วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ได้โปรดอ่อนน้อมกันบ้างเถิด

 

ได้โปรดอ่อนน้อมกันบ้างเถิด

ช่วงจังหวะชีวิตในเวลาที่โควิด-19 กำลังเป็นผู้กำกับหมู่มวลมนุษย์ให้นิ่ง สถานที่หลายแห่งซบเซามาหลายเดือน ในหลายประเทศยังคงวิกฤต เมืองไทยเราถือว่าสุดยอดที่พลิกสถานการณ์รับมือกับการแพร่ระบาดได้ดี หลายที่หลายกิจการเริ่มทยอยเปิดบริการ ที่พัก โรงแรม โรงเรียน กำลังค่อย ๆ ก้าวสู่ความปกติ ถ้าจะปกติแบบยั่งยืนเราก็ต้องช่วยกันรักษาวินัย


            มีโอกาสได้แวะเวียนไปทำภารกิจบนตึกสูง ในวันที่ท้องฟ้าสว่างสไว มองเห็นเมืองไกลสุดลูกตา มองเห็นความสวยงามในความเงียบงัน มีเวลาได้นั่งไตร่ตรองกลางความสูงและเงียบ เมื่ออยู่บนที่สูงเรามักเห็นสิ่งต่าง ๆ เล็กกระจิด เล็กดั่งของเล่น เมื่ออยู่สูงเราเห็นกว้างแต่ไม่เห็นรายละเอียด ใช่หรือไม่ หากจะเปรียบกับความทะเยอทะยานของคนเรา ต่างก็หวังจะขึ้นให้สูงทั้งทางตำแหน่งหน้าที่การงาน หลายคนเมื่อสูงแล้วก็ยังอยากสูงขึ้นไปอีก ผลักดันทุกวิถีทางไปให้ถึงยังจุดหมาย ทำทุกวิธีเพื่อให้ได้มาครอบครอง โดยมิได้คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น และยิ่งเมื่ออยู่สูงกว่าใคร ๆ กลับเห็นความสำคัญของคนอื่นเล็กลงเรื่อย ๆ ตามความสูงส่งของตัวเอง เห็นคนที่อยู่ใต้ล่างเราเป็นของเล่น จะจิกกล่าวว่าร้ายได้ตามใจปรารถนา สร้างความคลั่งแค้นรอยร้าวในความสัมพันธ์ ยิ่งขึ้นสูงยิ่งเห็นคนอื่นด้อยค่า ชีวิตของหลายคนกำลังเดินอยู่บนจุดนี้


               เวลาเราอยู่สูงเราก็มักคิดไปว่าเราสามารถที่จะควบคุมใครต่อใครได้ ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หลายหนคนเราก็พลาดขาดความอ่อนน้อมต่อชีวิตผู้คน เอาความอวดเก่งแสนรู้ไปเป็นแรงดันให้ขึ้นสูง ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงสิ่งที่กำลังทำอยู่มัน คือ การอวดความไม่ฉลาดบนความฉลาดของตัวเอง คนเราแต่ละคนมีอัตลักษณ์และความรู้ความเชี่ยวชาญของตัวเองไม่เหมือนกัน แต่โลกวันนี้สอนให้เราต้องรู้ทุกเรื่อง คนเราเลยพยายามอวดรู้กันทุกเรื่อง เพื่อให้ตัวเองดูล้ำค่า แต่ไร้คุณค่าในสิ่งที่รู้ โลกนี้จะน่าอยู่ถ้าเราพยายามให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เคารพในความเป็นคนของกันและกัน ไม่ไปกดดันด้วยอำนาจและตำแหน่งที่เหนือกว่า เรามีตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดในเรื่องนี้ของท่านนักบุญหลุยส์ ผู้เป็นกษัตริย์ของชาวฝรั่งเศสที่อยู่สูงกว่าทุกคน แต่พระองค์ท่านกลับก้มลงมามองและอยู่ระนาบเดียวกับทุกคน อยู่ร่วมกับคนป่วยโรคเรื้อนที่น่ารังเกียจ ช่วยเหลือแม้กระทั่งเชลยศึก มอบตำแหน่งแห่งประเทศไว้ในความดูแลของพระเจ้า เฝ้าดูแลคนยากไร้อย่างกับเพื่อนสนิท ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่ยิ่งใหญ่ด้วยอำนาจ หากแต่ยิ่งใหญ่ด้วยความดีที่กระทำ แล้วเราวันนี้ที่ต่างคนต่างอยากยิ่งใหญ่ แล้วเรามีความดีงามอันใดแต่งแต้มไว้ระหว่างทางบ้าง? 

ชายคนหนึ่งทำงานที่โรงงานผลิตเนื้อสัตว์แปรรูป วันหนึ่งหลังเลิกงาน เขาเข้าไปในห้องเย็นแช่แข็งเพื่อเข้าไปดูความเรียบร้อยอะไรบางอย่าง ด้วยความโชคร้าย ประตูห้องเย็นปิดทันทีและเขาถูกขังอยู่ภายใน ถึงแม้ว่าเขาจะตะโกนและเคาะประตูเรียก ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา เพราะคนงานส่วนใหญ่กลับบ้านไปแล้ว

5 ชม.ต่อมา ขณะที่เขาเริ่มหมดหวังและนอนรอความตาย พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทได้เปิดประตูมาช่วยเขาได้ทัน เขาถามผู้มาช่วยเหลือว่า ทำไมถึงมาเปิดประตูให้เขาได้

พนักงานผู้นั้นตอบว่า

“ผมทำงานโรงงานนี้มา 35 ปีแล้ว พนักงานหลายร้อยคนเข้าและออกโรงงานทุกวัน คนส่วนใหญ่มองผมเหมือนไม่มีตัวตน แต่คุณเป็นหนึ่งไม่กี่คนที่ทักทายผมทุกวันในตอนเช้า กล่าวลาผมตอนกลับบ้าน แล้วพูดว่า “พบกันใหม่พรุ่งนี้” ผมมีความสุข ที่ได้รับคำทักทายทุกวัน เพราะคุณทำให้ผมรู้สึกว่าฉันมีตัวตน และวันนี้ก็เหมือนทุกวัน คุณได้ทักทายในตอนเช้า แต่จนดึกแล้วผมก็ยังไม่ได้ยินเสียงกล่าวลาของคุณ ผมรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ จึงตามหาตามที่ต่าง ๆ  จนกระทั่งได้พบคุณในที่สุดครับ” (เรื่องเล่าผ่านไลน์)

ความอ่อนน้อม ถ่อมตัว ให้ความรัก ความนับถือกับผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจเป็นสิ่งหายาก โลกวันนี้มีแต่คนเก่งที่แข็งหยาบกระด้างเกินไป หากเราตระหนักว่า “ชีวิตนี้สั้นนัก” สิ่งที่เรากระทำไปในแต่ละวันอาจมีผลต่อผู้คน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งดีงามหรือเลวทราม และเราย่อมได้รับกลับมาตามนั้นไม่วันใดก็วันหนึ่งเช่นกัน ความอ่อนน้อม ถ่อมตัวนั้นมีค่าเสมอ ได้โปรดอ่อนน้อมและจงอย่าดูถูกผู้อื่นกันเลย นี่คือหนึ่งบทเรียนจากท่านนักบุญหลุยส์ที่เราร่วมกันฉลองในวันที่โรคไวรัสโควิด -19 กำลังสร้างฐานโลกใหม่ขึ้นมา

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ยอดมนุษย์อายุสั้น

 

ยอดมนุษย์อายุสั้น

เมื่อตอนโรคโควิด-19 ระบาดใหม่ ๆ บรรดาคุณหมอและผู้ทำงานด้านการแพทย์พยาบาลถูกยกย่องให้เป็น “ยอดมนุษย์” ที่ออกมากอบกู้สู้กับโรคจนทุกคนปลอดภัย วันนี้เราอาจจะหลงลืมบุคคลเหล่านั้น เราอาจจะเห็นเป็นเรื่องธรรมดาปกติไปแล้ว ซ้ำร้ายบางทียังมีบ้างที่พอมีข่าวว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อ ก็ว่าร้ายบรรดาโรงพยาบาล แพทย์ จนลืมความทุ่มเท การอุทิศตัวเพื่อคนทั้งประเทศมาแล้ว ลืมมองดูว่าแท้จริงแล้วเราต่างหากที่เริ่มไม่ระมัดระวังตัว ไม่รักษามาตรการที่สาธารณสุขแนะนำ เราหละหลวมกันมากขึ้น และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบรรดาบุคคลที่เราเรียกว่ายอดมนุษย์ให้ทำงานต่อไปอย่างเดียวดาย

ขบวนการยอดมนุษย์ไฟฟ้า 5 สี | A.C.SR. BAND 1986
ภาพ : อินเทอร์เน็ต

เมื่อพูดถึงยอดมนุษย์ นึกย้อนไปถึงรายการทีวีสมัยเด็ก ๆ มียอดมนุษย์เกิดขึ้นมากมาย ทั้งไทยทั้งเทศ ให้ได้ชมได้เลียนแบบ สนุกสนานตามประสานเด็ก ๆ ทำท่าทาง แต่งตัว คำพูดเดิม ๆ ประจำแต่ละตัว ถูกนำมาเลียนเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูง เด็ก ๆ สมัยนี้เห็นเข้าคงหัวเราะว่าทำอะไรกัน!!!! ยุคสมัยเปลี่ยนไป ยอดมนุษย์ ฮีโร่ก็เปลี่ยนแปลงไป จากยอดมนุษย์ไฟฟ้า มดเขียว มดแดง กลายเป็นมนุษย์ถ้ำไปเสียแล้ว นี่เป็นสัจจธรรมของการเปลี่ยนผ่านยุคสมัย แต่...สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ การที่แต่ละคนแสวงหาตัวตนของเราเอง เพื่อให้ค้นพบในสักวันหนึ่งว่า แท้จริงแล้ว “เราเป็นใคร” เป็นยอดมนุษย์สำหรับใคร? เป็นฮีโร่คนตนต้นแบบให้กับใครบ้าง? หลายคนจึงพยายามสร้างตัวตนโดยอาศัยข้อมูล ความรู้ ที่นำไปสู่การอวดรู้

เทคโนโลยีมีบทบาทในการแก้ปัญหาสังคมอย่างไร | by Good Factory Team | Good  Factory
ภาพ : อินเทอร์เน็ต

ในยุคที่ความรู้ท่วมโลก ทุกคนต่างยึดโยงเอาข้อมูลความรู้ที่ได้รับมาให้กลายเป็นสิ่งชี้นำชีวิต พร้อมยอมรับคนที่ให้ข้อมูลที่ถูกใจเรา เป็นยอดมนุษย์ เป็นฮีโร่ออนไลน์ เพื่อจะได้นำไปสร้างฐานการมีตัวตน ข้อมูลที่ไหลหลั่งลงมาดั่งสายฝนจะมีสักกี่คนที่รับเอามาแล้วกลั่นกรอง ส่วนใหญ่ก็จะเลือกรับในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ หรือไม่ในกลุ่มเพื่อนฝูงคนสนิทใกล้ชิดบอกต่อ แล้วก็เชื่อตาม ๆ กันมา โดยมิได้นำข้อมูลความรู้มาคัดกรองให้เป็นข้อเท็จจริง ไม่ได้ใช้สำนึก ใช้มโนโซเชี่ยลอย่างเดียว เมื่อเรานำความรู้ที่ท่วมโลกเพียงด้านเดียว เราก็ย่อมต้องเอียงเอนเป็นธรรมดา สิ่งที่ร้ายกว่า คือ เมื่อต่างคนต่างยึดโยงข้อมูลตามความชื่นชอบของตัวเองแล้ว ก็มักจะไม่ยอมรับฟังสิ่งอื่นที่บอกกล่าว ทั้ง ๆ ที่มนุษย์เราไม่รู้อะไรเกินมากกว่าปลายจมูกของตัวเอง ยังมีสิ่งจริงเท็จ ยังสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในความรู้นั้นอีกมากมาย ยอดมนุษย์ที่เราเห็นและยอมรับกันอยู่วันนี้ จะกลายเป็นซากของกาลเวลาในอีกไม่ช้า ความฉลาดในการดำเนินชีวิตมิได้อยู่ที่การมีความรู้และการครองข้อมูลเพียงอย่างเดียว เพราะเวลาจะกลืนกินทุกอย่าง

รวมคำคมชีวิตคู่ ที่ช่วยให้คุณเข้าใจ "ความรัก" มากขึ้น
ภาพ : อินเทอร์เน็ต

สิ่งที่สำคัญกว่าความรู้ คือ ความรัก รักอย่างจริงใจ รักอย่างไร้ข้อแม้ รักแบบนี้จะนำให้จิตใจเราอ่อนโยน ซื่อสัตย์ เรียบง่าย ยอมรับในความต่างได้ง่าย แม้ว่าอาจจะดูไม่เก่งเท่าคนอื่น แต่สามารถอยู่กับคนอื่นได้อย่างมีความสุข สิ่งต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ความรู้ข้อมูลย่อมมีการผลัดเปลี่ยน บางเรื่องถูกวันนี้วันต่อมากลายเป็นเรื่องโอ้ละพ่อ บางเรื่องจริงวันนี้ไม่นานกลายเป็นเรื่องไร้สาระ ชีวิตจริงเป็นเช่นนี้ อย่าไม่จริงจังเอาเป็นเอาตายกับการเชื่อถือข้อมูลในโลกออนไลน์มากนัก สิ่งที่ควรจะเชื่อและยึดมั่นเป็นสรณะ คือ ความดีที่กระทำให้กับผู้อื่น และเกิดผลสุขด้วยกันทั้งเราและเขา บางทีความรู้ก็สู้ความซื่อ ๆ ไม่ได้ ความรู้เยอะก็ใช่จะน่ารักเสมอไป เรามิได้เกิดมาเพื่อเป็นยอดมนุษย์ที่จะเก่งเกินใคร แต่เราเป็นเพียงมนุษย์ที่ต้องทำตัวตนให้สมบูรณ์จวบจนลมหายใจสุดท้ายต่างหาก

ก่อนล้มตัวลงนอนในแต่ละวันต้องถามตัวเองบ่อย ๆ ว่า “เราเป็นใคร” ต่อด้วยว่าและในสายตาคนอื่นล่ะ “เราเป็นใคร” เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? ทั้งนี้เพื่อว่าเราจะได้มีช่องว่างที่จะลดทอนความทะนงหลงตังตนลงบ้าง โลกต้องการคนเข้มแข็งฉันใด โลกเราก็ยังต้องอาศัยคนอ่อนน้อมถอมตนฉันนั้น ใช่หรือไม่ ยอดมนุษย์ คือ ยอดคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แล้วเราวันนี้เราช่วยเหลือใครบ้าง? หรือเอาแต่เรียกร้องขอให้คนอื่นมาช่วย และไม่จำเป็นต้องไปช่วยเหลือในคนกลุ่มใหญ่เท่านั้น ทำตัวเราให้เป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ที่มีคุณค่ามหาศาลในครอบครัว เป็นยอดมนุษย์ธรรมดาสามัญให้กับคนเคียงข้าง ไม่ต้องเก่งเท่าใคร แต่สามารถแก้ปัญหาเป็นที่พึ่งให้กับคนใกล้ชิดได้ ชีวิตแบบนี้จึงสมบูรณ์และดำรงอยู่ชั่วกาลนาน....

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หน้ากากไซเบอร์

 หน้ากากไซเบอร์

โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน จนบางคนเมื่อยที่จะวิ่งตาม บางคนวิ่งตามโลกจนลืมโลกที่เป็นชีวิตจริง บางคนวิ่งไปเรียนรู้ไป แม้จะไม่วิ่งนำก็เกาะกลุ่มไม่ให้ตกขบวนหลุดหล่นกลางทาง และเมื่ออัตราเร่งความเร็วของการพัฒนาโลกมีมากขึ้น ความจริงจึงถูกทิ้งให้เลือนหายไปมากมาย กลายเป็นความกลวง ความลวงหลอก บอกให้ทุกคนต้องเชื่อ ด้วยการสร้างดินแดนสวรรค์ตามใจตามความรู้สึกของเราคนเดียว แต่เที่ยวบอกให้คนอื่นคิดตามทำตามแบบเรา วันนี้เราจึงเห็นมีการสร้างดินแดนขอบเขตแห่งตนบนอากาศเป็นหย่อมและเพราะด้วยเทคโนโลยีสื่อสารที่เอื้อให้เราสร้างสิ่งที่คิดง่ายกว่าสมัยก่อน เราจึงต่างคนต่างสร้างสวรรค์อันเลื่อนลอย และคิดไปเองว่าเรากำลังอยู่ในดินแดนสวรรค์ มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ...

อียูเผย "แรนซัมแวร์" คืออาชญากรรมไซเบอร์ที่ร้ายแรงที่สุด

หากว่าโลกของเราวันนี้ไม่เกิดโรคระบาดไวรัสโควิด -19 ขึ้นมา เราคงได้เห็นการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นอีกหลากหลาย เพราะโควิดทำให้หลายแห่งต่างต้องหยุดโครงการ หยุดการสร้างนวัตกรรม รอให้โรคระบาดห่างหายไปก่อน สิ่งที่จำเป็นกลายเป็น “หน้ากาก” แม้หลายประเทศจะไม่ยอมรับยอมใส่ เพราะห่วงเรื่องเสรีภาพและการปิดกั้น แต่กระนั้นก็ดี เทคโนโลยีสื่อสารปัจจุบันก็ทำให้เรากลายเป็นพลเมืองโลกใหม่ โลกออนไลน์ เป็นชาวเน็ต ชาวออนไลน์ ที่ล้วนเป็นโลกที่ปกปิดตัวจริง แต่เปิดเผยตัวตนในมุมมืด

มีคำพูดหนึ่งที่ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่า “มนุษย์เป็นตัวของตัวเองน้อยที่สุดหากเขาพูดในนามของตัวเขาเอง ส่งหน้ากากให้เขา เขาจะบอกความจริง”คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นมุมมองบางมุมในความเป็นตัวตนของผู้คนยุคนี้ได้เป็นอย่างดียิ่ง “การใส่หน้ากาก” เป็นการปกปิดตัวตนของผู้พูด มีส่วนช่วยสำคัญให้ผู้พูดกล้าหาญมากพอที่จะเปิดเผยความจริงออกมามากกว่าที่เคย หรือว่าพระเจ้ากำลังสอนอะไรกับเราที่วันนี้เราต้องสวมใส่หน้ากาก เพราะที่ผ่าน ๆ มา เราต่างพูดแต่ความเท็จ หมกเม็ดความจริง โชว์แต่ความหลอกลวง กลวงโบ๋ทางจิตวิญญาณ

คอบช. จัดถก พ.ร.บ. ไซเบอร์ 'คุ้มครองหรือคุกคาม' - มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

แต่เอาเข้าจริง การสวมหน้ากากปิดบังตัวตนก็ไม่ได้เป็นตัวช่วยในการเปิดเผยความจริง ภายใต้หน้ากากคนเราจะพูดความจริงเสียทั้งหมด หลายต่อหลายครั้ง การใส่หน้ากากนั้นอาจเป็นไปเพื่อช่วยให้ผู้คนปกปิดตัวตนจากการกระทำสิ่งผิดได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ที่เราเห็นการอวตารของซาตานบินว่อนไปหมด เราเห็นการปลุกปั่นเล่าความเพียงเพื่อชักจูงให้หลงเชื่อเพื่อผลประโยชน์ ไร้ความจริงใจต่อกัน นับวันก็มีแนวโน้มที่จะรุนแรงต่อกันมากขึ้นบนโซเชียลมีเดีย การใช้ถ้อยคำเสียดสี รุนแรง ด่าทอ และการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ บางคนกลายเป็นดินแดนสวรรค์เพลิดเพลินที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ใส่คนอื่น เพราะต่างคนต่างไม่เห็นค่าตา นี่มันคือหน้ากากไซเบอร์

ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว ใช้ต้นทุนต่ำ ข้อมูลข่าวสารล้นเหลือที่มีทั้งที่เป็นจริงและเท็จ จำนวนข้อมูลมากมายมหาศาลทำให้การคัดกรองข้อมูลเท็จออกจากข้อมูลจริงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โลกออนไลน์ โซเชียลมีเดียยังเปิดโอกาสให้ผู้คนสร้างตัวตนใหม่ที่อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงขึ้นมาได้ สร้าง เนื้อหาส่งเข้าสู่โลกโซเชียลได้อย่างง่ายดาย จึงทำให้หลายคนเกิดมีตัวตนลดปมที่ไม่เคยมีใครเห็นศีรษะเลือกที่จะใช้ชื่ออย่างไรก็ได้ กลายเป็นร่างอวตารหรือร่างดิจิทัลซาตานออนไลน์จึงบังเกิดขึ้น แล้วก็สร้างสิ่งที่น่าบูชาน่าเคารพ สร้างฐานเสียง สร้างกำไรจากความเบาบางทางจิตวิญญาณของผู้คน ทำตัวเป็นศาสดาพยากรณ์  แต่ไม่เคยเป็นพยานยืนยันความดีงาม

เรื่องต้องรู้เทคโนโลยีคู่ธุรกิจ - Tech World

ในขณะที่ทุกคนอยากสร้างตัวตนอยากมีตัวตน แต่ก็ยังไม่วายเที่ยวตามหาคนต้นแบบ ต้องจึงมีคนที่รู้ทาง เข้าทางจัดการปูทาง ให้คนเข้ามาติดกับดัก และพร้อมที่จะเชื่อทุกสิ่ง การเชื่ออย่างสุดหัวใจในบางเรื่องนั้นดี บางเรื่องเราเชื่ออย่างสุดใจไม่ได้ ต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริง แสวงหา เราควรให้ความสำคัญกับตัวสารที่ดีงามมากกว่าตัวตนของผู้สื่อสารที่สวยหรู สารยังคงอยู่ ส่วนผู้สื่อสารนั้นถ้าไม่ใช่ของจริงย่อมอยู่ได้ไม่นาน หน้ากากย่อมถูกฉีกขาด และตัวพาหนะส่งสารเองย่อมมีวันเสื่อมสลายได้ สวรรค์ที่แท้จริงยังคงอยู่ แต่สวรรค์ออนไลน์นั้นออนร้ายและอ่อนแอยิ่งนัก แล้วเราจะเลือกสวรรค์อันแท้จริงภายใต้ใบหน้าที่สวยงาม หรือจะเลือกสวรรค์ออนไลน์ภายใต้หน้ากากไซเบอร์เล่า? เกียรติอันนี้เราทุกคนเป็นคนเลือกเอง...

คนข้างวัด

สามารถติดตามอ่านบทความคนข้างวัดและร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่ 

(www.konkhangwat.blogspot.com,http:/www.facebook.com/คนข้างวัด)


วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563

โลกน่ากลัวหรือโรคตื่นกลัว

 

โลกน่ากลัวหรือโรคตื่นกลัว

จำนวนผู้ที่ติดเชื้อโควิด -19 ทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกวัน สูงขึ้นถึง 19 ล้านคน (ในสัปดาห์แรกเดือนสิงหาคม) สหรัฐ บราซิล อินเดีย ยังเจอคนป่วยรายใหม่เกินห้าหมื่นคนต่อวัน ประเทศในเอเชียหลายประเทศเริ่มมีระบาดระลอกสอง ในขณะที่วัคซีนเพิ่งจะเริ่มเพียงมีข่าวว่าค้นพบและทดลองได้ผล กว่าจะถึงขั้นตอนผลิตก็คงใช้เวลานานพอสมควร ในประเทศไทยหลายฝ่ายก็ยังกังวล “กลัว” ว่าจะเกิดการระบาดขึ้นอีกครั้ง และถ้าหากเรายื่นมือมาช่วยกัน ให้ความร่วมมือกันอย่างจริงจัง จากความกลัวก็จะทำให้ประเทศเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แน่ล่ะ ในขณะที่เรากลัวโรคระบาด เราก็ยังกลัวผลกระทบจากเศรษฐกิจที่มาจากการล็อกดาวน์ ทำให้สายการผลิตหยุดชะงัก มีการปิดกิจการ ปิดโรงงานกันเป็นจำนวนมาก ยิ่งนานยิ่งมีผลกระทบความเป็นอยู่ จึงเกิดอาการที่ว่า กลัวโรคก็กลัวแต่กลัวอดตายมากกว่า

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

ยิ่งเมื่อเห็นเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่โกดังแห่งหนึ่งที่ท่าเรือกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ซึ่งเก็บสารแอมโมเนียมไนเตรท เอาไว้ถึง 2,750 ตัน เกิดระเบิด ส่งคลื่นกระแทกไปไกลนับ 10 กิโลเมตร เหมือนการล้างโลกในภาพยนตร์ สร้างความเสียหายไปทั่วเมือง เบื้องต้นคาดว่า มูลค่าความเสียหายในครั้งนี้อาจสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะยังบอกไม่ได้อย่างชัดเจนว่า เหตุระเบิดครั้งนี้สร้างความเสียหายขนาดใหญ่ ท่าเรือกรุงเบรุต ถึงกับแหว่งหายไปส่วนหนึ่ง กลายเป็นหลุมกว้างถึง 405 ฟุต (ราว 123 เมตร) ขณะที่โกดังหลายแห่งโดยรอบ ถูกทำลายเหลือแต่ซาก พอได้อ่านข่าวนี้ยิ่งเพิ่มความกลัวถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากความสะเพร่าของคนด้วยกันเอง เราสร้างสารเหล่านี้มาเพื่ออะไร? เพื่อทำร้ายกันหรือ จากคนไม่กี่คนส่งผลให้อีกหลายร้อยหลายพันชีวิตต้องติดกับดักแห่งความทุกข์ยากลำบาก บางทีความกลัวก็ถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเอง

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

ช่วงเย็นของวันพฤหัสที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา หลายแห่งในกรุงเทพฯและปริมณฑลได้รับรู้ถึงความสั่นสะเทือนผิดปกติ แม้แต่บริเวณวัดเซนต์หลุยส์ก็รับรู้ได้ ตามเช็คข่าวแผ่นดินไหวก็ไม่พบเห็น มาเห็นข่าวเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งซึ่งยังไม่มีการยืนยันว่าเกิดอะไรขึ้น มีการคาดการณ์กันว่าอาจจะเกิดจากดาวตกขนาดใหญ่ พุ่งผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง (เร็วกว่าเสียง) ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นสามารถได้ยินได้ในหลายพื้นที่ และเกิดแรงสั่นสะเทือนที่สามารถรับรู้ได้ บางแห่งได้รับแรงกระแทกจนหน้าต่างสั่นไหว นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่เกิดจากธรรมชาติที่เราไม่อาจจะควบคุมได้ อาจจะทำให้หลายคนตื่นกลัวถึงขนาดว่าอาจจะเป็นยุคแห่งการสิ้นสุดของโลกนี้

ภาพจากอินเตอร์เน็ต

จากทั้งสามเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ถูกมองว่าปีนี้มักมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ่อย ๆ และแต่ละเหตุการณ์ก็ดูน่ากลัวไม่น้อย ในขณะที่เราหวาดหวั่นในโควิด -19 ก็มีนั่นมีนี่ให้เห็นเกิดขึ้นทั่วโลก ดูเหมือนชีวิตติดกับความน่ากลัวตลอดเวลา เพราะอะไร? นั่นก็เพราะจิตใจเรายังไม่สงบ เพราะเมื่อเห็นเหตุนั้นเหตุนี้ เราก็คิดกลัว หวาดหวั่นไม่มั่นคง แต่ถ้าหากชีวิตเราเรียนรู้ที่จะอยู่ความสงบ ต่อให้มีคลื่นลมลูกใหญ่พัดผ่านก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ หรือถ้าเกิดขึ้นกับตัวเราก็แค่น้อมรับที่จะอยู่กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้ ซึ่งกว่าใครคนหนึ่งจะบรรลุหนทางเช่นนี้ย่อมต้องผ่านการฝึกฝนตนเองมาอย่างเข้มข้น ต้องผ่านประสบการณ์ฝ่าความกลัวมาหลายครั้งหลายหนจนแข็งแกร่ง หนทางที่จะลดแรงกลัวในชีวิตได้ นั่นก็คือ การวางใจในความช่วยเหลือจากพระเจ้า ปล่อยให้ชีวิตอยู่ให้อุ้งมือของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่เคยที่จะปล่อยให้ใครต้องจมลงต่อหน้าต่อตา พร้อมที่จะยื่นมือมาช่วยประคองเราเสมอ ผ่านทางเพื่อน ๆ คนใกล้ชิด และดังนี้เอง เมื่อเราแข็งแรงพอที่จะต้านความกลัวได้ เราต้องพร้อมจะยื่นมือออกไปเพื่อฉุดรั้งผู้อื่นให้ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน ที่สุดเชื่อเถอะ ความกลัวมักแพ้พ่ายต่อความรักและมีความเมตตาต่อกันเสมอ เพียงแค่ยื่นมือออกความกลัวก็พลันมลายหายสิ้น

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563

อย่างไม่คาดหวัง

อย่างไม่คาดหวัง

คนเรามักผิดหวังจากสิ่งที่คาดหวังเสมอ เป็นสิ่งที่ใช้สอนตัวเองและคนรอบข้างอยู่บ่อยครั้ง เป็นเสมือนการปลงหรือพร้อมน้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หลังจากการผ่อนคลายในการเดินทางจากสถานการณ์โควิด-19 นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เดินทางไกลด้วยเครื่องบิน เป็นการไปแบบมิได้ตั้งหวังว่าต้องไปเที่ยวนั่นไปชมนี่เหมือนทุกครั้ง เพียงแค่ว่าตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนศูนย์เลี้ยงเด็กชาวเขา ในการดูแลของคณะซิสเตอร์คณะพระญาณเอื้ออาทร     และเป็นสะพานเชื่อมบุญให้ผู้มีจิตศรัทธาใจดีมีเมตตาช่วยเหลือเด็ก ๆ ตามความสามารถ ได้เลี้ยงอาหารเด็กสักมื้อสองมื้อ และตั้งแต่เริ่มการเดินทางก็เห็นความเปลี่ยนไปหลายอย่าง สนามบินที่เคยวุ่นวายมากมายก็กลับมีคนน้อยลงจนบางตา แต่กระนั้นเรากลับไม่มีที่นั่งเพียงพอเพราะเก้าอี้ถูกจัดให้มีระยะห่าง นั่งหนึ่งเว้นสอง การขึ้นลงเครื่องก็ต้องใช้เวลามากขึ้น เพราะต้องค่อย ๆ ทยอยให้แถวใกล้ประตูลงก่อน ไม่แย่งกันมารอยืนเบียดเสียดกัน ปล่อยทีละสองแถว กระนั้นก็ยังเห็นคนที่ไร้ระเบียบเห็นแก่ตัวรีบมาจับจองยืนรอก่อนใคร ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงแถวของตัวเองโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น ข้าจะทำซะอย่าง!!! ก็ยังดีที่มีไม่มากนักที่ไม่เคารพกติกา มีวินัยกันมากขึ้นทำให้ประเทศไทยยังไร้การระบาด ก็ต้องช่วยกันทำให้วินัยกลายเป็นวิถีให้ได้

และเมื่อเดินทางถึงยังที่หมาย ฝนฟ้าต้อนรับอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่ลืมหูลืมตา พอเข้าที่พักได้ ทำให้เราไม่ได้ออกมาจากห้องพักเลย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็นอนฟังเสียงฝนผสมกับเสียงร้องกบเขียดอึ่งอ่าง ที่ห่างจากการได้ยินมานาน เมื่อวงดนตรีประสานเสียงบรรเลงไม่นานก็ผลอยหลับไป เป็นการนอนตั้งแต่หัวค่ำครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในใจก็คงคิดว่าวันรุ่งขึ้นก็คงเป็นเช่นนี้อีกกระมัง!!! คงเป็นเพียงเปลี่ยนสถานที่นอนในยุคโควิด แต่แล้วรุ่งเช้าอากาศที่แสนสดชื่น ท้องฟ้าใสขึ้นแม้จะไม่ใสสว่างมากนัก ก็นำความสดใสมาให้ได้ พบปะซิสเตอร์ที่ดูแลศูนย์ ได้ฟังความยากลำบาก ก็อดไม่ได้ที่คิดว่า เหตุไฉนใยต้องเปิดศูนย์รับเลี้ยงเด็กเหล่านี้ด้วยเล่า? ไม่ทำไม่ได้หรือ? เพราะทำแล้วก็ลำบาก ในอีกด้านหนึ่งใจก็ยกย่องคนที่เริ่มต้นภารกิจรักแบบนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าเหนื่อยเพื่อความดีงาม ความรักเมตตาตามแบบพระคริสต์ และเพื่ออนาคตคนในชาติ จึงต้องมีสถานที่เช่นนี้ ซึ่งสอดประสานกับคนขับรถรับส่งที่ไร่เชิญตะวันที่พูดขึ้นมาระหว่างขับรถพาชมสถานที่ว่า “การปลูกต้นไม้ก็ดี แต่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นก็แค่ให้ร่มเงาอยู่กับที่ สู้การปลูกคนสร้างคนให้ใหญ่ในดินดีไม่ได้ เพราะเมื่อเติบใหญ่เขาก็จะนำความดีติดตัวไปยังที่ต่าง ๆ เพาะความดีต่อไปไม่สิ้นสุด” เช่นนี้จึงเข้าใจว่า การกระทำบางสิ่งโดยไม่ต้องตั้งความหวังแต่วางใจในพระ เป็นการเพาะความงามชนิดหนึ่งที่บรรดามิชชั่นนารีได้ทำไว้และยังคงสืบสานเลยมาถึงทุกวันนี้

ความงามของการทำงานเพื่อคนอื่นเพื่อสร้างคน ทำงานแบบเงียบ ๆ ไม่ต้องการคำยกย่องสรรเสริญ การเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น การแบ่งปันยังคงมีให้เห็นอยู่มากมาย เมื่อได้เห็นก็ยิ่งมาตอกย้ำนำความคิดเราให้ทำเพื่อผู้อื่นให้มากขึ้นบ้างเช่นกัน คนเรามิได้ถูกสร้างมาเพื่อตัวเอง แต่เพื่อผู้อื่น ความสวยงามเช่นนี้จึงมีให้เห็น ความมีน้ำใจเอื้ออาทรยังมีอยู่ตามทาง ได้เติมเต็มหัวใจให้เพิ่มพองยิ่งขึ้น ระหว่างทางเห็นต้นลำใยให้ผลดกงาม จึงแวะชม ลุงเจ้าของสวนเห็นก็ตะโกนบอกว่า “อยากกินก็เด็ดไปเลย เท่าไรก็ได้เต็มที่” อย่างนี้ก็มีด้วย ถ้าไม่ห่วงว่าน้ำตาลจะขึ้นคงได้แวะกินแวะเด็ดให้หนำใจ เมื่อได้ยินเช่นนั้นใครเล่าจะไม่เกรงใจ ก็บอกว่าจะขอซื้อลุงก็ยังบอกไม่เป็นไร คนร่วมทางจึงบอกว่าขอซื้อสักสิบกิโลจะได้ไหม จะเอาไปแจกจ่ายให้เพื่อนฝูงลุงจึงยอมขายในราคาเหมือนให้เปล่า นี่ไงความงามที่ไม่คาดหวังว่าจะได้พบ เป็นความสวยงามมากกว่าวิวทิวทัศน์ที่ต้องการไปชม เท่านั้นยังไม่พอระหว่างทางริมทางมีสวนปลูกดอกดาวเรืองเหลืองอร่าม ก็แวะชื่นชม คนในสวนก็เชิญชวนให้ลงมาถ่ายรูปใกล้ ๆ เดินไปในดงดอกไม้บานได้ บางทีการได้รับอัธยาศัยแบบไทย ๆ เช่นนี้ก็อดคิดไม่ได้อีกว่า การเอื้ออาทรของคนไทยคือเกราะป้องกันอันตรายจากภัยต่าง ๆ ได้อย่างดี ในสังคมเมืองหากฟื้นฟูสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เราคงได้เห็นสันติสุขและความผาสุกของคนทั้งชาติ

แต่เมื่อความเจริญทางเศรษฐกิจปลูกฝังคนให้คิดแบบหนึ่งซึ่งลงรากลึกไปพอสมควร จึงยากยิ่งนักที่จะทำให้วิถีเดิมย้อนกลับมา สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือการฟื้นฟูจิตใจเรา อย่าไปคาดหวังกับคนอื่นเพราะจะทำให้เราผิดหวังเปล่า ๆ พยายามทำให้จิตใจเรามีเมตตา และกระทำเพื่อผู้อื่นให้มากขึ้น รักคนใกล้ตัว ห่วงใยคนใกล้ชิด สนิทจิตวิญญาณคนในบ้าน เพียงเท่านี้ความดีงามก็จะค่อย ๆ ขจรขจายออกไป เป็นไร่สวนที่มีอาหารทางใจให้ผู้อื่นได้แวะชิม บางทีความหิวกระหายก็ทำให้อิ่มเอมด้วยการแบ่งปัน มีเมตตาต่อกัน ....