วันเสาร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พื้นที่ปลอดภัย

                                                             พื้นที่ปลอดภัย

>>> ครอบครัวคือพื้นที่ปลอดภัย : (คำจากละคร มาตาลดา) <<<

สถานการณ์ทางการบ้านการเมืองยังคงวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง หลายคนก็เครียด หลายคนก็หมกมุ่นอยู่กับการเมือง และพร้อมที่จะขัดแย้งกับคนที่เห็นต่าง ที่ร้ายสุดลามไปถึงครอบครัวที่ต่างคนต่างมีมุมมอง พอสนทนาคุยกันต่างคนต่างก็ยึดโยงสิ่งที่ตัวเองศรัทธา คนที่ตัวเองเชื่อและเลือก คุยกันไปก็โต้แย้งโต้เถียงกันไม่รู้จบ เกิดความขัดแย้ง ทำไมเราต้องเอาคนอื่นมาทำใหเกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ของคนใกล้ชิด โมโหใส่กัน แล้วคนที่เราเชียร์เราเชื่อศรัทธานั้น เขาจะมารับรู้กับเราไหม ทำไมเราทะเลาะกันเพราะเรื่องของคนอื่นเล่า สังคมวันนี้เลยดูไม่ปลอดภัย แม้ในพื้นที่ที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุดอย่างครอบครัว

พ่อแม่ต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับลูก ๆ ใช้ประสบการณ์ รู้รับฟัง อธิบายด้วยเหตุผล มีผ่อนหนักผ่อนเบา เข้าใจทุกคนใต้หลังคาเดียวกัน และสิ่งที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้ เราต้องทำตัวเรา หัวใจเรา ให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ได้ก่อน ลดอคติ ลดความเห็นแก่ตัว ไม่เปรียบเทียบ ไม่เรียกร้อง ยอมรับความจริงว่า ชั่วชีวิตเราต้องพบพานกับคนที่หัวเราะเยาะ อิจฉา มีคนเกลียด คนดูถูกดูแคลน และถูกเข้าใจผิด ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่อย่าสูญเสียความเป็นตัวเอง เพื่อทำให้คนอื่นพอใจ ทุกคนมีศักดิ์ศรี เปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ถูกใจคนอื่น มันไม่คุ้ม แต่เปลี่ยนเพื่อชำระล้างจิตใจตัวเองนี่แหละสุดยอด ในสังคมวันนี้อาจจะทำยาก เพราะกระแสภายนอกกดดัน หากเราพยายามช่วยกันถักถางพื้นที่ในใจให้ปลอดภัยในบ้านก็จะตามมา แล้วชุมชนที่เราอาศัยก็จะค่อย ๆ กลายเป็นที่ที่ปลอดภัย ใยเรายังมัวแต่สร้างทางที่เป็นพิษเป็นภัยต่อกันอยู่เล่า….

หัวใจของหญิงคนหนึ่งที่น้อมรับความเจ็บปวดไว้ตลอดชีวิต สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับพระบุตรพระเจ้า หัวใจเช่นนี้คือหัวใจยิ่งใหญ่ หากวันนี้เราสร้างครอบครัว สร้างสังคมเล็ก ๆ ลดความขัดแย้ง สนทนาในเรื่องความดีงามของโลกกัน สร้างสันติให้เกิดขึ้นในหัวใจ สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ก็ทำให้เราพบสวรรค์ทั้งทางกายและจิตวิญญาณตั้งแต่ในโลกนี้แล้ว  ….

วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ผีในตัวเรา

 

 ผีในตัวเรา 

>>> เรากลัวผีที่มองไม่เห็น แต่ไม่เกรงกลัวผีในตัวเราที่หลอกลวงเราในทุกวัน <<<   

ต้องมีสักครั้งในชีวิตหนึ่ง เกิดการกลัวผี ทำไมต้องกลัว ? อาจจะมาจากหลากหลายสาเหตุ กลัวที่มืด อยู่ในแปลกที่แปลกทาง อยู่คนเดียว อยู่สภาวะจิตใจอ่อนไหว “ผี” มีคติทางความเชื่อมาอย่างยาวนาน ย้อนกลับไปไกลถึงสมัยโรมัน มีนักเขียนคนหนึ่งเขียนเรื่องการพบเห็นสิ่งลี้ลับไว้ในจดหมาย หลังจากนั้นความเชื่อเหล่านี้ก็ค่อย ๆ สืบทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ในหลากหลายรูปแบบ ต่างวัฒนธรรม ยิ่งสำหรับผู้คนทางฟากฝั่งตะวันออก ยิ่งมีความเชื่อให้สิ่งลี้ลับ จนสร้างจินตนาการรูปแบบของผีมากมาย ผีไทย ผีจีน ผีญี่ปุ่น ผีเกาหลี เป็นต้น

คำถามว่า “ผีมีจริงหรือไม่” อาจไม่สำคัญเท่ากับคำถามว่า “ทำไมคนเราถึงเชื่อว่ามีผี” คำถามข้อหลังนี้ให้คำตอบหลาย ๆ อย่าง ความเชื่อเรื่อง “ผี” ยังฝังลึกอยู่ในวิถีชีวิตมนุษย์ถึงแม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วและเป็นโลกที่มีข้อมูลข่าวสาร เป็นโลกที่มีเหตุและผลสามารถพิสูจน์ในมิติด้านเทคโนโลยีด้านไอที (IT) แต่ความเชื่อเรื่อง “ผี” ก็ยังไม่จางหายไปจากใจของเรา



เรากลัวผีที่มองไม่เห็น แต่พระเจ้าผู้ทรงความรักในตัวเพื่อนพี่น้องเรากลับไม่เห็นจึงไม่เกิดการเกรงกลัว ในใจเราเองก็มีผีสิง มีสิ่งไม่ดีมากมาย เราต่างก็นำสิ่งเหล่านั้นมาหลอกกัน ยิ่งในสมัยใหม่เทคโนโลยีล้ำ เราจึงเห็น “ผีดิจิตอล” ออกมาหลอกลวงกันไม่เว้นแต่ละวัน ปลุกความโลภ ความอยากได้อยากมีอยากเด่นอยากดัง เป็นซอมบี้หิวแสง “ผีพนันออนไลน์” ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด “ผีคอลเซ็นเตอร์” ก็มาในหลากหลายรูปแบบ แต่ก็มีหลายคนยังหลงเชื่อ หลงกระโดดลงไปอยู่ในกระแสนั้น แม้มีคนที่ชี้นำ ยื่นมือไปช่วยเหลือ เราก็มิกล้าที่จะลุกขึ้น แล้วเปลี่ยนวิถีชีวิต หันกลับมาเชื่อในสิ่งดีงามที่มองเห็น เชื่อในสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณเรากล้าแกร่ง อย่าปล่อยให้ผีในตัวเรามาลวงทำให้เราหลงทางกันบ่อย ๆ กลับตัวกลับใจกันนะครับพี่น้อง...

วันเสาร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ขาว ดำ

 

ขาว ดำ

>>> ยกย่องกันในความดีในวันที่มีชีวิต ดีกว่ามานั่งสรรเสริญในวันร่างไร้วิญญาณ <<<

พอวงปีชีวิตเพิ่มมากขึ้น เราก็มักจะต้องไปงานขาวดำมากขึ้น เห็นการจากลาลับโลกนี้ไปมากขึ้น แต่ก็แปลก...มันทำให้เราทำใจได้ ปลงตกมากขึ้นตามไปด้วย สังเกตเห็นว่าในงานเช่นนี้นั้นผู้คนมักจะใส่ชุดดำมากกว่าชุดขาว เหตุเพราะอาจจะเป็นการแสดงร่วมทุกข์กับผู้สูญเสียคนอันเป็นที่รัก


ในชีวิตที่เหลืออยู่ของเราล้วนมีขาวดำเช่นกัน
ด้านขาวเป็นด้านสว่าง ด้านแห่งแสงความดีงาม ด้านดำเป็นด้านมืดด้านไม่งาม ด้านเศร้าโศกทุกข์เข็ญ ด้านนี้เรามักไม่ใคร่ชอบให้ใครเห็น แต่...คนเราส่วนมากกลับมองเห็นด้านมืดของคนอื่นมากกว่าความสว่าง มักนำเอาด้านนี้มาติฉินนินทา มากล่าวร้ายต่อกัน ด้านดีงามกลับไม่ค่อยจะยกย่องสรรเสริญกัน ซ้ำร้ายเห็นด้านดีของคนอื่นกลับอิจฉา อนิจจา ทำไมเราไม่พูดถึงคนอื่นในด้านดีงามกันบ้าง ไม่เสียหายอะไรถ้าเราเห็นความดีงามแล้วเราชื่นชม ที่เห็นความขาวผุดผ่องแล้วเราสบายใจ

แล้วเราเล่า เราจะให้ความทุกข์ใจหรือความสบายใจต่อคนรอบข้าง โดยไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะว่ากล่าวอันใด (มันก็ยากอยู่) เป็นการฝึกฝนสร้างกุศลอีกแบบหนึ่ง เราทำความดีให้ปรากฏออกมาให้คนอื่นรับรู้ โดยไม่ต้องโชว์ดีอวดดี ให้แสงแห่งความงามได้ส่องประกายออกมาเพื่อส่องทางให้กับผู้คน โดยไม่ต้องไปโหยหาแสงให้กับตัวเอง ไม่หิวแสงมาส่องตัว เป็นเราที่ต้องส่องแสงจากตัวเราเพื่อคนอื่น

ในสังคมวันนี้คนหิวแสงมีเยอะแล้ว ต่างคนต่างออกมาเรียกร้องให้คนอื่นเอาแสงมาส่อง เราต้องเป็นแสงส่องนำทางผู้คน ทำความดีในแบบเรา ตามความสามารถ น้อมรับในตัวตนของเราตามแบบที่เราเป็น ค้นหาวิถีทางแห่งความดีของเราให้พบ แล้วทำด้วยความจริงใจจริงจัง ไม่ต้องหวังมาให้ใครเห็น เพราะเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของโลกนี้ แสงแห่งความดีอย่างไรเสียก็ต้องมีคนเห็น ยิ่งในที่มืดมิดแสงเพียงน้อยนิดย่อมจำเป็น อีกมุมหนึ่งเราก็ต้องมองให้เห็นด้านสว่างของคนอื่นให้มากขึ้น ยกย่องคนทำดี อย่ามัวแต่จ้องมองหาความมืดดำ เพราะมันจะทำให้เรามีแต่มืดมนตลอดไป และจะทำให้ทุกที่ที่เราไปหม่นหมองไปด้วย ไม่ดีกว่าหรือที่เราจะไปไหนแล้วทุกที่ดูขาวสว่างไสว ….