ขอให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท หมั่นสั่งสมกุศลด้วยการทำทานและเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าด้วยเถิด" ชาวนาได้คติจากข้อปฏิบัติของพญานกจึงตั้งใจทำบุญกุศลตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต นกแขกเต้า ผู้มีปัญญา รู้ว่าควรบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม นับเป็นการใช้ทรัพย์อย่างชาญฉลาด ที่ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีความสุขความเจริญสุขทั้งกาย สุขทั้งใจ สุขทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ( จาก blogs ของ BboO วรรณนิศา โบว์ ตระกลหิรัญ มหาวิทยาลัยนเรศวร)
หากเรามีทัศนคติต่อทรัพย์สินและรู้จักบริหารทรัพย์อย่างดี ชีวิตเราย่อมมีคุณค่า ย่อมพบพระได้ไม่ยาก ก็บริหารและใช้ทรัพย์สินที่มีเพื่อตัวเองส่วนหนึ่ง และที่เหลือเพื่อผู้คนรอบข้าง นี่ก็ถือว่าเป็นการได้ติดตามพระแล้วในยุคปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องทิ้งทุกอย่าง แต่ใช้เป็นเครื่องมือ เป็นสื่อกลางนำเราไปหาพระเจ้าผู้เป็นแหล่งความสุข ชีวิตเรานั่นเอาเข้าจริงจะสุขจะทุกข์ล้วนอยู่ที่การบริหารชีวิตของแต่ละคน..

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

ในวันธรรมดากับความธรรมดา


ในวันธรรมดากับความธรรมดา
ใช่หรือไม่ ชีวิตของคนเราเต็มไปด้วยเรื่อง ธรรมดา วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตื่นมาอาบน้ำอาบท่า แต่งตัว ออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ พักเที่ยงกินข้าวกินปลา ในร้านเดิมๆเมนูเดิมๆ ทำงานต่อห้าหกโมงกลับบ้าน ใช้เวลาติดอยู่บนท้องถนนอีกเป็นชั่วโมงก็เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับคนเมือง ค่ำลงนอนหลับคาทีวีหรือไม่ก็ นอนไม่หลับเพราะติดละคร รายการโปรดรอบดึก ในความธรรมดาที่เราปฏิบัติเป็นกิจวัตรนั้นผ่านไปในแต่ละวันๆ จนกลายเป็นความชินชา
นอกเสียจากว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นมาแทรกบ้างในบางครั้งบางคราว เช่น ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าป่วย ต้องหยุดพักนอนรักษาตัว หรือที่ยิ่งไม่ธรรมดาสักหน่อยก็ตอนที่ได้รับข่าวว่า พ่อแม่พี่น้อง ญาติสนิท เจ็บป่วย ยิ่งถ้าเป็นคนที่อยู่ในบ้านเดียวกับเรา เป็นครอบครัวเดียวกัน มาล้มป่วยแบบกะทันหัน แล้วต้องพลัดพราก จากลากันไปแบบไม่มีวันที่จะพบหน้ากันอีก เราก็จะเริ่มคิดถึงวันคืนธรรมดาๆที่ผ่านมา ที่เคยใช้ชีวิตร่วมกัน ที่กล่าวมานี้ กำลังจะบอกว่า บางครั้งเราหลงลืมที่จะชื่นชมกับความธรรมดาไป ความสุขไม่น้อยเลยอยู่ในความธรรมดานั้น

อีกอย่างหนึ่ง เคยไหมหล่ะ ที่ทำสิ่งของบางสิ่งบางอย่างหายไป ทั้งๆที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่พอหาไม่เจอ เราก็รู้สึกกระวนกระวาย ไม่เป็นอันทำสิ่งใดทั้งสิ้น เอาแต่หาๆ นึกแล้วนึกอีกว่า นำไปเก็บไว้ที่ไหน บางขณะที่รื้อค้นหา กลับไปพบเจอสิ่งที่เคยคิดว่าหายไปนานแล้ว หมดหวังแล้วกลับมาพบเจอโดยบังเอิญ จริงๆแล้วสิ่งของเหล่านั้นมันไม่ได้หายไปไหนเลย มันนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น ตรงที่เราเก็บไว้ แต่สิ่งที่หายไปคือความทรงจำ เลยทำให้เรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดาขึ้นมา 
ความธรรมดา เขา กับความธรรมดา เรา ก็ไม่เหมือนกันอีก คนที่อยู่ในสถานที่หนึ่งย่อมคุ้นชินกับที่ที่นั่น เมื่อเราไปเยี่ยมเยียน อาจจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ธรรมดาเลย รู้สึกตื่นเต้น แต่ถ้าว่าให้อยู่ที่นั่นไปนานๆ อาจจะกลายเป็นความทุกข์และความระทมขึ้นมาได้  สำหรับเราคนในเมืองที่มีความสะดวกรวดเร็ว แต่ก็มีความวุ่นวาย คนที่ คุ้นชิน กับความสะดวกสบายรวดเร็วของเทคโนโลยีการสื่อสาร และการแข่งขัน ความเร่งรีบแต่ไม่อาจจะไปให้เร็วได้ด้วยสภาพการจราจร จนยอมจำนน วันหนึ่งเกิดต้องเปลี่ยนไปอยู่ในถิ่นที่ไกลเมือง ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงให้ใช้ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถยนต์ เราก็อยู่กันได้ไม่นาน เช่นกัน การที่เราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ต่างที่ต่างถิ่นดินแดนไกล กว่าเราจะปรับตัวได้ต้องใช้เวลา เรื่องการกินการอยู่ในแต่ละวัฒนธรรมก็แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าใครมุ่งมั่นที่จะไปใช้ชีวิตแบบนั้นก็ต้องทำสิ่งนั้นให้เป็นเรื่องธรรมดา นาน ๆ เข้าก็เกิดความเคยชินอีก จึงจะเริ่มพบความสุขได้
ในการเป็นอยู่ของชีวิตเรา เราก็มักจะโหยหาถึงความพิเศษ ถึงความมหัศจรรย์ในชีวิต แล้วก็พยายามแสวงหาให้ได้มันมา โดยหลงลืมคุณค่าอันแท้จริงของการดำรงอยู่ของชีวิต นั่นคือ การมีชีวิตอีกวันหนึ่ง สังคมโลกในวันนี้คิดมุ่งหวังจะได้พบเจอแต่สิ่งที่แปลกใหม่ เสาะหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อสร้างสิ่งเสพ โดยมีความหมายของ ความสุข เป็นข้อแก้ต่าง ที่จริงแล้วหากเรามุ่งแสวงหาเรื่องที่บำรุงจิตใจ ช่วยกันหาแนวทางพัฒนาคุณค่าจิตวิญญาณให้กันและกันโลกก็พบสันติสุข เพราะสันติสุขนั้นมีอยู่ในใจเราทุกคน

เรื่องเล่าจากอินเตอร์เน็ตเรื่องหนึ่ง... 
มีครูคนหนึ่งถามเด็กๆ ในชั้นเรียนว่า  อะไรที่เด็กๆ คิดว่าเป็น สิ่งมหัศจรรย์ในโลก”  คำตอบมีต่างๆนานา  บางคนก็ว่า ปิรามิดของอียิปต์  บ้างก็ว่า กำแพงเมืองจีน  บ้างก็คิดว่าน่าจะเป็น นครวัดนครธมของเขมร และหลายคนก็เห็นว่า ยานอวกาศที่ส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ฯลฯ  
แต่มีเด็กคนหนึ่งกลับบอกว่า การที่คนเราได้ยิน  ได้เห็น  ได้กลิ่น  ได้รับรส และมีความรู้สึกนึกคิด  นี่ซิ  คือ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
โดยพระเจ้าผู้ประเสริฐได้ทรงประทานประสาทสัมผัสทั้งห้า เพื่อให้เราระลึกถึงความมหัศจรรย์ เมื่อเราใช้มันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เราก็เกิดความชินชาไม่ได้ให้คุณค่า เรากลับไปให้สิ่งปรุงแต่งภายนอก เราต้องมี ต้องมี ต้องมีและต้องมี อยู่ร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุด จะหยุดนึกกันได้อีกที ก็ตอนที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดเริ่มเสื่อมสภาพลงแล้ว แล้วทำไมเราไม่กลับมาให้คุณค่ากับสิ่งธรรมดาที่ติดตัวเรามาบ้าง
            ใช้หูเลือกรับฟังสิ่งที่ดี ที่จะนำไปขัดเกลาจิตใจเรา อะไรไม่ดีก็ให้มันผ่านไป เข้าหูซ้ายออกหูขวา เข้าหูขวาก็ทำเป็นหูทวนลมบ้าง อย่าฟังแล้วต้องนำไปคิดเสียทุกเรื่อง มีสองตาที่มองเห็นความงดงาม อย่าไปเที่ยวจ้องมองความผิดพลาดของคนอื่น เห็นเศษฟางในตาเราแล้วชำระตาให้สะอาด เพื่อเราจะได้ชื่นชมแสงสว่างแห่งวันใหม่ด้วยความสดใส มีปากมีลิ้นไว้เพื่อรับรสสิ่งที่เป็นประโยชน์ พูดสิ่งดีงามออกจากปาก หากทำไม่ได้ก็ปิดปากไว้บ้าง อย่าสนุกปากกับเรื่องชาวบ้าน เพราะธรรมดาเรื่องของเราก็หนักพอแล้วที่จะทำให้เราก้าวพ้นผ่านไปสู่ความดี ความงาม ของชีวิต เรามีจมูกเพื่อรับอากาศที่สดใส เพื่อเพิ่มพลังชีวิต อย่าใช้ลมหายใจให้เปลืองไปกับเรื่องราวไร้สาระ
            เพียงแค่เราใช้ประสาทสัมผัสที่มีอยู่อย่างมีคุณค่าในแต่ละวัน ในความธรรมดานั้น ที่เราอาจจะทำหาย หลงลืมไป พยายามเสาะหาให้พบ เมื่อเราพบแล้วเราก็จะเห็นความพิเศษและความมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ในแต่ละวัน  แล้วเราก็ต้องไม่ลืมที่จะขอบคุณพระเจ้าในความธรรมดานั้นด้วย...

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2556

บทเรียนลอยฟ้า


บทเรียนลอยฟ้า
ด้วยการพัฒนาทางด้านการขนส่งและคมนาคม ทำให้เราเคลื่อนตัวจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยเวลาที่รวดเร็ว วันนี้...เราอยู่ซีกโลกนี้ รุ่งขึ้น...ก็สามารถไปอยู่อีกซีกโลกในประเทศอื่นได้ เมื่อเช้า..อยู่จังหวัดนี้ ตกเย็น...ก็สามารถมาดื่มด่ำกับบรรยากาศในต่างจังหวัด ต่างสถานที่ได้ สิ่งนี้เองที่ทำให้เรามีโลกที่กว้างขึ้น มีมุมมองที่ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย เป็นบทเรียนที่เวียนมาให้อ่าน ให้ศึกษาค้นคว้า ได้อย่างมิมีวันจบสิ้น เพียงแต่ว่าใครจะรัก ใครจะชอบ ที่จะเปิดตาเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ แล้วนำมาพัฒนา นำมาเป็นบทเรียนให้กับชีวิตได้มากกว่ากัน มีบ้างบางคนเดินทางไปในหลายๆที่ เห็นโลกกว้าง แต่หัวใจกลับปิดมิดลง มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เรามีทัศนคติอย่างไรต่อสิ่งที่พบเจอ ต่อการดำเนินชีวิต พร้อมน้อมรับบทเรียนที่ไหลหลากหลายเข้ามาและหยิบฉวยมาถักทอต่อยอดได้มากแค่ไหน และแน่นอนสิ่งสำคัญที่สุดในการปรับทัศนคติ คือ เราควรเห็นแง่งามต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ในวันที่ต้องใช้บริการการบินเพื่อไปทำภารกิจยังจังหวัดที่ไกลจากเมืองหลวง ในขากลับนั้น ได้เที่ยวบินรอบเที่ยงๆกว่า อันเนื่องจากมีการเปลี่ยนการเดินทางแบบกะทันหัน จึงได้ที่นั่งอยู่ทางด้านหลังเครื่องบิน ผู้โดยสารในรอบนี้ไม่ถึงกับเต็ม ยังมีที่ว่าง จึงทำให้มีโอกาสสับเปลี่ยนมานั่งดูท้องฟ้าอยู่ริมหน้าต่าง เวลาหนึ่งชั่วโมงหากหมดไปกับการที่ต้องดูศีรษะหรือดูหลังของพนักเก้าอี้เบื้องหน้านั้น ดูจะไม่เป็นเรื่องสนุกเอาเสียเลย ดังนั้นแล้ว เมื่อมีโอกาสที่สายตาจะได้เห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาได้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ วันนี้ท้องเปิด เห็นเมฆล่องลอยผ่านไปมาอย่างสวย ยิ่งนั่งมองยิ่งเห็นความหลายหลากรูปแบบของกลุ่มก้อนเมฆ บางแห่งหนาแน่น บางแห่งอยู่กันอย่างเบาบาง ในช่วงจังหวะหนึ่งมองเห็นชั้นท้องฟ้าแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ด้านบนสุดออกจะดูอึมครึม ตรงกลางดูมีสีสันที่สวยงาม ตรงด้านล่างมีกลุ่มเมฆขาวสว่างสดใส ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนั้น ในบางวันเราพบทั้งสามด้าน ในบางเวลาอาจจะจมอยู่ในชั้นบนสุดที่หมองหม่นปนทุกข์ ในบางจังหวะปรับตัวรับทุกข์สุขได้ แล้วมีบ่อยครั้ง ที่เรารู้สึกโล่งปลอดโปร่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนวนเวียนอยู่ในชีวิต หากเรารู้จัก รู้ทัน รู้จักปรับ เราก็สามารถมองเห็นความงามในทุกช่วงขณะของชีวิต
ครั้นเมื่อเครื่องลดระดับลงเพื่อร่อนลงจอด จนสามารถมองเห็นพื้นแผ่นดิน สิ่งปลูกสร้าง ตึกรามบ้านเรือนที่อยู่ข้างล่าง ยามเมื่อเราอยู่บนแผ่นดิน สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นใหญ่โตมโหฬาร ยามมองมาจากข้างบนนั้นดูเล็กกระจิดริด เห็นก้อนเมฆหลายก้อน หลายขนาดล่องลอยผ่านไป ภายใต้ก้อนเมฆเหล่านั้นก็บังเกิดเป็นร่มเงา ตามรูปร่าง ในครั้งแรกคิดว่าเป็นบ่อน้ำ แต่เมื่อจ้องดูเพ่งพิศดีๆแล้วนั่น เห็นชัดเลยว่าเป็นเงาจากก้อนเมฆ พลันก็คิดไปว่า แล้วเราเป็นเงาเมฆให้กับใครได้บ้างหรือเปล่า ???
ใช่หรือไม่...สาระสำคัญของการมีชีวิตนั้น คือ การมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น เป็นร่มเงาให้ผู้อื่นบ้าง แต่ในทัศนะของคนในสังคมวันนี้ การมีชีวิตรอดนั้นก็เพื่อการเป็นสุดยอดคนเท่านั้นเอง ทำให้ทุกคนต่างผลักดันตัวเองขึ้นให้สูงอยู่เหนือคนอื่น จนกระทั่งกลายเป็นความปรารถนาที่จะควบคุมคนอื่น ไม่เป็นเงาปกคลุมให้ร่ม แต่ชอบที่จะให้คนอื่นอยู่ภายใต้อำนาจของตัวเอง เมื่อไม่สามารถควบคุมได้ ก็ใช้อำนาจบังคับให้ทุกคนสยบยอม จึงกลายเป็นว่า คนที่มีอำนาจ สามารถที่จะอยู่เหนือคนอื่นได้ ทุกคนจึงไขว่ขว้าหาอำนาจ แล้วพยายามเป็นเมฆที่อยู่สูง แต่เมฆนั้นมันเป็นเมฆที่กลายเป็นเมฆฝนคะนอง เป็นพายุแรงที่พร้อมจะซัดใส่ใครที่บังอาจมาขวางหน้า ทำความเดือดร้อนให้สรรพสิ่งภายใต้ตน ในเมื่อทุกคนอยากอยู่เหนือคนอื่น พยายามที่จะดันให้ลอยสูงขึ้นจึงเกิดการแข่งขัน ช่วงชิง ความเป็นใหญ่ 
จริงๆแล้วเป็นเมฆก้อนหนึ่งก็ให้ร่มเงาแบบหนึ่งได้แม้จะไม่มากนัก แต่ถ้าเมื่อเมฆรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน เป็นแผ่นเมฆที่หนาแน่น ความร่มเย็นก็จะปรากฏให้เห็นอย่างกว้างขวาง อากาศที่ร้อนแรงจากแสงอาทิตย์ก็จะทุเลาเบาลง สรรพสิ่งใต้ร่มเงาก็จะมีชีวิตชีวา ไม่ถูกเผาไหม้ให้แห้งตาย เมื่อถึงที่สุดเมฆก้อนใหญ่นั้นก็พร้อมใจกันสลายเป็นหยาดฝนละอองจากฟากฟ้าลงสู่ผืนแผ่นดิน นี่จึงเป็นบทเรียนว่า เมื่อเราสูง เราใหญ่ ใยไม่ใช้สิ่งเหล่านี้เอื้อเพื่อคนอื่นเล่า สันติภาพ สันติสุข เกิดขึ้นจากภายในที่พร้อมกระทำเพื่อคนอื่น แม้สูงเด่นก็ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นแหงนหน้าเรียกหา ใช้ความสูงล้ำนำพาคนอื่นให้มีชีวิตที่งดงามจะไม่ดีกว่าหรือ
ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนเล็กๆคนหนึ่งในสังคม เป็นสมาชิกคนหนึ่งของโลกใบนี้ ไม่ได้มีความยิ่งใหญ่ ไม่มีอำนาจ แต่ว่าในหัวใจของเราทุกคนมีความรัก มีสันติสุขและต้องการเห็นสันติภาพ วันนี้เราจงนำหัวใจกระแสแรงแห่งรักและศรัทธานั้น มาหลอมรวมกันเป็นแผ่นเมฆผืนใหญ่ สวดภาวนาให้คนที่มีอำนาจ จงอย่าใช้ความรุนแรงเพื่อเรียกหาความยุติธรรมและสันติภาพเลย ไม่มีสันติสุขใดที่ได้มาจากสงครามจะมีความมั่นคงถาวร พลังภาวนาของเราจากหนึ่ง เป็นสอง เป็นสาม สานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น เพื่อให้เหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงของโลกในครั้งนี้ลดลง คนที่นำสันติสุขสู่โลกหัวใจย่อมมีสันติสุขก่อน เห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ เห็นเส้นขอบฟ้าสุดลูกหูลูกตา แต่ทำไมหนอ คนตัวเล็กๆกลับสร้างให้เกิดความรุนแรงสั่นสะเทือนได้ใหญ่โตถึงเพียงนี้ เพราะความโกรธ เกลียดและหลงในอำนาจที่ถือครองเพียงเท่านั้น ฟ้าให้บทเรียนเสมอแต่คนเราไม่เคยเงยหน้าเรียนรู้จากเบื้องบนเลย..  อดอาหารและภาวนาเพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในซีเรีย ช่วยกันนะพี่น้อง แม้มันอาจจะเกิดขึ้น ก็ขอให้มีผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เพราะดินแดนแถบนี้สูญเสียมามากเกินพอแล้ว…  อาแมน