วันเสาร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2566

สูงต่ำธรรมชาติสอน

 

สูงต่ำธรรมชาติสอน

>>> น้ำไม่เคยแย่งชิงอะไรกับใคร น้ำไม่เคยวิ่งขึ้นสูง <<<

ยัง ยังไม่จบ รบกันเป็นปี สงครามในยูเครนยืดเยื้อยาวนานมาเป็นปี ก่อให้เกิดวิกฤติการเงิน ธนาคารใหญ่ ๆ ในโลกที่เคยแข็งแกร่งกลับต้องล้ม เลิกกิจการไปดื้อ ๆ คนฝากเงินก็ต้องสูญเสียเงินกันไป  และมีทีท่าว่าจะกระทบต่อ ๆ กันไปทั่วโลก สงครามเกิดจากความอยากของคน  ความขัดแย้งเกิดจากการใช้ความพยายามเพื่อสนองความต้องการของคนเรา  เมื่อความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นก็จะกลายเป็นสงคราม  การชิงดีชิงเด่นเป็นต้นเหตุที่จะนำไปสู่การเสื่อมทราม ชีวิตที่ปราศจากความโลภจึงเป็นชีวิตที่เป็นไปตามหลักธรรมชาติ



ท่ามกลางสายน้ำในวันพักผ่อนร่วมกันของเราผู้ที่ทำงานในวัดเซนต์หลุยส์ มีโอกาสนั่งชื่นชม นั่งแช่น้ำเย็น ๆ ละเมียดละไมในอารมณ์ยามแสงอัสดง ทำให้พบบทเรียนของ “น้ำ”  คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเสมือนเป็นดั่งน้ำ  ที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ และสรรพสิ่งในโลกหล้า แต่น้ำก็ไม่เคยแย่งชิงอะไรกับใคร ใช่หรือไม่ คนเรานิยมแสวงหาตำแหน่งที่สูงกว่าเพื่อให้ได้พลังบางอย่าง ขณะที่น้ำมักจะไหลไปยังพื้นที่ต่ำเสมอเพื่อก่อให้เกิดพลัง  ภายใต้พลังความอยาก  เราจึงชอบสิ่งที่เราคิดว่ามีความเหนือกว่า และดูถูกคนอื่นที่ด้อยกว่า  แต่....น้ำไหลไปยังที่ต่ำเสมอ เพื่อหล่อเลี้ยง น้ำสร้างคุณูปการให้แก่โลกโดยไม่คำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียของตน แม้จะอยู่ในที่ต่ำ ที่เรียบ ที่สงบ วิถีของน้ำจึงแตกต่างไปจากวิถีของผู้คนที่มีความอยาก ความโลภ

ท่ามกลางความอ่อนโยนและความสงบ  ยามที่ต้องแสดงพลัง น้ำก็สามารถขจัดอุปสรรคทุกอย่างในโลก    ไม่มีสิ่งใดในโลกที่อ่อนโยนกว่าน้ำ  และก็ไม่มีอะไรที่มีพลังเหนือกว่าน้ำในการพิชิตความเข้มแข็ง  น้ำเป็นแบบอย่างแห่งความอ่อนโยนชนะความเข้มแข็ง  เพราะว่าน้ำปราศจากความอยากและไม่ต้องการแย่งชิงดีชิงเด่นอะไรกับใคร ไหลไปตามคูคลอง มีที่ให้ไปก็ไป มีที่ให้สงบก็สยบนิ่งยอมรับ แข่งกันได้อะไร รบกันเพื่ออะไร ทำไมไม่รักกัน สงบสันติ ให้ความร่มเย็นแก่กันและกันบ้าง สูงส่งเด่นดังเพื่ออะไร ไม่วันใดวันหนึ่งก็ล้มลงนอนราบเท่ากันทุกคน ....

วันเสาร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2566

ชีวิตโปร่งใส

 

ชีวิตโปร่งใส

>>> ครองใจให้ดี เดินทางให้ดี ชีวีสดใส <<<

พักกายพักใจกลางธารน้ำ ตื่นแต่เช้ากลางความมืดและเงียบจากเสียงครึกโครม อย่างกับคนละที่คนละทางกับเมื่อวาน ที่ผู้คนและเสียงเพลงดังระงม นั่งรอแสงแรกริมระเบียง จากความมืดสู่แสงสว่าง พร้อมกับอ่านบทความดี ๆ สักบท ซึ่งพบเจอเข้ากับบรรยากาศยามนี้อย่างพอเหมาะ


ชีวิต แต่ละคนมีได้เพียงครั้งเดียว ยาวบ้างสั้นบ้าง ชีวิตดำเนินต่อไป ทุกข์บ้างสุขบ้างบนหนทางชีวิต คงอยู่บนเส้นทาง ขึ้นบ้างลงบ้าง ...วุ่น คือ วิ่งเหน็ดวิ่งเหนื่อยออกเช้ากลับค่ำ อารมณ์ คือขม คือหวาน โศกสุขพบพราก พร่อง คือเสียดาย เสียใจ วันฟ้าหม่นฟ้าใส จันทร์กลมจันทร์แหว่ง คนไร้คนสมบูรณ์พร้อม สิ่งไร้ความสมบูรณ์แบบ เรื่องจุกจิกบางเรื่อง อย่าได้ใส่ใจ ใส่ใจจะเหนื่อย

โลกไพศาลนัก ใจคนสับสนนัก จะไม่พบเจอคนพาลอย่างไรได้? สบายใจให้มากขึ้นบ้าง น้อยใจแล้ว เงียบงันไร้เสียง ถูกเข้าใจผิดแล้ว ยิ้มน้อย ๆ ไร้แสงตะวัน ก็ฟังเสียงลม ดูหยาดฝนโปรย ไม่มีดอกไม้สด ก็ดมกลิ่นหอมของดิน เลียนแบบความแข็งแกร่งของต้นหญ้า ไม่มีเสียงปรบมือ ก็เสพความเรียบง่ายของชีวิต ความสงบใสของการอยู่โดยลำพัง ถนอมความสัมพันธ์ที่จริงแท้ที่สุด สัมผัสความยินดีที่อยู่ใกล้ที่สุด เสพภาวะจิตใจที่งามที่สุด

แม้วันคืนไหลล่วง วัยวันแปรเปลี่ยน ไม่ตำหนิ ไม่พร่ำบ่น ไม่เจ็บปวด ไม่ยอมแพ้ หากกดดัน ก็เปลี่ยนสถานที่สูดลมหายใจลึก สับสน เปลี่ยนมุมใคร่ครวญเงียบ ๆ ล้มเหลว สะสมกำลังใจเริ่มต้นใหม่ ต้องเผชิญหน้าตัวเอง เผชิญทุกปรากฏการณ์ธรรมชาติ ใช้ชีวิตให้ปลอดโปร่ง เปิดใจให้กว้าง  ให้อภัยทุกความผิดพลาด ดำเนินชีวิตโปร่งใส ฝึกเพาะความกว้างในใจ เก็บความปีติยินดีชั่วชีวิต ก้มกายลงทำงาน วางใจลงจึงได้ชื่อว่าเป็นคน (จากบทประพันธ์ของจีน)

ผ่านกลางคืนย่อมพบเจอกลางวัน อย่าปล่อยชีวิตเราจมหายไปกับความมืด เพราะเรามีแสงสว่างกระจ่างใจเสมอบนเส้นทางสายชีวิตนี้ เส้นทางสายพระคริสต์....

วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

กวาดใจให้สะอาด (ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก)

 

กวาดใจให้สะอาด (ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก)

>>> วันนี้จะกวาดใบไม้ให้สะอาดสักเพียงใด ในวันพรุ่งนี้ก็ยังมีใบไม้ร่วงหล่น >>>

ฝุ่นในเมืองหลวงทะลุทะลวงค่ามาตรฐานมาหลายวัน ทำให้หลายคนเกิดอาการภูมิแพ้ ต้นตอแก้ปัญหานี้อยู่ที่ใด จะแก้ไขเช่นไร ยังหาคำตอบกันไม่พบ อาจจะเป็นเพราะต้นไม้เรามีน้อยและเป็นช่วงใบไม้ผลิใบหรือเปล่า ก็คาดเดาไปตามภาพที่เห็น แต่ที่แน่ ๆ ที่วัดเราใบไม้ร่วงเยอะมาก ๆ น้อง ๆ เจ้าหน้าที่ของวัดต้องเพิ่มรอบการกวาดทั้งเช้าและเย็นในทุก ๆ วัน ไม่เช่นนั้นในบริเวณรอบวัดเราคงเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง สกปรก ใบไม้ที่เคยเขียวสด เมื่อถึงเวลา ถึงจังหวะมันก็แห้งเหี่ยว หลุดขั้วร่วงจากต้น จะยึดรั้งไว้ตลอดนั้นเป็นไปไม่ได้ ใบหนึ่งหลุดร่วง เพื่อผลิใบอ่อนทดแทน ถึงเวลาให้ร่มเงา ให้ความสดชื่น ช่วยบรรเทากรองฝุ่นพิษ ถึงเวลาอันควรตามฤดูกาลก็จากลา วนเวียนเช่นนี้ตามวิถีสมดุลทางธรรมชาติ


คนเราก็เช่นนั้น มีวันเวลาดีสดใส ไม่นานก็มีปัญหาเข้ามา ปัญหาจากเราเอง ปัญหาจากคนรอบข้าง พี่น้อง เพื่อนฝูง ปัญหาจากจิตใจที่พุ่งพล่าน ปัญหาจากกิเลส ล้วนแต่ทำให้จิตใจเราไม่สะอาด รกรุงรัง ยิ่งสภาพในปัจจุบันมลพิษทางจิตรบกวนเราให้ต้องมี ต้องเป็นเหมือนคนอื่น ต้องไขว่คว้าให้ได้มาครอบครอง ชีวิตภายในจึงสกปรกไร้การเก็บกวาด ฉะนั้นแล้ว ในทุกๆ วันไม่ต้องกังวลให้มากจนเกินไป แต่ค่อย ๆ ทำไปในแต่ละวัน  กวาดที่ใจ จบ ที่เราทำได้สบายใจ แค่ไหนก็แค่นั้น กวาดใจเราให้สะอาดนั่นเป็นพอ

ใบไม้แห้งที่ร่วงหล่น เพราะโรยรา ปัญหาที่เข้ามาในชีวิต บางทีเพราะว้าวุ่น ใบไม้แห้งต้องเก็บกวาด ปัญหาที่มากมี เราต้องจัดการจัดระเบียบใจ จัดระบบในชีวิตให้เป็น อย่าหมักหมมทิ้งกองไว้ จนกลายเป็นขยะใจให้เน่าเหม็น จนไร้หนทางเยียวยา สภาพของความเป็นคนก็จะหมดไป เรายังโชคดีที่เรามีพระอยู่ในจิตใจ ที่จะช่วยกระตุ้นเตือนให้เราหมั่นทำเก็บกวาดชีวิตเราให้สะอาด โดยเฉพาะในช่วงมหาพรตเช่นนี้ และเมื่อเริ่มกวาด จิตใจเราก็สะอาดได้ในทุกวันนั่นเอง

วันเสาร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2566

แสงแห่งตน

 

แสงแห่งตน

>>> เราทุกคนมีดี มีคุณค่า แบบเฉพาะตัวของเราเอง <<<

ทุกคนคงเคยเกิดอาการทำอะไรไม่ถูก แก้ปัญหาไม่ได้ เรียกว่า มืดแปดด้าน ยิ่งกระวนกระวายหาทางออกหาทางแก้ยิ่งไปกันใหญ่ บางทีนิ่ง ๆ สงบจิตสงบใจ ปล่อยวางเพื่อให้ว่าง ไม่นานเราก็พบเจอแสงสว่าง ตรงด้านที่เก้าด้านที่สิบนั่นเอง และเป็นความมหัศจรรย์แห่งชีวิต ที่พระเจ้าประทานให้เราแต่ละคน บนหนทางที่แตกต่างกัน ที่เราเรียกว่า “คุณค่าในตัวเอง”

การเห็นคุณค่าในตัวเองเป็นความคิดที่เรามีต่อตัวเอง เราเป็นคนแบบไหน เราเหมาะกับอะไร มีความสามารถด้านไหน เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดการที่จะพัฒนาชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น รวมถึงความสามารถในการรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ


ในโลกวันนี้เราต่างคนต่างก็ปรารถนาอยากให้คนอื่นเห็นคุณค่าของเรา ให้คนอื่นเห็นแสงของเรา แต่บ่อยไป...ที่เรากลับไปโหยหาแสงที่มิใช่แสงแห่งตนของเรา ไปเอาแสงแห่งกระแสที่วูบวาบ ฉาบฉวยมายึดเป็นสรณะ ต้องเป็นแสงที่เจิดจ้ากว่าใคร บางทีแสงที่มันร้อนแรงเกินไปก็สู้แสงเทียน แสงกองไฟน้อย ๆ ที่คอยให้ความอบอุ่นยามหนาวเหน็บไม่ได้ เราทุกคนมีแสงแห่งความดีด้วยกันทุกคน ไม่จำเป็นต้องส่องสว่างไปทั่ว เพียงส่องให้คนข้าง ๆ เรา ส่องให้ครอบครัวเรา เมื่อแสงต่อแสงมันสว่างขึ้น แสงแห่งความงามของส่วนรวมก็จะปรากฏขึ้นเอง

เราต้องเป็นผู้ที่มีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง อย่าด้อยค่าแสงแห่งตนต่ำ เพราะจะส่งผลให้รู้สึกแย่กับตัวเอง การที่มีมุมมองความคิดต่อตัวเองในแง่ลบ เป็นสาเหตุให้ขาดความกระตือรือร้นบนทางชีวิต การเชื่อมั่นว่าเรามีคุณค่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ  เพราะทันทีที่เรามีชีวิต แสงในตัวเองได้เกิดขึ้นแล้ว

หมั่นมีเมตตาต่อตัวเอง มีความหวังกับตัวเองอย่างเหมาะสม ไม่คาดหวังกับตัวเองสูงจนทำให้รู้สึกกดดัน เพราะบางสิ่งที่หวังอาจจะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ลดการตำหนิตัวเอง ไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ขอบคุณทุกสิ่ง ทุกเหตุการณ์ทั้งดีและร้าย เพราะมันคือการเรียนรู้ เพื่อให้เรารักษาแสงแห่งตนให้คงอยู่กับเราตลอดไป.....