วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ระหว่างความเป็นกับความตาย ความหมายของการบังเกิด

ระหว่างความเป็นกับความตาย
ความหมายของการบังเกิด
ในระหว่างเข้ามาในวัดเพื่อร่วมมิสซาวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความหนาวเย็นของอากาศและบรรยากาศภายนอกวัด รวบรวมสมาธินั่งสงบๆก่อนเริ่มพิธีมิสซา ทันใดนั้น...มีคนมาสะกิดจากด้านหลัง หันไปในใจนึกว่ามีคนรู้จักทักทาย แต่ที่ไหนได้ผู้หญิงคนหนึ่งบอกให้ช่วยพยุงคุณลุงคนหนึ่งที่นั่งอยู่หัวโต๊ะหน่อย เพราะร่างของคุณลุงเอนกำลังจะตกลงพื้น เห็นดังนั้นแล้ว จึงรีบเข้าไปประคองไว้ เห็นว่าคุณลุงหลับสะลืมสะลือ จึงปลุกเรียก คุณลุงก็ลืมตามาแล้วก็หลับอีก และดูเหมือนจะค่อยๆไร้เรี่ยวแรง ค่อยๆหล่นลงสู่พื้นอีก สังเกตเห็นน้ำตาไหลนองเต็มสองข้าง พูดคุยไม่รู้เรื่อง ถามไถ่คนด้านหลังว่า เห็นคุณลุงมาวัดกับใครหรือป่าว คำตอบคือ มาคนเดียว มีเสียงบอกว่าต้องรีบส่งโรงพยาบาล เพราะสภาพคุณลุงดูแย่ลงเรื่อยๆ จึงรีบติดต่อโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ให้มารับ หลายคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็เข้ามาช่วยกัน ระหว่างรอเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจึงช่วยกันยกตัวคุณลุงให้นอนยาวลงบนเก้าอี้ คุณลุงอาเจียนออกมาพร้อมกับเตียงโรงพยาบาลมาถึงพอดี เจ้าหน้าที่นำคุณลุงขึ้นเตียง ภาพสุดท้ายที่เห็น คุณลุงยิ้มให้ก่อนที่เตียงจะถูกเคลื่อนไปสู่โรงพยาบาล จากนั้นก็ให้คนรู้จักช่วยโทรติดต่อญาติเพื่อแจ้งข่าวเรื่องของคุณลุงอยู่โรงพยาบาล และภายหลังญาติก็มาจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลเรียบร้อย
เมื่อเหตุการณ์สิ้นสุดลงในใจเรารู้สึกว่า ระหว่างความเป็นกับความตายของคนเรานี้อยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ เพียงแค่นิดเดียว หากคุณลุงคนนั้นไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครเห็นจะเป็นเช่นไร พลันนึกถึงตัวเองเหมือนกัน เสียวสันหลังเล็กน้อย ชีวิตเราไม่แน่ไม่นอนจริงๆใครจะรู้บ้างเล่าว่า วันสุดท้ายของเราจะเดินทางไปในรูปแบบใด ใช่หรือไม่ ในขณะที่เรากำลังร่วมเฉลิมฉลองการบังเกิดมาขององค์พระกุมาร เรากลับเจอเหตุการณ์แบบนี้ เหมือนต้องการจะบอกเราว่า ในขณะที่มีการฉลองวันเกิด ในอีกหลายๆที่ก็มีการจากลา ในขณะที่ที่หนึ่งกำลังเปรมปรีดิ์ อีกหลายที่ที่ต้องเจอกับความโศกเศร้า ในขณะที่ที่หนึ่งสว่าง ในอีกหลายที่กำลังมืดมน ชีวิตคนเรานั้นอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย แต่ในระหว่างทางนั้นเราใช้ชีวิตเช่นไรเพื่อให้ใกล้เส้นสุดท้ายอย่างมีค่า
ใช่หรือไม่ การเกิดมานั้นเป็นจุดเริ่มต้นสู่ความตาย เราเริ่มต้นปีใหม่ก็เพื่อก้าวสู่การส่งท้ายปีเก่า แล้วในระหว่างทางนั้นมีสิ่งใดบ้างเล่าที่ทำให้ชีวิตเรามีคุณค่า คุณค่าต่อตัวเอง คุณค่าเพื่อก่อเกิดสิ่งงดงามแก่คนอื่นๆ ชีวิตเกิดมาเพื่อตัวเองอย่างเดียวหรือ แท้จริงแล้วเราเป็นอยู่ก็เพื่อคนอื่นทั้งสิ้น แต่ในวันนี้เรามักใช้วันเวลาหมดไปกับตัวเอง และไม่ใส่ใจด้วยว่า วันสุดท้ายของเราจะเป็นเยี่ยงใด หาความสุขเสพติดให้กับตัวเอง อย่างไม่ลืมหูลืมตา
ในบรรดาความสุขที่เราเสาะเสพนั้น สิ่งที่มาก่อนอื่นใด คือความสุขทางวัตถุหรือทางร่างกาย ซึ่งควบคู่กับการแสวงหาวัตถุ การหลงใหลในร่างกาย เพราะร่างกายไม่เพียงเป็นอุปกรณ์แสวงหาความสุข (ด้วยการกิน เที่ยว และมีเซ็กส์) เท่านั้น หากยังเป็นเครื่องมือแสวงหาปัจจัยแห่งความสุข  (คืองานและเงิน) รวมทั้งเป็นที่มาแห่งความสุขด้วย เป็นสุขเพราะมีรูปร่างที่สวยงาม ได้มาตรฐาน จึงหมกมุ่นกับการตกแต่งและเปิดเผยทรวดทรงให้มากที่สุด ซ้ำเติมด้วยค่านิยมชมชอบเรือนร่าง จึงใช้เป็นหนทางหางานสร้างเงิน ถึงขั้นลงทุน ทำใหม่ศัลยกรรมเรือนร่างให้ดูงาม เพื่อเป็นสะพานโยงไปสู่การได้มาซึ่งเงินทอง
เมื่อมีทัศนคติและค่านิยมเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จึงกลัวแก่ เพราะจะทำให้ไม่สามารถเสพสุขจากร่างกายอย่างเต็มที่ ยิ่งพูดถึงความตายทุกคนต่างไม่ต้องการกล่าวถึง เพราะนั่นหมายถึงการไม่ได้เสพสุข จึงทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะความแก่และความตาย การเป็นอมตะจึงเป็นสุดยอดปรารถนาของคนปัจจุบัน (อาหารเสริมขายดิบ ขายดี และมีการตลาดให้ซื้อไปให้คนที่คุณรัก) แต่เมื่อถึงที่สุดรู้ว่าหลีกความตายไม่พ้น ก็ขอให้มีชื่อเสียงดำรงคงอยู่ต่อไปหรือมีอนุสาวรีย์เป็นเครื่องสืบทอดตัวตน นี่คือยอดปรารถนาของคนยุคดิจิทัล
แล้วในวันเวลาช่วงการฉลองพระคริสตสมภพ เราได้นำวิถีการบังเกิดของพระองค์มาใช้เป็นแนวทางให้กับชีวิตเราอย่างใดบ้าง ประการแรกพระองค์ใช้เพียง 33 ปี ในการสร้างคุณค่าและบทสอนที่ยิ่งใหญ่กับเรา ให้เห็นความจริงว่า ชีวิตของมนุษย์นั้น นอก จากจะสั้น ไม่ยืนยาวแล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ที่ ทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลา กระตือรือร้นเร่งทำกิจหน้าที่ สร้างสมคุณความดี และฝึกฝนพัฒนาตนในทุกทาง ให้ชีวิตเป็นอยู่อย่างมีค่า และเข้าถึงจุดหมายปลายทางอย่างศักดิ์สิทธิ์
ประการต่อมา พระองค์บังเกิดอย่างยากจน ไร้สมบัติพัสถาน ไม่เคยสะสมอะไรสิ่งใดทั้งสิ้น ออกจากครอบครัวตัวเอง เพื่อสร้างครอบครัวที่ใหญ่กว่า เป็นครอบครัวแห่งรักและสันติ ทำให้เราเห็นความจริงว่า ทรัพย์สินเงินทองสมบัติ ตลอดจนบุคคลที่รักใคร่ที่ยึดถือครอบครองอยู่นั้น หาใช่เป็นของตนแท้จริงไม่ และไม่สามารถป้องกันจากความตายได้เลย พอตายแล้วก็นำไปไม่ได้  สิ่งเหล่านั้นมีไว้สำหรับใช้บริโภคหรือสัมพันธ์กันในโลกนี้เท่านั้น จึงอย่ายึดโยงอย่าเหนี่ยวแน่นนัก

ปีใหม่เวียนมาอีกคำรบหนึ่ง เป็นสัญญาณเตือนเราว่าเรากำลังเดินทางไปสู่ปลายทาง แล้ววันเวลาที่ล่วงเลยผ่านมานั้นมีสิ่งใดบ้างที่เราทำแล้วเป็นเครื่องรองรับว่าชีวิตเราใกล้สู่ความสมบูรณ์แล้ว ถ้ายังไม่ได้คิด เริ่มคิดถึงบ้างก็ดีนะ ปีใหม่นี้และตลอดไปเราจะได้มีจุดหมายชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น.....สุขสันต์วันปีใหม่ครับ...

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชื่อนั้น....

ชื่อนั้น....
หะแรกที่เปิดประตูบ้านในตอนเช้า ลมวิ่งปะทะเข้าใส่อย่างแรงผิดจากวันอื่นๆ ในความแรงลมนั้นมีความเย็นยะเยือกผสมมาด้วย อากาศในเมืองหลวงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง อยู่ที่ประมาณ 18-21 องศา อากาศเย็นๆลงในยามเช้า ทำให้หลายคนชื่นชอบถึงกับเปรยขึ้นว่า “อยู่นานๆได้ไหม” กลัวว่าจะหนาวอยู่เพียงวันสองวัน  เพราะเราไม่ค่อยพบเจออากาศเย็นในฤดูหนาวมาหลายปีแล้ว หรือเจอก็แค่เพียงไม่กี่วัน ก็ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า เพียงผ่านมาทักทายแล้วก็หายจากไป ใช่ว่าแต่ที่เมืองหลวงเท่านั้น ในต่างจังหวัดหลายแห่ง อากาศก็หนาวเย็นลง ทำให้หลายคนไม่สบายล้มป่วยลง ในกรุงเทพฯเราชอบอากาศประมาณนี้ที่ไม่หนาวมากจนเกินไปนัก แต่ก็เอาแน่เอานอนกับอากาศไม่ได้ เพราะอากาศเริ่มผิดเพี้ยนไปมาก ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเราเท่านั้น อย่างในประเทศอียิปต์ก็มีหิมะตกลงมาในกรุงไคโรในรอบ 112 ปีทีเดียว ที่เวียดนามก็มีหิมะตกลงมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เราอยู่ในเมืองร้อนก็เลยรู้สึกตื่นเต้นกับอากาศหนาว เหมือนกับคนยุโรปที่พอเจอแสงแดดก็แห่กันวิ่งออกมาตากแดด เราชอบไปเที่ยวที่ที่เป็นเมืองหนาวเพราะดูแปลกตา ต่างไปจากที่เราเป็นอยู่ คนเมืองหนาวก็ชอบมาเที่ยวนอนอาบแดดในบ้านเมืองเรา กลายเป็นวิถีดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน แต่กลับโหยหาสิ่งที่ไม่คุ้นชินและไม่จำเจ เมื่อถึงตรงนี้ก็นึกถึงความแตกต่างระหว่างสองฝากฝั่งโลก โดยเฉพาะเรื่องการตั้งชื่อ คนตะวันตกไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องชื่อมากมายนัก ซึ่งต่างจากทางฝั่งเอเชียชาวตะวันออก ที่มีวัฒนธรรมของการตั้งชื่อคน ที่ต้องมีความหมาย ตั้งให้เป็นมงคล แม้กระทั่งเมื่อเติบโตขึ้น เห็นว่าชื่อที่พ่อแม่ญาติพี่น้องตั้งให้นั้นดูจะไม่ดี ไม่เป็นมงคล ขัดๆกับการดำเนินชีวิต ก็มีการเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ชีวิตดำเนินไปตามแนวทางนั้นให้ได้ดี แม้แต่ในสมัยของพระเยซูเจ้า (พระเยซูเจ้าเป็นชาวเอเชีย เพราะประเทศอิสราเอลอยู่ในเอเชีย)พระองค์ก็เปลี่ยนชื่อให้อัครสาวกหลายคน เช่น “ซีมอน” เปลี่ยนมาเป็น “เปโตร” เพื่อสื่อถึงความแข็งแกร่ง เพื่อให้เป็นรากฐานของพระศาสนจักร
ทุกสิ่งที่อุบัติในโลก อย่าว่าแต่ชื่อที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย กระทั่งชีวิตจิตใจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสมมติ ประโยชน์จากชื่อที่เป็นสิ่งสมมตินี้ อย่างน้อยก็บอกนิสัยใจคอพอได้อยู่ หลายคนมักจะฝึกฝนอุปนิสัยตามชื่อของตน ยิ่งค่านิยมในสังคมไทย เรื่องชื่อ เรื่องนามสกุล มีความหมายอย่างยิ่ง ต้องตั้งให้สัมพันธ์กับเกิดวันไหน แต่เสียดายในปัจจุบันนี้เราเอาเงินทองเป็นตัวตั้ง วัดค่าความดีที่ความรวย คนมักไม่เข้าใจถึงการตั้งชื่อ หลงกันเพียงเพื่อว่าถ้าเปลี่ยนแล้วจะร่ำจะรวยเพียงเท่านั้น ก็เลยแห่กันไปเปลี่ยนชื่อจริง เปลี่ยนนามสกุล หรือบางคนถึงกลับเปลี่ยนทั้งชื่อจริง นามสกุลและชื่อเล่นก็เปลี่ยนไปด้วย เนื่องมาจากมีโหรทักมาว่า ชื่อไม่ดี รวมตัวเลขกันแล้วไม่เป็นมงคล ควรจะเปลี่ยนชื่อเพื่อให้ชีวิตนั้นดีขึ้น ซึ่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ยอมเปลี่ยนชื่อพียงเชื่อว่า เปลี่ยนชื่อแล้วจะรวยขึ้น ชีวิตจะดีขึ้น จะเหนื่อยน้อยลง แต่ถ้าหากเปลี่ยนแล้วเรายังทำตัวเหมือนเดิม ยังขี้เกียจ ยังไม่กลับตัวกลับใจจะมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วพยายามทำชีวิตให้เป็นไปตามแนวทางของชื่อที่ได้ตั้งนั้นต่างหาก ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น สาระสำคัญน่าจะอยู่ตรงนี้มากกว่าแต่จะมีสักกี่เล่าเข้าใจ
แม้แต่ในยุคสมัยที่เราใช้การตลาดนำหน้าทุกเรื่อง ไม่ว่าจะการตลาดของคนตะวันตกตะวันออกต่างใช้แนวทางเดียวกันในการสร้าง Brand (ยี่ห้อ) ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สินค้าหลายอย่างที่เจ๊งก็เพราะเรื่องชื่อก็มีมาก ที่รวยเพราะชื่อก็มีเยอะ ต้องยอมรับว่า วิธีการตั้งชื่อ Brand ในปัจจุบัน เปลี่ยนไปตามกระแสโลก นักธุรกิจรุ่นใหม่มีความสนใจเรื่องการตั้งชื่อมากขึ้น

ถ้าจะตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ฝรั่งเขาจะมีกฎการตั้งชื่อให้ประสบความสำเร็จไว้ว่า ไม่ควรเกิน 6 ตัวอักษร ออกเสียงแล้วไม่เกิน 3 พยางค์ ทางที่ดีที่สุดควรออกเสียงแค่พยางค์เดียวนอกจากนี้ยังมีเรื่องของ ตัวอักษรที่เขานิยมนำมาตั้งชื่อ Brand จะมีประมาณ  5 ตัวอักษร ดังนี้ “a k h s t m” เพราะว่าเขามีความเชื่อที่ว่าตัวอักษรที่นำมาตั้งชื่อ จะมีความหมาย  เช่น ตัวอักษร a ถือเป็นอักษรตัวแรกของภาษาอังกฤษ คำว่า แรกเป็นความหมายที่ดีมาก หมายถึงความเป็น ที่หนึ่ง อักษร k มีความหมายคือ king เป็นตัวอักษรที่แสดงความแข็งแกร่งและความเป็นผู้นำ ความเป็นผู้นำย่อมมีผลดีในทางธุรกิจมาก 
H เป็นอักษรที่ทำให้เรานึกถึงคำสองคำ คือ happy กับ hero คำสองคำนี้มีความหมายที่ดีทั้งคู่   S มีความหมายคือ super แสดงถึงความแข็งแกร่ง มั่นคง อาจเป็นไปได้ที่เราเห็นตัวอักษร s “ซื้อใจลูกค้าทั่วโลกมาแล้ว จากหน้าอกของ super hero ของเราที่มีนามว่า “superman”  (บางส่วน จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ)
วันเวลาและอากาศ กระแสสังคมเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แล้ววิถีชีวิตเราล่ะเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม หรือเรามัวแต่คอยที่เปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล โดยใช้ค่านิยมการตลาดมาใช้กับชีวิต เพียงหวังเปลี่ยนเปลือก เพียงหวังให้ดูเด่น ดูดี ดูเท่ดูเก๋ แต่ไม่เคยทำในสิ่งดีๆ  ชีวิตที่ผ่านมาก็คงผ่านไปแบบไร้ค่า ชื่อนั้นมันบ่งบอกความเป็นเรา หากเราเห็นว่าชื่อนั้นสำคัญต่อเรา เราต้องเข้าให้ถึงแก่นของชื่อเรา และชื่อเสียงเราจะตามมาเอง คนจะจำชื่อเราได้นั้น ย่อมมาจากสิ่งที่เราได้กระทำมิใช่หรือ.....
พระเยซูเจ้าทรงเป็นตัวเอย่างในการดำเนินชีวิตตามชื่อของตน เพราะพระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป คำว่า “เยซู” มาจากคำในภาษากรีกคือ “เยซุส” Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาแอราเมอิกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า “ยาซูอฺ” ตามภาษาซีเรียก ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า “อีซา” ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ “ผู้ช่วยให้รอด” เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมาภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ (วิกิพีเดีย)


วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วงล้อเดิมที่กำลังตั้งวง

วงล้อเดิมที่กำลังตั้งวง
            อากาศหัวค่ำและหางค่ำเริ่มเย็นลง ท้องฟ้าเริ่มปิดงานเร็วขึ้นและขี้เกลียดที่จะเปิดในยามเช้าตรู่ บรรยากาศขมุกขมัวสลัวๆ พาให้ใจเศร้าเหงาๆหงอยๆ แต่เมื่อมองดูดวงอาทิตย์กลับมีสีสวยและดวงโต มีความใกล้ชิดกับโลกมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งสัญญาณบอกว่า ขวบปีนี้เริ่มนับถอยหลังส่งท้ายแล้ว วันเวลาผ่านมาผ่านไป ปฏิทินเก่าหมดค่าคู่ควรมอง และถูกทิ้งร้างไปวันแล้ววันเล่า ไม่นานเราก็จะร่วมฉลองรับปีใหม่ บรรยากาศเก่าๆของปีใหม่ก็วนเวียนมาอีกครั้ง จะเป็นครั้งที่เท่าไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับวันเวลาของแต่ละคนบนโลกนี้ สิ่งหนึ่งผ่านไปสิ่งหนึ่งเข้ามา แต่สำหรับชีวิตของเรานั้นไม่มีอะไรเก่า ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่ความดีงาม ความงดงามของวันเวลาเท่านั้นที่เราควรนำมาประดับสวมใส่ในวงปีชีวิต
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
            ต้นไม้หน้าบ้านที่รดน้ำในทุกๆเช้า ใบเริ่มเหลือง เริ่มแดง แล้วร่วงหล่น ด้วยความเป็นมือใหม่หัดปลูกก็คิดว่า มันกำลังจะตายหรือเปล่า ครั้นมาเห็นต้นไม้รอบๆวัดของเราใบเริ่มเปลี่ยนสีและร่วงหล่นเหมือนกัน เจ้าหน้าที่วัดต้องปัดกวาดกันมากขึ้นในทุกๆเย็น รถที่มาจอดใต้ร่มไม้ ไม่นานก็เต็มไปด้วยใบที่หล่นร่วงมากอง การที่ใบไม้ร่วงในฤดูนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะทางตำราได้บอกไว้ว่า
การร่วงของใบไม้นั้นจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้เพราะเป็นการปรับตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งของต้นไม้ในการต่อสู้กับความหนาวเหน็บของบรรยากาศ ทั้งนี้เพราะตามผิวของใบไม้นั้นมีรูอากาศมากมายเพื่อระบายความชื้น หากอากาศแห้งเพียงใดความชื้นก็ยิ่งระเหยเร็วมากขึ้นเพียงนั้น และในยามที่มีอากาศหนาวเย็น ความชื้นภายในใบไม้ก็จะระเหยไปในปริมาณมาก  ซึ่งความชื้นของใบไม้นี้มาจากการดูดน้ำของรากของต้นไม้นั่นเอง แต่พออากาศหนาวเย็นบทบาทของรากก็จะลดหย่อนลง ความชื้นที่ดูดรับไว้ก็จะไม่พอต่อการบำรุงเลี้ยงลำต้น อันเป็นอันตรายต่อชีวิตของต้นไม้นั้น ๆ ได้ ดังนั้น เพื่อความอยู่รอด ต้นไม้จึงใช้วิธีทำให้ใบร่วง 
โดยในระหว่างที่ต้นไม้กำลังผลัดใบนั้นก็จะมีเซลล์อ่อน ๆ เกิดขึ้นระหว่างก้านใบกับกิ่ง ซึ่งในระยะแรกผนังของเซลล์จะบางและอ่อนนุ่ม ทำให้ความชื้นและสิ่งหล่อเลี้ยงผ่านท่อของขั้วกิ่งก้าน ผ่านเข้าไปสู่ใบได้ แต่เมื่อใบแก่ เซลล์ตัวนี้ ก็จะแข็งและเน่าตาม ใบไม่สามารถรับความชื้นและสิ่งหล่อเลี้ยงได้ทำให้ขาดแคลนวัตถุดิบ (น้ำและเกลือแร่) ที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง จึงไม่สามารถสร้างสิ่งหล่อเลี้ยงเองได้ ทำให้ใบเหลืองและเหี่ยวแห้ง เซลล์ตัวนี้ก็จะพลอยเหี่ยวแห้งตามไปด้วยเพราะขาดน้ำ พอถูกลมกระหน่ำใบก็จะร่วงเกลื่อนพื้นไปหมด นอกจากนี้แล้วการร่วงของใบไม้นั้นยังเกิดจากการขับสิ่งปฏิกูลออกไปอีกด้วย

ธรรมชาติมีระบบหมุนเวียนเป็นกงล้อเมื่อครบปีตามฤดูกาล  แล้วคนเราเล่า...มีการสลัดใบเก่า นิสัยเก่า ความประพฤติด้านลบออกจากชีวิตบ้างไหม ??? หรือมีแต่เก็บสะสมไว้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อสู่ไฟนรก ใบไม้ที่ร่วงหล่นอาจกำลังจะบอกเราว่า หากไม่รู้จักสลัด ปลดปล่อยบางส่วนออกมาบ้าง ชีวิตเราก็ไม่มีทางเจริญเติบโต แน่นอนวันนี้เราอาจจะบอกว่า การเจริญเติบโตของคนเรานั้น เขาวัดกันที่การมีมากมีน้อยในสิ่งอำนวยความสะดวก จนมีการนิยามคำใหม่ๆกันว่า
ใช้ของแบรนด์เนม + เครื่องสำอางนำเข้า ความงาม
รถรุ่นนิยม + สร้อยทอง = ความหล่อ
โน๊ตบุ๊ค + ไอแพด = ความฉลาด
วิตามินบำรุง + ฟิตเนต = สุขภาพดี
ผลงาน + ข่าวฉาว = แผนการประชาสัมพันธ์
เคารพบูชา + เงินทอง = ศรัทธา
สภาสูง + เสื้อสูท = เทวดา
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นี่เป็นส่วนหนึ่งของการวัดความเจริญเติบโตของสังคมในยุคปัจจุบัน ยุคที่คนสะสมเปลือก เก็บรักษาใบไม่ให้ร่วงหล่น กอดรัดไว้ให้มั่นไม่หมายให้หายไปจากตน แล้วก็เที่ยวโอ้อวดถึงความมี ความเด่น ความดัง โดยไม่ใส่ใจต่อความดีกันแม้แต่น้อย เราถูกกลืนกินด้วยค่านิยมที่ไม่รู้จักพอ ค่านิยมที่ต้องไม่เป็นรองใคร ต้องนำสมัยด้วยสิ่งเสพภายนอก ถูกหลอมหล่อให้บูชาเศรษฐศาสตร์มากกว่าศาสนา ให้เทิดทูนเงินตรามากกว่าพระเจ้า จะทำสิ่งใดต้อง บวก ลบ คูณ หาร ของผลกำไร ในชีวิตคิดทำอะไรต้องมีคำว่า ฉันจะได้เท่าไหร่ เสพติดการใช้จ่ายล่วงหน้าด้วยการถูกยกให้มีเครดิต แล้วถึงวันหนึ่งวันที่วงล้อที่ต้องเปลี่ยนผ่านมาถึง เรากลับไม่สนใจ ไม่สลัดผลัดใบแห่งความอยากได้ใคร่มีออกไป เก็บไว้เป็นส่วนเกิน ที่ก่อให้เกิดโรคร้าย และนำความทุกข์มาสู่ชีวิตเรา

ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ต้องน้อมรับการเปลี่ยนผ่าน และในระหว่างทางนั้นย่อมมีบ้างที่ต้องสูญเสีย สละ สลัด บางสิ่งบางอย่างออกไปบ้าง วันเวลา วงล้อฤดูกาลมักสอนให้เราเห็นความเป็นสัจจะอยู่เสมอๆ แต่จะมีเวลาสักกี่ครั้งที่เรามองเห็นมัน หรือเห็นแล้วก็มิได้นำพามาเป็นบทสอนให้ชีวิตก้าวหน้าเดินต่อไป อาจจะเป็นเพราะว่าเราเห็นสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องจิตใจเป็นเรื่องที่มิอาจจะชี้วัดความสำเร็จได้หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเรายังไม่พบความทุกข์ที่เกิดจากสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะรอให้พบเจอโดยไม่ได้มีการเตรียมตัว เตรียมตั้งรับไว้เลยหรือ ....

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เพียงพอเพราะเพียรพอ

เพียงพอเพราะเพียรพอ
ประเทศไทยเราเป็นดินแดนที่แสนจะวิเศษ ถึงจะมีความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ ทางด้านความคิด จนกลายเป็นฝั่ง เป็นขั้ว เป็นข้าง ทำให้คนที่เคยรู้จักมักคุ้นมีอันต้องเหินห่าง เพราะเพียงแค่คิดต่าง ใช่หรือไม่ กรอบความคิด สภาพแวดล้อมของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ทุกคนต่างศรัทธาและเชื่อในพื้นฐานที่ตัวเองได้รับการปลูกฝังมา ยิ่งพอเรามีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย เราก็เสพสื่อที่เรามีเราชอบ จนแยกแยะไม่ออก สื่อจึงกลายเป็นเครื่องปลูกฝังฝั่งความคิดชั้นยอด ที่นักการตลาดนำมาใช้เพื่อหาพวก เพื่อเชิญชวน แล้วยิ่งคนเรามักทะนงตัวในสิ่งที่ตัวเองเลือก เลือกเสพติดของที่ชอบฝ่ายเดียว มิได้เปิดใจรับสิ่งอื่นเพื่อนำมาพิเคราะห์ ให้เกิดปัญญาอย่างถ่องแท้ นี่จึงเป็นความเปราะบางของสังคมไทย
แต่โดยพื้นฐานลักษณะของคนไทยแล้ว ถึงเวลาหนึ่งเราก็สามัคคีกัน รักกัน กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ สิ่งที่ทำให้เกิดลักษณะเหล่านี้ได้นั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่มิอาจจะปฏิเสธได้ นั่นคือ พ่อหลวงของเรา ด้วยความรักในพระองค์ท่าน เรายอมแม้จะหยุดความขัดแย้งขั้นรุนแรงลงได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนบนโลกนี้ ในยุคนี้ ที่จะมีบารมีสามารถจะหยุด เหนี่ยวรั้งหัวใจทุกดวงไว้ได้ คนผู้นั้นย่อมต้องสะสมความดีงามที่นำมาซึ่งบารมีอันยิ่งใหญ่ คนผู้นั้นต้องเป็นนักปฏิบัติให้เห็นเป็นพยานในคุณธรรมความดีพร้อมโดยมิต้องโอ้อวด คนผู้นั้นต้องเพียรทนอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ ให้ โดยมิหวังสิ่งใดตอบแทน ใครต้องการอะไร เพียงแค่บอกก็พร้อมที่จะทำให้ คนผู้นั้นไม่ใคร่สนใจใยดีทรัพย์สมบัติภายนอก ใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า และรู้จักเพียงพอในสิ่งที่ตัวเองครอบครอง
ถ่ายบนรถสองแถวเซนต์หลุยส์
คนไทยรักในหลวง แต่จะมีสักกี่คนรักในวิถีการดำเนินชีวิตของพระองค์ท่าน จะมีสักกี่คนที่ได้รับรู้เรื่องราวความดีงามที่พระองค์ท่านปฏิบัติอย่างงดงามแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ สิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่พระองค์ท่านมอบไว้เป็นสมบัติล้ำค่าให้แผ่นดินไทย แต่เรากลับไปไขว่คว้าวิ่งไล่ล่าหาความร่ำรวยทางตัวเลขเศรษฐกิจ และความกินดีอยู่ดีด้วยการวัดค่าจากเครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นเพียงสิ่งอำนวยความสะดวก มีตัวอย่างของพระองค์ท่านที่ได้เล่าผ่านทางช่างทำรองเท้าคนหนึ่ง ชี้ให้เห็นตัวอย่างการดำเนินชีวิตของพระองค์มาเล่าสู่กันฟัง
คุณศรไกร แน่นสีนิล หรือ ช่างไก่   เจ้าของร้าน ก.เปรมศิลป์ ย่านสี่แยกพิชัย เล่าถึงงานซ่อมฉลองพระบาทถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
เมื่อปี 2545 เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังท่านหนึ่งได้ถือพานใส่รองเท้าเดินเข้ามาในร้าน ก่อนที่จะยื่นให้ผม เจ้าหน้าที่คนนั้นค่อยๆก้มลงกราบพาน ผมก็ตกใจ ถามว่าเอาอะไรมาให้ เขาบอกว่า เป็นฉลองพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โปรดมาก แต่เก่าแล้ว ไม่รู้จะเอาไปซ่อมที่ไหน โอ้โห...ผมขนลุกซู่ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไร ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีโอกาสดีๆแบบนี้ เพราะร้านดังๆมีเยอะแยะ แต่กลายเป็นเราที่ได้รับโอกาสสำคัญทำงานนี้ จำได้ว่าบนพานนั้นเป็นฉลองพระบาทหนังสีดำ สภาพชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งานมาหลายสิบปี หนังข้างนอกหลุดลุ่ย ส่วนภายในก็ผุกร่อนหลุดลอกหลายแห่ง ถ้าเป็นคนทั่วไปคงทิ้งไปแล้ว แต่พระองค์ท่านกลับให้เจ้าหน้าที่นำมาซ่อมเพื่อใช้งานต่อ
ผมใช้เวลาซ่อมเกือบเดือน ทั้งที่จริงแล้วทำไม่ถึงชั่วโมงก็เสร็จ แต่เพราะอยากให้อยู่บ้านเรานานๆ (หัวเราะ) ที่ประทับใจสุด คือ   ตอนที่เลาะพื้นด้านในออกมาแล้วเห็นรอยพระบาท ตื่นเต้นมาก เคยเห็นภาพข่าวพระราชกรณียกิจในทีวีมีคนไปรับเสด็จฯแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าปูให้ทรงเหยียบ  แต่นี่เราเห็นรอยพระบาทปรากฏชัด จะทิ้งได้อย่างไร
ผมก็เลยเอาใส่กรอบแล้วตั้งเอาไว้บนหิ้งสูงสุด ตกแต่งอย่างดี มีพานและผ้าคลุมพานสีเหลือง ลูกค้าเห็นเข้าก็ถามว่าอะไร พอรู้ว่าเป็นฉลองพระบาทของพระองค์ท่าน ก็ขออนุญาตเอามาเทินหัวกันใหญ่ หลังจากนั้น ผมมีโอกาสซ่อมฉลองพระบาทให้พระองค์ท่านอีก 4 คู่ คู่แรกเป็นฉลองพระบาทลำลองซ้ายที่ถูกคุณทองแดงกัดขาด ผมก็ปะตรงรอยที่ขาด คู่ที่สองเป็นฉลองพระบาทแคชชูส์ผูกเชือกสีดำ ส่งมาแปะแผ่นกันลื่น คู่ที่สามเป็นฉลองพระบาทบู๊ต ส่งมาเปลี่ยนยางยืดด้านข้างและจัดทรงใหม่ และคู่ที่สี่เป็นฉลองพระบาทบู๊ตสั้น ส่งมาเปลี่ยนพื้นด้านล่างทั้งสองข้าง

ฉลองพระบาทของพระองค์ท่านเป็นตัวอย่างหนึ่งของความพอเพียงที่พสกนิกรของพระองค์ควรดำเนินรอยตาม สารภาพก็ได้ว่า ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยอยากมีอยากได้ อยากรวย แต่ตอนนี้ใจเบาขึ้นเยอะ เพราะรู้จักพอ ไม่ปรารถนามากกว่านี้ ถึงปัจจุบันร้านจะมีชื่อเสียง ผู้คนรู้จัก แต่ผมก็ไม่คิดจะขยายให้ใหญ่โต เปิดสาขา เพราะมีเท่านี้ก็พอแล้วเงินมีไม่มาก แต่มีความสุข เพราะผมมีสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตอยู่ในบ้าน นั่นคือรอยพระบาทของพระองค์ท่าน ซึ่งผมถือว่าสูงสุดในชีวิตเราแล้ว
การดำเนินชีวิตของพระองค์ท่านสมถะ ใช้เท่าที่มี ใช้เพื่อคนอื่น เราผ่านพ้นวันเฉลิมพระชนมพรรษามาแล้ว เราได้เห็นและนำตัวอย่างของพระองค์ท่านมาใช้บ้างหรือเปล่า ความเพียรทน ความอดทน เป็นความเพียงพอทางด้านจิตใจอย่างหนึ่ง ที่กำลังขาดหายไปในสังคม หากเราเพียรทนเราย่อมให้อภัยกันได้ หากเราขยันหมั่นเพียรในการหาเลี้ยงชีพ ไม่หวังรวยทางลัด การคดโกงย่อมเป็นสิ่งที่ไกลเกิน หากเราเพียรพยายามประกอบความดี ความดีจะเป็นบารมีนำความร่มเย็นมาสู่ตัวเราและคนรอบข้างตลอดไป....

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หน้าที่มีไว้ให้ทำไม่ใช่ให้ท้อ

หน้าที่มีไว้ให้ทำไม่ใช่ให้ท้อ...
เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสไปร่วมประชุมเตรียมงาน  “เจริญพุทธะในเสียงเพลง เนื่องในโอกาสถวายพระเกียรติ รำลึก บูชาแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช   แม้ว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว งานนี้ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ในวันนั้นมีพระเลขาฯได้เล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับพระจริยวัตรของพระองค์ท่าน มีเรื่องหนึ่งท่านเล่าว่า คนเรามักชอบบ่นว่า “เหนื่อยๆ ยุ่งๆ” พระสังฆราชทรงเคยพูดว่า แล้วที่เหนื่อยนะใครเป็นคนกำหนดหล่ะ ก็เราต้องการเป็นต้องการมี เราล้วนเป็นคนเขียนบทให้เราแสดงทั้งสิ้น หากเราไม่อยากเหนื่อยก็หยุดทำหยุดมีแค่นี้เอง ในฐานะคริสตชนคนที่แปลกที่สุดในที่นั้น ก็อดคิดถึงคำพูดของพระเยซูเจ้าไม่ได้ว่า “เราจะกังวลทำไมถึงวันพรุ่งนี้” และ “ถ้าเหนื่อยนักหยุดพัก เข้ามาพักพิงในพระองค์” แต่ส่วนใหญ่เวลาเราเหนื่อยเรามักจะบ่น จะเกี่ยงให้คนอื่นทำแทน ในเมื่อทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นหน้าที่ที่เรากำหนดขึ้นมาเองก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งนี้ เหนื่อยก็พักบ้าง โดยมิต้องบ่นออกมา มีตัวอย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับเรื่องนี้
ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง มีครอบครัวกระต่ายครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ใกล้ ๆ กับธารน้ำเล็ก ๆ กระต่ายครอบครัวนี้นับได้ว่าเป็นผู้มีความสำคัญกับป่าไม้แห่งนี้มาก เพราะกระต่ายผู้เป็นพ่อ มีตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษาด้านสุขภาพให้แก่สิงโตเจ้าป่า ส่วนกระต่ายผู้เป็นแม่ก็ต้องไปประชุมหารือกับกลุ่มแม่บ้านสัตว์ป่าเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ทั้งพ่อและแม่กระต่ายจึงต้องออกไปทำงานนอกบ้านทุกวัน และจำต้องทิ้งให้ลูกน้อยทั้งสอง คือ กระต่ายพี่สาวกับกระต่ายน้องชาย เล่นกันอยู่ในบ้านตามลำพังสองตัว
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อกระต่ายสังเกตเห็นว่าบ้านโพรงกระต่ายของตนไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่าที่ควร จึงยกเรื่องนี้มาพูดคุยกับแม่กระต่ายก่อนเข้านอนว่า “เธอว่าไหมจ๊ะแม่กระต่าย เดี๋ยวนี้บ้านของเราไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนแต่ก่อนเลยนะ การที่เธองานยุ่งมากอย่างนี้ทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ แลดูลูก ๆ ของพวกเราสิ เขาทั้งสองเติบโตมากแล้ว แต่เรายังไม่เคยสอนให้ลูกเรารู้จักทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างเลย ฉันว่าน่าจะเป็นการดีนะ หากเราจะสอนให้ลูก ๆ ทำงาน โดยเริ่มจากงานบ้านของเราเอง” พ่อกระต่ายเสนอความเห็น “เป็นความคิดที่วิเศษมาก แต่ลูก ๆ ของเราไม่เคยทำงาน เขาจะทำได้ดีหรือจ๊ะ”
“เขาคงทำได้ไม่ดีนักหรอก และคงจะสร้างความเหนื่อยหน่ายให้แก่เรามากทีเดียวในตอนแรก แต่นั่นยิ่งทำให้เราต้องมอบหมายงานและสอนการทำงานที่ถูกต้องแก่เขา หากไม่เริ่มเสียแต่ตอนนี้ เขาก็จะทำอะไรไม่เป็นเลยเมื่อโตขึ้น ใครจะอยากได้คนทำอะไรไม่เป็นไปร่วมสังคมด้วยหล่ะ จริงไหม” พ่อกระต่ายกล่าว
เช้าวันรุ่งขึ้น แม่กระต่ายจึงเรียกลูกทั้งสองมาพูดคุยในเรื่องดังกล่าว กระต่ายพี่น้องไม่เคยทำงานบ้านทั้งคู่ และรู้ว่าเป็นงานที่เหนื่อยมากทีเดียว อย่างไรก็ตาม กระต่ายทั้งคู่ก็รักและเชื่อฟังพ่อแม่กระต่าย จึงคิดว่าถ้าพวกตนทำงานบ้านก็จะช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของพ่อกับแม่ได้  
ดังนั้น ทั้งคู่จึงรับปากแม่กระต่ายว่าจะช่วยทำงานบ้านทุกอย่างแทนแม่ กระต่ายพี่น้องช่วยทำงานที่แม่กระต่ายมอบหมายได้สามวัน ต่างคนต่างก็รู้สึกว่าตนเองทำงานมากกว่าอีกคนหนึ่ง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างรุนแรง ต่างฝ่ายต่างจับผิดกันและกัน จนไม่มีเวลาทำงานบ้าน
บรรยากาศในบ้านเริ่มเศร้าหมอง เพราะมีแต่เสียงเกี่ยงงานกันจากลูกทั้งสอง วันหนึ่ง แม่กระต่ายจึงเรียกลูกกระต่ายเข้ามาพูดคุยในเรื่องนี้ “เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เราต้องรักและช่วยเหลือกัน ไม่ใช่แบ่งงานกันทำโดยไม่เหลียวแลคนอื่น นี่คือบ้านของเรา ลูกคือลูกของพ่อแม่ และลูกสองคนเป็นพี่น้องกัน เราทุกคนช่วยกันทำงานเพราะเรารักกัน ไม่ดียิ่งกว่าหรือ”
แม่กระต่ายหันมาพูดกับลูกกระต่ายน้องว่า “ลูกไม่ต้องทำงานหมดทุกอย่าง พี่กระต่ายจะช่วยลูกทำงานทุกอย่าง เพราะพี่รักลูก และไม่อยากให้ลูกทำงานเหนื่อยเกินไป ลูกเองก็จะช่วยพี่เขาเช่นกัน จะไม่มีใครคิดว่า ใครต้องทำงานมากกว่าใคร แต่ลูกต้องคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะช่วยแบ่งเบาภาระของพี่หรือน้อง ไม่ให้เหนื่อยเกินไปมากที่สุด ถ้าลูก ๆ เปลี่ยนวิธีคิดและปฏิบัติได้อย่างนี้ งานของลูกก็จะเสร็จเรียบร้อยดีทั้งสองคน”
กระต่ายพี่น้องมองหน้ากันครู่หนึ่ง แล้วกระต่ายพี่สาวก็พูดขึ้นว่า “ก็ได้จ้ะแม่ ลูกจะลองทำงานโดยคิดแบบนั้นดูก็ได้ เพราะลูกก็ไม่อยากทะเลาะกับน้องนักหรอก” แม่หันไปหาน้องชาย
“ลูกก็เต็มใจที่จะลองดู” กระต่ายน้องชายตอบ “ดีแล้วลูก” แม่กระต่ายกล่าวพลางโอบกอดลูกทั้งสอง “เราจะปฏิบัติตามวิธีใหม่นี้ คือ ให้เราช่วยกันทำงานเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ ความรักนั้นจำเป็นสำหรับครอบครัวเรามากที่สุด จำไว้เถิดลูกรัก”
ลูกกระต่ายพากันหัวเราะ เป็นเรื่องดีทีเดียวสำหรับครอบครัวกระต่ายที่ได้ยินเด็กทั้งสองหัวเราะอีก หลังจากนั้นกระต่ายพี่น้องก็ปฏิบัติตามความคิดของแม่กระต่าย และรู้สึกว่าวิธีนี้ช่วยให้พวกเขาทำงานได้สำเร็จเรียบร้อยทั้งยังรักษาความสุขในครอบครัวไว้ได้อีกด้วย {ตัดตอนมาจาก  www.manager.co.th}

เราไม่จำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยคนอื่นตลอดเวลา แต่ให้ปฏิบัติหน้าที่ส่วนของตนเองให้ดีที่สุด จากนั้นจึงหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่นด้วยหัวใจรักที่จะช่วย เมื่อเราเลือกที่จะมี จะเป็น ในแบบของเราแล้ว หน้าที่บทบาทและอาชีพที่เราเลือกมาเอง เราต้องสานต่อไปโดยไม่ต้องบ่นว่า “เหนื่อย” โดยไม่ “เกี่ยงงาน” เพียงเท่านี้สังคมที่เราอยู่ก็จะเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เหนื่อยนักก็พัก แล้วเดินต่อไป อย่ามัวแต่พร่ำบ่น เพราะจะไม่มีอะไรดีขึ้นจากการบ่นว่า “เหนื่อย”  ยิ่งบ่นยิ่งเหนื่อยเปล่าๆ..

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ตำแหน่งแห่งหนบนโลก

ตำแหน่งแห่งหนบนโลก
โลกเรามีผู้คนผ่านมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เราก็เพียงผู้ผ่านย่ำซ้ำรอยเท้าบรรพบุรุษที่ผ่านพ้นไป หลายสิ่งรับมาต่อเติม ต่อยอด หลายสิ่งยังเป็นปัจจุบันจนนิรันดร์ ทำให้เราเรียนรู้ เลียนแบบในวิถีทางการดำเนินชีวิต การเรียนรู้และศึกษาชีวิตนั้นมีหลากหลายวิธี สิ่งหนึ่งก็คือ การชมภาพยนตร์ ที่ถือได้ว่าเป็นทั้งความบันเทิงผสมกับการเรียนรู้ไปด้วย และสิ่งนี้กลายเป็นภารกิจประจำสัปดาห์ไปเสียแล้ว เพื่อจะได้หาสิ่งใหม่ๆเพิ่มทักษะในการทำงาน เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มความรู้ใหม่ๆ

ในแต่ละเรื่องที่ได้เข้าไปชมนั้น อย่างน้อยๆมักจะได้คำคม ความคิดและเนื้อหาดีๆในเรื่องราวผ่านมาทางแผ่นฟิล์ม อย่างเช่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง Thor : The Dark World (ธอร์ โลกาทมิฬ) เป็นเรื่องต่อจากภาคแรก ว่าด้วยการผจญภัยของ ธอร์ อเวนเจอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องโลกและดินแดนทั้ง 9 จากศัตรูลึกลับที่หมายจะครอบครองจักรวาล ธอร์ ผู้ที่ต้องรับตำแหน่งราชาต่อจากบิดา แต่ไม่ค่อยจะสนใจในเรื่องนี้สักเท่าไหร่ มุ่งแต่ช่วยให้ดินแดนในการปกครองของบิดาพบกับความสุขสันติ ต่างจาก โลกิ ผู้น้อง ที่บิดาและมารดานำมาเลี้ยง (จากภาค 1) เมื่อโตขึ้นก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นราชา แต่เขาชอบใช้ความรุนแรง ชอบฆ่าคน ชอบบังคับคนให้ไปรบ จนมีคนต้องตายมากมาย สุดท้ายบิดาทนไม่ไหวกับปัญหาที่โลกิก่อขึ้น จึงจับขังเดี่ยว  การใช้ชื่อว่า โลกิ นี้ ตรงกับภาษาไทยและเหมาะกับบุคลิกในตัวละครอย่างมาก ที่เต็มไปด้วยความโลภอยากเป็นใหญ่ (โลกียะ) หลงอยู่กับการครอบครอง แสวงหาให้ได้มา
ในขณะที่ ธอร์ ต่อสู้เพื่อนำความสงบกลับมาสู่จักรวาลนั้น ชนเผ่าโบราณที่นำโดย มาเลคิธ ผู้เคียดแค้น ได้กลับฟื้นขึ้นมาเพื่อทำให้จักรวาลกลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง เหมือนว่าความชั่วกำลังครอบครองโลก การใช้สัญลักษณ์ให้ตัวละครร้าย คือ ความมืด และฝ่ายธรรมะ คือ ความงามและแสงสว่าง เปรียบเทียบได้อย่างตรงไปตรงมา การเผชิญหน้ากับความมืด แม้แต่ โอดิน (บิดาผู้เป็นราชา) ในแอสการ์ด ดินแดนศูนย์กลางความสงบ ยังไม่สามารถรับมือได้ สุดท้าย ธอร์ ต้องมุ่งหน้าสู่การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย พร้อมโลกิที่รู้ถึงทางลัดเพื่อหนีออกจากศูนย์กลาง โดยไม่ให้บิดาที่สั่งห้ามไว้ได้รับทราบโดยมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขส่วนตัว
และจุดมุ่งหมายการเดินทางครั้งนี้เพื่อช่วย เจน ฟอสเตอร์ คนรักจากโลกให้พ้นอันตรายด้วย หนังเรื่องนี้เข้มข้นไปด้วยเนื้อหาของการต่อสู้ระหว่างความมืดมนกับความสงบสันติ ในขณะเดียวกันในอาณาจักรที่สงบ แต่ภายในกลับมีการแย่งชิง ลึกลงไปในแต่ละคนต่างมีความขัดแย้งในตัวเอง ธอร์ ผู้สืบตำแหน่งราชา ก็ไม่ปรารถนาในตำแหน่งนั้น โลกิ ผู้ที่ใฝ่สูงตำแหน่งราชา แต่ไม่เคยทำอะไรเป็นประโยชน์เลย จนสุดวาระท้ายได้สละชีวิตเพื่อช่วยพี่ชายตัวเอง  
ในภาพยนตร์เรื่องนี้มีคำคมและให้ข้อคิดดีอยู่ในหลายๆตอน อย่างเช่น แม่ของธอร์ผู้เลี้ยงดูโลกิมาตั้งแต่เล็กและรักเหมือนลูกจริงๆ ได้เข้าไปหาโลกิในคุกแล้วพูดว่า ลูกมองดูแต่คนอื่น แต่ลูกไม่เคยมองดูตัวเองเลย  ใช่หรือไม่ คนที่จะเป็นใหญ่ได้ คนที่จะปกครองคนอื่นได้นั้นต้องเรียนรู้จักตัวเองก่อน ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน เมื่อนั้นเราจึงจะใส่ใจคนอื่นได้ ไม่ใช่วันๆคอยแต่จะจับผิดคนอื่น คอยแต่จะต่อว่านินทาคนอื่นอยู่ร่ำไป โดยที่ตัวเองก็ไม่คิดที่จะทำดีอะไรเลย เป็นคนประเภทว่า อยู่ในความมืดก็เที่ยวต่อว่าความมืด แทนที่จะลุกขึ้นจุดไฟไปต่อเทียนหรือตะเกียง ให้เกิดแสงสว่าง เราเป็นเช่นนี้หรือเปล่า????
หรืออีกตอนหนึ่ง ธอร์กลับมาหาบิดาเพื่อบอกว่าโลกิได้ตายแล้ว ตายเพราะเสียสละช่วยเหลือตน โดยพูดว่า เขาตายอย่างมีเกียรติ แต่ข้าจะพยายามอยู่อย่างมีเกียรติ การตายอย่างมีเกียรตินั้นถือว่ายากแล้วแต่การอยู่อย่างมีเกียรติกลับยากยิ่งกว่า ในโลกยุคปัจจุบันการให้เกียรติกันนั้นมีน้อยลง มีแต่การให้เกลียดกันมีมากขึ้น การจะอยู่อย่างมีเกียรติได้นั้นเราจะต้องฝึกฝนที่จะเป็นคนดี คนดีที่เสียสละเพื่อคนอื่น ไม่ใช่ทำเพื่อให้คนอื่นยกย่องเพื่อหมายจะได้รับเกียรตินั้น และสุดท้าย ธอร์ ได้ปฏิเสธตำแหน่งราชาด้วยคำว่า ข้าอยากเป็นคนดีมากกว่าราชาที่ยิ่งใหญ่


ออกจากโรงหนังวันนั้นแล้ว คำนี้คือสิ่งที่ยังอยู่ในความทรงจำตลอดมา เราไม่จำเป็นเลยที่จะมุ่งแสวงหาตำแหน่งแห่งหน เราควรแสวงหาวิถีทางที่จะเป็นคนดี แสวงหาหนทางเพื่อช่วยเหลือกันและกันมากกว่า ตัวอย่างหนึ่งที่คิดถึงทันที คือ องค์พระเยซูเจ้า ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์แห่งสากลโลก เพราะพระองค์ปฏิเสธที่จะเป็นกษัตริย์บนโลกนี้ ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องยากในสภาวะครั้งกระโนน พระองค์มีผู้ติดตามมากมาย เป็นที่ชื่นชมของหมู่มวลมหาประชาชนผู้ตกยาก และกำลังต้องการคนที่มาฉุดพวกเขาให้เป็นไท แต่พระองค์กลับเลือกหนทางที่ไม่ยอมให้ผู้คนมาเสียเลือดเนื้อเป็นจำนวนมากโดยการยอมเสียเลือดเนื้อของพระองค์เอง เป็นบทสอนถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ นี่คือราชาที่ยิ่งใหญ่ ราชาที่ยิ่งใหญ่ย่อมต้องมาจากการเป็นคนดียอดเยี่ยมต่างหาก โลกนี้มีคนจำนวนไม่น้อยปรารถนาอยากจะขึ้นเป็นเจ้าคนนายคน มีตำแหน่งแห่งหน  แต่จะสักกี่คนเล่าที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาชีวิตผู้อื่น คนยิ่งใหญ่จริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นราชาเสมอ แต่ราชาที่ยิ่งใหญ่คือผู้ช่วยปลดปล่อยคนให้รอดพ้นเสมอมา

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สุขอยู่ที่ใด...

สุขอยู่ที่ใด...
ประโยคเด่นในเพลงโฆษณาของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ติดหูติดปากของผู้คนมานานพอสมควร ที่มีว่า สุขอยู่ที่ใด และยังคงได้ยินเป็นประจำ หากว่าได้เข้าไปรับประทานอาหารในร้านนี้ ทำให้มานั่งคิดต่อว่า สุขอยู่ที่ร้านนั้นจริงหรือเปล่า!!! ความสุขจากการกินอาจจะเป็นความสุขชั่วคราวอีกชนิดหนึ่ง แต่เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ความทุกข์ก็ตามมาเยือนอีกคำรบหนึ่ง ความทุกข์ของการไม่มีจะกิน เพียงได้อะไรกินสักเล็กน้อย ความสุขในครั้งนั้นอาจจะมีมากกว่าการไปนั่งกินอย่างเต็มที่ในร้านนั้นก็ได้ ยิ่งเมื่อเห็นความทุกข์ของเพื่อนบ้านเราอย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่ถูกพายุกระหน่ำจนมีผู้เสียชีวิตเป็นเรือนหมื่น เมื่อพายุพัดผ่านเอาความเดือดร้อนมาให้ มันไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแต่เพียงสิ่งสร้างอย่างเดียว ความสุขของผู้คนก็จางหายไปด้วย ยิ่งเมื่อมีผู้เสียชีวิตมากมายขนาดนี้ การเก็บร่างของผู้เสียชีวิตต้องใช้เวลา ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ความเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิตต่างๆก็จะนำโรคระบาดตามมา นำมาซึ่งการแก่งแย่งชิงอาหารกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย 

และเราผู้ที่ยังเลือกกินได้ ยังพอมีความสุขอยู่กับการกิน กับการเลือกรสชาติ ก็อย่าได้นำมายึดถือว่าสุขนั้นจะต้องอยู่กับการกินเสมอไป เพราะว่าในบางครั้งนั้นการมีความสุขในการนั่งรับประทานนั้น สิ่งที่สุขมากกว่าคือการได้นั่งรับประทานอาหารกับคนที่ถูกใจ คนที่ถูกคอ ซึ่งสำคัญกว่ารสชาติอาหาร ความสุขกับการบริโภคสิ่งต่างๆภายนอก สุขกับการมีเงินมีทอง สุขกับการมีชื่อเสียงมีผู้คนรักนับถือ ใช่หรือไม่ ถ้าหลงในสุขเหล่านั้นมากเกินไปมันก็กลายเป็นทุกข์

ในวันที่บ้านเมืองกำลังสับสนว่าจะเดินต่อกันไปอย่างไร??? เราเหมือนจะจมอยู่กับความวุ่นวาย  นั่นเป็นเรื่องของระบบสังคม แต่เราๆท่านๆนั้นมีหน้าที่หลัก ที่จะสร้างชีวิตให้มีความผาสุก เราถูกฝังค่านิยมสมัยใหม่ให้เราไปโยงยึดกับสิ่งภายนอกมามากเกินไปแล้ว โดยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะนำความสุขมาให้ แล้วก็ถูกป้อนคำสั่งให้เสาะหา และสะสม ที่แท้จริงแล้วพอเรามีสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นความสุขกลับลดหายไปเรื่อยๆ แล้วก็เที่ยวถามหาว่า ความสุขอยู่ที่ใด เหมือนกับหนุ่มสามคนนี้ที่เที่ยวถามหาความสุข
หนุ่ม 3 ราย สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเนื่องเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตก จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซนคนหนึ่ง เมื่อได้พบก็เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า มีหนทางใดที่จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิต?”
 อาจารย์เซนถามกลับไปว่า  พวกท่านแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?”
คนแรกตอบว่า ข้ามีชีวิตอยู่เพราะไม่อยากตาย
คนต่อมาตอบว่า ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ยามแก่เฒ่าแวดล้อมไปด้วยลูกหลาน คงเป็นความสุขยิ่งนัก
คนสุดท้ายตอบว่า ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนต้องพึ่งพาข้า ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตาย
เมื่อได้ฟังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของทั้งสาม อาจารย์เซนได้แต่กล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านคงไม่อาจมีความสุขตลอดกาล เนื่องเพราะพวกท่านคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนความหวาดกลัวความตาย คนหนึ่งเฝ้ารอให้ถึงยามแก่เฒ่า อีกคนหนึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยภาระอันหนักอึ้ง จนต่างก็หลงลืมหลักการและความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร
จากนั้นอาจารย์เซนจึงเอ่ยถามสามหนุ่มสามมุมต่อไปว่า ในความเห็นของทุกท่าน 'ความสุข'  คืออะไร?”
คนแรกตอบว่า ย่อมเป็นทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุข
คนต่อมาตอบว่า ความรักจึงนำมาซึ่งความสุข
คนสุดท้ายตอบว่า ชื่อเสียงเกียรติยศต่างหากคือความสุข
       อาจารย์เซนกลับตอบว่า นั่นกลับมิใช่ ซ้ำร้ายหากพวกท่านสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกินไปกลับยิ่งเพิ่มความทุกข์
ทั้งสามหนุ่มมองหน้ากันด้วยความงุนงง อาจารย์เซนจึงกล่าวต่อไปว่า หากพวกท่านมีทรัพย์สินเงินทอง ความรัก หรือลาภยศสรรเสริญแล้ว ความกังวลว่าจะเสียมันไป ความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียไปแล้ว รวมทั้งความปรารถนาอยากได้อยากมีมากกว่าเดิม จะกลายเป็นบ่วงแร้วคอยพันธนาการพวกท่านเอาไว้ กลายเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ แต่หากพวกท่านต้องการความสุข ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดดังนี้
อันว่าทรัพย์สิน เงินทองเมื่อมีมากจงทำบุญทำทานออกไปจึงจะเป็นสุข ความรักนั้นต้องรู้จักการเสียสละและการให้ จึงจะมีความสุข ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงจงนำมาใช้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ส่วนรวม เช่นนี้จึงเป็นความสุขโดยแท้”  (นิทานเซน)


วันเวลาผ่านมาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปีหนึ่งกำลังจะผ่านไป ลองนั่งคิดนั่งทบทวนว่าที่ผ่านมานั้น ระหว่างเงินทองในแบงค์ในตู้นิรภัย กับความสุขในชีวิต อะไรมีการเพิ่มพูนมากกว่ากัน สุขอยู่ที่ใด ไม่ต้องไปร้องถาม แท้จริงแล้วความสุขมันอยู่ที่ใจ ใจที่พร้อมจะออกจากตัวเอง แล้วส่งผ่านไปให้ผู้อื่น ไม่ต้องเที่ยวเสาะหาสุขจากไหน ใจเราต้องนิ่งสงบ ใจที่ต้องมีธรรมะ หยุดหลงทางและหยุดแขวนความสุขกับสิ่งเสพภายนอก นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง 

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไม่ใช่ชุดที่สวมใส่

ไม่ใช่ชุดที่สวมใส่
ปัญหาหนึ่งของคนยุควัตถุนิยมอย่างเราๆท่านๆ คือ การหาชุดใส่ไปตามงานต่างๆ โดยเฉพาะบรรดาคุณผู้หญิง ที่ต้องเที่ยวตามซื้อตามตัด เพื่อให้เข้ากับงานที่ได้รับเชิญ จนอาจจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติไปเลย โดยมีคำว่า “กาลเทศะ” เป็นตัวกำหนด แต่ก็มีไม่น้อยที่ไม่ได้คำนึงถึง “กาลเทศะ” ขอเพียงแค่คิดว่าชุดที่ใส่นี้ต้องดูเลิศหรู ดูสะดุดตา ให้คนมองแล้วเหลียวหลังเป็นอันใช้ได้ ทำไปทำมาเลยกลายเป็นแฟชั่นที่ต้องหาต้องซื้อชุดใหม่ๆใส่ไปในทุกๆงาน จนตู้เสื้อผ้าไม่มีที่เก็บ (แต่ตู้เย็นตู้กับข้าวกลับว่างเปล่า)  และที่แปลกสักหน่อย ตรงที่เวลามาเข้าวัดเข้าวา เรากลับไม่ค่อยคำนึงถึงชุดที่สวมใส่กันเสียเท่าไหร่ คงไม่มีใครว่าหรอก เพราะจริงๆแล้ว พระเจ้าก็คงไม่ได้ดูแค่ชุด แค่เครื่องแต่งกายที่เราสวมใส่ แต่พระองค์ดูที่หัวจิตหัวใจเราต่างหากว่า เชื่อ รัก วางใจในพระองค์ และแสดงออกมา แค่ไหนเพียงใด

เคยคิดเล่นๆเหมือนกันว่า บางครั้งเราก็ไปนำวัฒนธรรมของต่างชาติ ต่างเมืองมาใช้ โดยเอา “กาลเทศะ” ของเขามาใช้กับสิ่งแวดล้อมของเรา กลายเป็นจริตของสังคม ประเทศไทยเมืองร้อน แต่ชุดที่สุภาพ คือ ต้องใส่สูทผูกไทด์ บางครั้งที่จัดงานร้อนแทบเป็นลมก็ยังต้องใส่เพื่อความเรียบร้อย บ่อยไปที่เห็นหลายคนใส่สูทเดินกลางถนนกลางแดด จนเหงื่อไหลไคลย้อยแถมด้วยกลิ่นตัว แต่ก็นั่นแหละเมื่อสังคมส่วนรวมยึดแนวนี้แล้ว จะทำเป็นแหวกแนว เดี๋ยวจะหาว่ามันทำตัวแปลกแยกอีก อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจในแต่ละงานของแต่ละคน สิ่งที่ได้นำมาเขียนเรื่องชุดที่สวมใส่นี้ เพราะจะนำมาเปรียบเทียบว่า คนเราในวันนี้ เราให้ความสำคัญกับเรื่องภายนอกมากจริงๆ เราเสียเวลากับเรื่องเครื่องแต่งกายมากกว่าสิ่งใด เราใช้มาตรฐานวัดคนจากชุดที่สวมใส่ เราดูและคัดสรรที่จะคบกันเพียงเปลือกนอกที่เห็น เราเลือกเสวนากับคนที่ดูดีเพียงเครื่องแต่งกาย เราเคยไหม...ที่จะนั่งคุยกันด้วยความใส่ใจ เรียนรู้หัวใจของกันและกัน 
ใช่หรือไม่ ชุดที่สวมใส่ไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ทั้งหมดว่าคนๆนั้นจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป ก็พอที่จะเห็นอยู่มากมาย หลายคนเป็นโจรในเครื่องแบบ เป็นคนโกงในชุดหรู เป็นคนไม่ซื่อสัตย์ในชุดสวยงาม ชุดที่สวมใส่เป็นเพียงสิ่งหนึ่ง ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์แยกแยะสาขาอาชีพ เพื่อให้เกียรติคนในชุดนั้น โลกมีคนและมีความหลากหลาย การใช้ชุด ใช้เครื่องแบบจำแนกแยกแยะ เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อสื่อสารกัน แต่วันนี้เรากลับเอาชุด เอาเครื่องแบบที่สวมใส่มาเป็นเกราะป้องกัน มาเป็นเครื่องมือเพิ่มมูลค่าคน และก็ไปยึดติดกับมัน นำมาเป็นสิ่งสำคัญให้ต้องไขว่คว้าและแสวงหา จนหลงลืมไปว่า แท้จริงแล้ว เราวัดความเป็นคนเป็นมนุษย์จากไหนกัน มีบทกลอนสวยงาม เป็นคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่สื่อออกมาได้อย่างชัดเจนว่า เรามนุษย์นั้นสิ่งที่ต้องยึดถือ คือ ใจ สิ่งที่ต้องอยู่คู่ความเป็นคนคือ มโนสำนึก
เป็นมนุษย์
ก่อนจะเป็นอะไรในโลกนี้
ทั้งเลวทรามต่ำดีถึงที่สุด
ก่อนจะสวมหัวโขนละครชุด
คุณต้องเป็นมนุษย์ก่อนอื่นใด
คุณจะต้องรู้จักการเป็นมนุษย์
ไม่ใช่ชุดเครื่องแบบที่สวมใส่
ไม่ใช่ยศตำแหน่งแกร่งฉไกร
หากแต่เป็นหัวใจของคุณเอง
ใจที่มีมโนธรรมสำนึก
ใจที่รับรู้สึกตรึกตรงเผง
ใจที่ไม่ประมาทไม่ขลาดเกรง
ใจที่ไม่วังเวงการเป็นคน
เมื่อนั้นคุณจะเป็นอะไรก็ได้
เป็นผู้น้อยผู้ใหญ่ได้ทุกหน
มโนธรรมสำนึกรู้สึกตน
ต้องตั้งตนให้เป็น คือ เป็นมนุษย์!
(เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์.   พฤ ๑๓/๑๑/๕๑)
ยุคสมัยที่เรายกย่องเชิดชูความร่ำรวย ตำแหน่ง ยศ และชุดที่สวมใส่มากกว่าคุณงามความดีที่พึงกระทำต่อกัน จึงทำให้ใจเราไม่นิ่ง ไม่สงบ มีแต่ความอยากได้ใคร่มีมิมีที่สิ้นสุด และเมื่อยิ่งหายิ่งเหนื่อย ยิ่งวิ่งเข้าใกล้ก็เหมือนยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ได้ตำแหน่งนี้ ยศนี้ เงินเท่านี้ ก็ไม่เพียงพอ อยากได้และอยากได้อีกอยู่ร่ำไป เป็นเหมือนกับการซื้อเสื้อผ้าแล้วนำมากองอยู่ในตู้ให้เต็มโดยมิเคยหยิบฉวยมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช้เพียงครั้งเดียวและก็ทิ้งกองไว้ให้เก่าให้ไร้ค่าไปตามกาลเวลา 

ใช่หรือไม่ หากเรามีหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์ ที่รู้จักผิด รู้จักสำนึก รู้จักอภัย รู้จักขอโทษและรับโทษตามกรอบกติกาที่มี ไม่ว่าเราจะสวมใส่ชุดอะไรผู้ที่พบเห็น ผู้คนที่เกี่ยวข้องย่อมให้ความเคารพนับถือ เราเป็นแบบนี้หรือไม่ วันนี้สังคมเราเลือกที่จะวัดคนเพียงแค่เครื่องแบบแค่เครื่องหมายภายนอก ที่นำมาซึ่งความโลภ ความหลง จนทำให้เราหลงทางเดินกันอย่างมากมาย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลับมาปรับเปลี่ยน ปลุกจิตสำนัก สร้างมโนธรรม ให้รู้จักผิด ถูก ด้วยจิตใจ โดยอาศัยพระจิตเจ้า ฟังเสียงภายในให้เป็น แล้วเดินตามเสียงนั้น เราจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เราร่วมเดินทางไปพร้อมๆกันในวันพระเจ้าเช่นนี้ แล้ววันนั้นเราจะมีอาภรณ์ที่งดงามสวมใส่กลับไปหาพระบิดาเจ้าของเรา

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ไร้ค่าแต่ล้ำค่า

ไร้ค่าแต่ล้ำค่า
บ่อยครั้งในชีวิตของเรามักเจอะเจอกับเรื่องที่แปลกๆ และตรงข้ามกับสิ่งที่เราคิดไว้ก่อนเสมอๆ วันที่เราล้างรถเสร็จใหม่ๆสีแวววาวดูเหมือนรถใหม่ สะอาดสะอ้าน ขับออกมายังไม่ทันไร เจอฝนตกหนัก รถเปียกเปรอะไปทั้งคัน การล้างรถวันนั้นดูช่างไร้ค่า หรือ ซักผ้า ตากไว้เต็มราว คิดว่าวันนี้แดดออกดี ตากไว้ไม่นานผ้าคงแห้ง แต่พอยามเย็นหลังเลิกงานหมายมั่นว่าจะกลับบ้านเก็บผ้าที่ซักตากไว้คงแห้งเรียบร้อย แต่แล้วฝนก็ตกลงมาดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง ต้องกลับไปเก็บผ้าเปียกฝน ตากพัดลม แถมบางครั้งต้องนำมาซักใหม่อีกรอบ ดูจะเป็นการสูญเสียเวลาจริงๆ หรือว่าตั้งใจที่จะไปกินอาหารร้านอร่อยในร้านขาประจำ พอไปถึงร้านปิด หน้าร้านมีใบปิดว่าหยุดหนึ่งวัน ความตั้งใจดูเหมือนไร้ค่าไปเลย หรือบางครั้ง นั่งขับรถแอร์เย็นๆอยู่ดีๆ แอร์เกิดเสียกลางทาง บนทางด่วนที่มีรถติดอยู่เต็มถนน ทำไมต้องมาเสียตอนนี้ด้วย แต่...อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นโชคดีที่รถยังวิ่งได้และวิ่งไปจนถึงร้านเติมน้ำยาแอร์ นี่...ใช่การไร้ค่าหรือเปล่า การพบเจอเรื่องที่ไม่แน่นอน ย่อมวนเวียนมาในวิถีทางในโลกนี้ได้เสมอ เพียงแต่ว่าเราได้อะไรจากเรื่องที่คิดว่าไร้ค่านั้นบ้าง ในบางครั้งสิ่งที่ได้เรียนรู้กลับล้ำค่าในความไร้ค่านั้น
พูดถึงเรื่อง ล้ำค่า อะไรเล่า ล้ำค่า สำหรับเรา หลายคนคงคิดถึงทรัพย์สมบัติ ในโลกที่ทุกคนใช้มาตรฐานทางเศรษฐกิจวัดค่าความเป็นคน เราทุกคนจึงต้องดิ้นรนวุ่นวายกับการหาเงินหาทรัพย์สมบัติ หาตำแหน่ง หาความโลภเอาไว้ครอบครอง เพียงเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเราล้ำค่าราคาคน ความดีงามทางคุณธรรมไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้คุณค่าของคนอีกต่อไป ในภาวะโลกที่ถูกหลอมรวมด้วยทุน ด้วยการจับจ่าย ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ความสุขของคนเริ่มลดน้อยถอยลงไป ความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น แต่ใจไร้สุขในทุกเวลา มีเพียงความเหงากับเครื่องเล่นสมัยใหม่ข้างกายที่เป็นเพื่อน
ไม่มีเงินมาก เท่าเขา...ก็ไม่ได้หมายความว่าเรา จน
ไม่สวยหล่อ เท่าเขา...ไม่ได้หมายความว่าเรา ขี้เหร่
ไม่ได้เก่งฉลาด เท่าเขา...ก็ไม่ได้หมายความว่าเรา โง่
ไม่ได้มี ในสิ่งที่เขามี...ก็ไม่ได้หมายความว่าเรา ขาด
ถ้าไม่ ทุกข์ร้อน ไม่ กังวล ไม่ อิจฉา
นั่นแสดงว่า...เรา ได้สิ่งที่ล้ำค่ามาครอบครองแล้ว
(ข้อความส่งผ่านมาทางเฟสบุ๊ค)

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
นอกจากนี้สิ่งล้ำค่าที่เรามีเหมือนๆกัน นั่นคือ เวลาและชีวิต เวลาเป็นสิ่งเดียวที่พระเจ้าให้ทุกคนมีเท่ากัน  ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ก็ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนจะใช้เวลาอย่างไร ใครจะใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างมีค่าและคุ้มค่ากว่ากัน ใช่หรือไม่ ในความเป็นจริงแล้ว เราควรใช้เวลาของชีวิตกับสิ่งเหล่านี้ คือ
1. ใช้เพื่อให้พบความสุขหรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือพบความสงบนั่นเอง
2. ใช้เพื่อสร้างประโยชน์และสิ่งดีๆให้กับชีวิต
3. ใช้เพื่อให้คนรอบข้างและสังคมมีความสุข
เราให้อะไรกับใจเรา ใจเราก็ให้สิ่งนั้นกับเรา เราให้อะไรกับชีวิตเรา ชีวิตก็จะให้สิ่งนั้นคืนกลับแก่เรา
สิ่ง ล้ำค่า ที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่คือ ลูกพ่อแม่ต่างก็ไม่ต้องการเห็นลูกของตัวเองตกระกำลำบาก อยากให้ลูกประสบความสำเร็จ มีความสุข ปรารถนาให้ลูกเดินในทางที่ตัวเองอยากเห็น อยากให้เป็น (แต่ไม่รู้ว่าลูกอยากด้วยหรือไม่) บางคนสร้างเส้นทางให้ลูกเดินมากเกินไป จนลูกรับไม่ได้ต้องเตลิดออกไปนอกลู่นอกทาง พ่อแม่หลายคนที่ตัวเองเคยลำบากมาก่อน ก็ไม่ต้องการเห็นลูกลำบากเหมือนตัวเอง มักจะชดเชยชีวิตที่เคยลำบากของตัวเองมาให้ลูก แต่ชดเชยแบบผิดๆ ประเคนให้ทุกอย่างที่ลูกต้องการ จนทำให้ลูกเสียผู้เสียคนไป สุดท้ายแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะร่ำรวยทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ ชื่อเสียงเพียงใด ก็มิได้มีความสุขดั่งที่หวังไว้ สิ่งที่ ล้ำค่าสำหรับเราก็จะกลายเป็นสิ่งที่ ไร้ค่า ของสังคม
สิ่งหนึ่งที่ตระหนักไว้คือ เราต้องทำหน้าที่สร้างคุณค่าในตัวลูกของเรา โดยให้เขาสามารถดูแลตัวเองได้ และสามารถนำเอาคุณค่าในตัวลูกไปสร้างสิ่งมีค่าด้วยตัวเขาเองให้ได้ และสุดท้ายก็ต้องสอนลูกเราให้เขาไปดูแลลูกของเขาด้วยวิธีการเดียวกัน เพื่อให้มั่นใจว่าคนในรุ่นต่อๆไปยังคงคุณค่าในตัวเองมากกว่ามีคุณค่าเพราะทรัพย์นอกกายที่ไม่จีรังยั่งยืน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

ทุกคนมีสิ่ง ล้ำค่า อยู่ในตัวนั่นคือ ใจ ที่ไม่ติดยึดโยงกับสิ่งใด สิ่งที่ไร้ค่าในสายตามนุษย์ หากใช้ใจดูใช้ใจส่อง เราจะมองเห็นแสงแห่งธรรมนำชีวิตเรา ใช่หรือไม่ คนยากจน คนทุกข์โศกเศร้า คนอ่อนโยน คนยุติธรรม คนที่มีใจเมตตา ใจบริสุทธิ์ คนที่รักสันติ ไม่ยอมต่อสู้กับใคร ไม่เบียดเบียนไม่ปัดแข้งขาใคร มักจะถูกค่านิยมสมัยใหม่มองว่าเป็นคนไร้ค่า เป็นคนที่ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำที่จะพาสังคมสู่ความสำเร็จ แต่...เป็นเช่นนั้นหรือไม่ หากเรามองด้วยหัวใจ และมองตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า ใครที่มีหัวใจแบบคนเหล่านั้นต่างหากที่มีความสุขแท้ เพราะพวกเขาจะเป็นผู้นำพาเราไปสู่สวรรค์ บ้านของพระเจ้า แล้ววันนี้เราเป็นคน ล้ำค่า ในยุคสมัยนิยม แต่ ไร้ค่า ในความดีงามหรือเปล่า หรือ เราเป็นสิ่งที่ล้ำค่าทั้งในยุคนี้และในสายตาของพระเจ้าด้วย เราเลือกที่จะเป็นได้ ใช่หรือไม่...

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บางคนมองข้าม แต่...บางคนโหยหา

บางคนมองข้าม แต่...บางคนโหยหา
ช่วงนี้มักได้ยินเสียงบ่นลอยมาว่า สัปดาห์หน้า...โรงเรียนเริ่มเปิดแล้ว รถราก็จะเริ่มติดหนักหน่วงเหมือนเดิม หลังจากที่เดินทางไปไหนมาไหนได้คล่องตัวมาเกือบเดือน หลายคนบอกว่าต้องปรับตัวอีกแล้ว คือ ต้องตื่นเช้า ออกจากบ้านเร็วขึ้นอีกเป็นชั่วโมงๆ เด็กๆก็ว่า ยังไม่อยากไปเรียนเลย ยังอยากหยุด อยากอยู่บ้านสบายๆไม่ต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียน เมื่อได้ยินเสียงของเด็กๆในวัยเรียนพูดเช่นนั้นแล้วก็อดที่จะย้อนคิดไปในสมัยวัยเรียนแบบนี้ไม่ได้ ตอนนั้นก็รู้สึกขี้เกียจไปเรียนอย่างมากอย่างนี้แหละ เพราะอะไรเล่า? เด็กในวัยเรียนจำนวนไม่น้อยไม่อยากตื่นเช้าไปโรงเรียน เป็นเพราะไม่ชอบตื่นเช้าๆแล้วไปนอนต่อในรถหรือเปล่า หรือไปเรียนแล้วไม่พบกับความสุข หรือไม่ชอบที่ต้องอยู่ในกรอบ ในกฎ ถูกระเบียบและการควบคุมบังคับ หรือเป็นเพราะเด็กๆไม่ชอบการที่ต้องแข่งขันกันเรียน แข่งขันกันทำคะแนน ทำลำดับ ก็คงมีเหตุผลข้ออ้างอีกมากมาย ที่ทำให้เด็กๆตกอยู่ในห้วงอารมณ์แบบนั้น
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
จนกระทั่งเมื่อเติบโตได้การได้งานทำ บ่อยครั้งไป... ที่แอบเสียดายโอกาสที่ว่าทำไมตอนนั้นไม่รู้จักขยันเรียน ขยันอ่านหนังสือ ทำไมไม่ชอบวิชานั้นวิชานี้ เพราะทุกๆวิชาที่เรียน สามารถที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับงานที่ทำได้ทั้งสิ้น หลักสูตรหนังสือที่เรียนที่อ่าน ไม่ใช่การตอบโจทย์ปัญหาที่พบเจอได้อย่างตายตัว แต่บางส่วนนั้นเป็นการนำหลักการมาใช้ในการแก้สมการชีวิต บทเรียนรายวิชาเป็นต้นตอสำหรับการริเริ่มใหม่ต่อยอดให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ทุกภาคส่วนของวิชาที่เรียนคือประโยชน์ทั้งสิ้น
แต่...โลกนี้มักมีอะไรที่แปลกๆ ในบางสิ่งที่เรามี เราอยู่ เราเห็น เรากลับเพิกเฉยในคุณค่า แต่เมื่อวันหนึ่งเราไม่มี เราไม่ได้อยู่ เราไม่ได้เห็น เรากลับโหยหา และไขว่คว้าให้ได้มา ฉะนั้นแล้ว...อะไรที่เรามีเราเห็นเราอยู่จงรักษามันไว้ เราลองมาดูตัวอย่างของเด็กผู้หญิงคนนี้ เธอไม่มีโอกาสเหมือนเด็กๆในวัยเรียนทั่วไป เธอจึงพยายามแสวงหาโอกาส แล้วเธอก็ใช้มันเพื่อบอกให้โลกรู้ว่าความ อยุติธรรม และ ความไม่เท่าเทียมนั้นมีมากเหลือเกินในโลกนี้ ด้วยปากกาและบทความที่เธอเขียน
หลังจากช่วงสงครามในประเทศปากีสถาน มาลาลา ยูซาฟไซ ได้เป็นประธานของสภาเด็กเรียกร้องให้มีอิสรภาพทางการศึกษาในประเทศ เธอทำการเรียกร้องท่ามกลางการข่มขู่เอาชีวิตจากกลุ่มตอลิบาน จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2555 มาลาลาถูกยิงขณะเธอกำลังกลับบ้าน เธอถูกยิงที่ศีรษะ และต้นลำคอ ทำให้เธออยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส แต่เธอรอดตายจากการพยายามถูกสังหารในครั้งนั้น ความโหดร้ายของมนุษย์เราน่ากลัวยิ่งนัก แม้แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆยังยิงหมายชีวิตกันได้
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
หลังถูกส่งตัวไปรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในอังกฤษ มาลาลา ก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับ และยังมีโอกาสเดินทางไปหลายประเทศในฐานะทูตด้านสิทธิเยาวชน ในวันฉลองอายุครบรอบวันเกิด 16 ปีของเธอ เธอมีโอกาสกล่าวสุนทรพจน์ในสมัชชาเยาวชนโลกที่ยูเอ็น เรียกร้องให้ผู้นำของชาติต่างๆ หันมาปกป้องสิทธิการเท่าเทียมและด้านการศึกษาให้กับเด็กผู้หญิงในปากีสถาน
เราเรียกร้องให้ทุกรัฐบาลในโลกนี้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย เพื่อที่จะปกป้องเด็กและเยาวชนจากอันตราย เราเรียกร้องให้ยูเอ็นขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กทุกคนในโลกนี้ และ ความปรารถนาของข้าพเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งความหวังและความฝันที่ข้าพเจ้ามียังคงเดิมเธอกล่าวต่อไปว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นปรปักษ์กับผู้ใด หรือการที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้ต้องการกล่าวเป็นปรปักษ์กับกลุ่มตอลิบานหรือกลุ่มก่อการร้ายอื่นแต่อย่างใด ข้าพเจ้ามายืนในที่นี้เพียงเพื่อต้องการพูดแทนเด็กทุกคนในโลกในการขอโอกาสทางการศึกษาให้กับทั้งเขาและเธอเหล่านั้น
มาลาลากล่าวย้ำท้ายสุดว่า ให้เราได้มีโอกาสหยิบสมุดและปากกาของพวกเราขึ้นมา เพราะพวกมันเป็นอาวุธสำคัญที่พวกเรามี เด็กหนึ่งคน ครูหนึ่งคน และหนังสือหนึ่งเล่ม สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ การศึกษาเป็นคำตอบ การศึกษาต้องมาก่อน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ซึ่งในที่ประชุมในระหว่างที่มาลาลากล่าวสุนทรพจน์ ผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นผู้หญิงต่างต้องปาดน้ำตาเพราะประทับใจในสุนทรพจน์ของเธอ สภายุโรปได้มอบรางวัลด้านสิทธิมนุษยชน ชาคารอฟ แก่ มาลาลา โดยเธอยังเป็นตัวเต็งสำหรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้ด้วย แต่เธอไม่ได้รับรางวัลนี้ อย่างไรก็ดี มาลาลา ชี้ว่ารางวัลที่แท้จริงสำหรับเธอคือการได้เห็นเยาวชนทุกคน ไม่ว่าผิวขาวหรือผิวสี คริสต์หรือมุสลิม ได้มีโอกาสไปโรงเรียนอย่างเท่าเทียมกัน และหนูจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อสิ่งนั้น

เรื่องราวของเธอน่าสนใจ น่าติดตามต่อไป แต่สิ่งที่นำมาให้อ่านวันนี้ ก็เพียงเพื่ออยากบอกว่า ในวันเวลาที่เรามีโอกาสเรียนก็จงเรียนอย่างมีความสุข ในวันที่เรามีโอกาสได้ทำงานก็จงอยู่กับงานอย่างมีความสุข หยุดที่จะไขว่คว้าหาสิ่งที่ไกลเกินฝัน ทำสิ่งที่มีอยู่อย่างดี ให้มีคุณภาพในทุกวัน อย่ามองข้ามสิ่งที่มีอยู่ เพราะโลกนี้ยังมีอีกหลายล้านคนไม่มีโอกาสอย่างเรา พรุ่งนี้เช้าตื่นไปโรงเรียน ไปทำงานอย่างคนที่เห็นคุณค่าของวันเวลา เพียงเท่านี้ความสุขก็บังเกิดขึ้น เมื่อเราเปี่ยมสุขในการกระทำ ความสุขก็จะแผ่กว้างออกไป พ่อแม่เห็นลูกกระตือรือร้นที่จะเรียน ก็หายเหนื่อยและภาคภูมิใจในตัวลูกๆ สำหรับผู้ที่อยู่วัยทำงานมองเห็นความสุขในการทำงาน เพื่อนร่วมงานก็ได้รับความสุข ความเบิกบานไปด้วย ใช้ชีวิตอย่างรู้ค่ากับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เพียงเท่านี้เราก็เห็นความรักของพระเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว...

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ทุกวัน

ใช่ว่าจะยิ่งใหญ่ทุกวัน
ใครก็ตามที่ได้ไปเยี่ยมเยือนประเทศญี่ปุ่น สิ่งที่จะขาดเสียมิได้เลย นั่นคือการไปเยี่ยมชมแม่ภูฟูจิ หรือ ภูเขาฟูจิ    เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก เพราะมีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ ด้วยความสูงและความใหญ่เช่นนี้ จึงสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลๆ แม้กระทั่งจากเมืองโตเกียวและเมืองโยโกฮาม่า ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง 
ในช่วงเวลาที่ได้ขึ้นไปนั้นเป็นตอนสายๆของวัน เพื่อหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงได้มีการนัดหมายให้ตื่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อออกเดินทางจากที่พัก และถ้าอากาศดี ฟ้าเปิด รถที่ไปส่งก็จะสามารถนำพาไปถึงชั้น 5 ได้ ชั้นนี้เป็นชั้นสุดท้ายที่รถสามารถขึ้นไปถึง และถ้าใครอยากจะขึ้นไปสุดยอดเขา ก็ต้องเดินเท้าขึ้นไป ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าใครที่เดินเลยจากชั้น 5 จนไปถึงชั้น 10 ถือว่าได้ขึ้นสวรรค์ บังเอิญเราคงยังไม่อยากขึ้นสวรรค์ตอนนี้ จึงขออยู่แตะชายปลายเท้าสวรรค์ที่ชั้นห้าก็แล้วกัน รอบๆ ภูเขาฟูจิ เต็มไปด้วยธรรมชาติแสนงดงาม ป่าไพร ต้นไม้เขียวขจี และเป็นช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนสี จึงมีบ้างที่ใบออกไปทางสีส้มๆเหลืองๆแดงๆ มีอุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ ถึง 5 แห่ง 
ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฎอยู่ในทังขะ หรือ บทกลอนญี่ปุ่น หรือ อุคิโยเอะ หรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และในทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า ชื่อนักซูโม่ และอื่นๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ รวมทั้งร้านอาหารอันลือชื่อที่คนไทยชื่นชอบไปรับประทานอาหารญี่ปุ่น ภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
เชื่อกันว่ามีผู้ปีนเขาฟูจิ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 1206 โดยนักบวชท่านหนึ่ง และในช่วงระหว่างนั้นจนถึงยุคเมจิ ภูเขาไฟฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งห้ามผู้หญิงขึ้นเขา โดยในปัจจุบันภูเขาฟูจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และเป็นความภาคภูมิใจร่วมกันของพลเมืองชาวญี่ปุ่น และมิได้ห้ามหญิงสาวขึ้นไปเยี่ยมชมแล้ว ภูเขาฟูจิยังเป็นฐานทัพของซามูไรต่างๆมากมายจากยุคอดีต เป็นที่ฝึกฝน ซึ่งในปัจจุบัน ฐานทัพหนึ่งของกองทหารญี่ปุ่น ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาฟูจิ
ในปี พ.ศ. 2556 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้ภูขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา ทำให้ภูเขาไฟฟูจิเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 13 และเป็นมรดกโลกแห่งที่ 17 ของประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ ฟุจิซัง เพื่อยกย่องให้เป็นหญิงงาม
เมื่อไปถึงชั้นห้าอย่างที่กล่าวไว้แล้ว นับว่าเป็นโชคดีไม่น้อยที่ฟ้าเปิดให้ยลโฉมความยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟลูกนี้ อะไรที่มันใหญ่โตเวลาเรามาอยู่ใกล้ๆ เราจะมองเห็นความสวยงามคนละแบบกับตอนที่เรามองเห็นจากที่ไกลๆ แล้วเราผู้คนละ...บางสถานะเราอาจจะเป็นคนยิ่งใหญ่คนสูงส่ง มีผู้คนที่อยู่ใกล้ๆได้เห็นความงามของเรามากน้อยแค่ไหน หรือมีเฉพาะภาพที่คนอื่นที่อยู่ไกลๆจึงจะเห็นความงาม มีผู้รู้ในกลุ่มเล่าให้ฟังว่า แม่ภูฟูจินี้ ถ้าวันไหนที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก จนมองไม่เห็นแสดงว่า ผู้หญิงที่ไปเยี่ยมชมนั้นสวยกว่าแม่ภูฟูจิ แต่วันนี้เราไปถึงและได้เห็นภูฟูจิเต็มๆ ใหญ่โตและตระหง่าน แสดงว่า ผู้หญิงที่ไปชมในเวลานั้นสวยน้อยกว่าแม่ภูฟูจิเป็นแน่แท้ แต่...คงไม่ใช่...เพราะสักพักใหญ่ ทั้งภูก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกก้อนใหญ่ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวมาบดบัง แสดงว่า...หญิงสาวที่เดินวนเวียนแถวนั้นมีคนที่งามกว่า แม่ภูฟูจิจึงต้องอายแอบหลบไป ก็เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นใช้เพื่อล่อเล่นกัน เลยทำให้ภูเขาไฟฟูจิดูมีชีวิตชีวาขึ้น

และยิ่งมองลึกลงไป ก็ทำให้ได้ข้อสอนใจไม่ใช่น้อย ใช่หรือไม่ เราทุกคนใช่ว่าจะต้องยิ่งใหญ่ตลอดไป ใช่ว่าจะต้องสวย ต้องเก่ง เป็นที่หนึ่งตลอดกาล แต่จะทำอย่างไรให้ความยิ่งใหญ่ ความสวย ความงาม ความเก่ง ความดี ดำรงกับเราอยู่อย่างมั่นคงตลอดไป และส่งมอบให้ผู้อื่นได้ชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นได้ มิใช่มีเพื่อตัวเราเองเท่านั้น นี่สิคือสิ่งที่เราต้องทำให้ได้
ในวันนี้เรามักจะเห็นผู้คนมากมายที่แย่ง แข่งขัน กันเป็นใหญ่ ก้มหน้าก้มตาหาความเก่ง หาความสำเร็จให้กับตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ไม่ค่อยเห็นใครแย่งกันทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง เราต่างคนต่างตะเกียกตะกายขึ้นให้สูง ไปให้เด่นกว่าคนอื่น พยายามเดินนำหน้าผู้คน มีบ้างบางครั้งเบียดเพื่อนร่วมทางให้กระเด็นตกไปตามข้างทาง แล้วก็ไปยืนเดียวดายอยู่บนยอดเขาสูงอันแสนเหน็บหนาว เพื่ออะไรเล่า...

ภูเขาฟูจิใหญ่สูงข้างหน้านี้ได้ย้ำเตือนว่า ชีวิตของเรานั้น เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องยิ่งใหญ่ในสายตาผู้อื่นในทุกวัน แต่ต้องยิ่งใหญ่ด้วยคุณค่าในตัวเองทุกๆวัน แล้วนำสิ่งนั้นออกไปเพื่อผู้อื่น ความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง คือ สิ่งที่คนอื่นเขามองเห็น หาใช่สิ่งที่เราต้องพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนอื่นเห็น แล้วถึงขั้นไปบังคับข่มให้มอง อย่างนี้มีแต่ไร้ค่า สรุปรวมความแล้วเราก็เพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆในสรรพสิ่งสร้างอันกว้างใหญ่ไพศาล เรามีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตัวเรา นั่นคือหัวใจของความเป็นมนุษย์ แล้ววันนี้เราทำให้มันมีค่าที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เราไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ยิ่งใหญ่ทุกๆวัน แต่หัวใจเรานั้นต้องยิ่งใหญ่ในทุกๆวัน เราไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นไปถึงยอดเขาสูงเพื่อพิชิตมัน เพียงเราเก็บกวาดก้อนหินก้อนเล็กๆที่อยู่ข้างหน้าเราให้เข้าที่เข้าทาง ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ...