วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ลานกว้างในใจเรา

ลานกว้างในใจเรา
ละครเรื่อง “นาคี” กำลังเป็นที่ถูกอกถูกใจของหลาย ๆ คน มีการพูดถึงกันอยู่ในเกือบทุกวงสนทนา จึงอดไม่ได้ขอลองดูบ้าง ในวันที่ได้นั่งดูได้มีการกล่าวถึง “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์” พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนี้ในชั้นวางพอดิบพอดี จำไม่ได้ว่าซื้ออ่านมาตั้งแต่ปีไหน!!! ตอนนี้หนังสือเล่มนี้ออกจะสีเหลือง ๆ จึงได้นำมาอ่านใหม่อีกรอบ

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นยุคที่รุ่งเรืองด้านการค้าและการต่างประเทศ  มีการส่งคณะราชทูตเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์ ทรงส่งราชทูตออก พระวิสูตรสุนทร หรือ โกษาปาน ไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และคณะทูตชุดนี้ ก็กลับมาพร้อมกับซิมง เดอ ลาลูแบร์ การเข้ามาของลาลูแบร์ในกรุงศรีอยุธยานั้นเพียง 3 เดือนกับอีก 6 วันในฐานะราชทูตไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการเขียนหนังสือขนาดหนากว่า 600 หน้า (จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม ฉบับแปลไทยโดยสันต์ โกมลบุตร) เพราะเนื้อหาของหนังสือได้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สภาพภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต การบริโภค เครื่องแต่งกาย อาหารการกิน ภาษา และรวมถึงภาพวาดต่าง ๆ และอื่น ๆ
มีสิ่งหนึ่งที่ในบันทึกนี้เขียนถึงบ่อยครั้ง นั่นคือความเรียบง่ายของคนในสมัยอยุธยา การสร้างบ้านเรือนที่มักจะสร้างเรือนในพื้นที่กว้าง ๆ และตั้งอยู่ให้ห่างกันพอสมควร ทั้งนี้ในจดหมายเหตุได้กล่าวไว้ว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องภายในครอบครัวแพร่งพรายให้คนอื่นได้ยิน และลานกว้างนั้นบ่งบอกถึงความมีน้ำใจที่มีไว้ใช้ต้อนรับแขก มานั่งคุย นั่งเล่นร้องรำทำเพลง นั่งทานข้าว หุงหาอาหารด้วยกัน คนสมัยนั้นจะกินอยู่แบบง่าย ๆ กินข้าวกับปลาและผักต่าง ๆ ไม่ชอบที่จะนำเนื้อสัตว์อื่นมาทำเป็นอาหาร ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากร ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ทำให้ผู้คนไม่ต้องดิ้นรนแข่งขันกันทำมาหากิน ต่างก็มีน้ำใจอาทรต่อกัน และต่อคนต่างถิ่นด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อคณะมิชชันนารีเข้ามาถึงดินแดนแถบนี้ ได้รับพระราชทานที่ดิน เพื่อให้ก่อตั้งวัด โรงเรียน และชุมชน (วัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา) ผู้คนในสมัยนั้นมิได้เห็นโลกกว้างแต่กลับมีจิตใจที่กว้างยิ่งนัก


เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน วิถีชีวิตผู้คนเปลี่ยน ระบบการปกครอง การสื่อสารมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนมีมากขึ้น กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ในเมืองอุตสาหกรรม ไม่สามารถจะอยู่ได้ด้วยการกินอยู่แบบง่าย ๆ ชีวิตต้องประกอบไปด้วยความหลากหลายมากขึ้น เรื่องในครอบครัวกลายเป็นเรื่องสาธารณะเอามาบอกกล่าวเล่าขานในโลกออนไลน์ให้ผู้คนกล่าวขวัญถึงแบบไม่ต้องปกปิด หรือระมัดระวังกันอีกต่อไป ความมีน้ำใจหดหายท่ามกลางโลกที่กว้างขึ้น วิถีสมัยใหม่มิได้ทำให้เราเห็นใจกันและกันแต่กลับรำคาญที่จะช่วยเหลือกัน “เราถูกทำให้เคยชินไปกับวัฒนธรรมไม่สนใจคนอื่น เราจำเป็นต้องวอนขอพระหรรษทานสำหรับการสร้างวัฒนธรรมแห่งการพบหน้ากันขึ้นมาอีกครั้ง การพบหน้าและพูดคุยกันจะช่วยฟื้นฟูศักดิ์ศรีการเป็นลูกของพระเจ้าให้กลับมาอีกครั้ง” (สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส) นี่คือการสร้างลานกว้างให้เกิดขึ้นในใจของเรา

ไม่มีความคิดเห็น: