วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

นับวันยิ่งไกลห่าง

 



นับวันยิ่งไกลห่าง

>>> ทุก ๆ วันข้าพเจ้า เตือนตัวเองนับล้านครั้งว่า

ชีวิตทั้งภายในและภายนอกของข้าพเจ้านี้

ขึ้นอยู่กับแรงงานของคนอื่น ทั้งคนที่มีชีวิตอยู่และผู้ซึ่งสิ้นชีวิตไปแล้ว

ข้าพเจ้าต้องใช้แรงงานตนเอง มอบคืนในสัดส่วนที่เท่ากัน

ในขณะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้รับ และยังคงเป็นผู้รับอยู่ตลอดเวลา<<<

                                                                          อัลเบิร์ต ไอสไตน์

            สายฝนพรั่งพรมลงมาตามฤดูกาล นั่งมองสายฝนทบทวนวันเวลา กี่ฤดูฝนที่ผ่านมา บางฤดูหนักหนา น้ำท่วม สูญเสีย บางฤดูชื่นชอบ ร่มเย็น หลากหลายทัศนะตามกาลเวลา ชีวิตก็เช่นนั้นที่สุด…ความคิดมาหยุดตรงที่ว่า ชีวิตที่ดีของเราคืออะไร? อยู่ตรงไหน? ความหมายของชีวิตที่ดีนั้นเป็นเช่นไร ในทางร่างกาย คงเป็นเรื่องสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีโรคภัย ไม่ชำรุด เพราะในสภาพแบบนี้ หากร่างกายอ่อนแอย่อมแพ้พ่ายกับเจ้าโควิด-19 นอกจากนั้นชีวิตที่ดีก็ยังต้องมีสิ่งนอกกายที่เอื้ออำนวยในการดำรงอยู่ ข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า ที่หลับที่นอนมีเพียงพอ ซึ่งตรงนี้แหละคือ สิ่งที่ผู้คนยังไม่รับรู้ว่า ขีดสูงสุดของตัวเองอยู่ตรงไหน จากความจำเป็นกลายเป็นความต้องการ และกลายเป็นเพื่อกอบโกยสะสม มีเพื่อโชว์ไม่ได้มีเพื่อใช้ในยุคออนไลน์ ยังมีสิ่งสำคัญที่สุด นั่นคือ จิตวิญญาณที่งดงาม ที่มีอยู่ในความดี ความรัก ความตระหนักรู้ ความเมตตา ที่คนยุคนี้มักหลงลืมไป นับวันยิ่งทำให้คุณค่าชีวิตไร้ความหมาย เพราะเราไกลห่างจากรื่องจิตวิญญาณไป


            ใช่หรือไม่ นิยามชีวิตที่ดีของเมื่อวันวาน คือ ชีวิตที่เราอยากจะเป็น ได้ทำงานที่ชอบ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีเจ้านายที่เอาใจใส่ อยากไปไหนก็ไปได้ทุกที่ แต่งตัวสวยบ้างโทรมบ้าง ได้กินอาหารร้านหรูบ้าง ข้างถนนบ้าง ไม่ต้องแคร์กับความคิดของใคร ๆ มาวันนี้ชีวิตที่ดี ต้องสร้างภาพสวย รวย เริ่ด ต้องโชว์ทำตัวให้ดูโดดเด่นตลอด เพียงเพื่อให้คนอื่นอิจฉา มีแต่ปลอมไม่ใช่ตัวตน แกล้งฝืนทำทุกวินาที มันคือชีวิตที่ดีจริงหรือ ! “ชีวิตที่ดี” คือ ชีวิตที่พอใจ ไม่ใช่ชีวิตที่คนอื่นอิจฉา ถ้าต้องไล่ล่า ตามความต้องการของท้องตลาดออนไลน์ก็คงต้องเหนื่อยไปทั้งชีวิต! และที่สุดก็มิอาจจะมองเห็นต้นทางและปลายทางได้ มีแต่เคว้งคว้าง อ้างว้าง ท่ามกลางฝูงชน

            นานมาแล้ว มีซากช้างลอยไปตามกร ะแสน้ำ กาตัวหนึ่งพบเข้า ก็ดีใจคิดว่าตนเป็นผู้โชคดี เพราะ…จะได้อาหารกินฟรี โดยไม่ต้องออกแรงไปอีกนาน จึงโผลงจับที่ซากช้าง จิกกินเนื้อช้างที่เน่าเปื่อย อิ่มแล้วก็หลับอยู่บนซากช้างนั้นเอง

ตื่นขึ้นก็กินอีก กิน ๆ นอน ๆ อยู่กับซากช้างนั้นอย่างมีความสุข นานวันเข้ากระแสน้ำก็ไหลออกสู่ทะเล ซากช้างก็พลอยไกลฝั่งออกไปเรื่อย ๆ จนถึงกลางมหาสมุทร พอซากช้างเปื่อยเน่าสิ้นไป กาก็มองไม่เห็นฝั่งเสียแล้ว ถึงจะพยายามบินกลับ อย่างไรก็ไม่สามารถพ้นจากมหาสมุทรได้ จึงหมดแรงจมน้ำตายในที่สุด


การที่เราจะมีความสุขได้นั้นอีกประการหนึ่งดังคำขึ้นต้นบทความ เราต้องเป็นผู้ให้ด้วย เพราะในโลกที่เราเกิดมาเราได้รับอย่างมากมายจากผู้คนบนโลกนี้แล้ว อะไรทำเพื่อคนอื่นได้ก็จงทำ ยิ่งเราไขว่คว้าเพื่อตัวเองเท่าไรความสุขก็ยิ่งห่างไกลเรามากเท่านั้น ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ผู้ค้นพบทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย สุดท้ายยังบันทึกทฤษฎีแห่งความสุขไวว่า “ชีวิตที่เรียบง่ายและเงียบสงบ จะนำความสุขมาให้ยิ่งกว่าการไล่ล่าความสำเร็จที่มักจะนำความกังวลติดมากับมันด้วยเสมอ”


วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2564

จำอวด

 

จำอวด

>>> อย่าปล่อยให้หัวโขนเปลือกนอกพันธนาการชีวิต

ความดีต่างหากที่จะทำให้คนอื่นเขาเคารพชื่นชมเรา

เข้าใจ จะทำให้ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงของโลก

รู้จักพอ จะทำให้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง <<<

 

ในสมัยก่อนนั้นเราเรียกคนที่มีอาชีพเรียกเสียงหัวเราะก่อนเริ่มการแสดงหลักว่า “จำอวด” ที่ไปจำมุกมาแสดงต่อ ๆ กัน เอามาโชว์ สร้างความบันเทิง ขบขันกันไปทั่วหน้า คนที่มีความจำดีหน่อยก็มักได้เปรียบ เพราะมีเรื่องเล่นเรื่องเล่าเอามาอวดได้อย่างสนุกสนาน จวบจนเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน แต่เราก็ยังคงเห็นพฤติกรรมของคนหลายคนมีลักษณะ “จำอวด” เปลี่ยนเพียงรูปแบบ  เนื้อหาวิถีชิวตก็ยังวนเวียน จำข้อมูลคนนั้นคนนี้แล้วนำมาอวดออกหน้าสื่อ ออกหน้าจอกันเป็นว่าเล่น สร้างชื่อ สร้างภาพ สร้างตัวตน จำแล้วเอามาอวดรู้ สังคมวันนี้จึงเต็มไปด้วยคนอวดเก่ง โชว์รู้ จนเสพติดความเก่งของตัวเอง และอิ่มเอมเปรมปรีดิ์กับยอดไลค์ ยอดแชร์ เป็นความสำเร็จแบบตลก  เป็นการเสพสุขแบบมิได้ทุ่มเท มันน่าภูมิใจหรือกับหัวโขนจอมปลอมแบบนี้


อย่าเสพเพียงแค่ความสุขสบาย เพราะทางไปสู่ความสวรรค์นั้น บางทีต้องฝ่าฟันอุปสรรค อย่าปล่อยให้คนอื่นมาบ่งการ มาควบคุมชีวิตเรามากนัก อย่าตกเป็นทาสของเงินตรา เพราะคำว่าอิสระทางการเงินที่แท้จริงได้มาจากการรู้จักพอใจ พอเพียง อย่าปล่อยให้ความโกรธ ความแค้นเป็นมะเร็งกัดกร่อนชีวิต เพราะความสุขของชีวิตเกิดขึ้นในทันทีที่รู้จักปล่อยวาง อย่าบ้าอำนาจหลงใหลในตำแหน่ง เพราะมันคงอยู่กับเราไม่นาน อย่าอวดรู้ อย่าสู่รู้ เพราะแท้จริงไม่มีใครบนโลกรู้มากเกินปลายจมูกของตัวเอง คนจะได้รับเกียรติก็ไม่จำเป็นต้องอยู่เหนือผู้อื่น

สิงโตตัวหนึ่งเห็นหมาบ้า เดินใกล้เข้ามา มันจึงรีบเดินเลี่ยงไปทางอื่น ลูกสิงโตเห็นจึงพูดกับพ่อว่า 

เจอเสือตัวใหญ่ ๆ พ่อยังกล้าสู้กับมัน แต่นี่เจอหมาบ้าตัวเดียว พ่อกลับเดินหลบ ช่างขายหน้าเสียจริง ๆ

พ่อได้ยินดังนั้นจึงบอกกับลูกว่า

ลูกพ่อ การเอาชนะหมาบ้าตัวหนึ่งนั้น เป็นเรื่องมีเกียรตินักหรือ

ลูกสิงโตส่ายหัว 

หากโดนหมาบ้ากัด จะมิยิ่งซวยกว่าหรือ” 

ลูกสิงโตพยักหน้า 

จำไว้นะลูก มิใช่ว่าใครทั้งหมดล้วนคู่ควรที่เราจะต่อกรด้วย


ใช่หรือไม่ ผู้คนในสังคมทุกวันนี้ ล้วนตกอยู่ในสภาวะที่เครียด กลัดกลุ้ม ไม่ว่าจะเรื่องปากท้อง เรื่องครอบครัว เรื่องคู่ครอง ทุกคนต่างมีความโลภโกรธ หลง กันทั้งนั้น ไม่พอ เรายังยึดมั่น ถือมั่นในตัวเอง ไม่สนใจโนแคร์คนรอบข้าง แต่เมื่อผิดหูขัดใจเมื่อไรจะต้องจัดการให้มันรู้กันไปว่าใครเป็นใคร ทำให้กลายเป็นคนไร้ปัญญาที่อวดเก่ง สำหรับผู้มีปัญญาเราจะไม่ไปทะเลาะเพื่อเอาชนะคนแบบนั้นแน่นอน

หัวใจของความเป็นเด็กเล็กในผู้คนวันนี้ไม่มีเสียแล้ว แม้แต่เด็กเล็ก ๆ เราก็ฝังข้อมูล ฝังหัวให้โตไปเพื่อตัวเอง จึงทำให้เราไม่ค่อยเข้าใจผู้อื่น ไม่ไว้วางใจกัน ไม่เชื่อในความดี ไม่ยึดถือในความอดทนซื่อสัตย์ คิดเพียงว่าปลอดภัยไว้ก่อน จะให้ดีถ้ามีบารมีชื่อเสียง เงินทอง ยิ่งจะทำให้คนอื่นยำเกรง ลองสำรวจดูกันว่าชีวิตแบบนี้หรือที่จะมีความสุข เราก็เห็นแล้ว วันนี้ที่ต่างคนต่างก็กลัวการติดเชื้อโควิด-19 ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่แล้ว คือ ผู้ใหญ่ เด็ก ๆ เสียชีวิตน้อยมาก เพราะจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ต่างหากที่จะนำพาให้เราพบสันติและปลอดภัยอย่างแท้จริง ความซื่อ ความเรียบง่าย ไม่มีพิศวง ไร้มายา คือหนทางนำไปสู่สวรรค์ เพราะสวรรค์คงไม่ต้องการคนที่อวดรู้….

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564

เรียก “กระแส”

 

เรียก กระแส

>>> แข่งขันขยันหาตัวตนที่ไร้ตัวตน ยอดไลค์หาใช่เครื่องวัดคุณค่าคน

เรียกให้เกิดกระแสนั่นหาใช่กระแสเรียก โลกยุคใหม่ยุคที่ไร้ความอ่อนโยน >>>

อะไรที่เป็นของจริงมักจะอยู่คงทนและไม่ได้วูบวาบตามกระแสนิยม ในยุคที่สื่อใหม่ครองเมือง หลายคนบอกว่า นี่คือ ช่องทางรอดของดำรงชีวิต นี่คือหนทางใหม่ในการสร้างชื่อเสียง จะมีสักกี่คนที่ใช้ช่องทางนี้ทำสิ่งดี ๆ พูดในเรื่องราวที่ดีงาม ให้กำลังใจกันและกัน อาจจะมีอยู่บ้างแต่ไม่ได้เปรี้ยงปร้างเหมือนการทำให้เกิดกระแส ทำให้มันแปลกแหวกแนว ทำเรื่องให้มันย้อนแย้งกับหลักธรรมที่มีมา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต่างมุ่งหวังที่อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียง เป็นมนต์เรียกเงินทองให้ไหลมาเทมาหาตัว จึงได้สร้างให้เกิดกระแส เรียกผู้อื่นหันมาสนใจ ให้คนอื่นเทมาหาตัวเอง มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง นานวันเข้าก็เกิดความคิดว่า ข้านี่แหละแน่ ข้านี่แหละคือ ผู้นำเผ่าพันธุ์ เป็นตัวแม่ที่ทุกคนต้องสยบยอม ดึงดูดให้ทุกสรรพสิ่งเข้ามาหาตัว กระแสแบบนี้ไม่นานก็จางหายไป เพราะไม่ใช่สิ่งแท้จริง เพียงแต่ปลอมว่าแท้เท่านั้น


โลกกลับมุมกลับด้าน มักมองเห็นคนอื่นดูโง่ ดูซื่อบื้อ เพราะแนวคิดไม่เหมือนเรา และเมื่อต่างคนต่างมีความคิดเช่นนี้ สังคมเราวันนี้ ต่างจึงมีแต่คนที่แข็งกร้าว ไม่ยอมถ่อมตน เพราะคิดเพียงว่าตัวฉลาดกว่าใครในปฐพี ต้องทำในสิ่งใหญ่โต ต้องโชว์เพาว์ ต้องเป็นยอดมนุษย์และไม่เคยมีความผิดในสิ่งที่ฉันทำ เราตกอยู่ในโลกที่ต่างคนต่างดึงดูดกันเพื่อให้มาเป็นพวก คนอ่อนแอกว่าจะยอมศิโรราบ คนที่ยอมในวันนี้ก็จับจ้องหาโอกาสหาจังหวะเพื่อก้าวขึ้นมา เหยียบหัวกันไปมาวุ่นวาย แล้วก็มักแอบอ้างว่า ฉันต้องการจะกอบกู้โลก นี่คือ กระแสเรียกของฉัน ทุกคนต้องฟังต้องเชื่อ สิ่งเล็ก ๆ ไม่ทำกัน เชื่อเถอะ ในวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา ของจริงจะเริ่มเด่นชัดขึ้นโดยมิต้องโหยหาแสง เพราะเขามีแสงแห่งความดี ความถ่อมตนอยู่ในตัวเอง

วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 9 ในสมัยที่เขาเป็นเด็ก เขาเป็นคนเงียบ ๆ ทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นคน “โง่” มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเด็ก ๆ คนอื่นโยนเหรียญ 5 เซนต์ กับ 10 เซนต์ไปที่หน้าเขา ให้เขาหยิบขึ้นมา วิลเลียมก็มักจะหยิบแต่เหรียญ 5 เซนต์ขึ้นมา แล้วทุกคนต่างก็หัวเราะแล้วคิดว่าเขา “โง่”

ทุกวันพวกเขาก็จะมาโยนเหรียญใส่วิลเลียมแล้วก็หัวเราะเยาะ มีอยู่วันหนึ่งมีคนมาถามเขาว่า นี่คุณโง่จริง ๆ เหรอคุณไม่รู้เหรอว่าเหรียญ 10 เซนต์มีค่ามากกว่า 5 เซนต์?

วิลเลียมตอบอย่างช้า ๆ ว่า “แน่นอนผมรู้ แต่ถ้าเกิดว่าผมไม่เลือกหยิบเหรียญ 5 เซนต์ พวกเขาก็จะไม่มาโยนเงินให้ผมเก็บอีกนะสิ”

คนที่ฉลาดจริง ๆ จะไม่แสดงตัวว่าฉลาดง่าย ๆ พวกเขาจะแกล้งทำเหมือนว่าพวกเขา “โง่”  เพื่อทำให้คนอื่นไม่สนใจ และคนอื่นก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกกดดัน แล้วก็จะนำผลประโยชน์มาให้กับเขาได้อย่างง่าย ๆ...(เนื้อหาบางตอนจาก...ศิลปะแห่งการถ่อมตน)


เราไม่สามารถกอบกู้โลกได้ แต่การทำกิจการที่ดีแม้เพียงเล็กน้อยก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย
ทำตามแบบของเราไม่ต้องไปโอ้อวด โลกนี้เต็มไปด้วยแมงโม้แมลงโชว์บินว่อนมากไปแล้ว เราต้องสละตัวตนของเราเพื่อความดีงามของสังคมอย่างที่เราเป็น เป็นร่องน้ำที่พร้อมจะหนุนนำเรือให้ออกจากฝั่ง อย่าทำตัวเป็นกระแสที่แรง เพราะกระแสที่แรงอาจจะทำให้เรือใหญ่ล่มได้ กระแสสังคมวันนี้อยู่ได้ไม่นาน ถึงเวลาก็มีกระแสลูกใหม่ถาโถมมาแทนที่ แต่ความดีที่ทำจากหัวใจเราจะคงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2564

เพราะใกล้เกินไป

 

เพราะใกล้เกินไป

 

>>>บางทีสิ่งที่อยู่ใกล้เกินไปก็มองไม่เห็น

บางทีเพราะใกล้เกินไปจนเคยชิน

บางทีเพราะใกล้ตาใจเลยห่างไกล<<<

 

ระหว่างขับรถกลับบ้านในช่วงนี้ หนีไม่พ้นที่จะต้องเจอฝนที่ตกลงมาเกือบจะทุกวัน และด้วยความที่ไม่ได้คิดว่านี่เข้าฤดูฝนแล้วหนิ จึงละเลยที่จะเช็คที่ปัดน้ำฝนหน้ารถ เมื่อเจอฝนก็เปิดปัด ยิ่งปัดยิ่งเปรอะ ดีนะที่ระยะทางไม่ไกลนัก ทำให้ถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย จึงจำต้องรีบหามาเปลี่ยนโดยด่วน และวันถัดมาก็เช่นเดิมฝนมาตามนัด ที่ปัดอันใหม่ได้ทำหน้าที่โดยพลัน ความใสในหนทางบังเกิดขึ้น แม้ฝนจะลงหนักกว่าเมื่อวาน ทำให้อุ่นใจขึ้นเยอะในการมองทางข้างหน้า ใช่หรือไม่ เรื่องใกล้ตัวที่เราใช้เป็นประจำแทบทุกวัน บางครั้งเราก็มิได้สนใจ จวบจนเมื่ออยู่ในความลำบากนั่นแหละ สิ่งที่ใกล้ตัวจึงมีความหมาย มีความสำคัญอย่างที่สุด

 

ความสุขจากสิ่งรอบ ๆ ตัวเรา มักถูกมองข้าม มองผ่านไปเช่นกัน ในโลกที่เราเห็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างสะดวกรวดเร็วและกว้างไกล มันก็ทำให้ใจเราหลุดลอยไปเสาะหาสิ่งอื่น ๆ อยู่ร่ำไป สิ่งที่มีอยู่แล้วถูกปล่อยวางลง ไร้การเหลียวแล เรามักตื่นตาตื่นใจ ตื่นเต้นไปกับสิ่งเร้าอันใหม่เสมอ แล้วก็สะสมความอยากความปรารถนา อยากจะมี อยากจะเป็นเหมือนคนนั้นคนนี้ เห็นเขาโชว์รถหรู โชว์รวย ใจก็โลภ ต้องทำเหมือนเขา ใครจะไปรู้ล่ะว่า นั่นมันใช่รถเขาจริงมั๊ย!!! โลกสมัยนี้ คือ โลกที่มีแต่มายา ขี้อวด ชอบโชว์  จึงมีคนคิดและทำแอพพลิชันอันหนึ่งขิ้นมา เราอยากจะเป็นเหมือนคนดังคนไหน อยากจะทำอาชีพอะไร เพียงใส่ใบหน้าเราเข้าไป กดแอพฯ เปลี่ยนเราให้เป็นเช่นคนที่เราฝันใฝ่ในบัดดล อาจจะดูสนุก ดูแบบขำขำ หากเราถูกครอบงำด้วยสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็จะหลงลืมตัว หลงลืมความสุขที่อยู่ข้างตัวเรา และบ่อยเข้า เมื่อเราต้องอยู่กับตัวตนคนเดียว เราก็จะอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่เป็นสุข และไม่สามรถรู้เลยว่า มีชีวิตไปเพื่ออะไรกัน?


เด็กหนุ่มคนหนึ่งอยากจะใช้ชีวิตด้วยความสงบ จึงมาสมัครช่วยเหลือคุณพ่อที่วัด อ่านบทอ่านช่วยมิสซา ทำความสะอาดวัด ไม่นานก็รู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำ เพราะชีวิตในวัดไม่ได้มีรสชาติเอาเสียเลย!

มันน่าเบื่อสิ้นดีเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณพ่อ

ความจริงของชีวิตมันน่าเบื่ออย่างนี้หรือครับ คุณพ่อ?” เด็กหนุ่มถามต่อ

คุณพ่อหยิบถ้วยใบหนึ่งแล้วก็รองน้ำขึ้นมาจากเครื่องกรองน้ำ

ถ้วยที่มีน้ำนี้ เธอเห็นอะไรอยู่ในนี้บ้าง?”

ไม่เห็นอะไรเลยครับ!นอกจากน้ำเด็กหนุ่มตอบไปแบบงง ๆ

ในถ้วยใบนี้ พ่อมองเห็นความใสของน้ำที่เป็นดั่งกระจกส่องท้องฟ้าที่สดใส พ่อยังเห็นลานวัดที่เขียวขจีไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ มันกำลังร่ายรำไปตามแรงลม พ่อยังเห็นถึงความหอมหวานของน้ำในถ้วยใบนี้ เธอรู้ไหม คนในสมัยนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดื่มน้ำเปล่ากันมากนัก เขาดื่มแต่น้ำอัดลม ดื่มแต่กาแฟแพง ๆ ดื่มชาราคาเป็นร้อย พ่อยังเห็นใบหน้าของพระเยซู แม่พระ ที่ส่งยิ้มมาทุกครั้ง น้ำเปล่าจากเครื่องกรองเป็นน้ำที่เต็มไปด้วยพลังชีวิต เพราะผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี พ่อจะบอกอะไรให้ เธอจะต้องรู้จักหาความสุขจากสิ่งรอบตัว หากเธออยากมีความสุข ลองใช้ใจมองทุกสิ่งดูบ้าง อย่าเพียงใช้แค่ตาเห็น!

เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้าไปมาอย่างเข้าใจ

เราลองเปิดใจของเราเพื่อให้เห็นสิ่งดีงามรอบตัวเรา หาความสุขจากสิ่งใกล้ตัว ความสุขเกิดได้ในทุกวินาทีแห่งชีวิต แล้วเราจะพบความอัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวัน เราจะเห็นว่า คนคนนี้ทำสิ่งใดก็ดีทั้งนั้น คนคนนั้นอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง