วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

ใกล้ไกลในทางกลับบ้าน


ใกล้ไกลในทางกลับบ้าน
ขณะที่ยืนมองพระอาทิตย์กำลังหยอกล้อกับพื้นน้ำที่เมืองตันสุ่ย (TAMSUI) ทางตอนเหนือของเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน แสงส่องตกกระทบผิวน้ำเป็นประกาย ลมโชยพัดสบาย ๆ ทำให้คิดถึงถิ่นเกิดริมน้ำเจ้าพระยา แม้ท้องน้ำจะกว้างใหญ่ไม่เท่ากัน แต่บรรยากาศไม่ต่างกันมากนัก คิดถึงสวนสาธารณะทางสะพานแขวนที่มีความงามยามเย็นคล้าย ๆ กัน บางทีการเดินทางไกลไปต่างแดนในชีวิตจริงนั้น เราปรารถนาเพียงแค่เปลี่ยนบรรยากาศ และเรียนรู้ท้าทายในสิ่งใหม่ แต่ก็นั่นแหละ พออยู่ไปนาน ๆ เราก็มักคิดถึงถิ่นที่จากมา บ้านเกิดเมืองนอนที่คุ้นเคยคุ้นชินจนชินชา ทำไปทำมาเราก็โหยหาชีวิตแบบเดิม คนเรานั้นต่อให้เดินทางไปไกลแสนไกลก็มักหนีไม่พ้นที่อยากจะกลับสู่รังรวง ยิ่งเมื่อไปแล้วไม่พบความสุข ความหวังดังว่า ยิ่งอยากกลับบ้าน หรือไปแล้วพบกับความขัดแย้งไม่ถูกจริตเรา ยิ่งรีบอยากจะกลับ คนเรามักไม่ชอบอยู่ในความขัดแย้งแต่มักชอบสร้างคนขัดแย้งกันขึ้นมา บนหนทางในชีวิตหลายครั้งเราก็มักพบเจอกับความขัดแย้ง เราก็มักพบเห็นความไม่เข้าใจต่อกัน เฉกเช่น วันนี้ในสังคมไทยเรา หลายคนต่างเฝ้ารอคอยการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ครั้นพอเลือกเสร็จ เราก็พบเห็นแต่ความขัดแย้ง แทนที่เราจะมีสังคมที่ดีงาม เพราะเราต่างก็คิดว่าเสรีภาพต้องเป็นอย่างที่เราหวังเพียงเท่านั้น เรามิได้แบ่งใจ เผื่อแผ่ความเข้าใจในคนอื่นบ้าง เราต่างยืนบนฐานที่มั่นและมุ่งไปสู่ทางใครทางมัน ทางแห่งการแก่งแย่ง ทางแห่งการไร้แล้งน้ำใจ ทางที่ไม่ยอมรับการรู้แพ้รู้อภัยกัน ทางนี้ยิ่งทียิ่งยาวไกลออกไป ทางเหล่านี้ล้วนมีกิเลสเป็นเครื่องชี้นำ ทำให้คิดถึงวันเก่า ๆ ที่คนไทยร่วมแรงร่วมใจกันทำความดีด้วยกันขึ้นมา แล้วจะมีวันนั้นอีกไหม ทางที่ดีที่สุดเราต้องทำทางของเราให้สวยงามขึ้นก่อน


วันนี้เราได้ฟังเรื่อง “ลูกล้างผลาญ” หรือบางทีเรียกให้น่าฟังเรียกให้เห็นในด้านบวกก็เรียกว่า“บิดาผู้ใจดี” เรื่องของลูกชายคนเล็กที่ออกเดินทางอันยาวไกล แต่สุดท้ายต้องกลับคืนสู่ทางรักของพ่อ จึงหยิบหนังสือ “พระเยซูเจ้าในประวัติศาสตร์” มาพลิกอ่านดูอีกครั้ง เพื่อให้เห็นว่าทำไมพระองค์จึงยกเรื่องเล่าเรื่องนี้มาให้ผู้ติดตามได้รับฟัง และเรื่องนี้ก็ยังคงทันสมัยตลอดมา
“พระเยซูเจ้าทรงรู้จักดีถึงความขัดแย้งที่ผู้คนชาวกาลิลีต้องประสบในครอบครัว ข้อโต้แย้งระหว่างบิดาและบุตร ความปรารถนาที่จะเป็นอิสระของบางคน หรือความเป็นศัตรูระหว่างพี่น้อง ในเรื่องสิทธิมรดก ทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวและความมั่นคงของครอบครัวตกอยู่ในอันตราย ความแตกแยกเป็นรอยลึก เพราะครอบครัวคือทุกสิ่ง บ้านเป็นทั้งสถานที่ทำงานและดำเนินชีวิต เป็นที่มาของอัตลักษณ์ การรับรองความปลอดภัยและการปกป้องคุ้มครอง เป็นเรื่องยากมากที่จะเอาชีวิตรอดภายในครอบครัว ครอบครัวไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวจากผู้อื่นได้ หมู่บ้านประกอบขึ้นด้วยครอบครัวที่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยสายสัมพันธ์ใกล้ชิดของเครือญาติ เพื่อนบ้าน และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาวบ้านร่วมกันเตรียมงานแต่งงานของบรรดาลูก ๆ พวกเขาช่วยเหลือกันในการเก็บเกี่ยวพืชผล ซ่อมบำรุงถนนหนทาง เป็นหนึ่งเดียวกันที่จะช่วยเหลือแม่ม่ายลูกกำพร้า ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างครอบครัวในหมู่บ้าน มีความสำคัญเช่นเดียวกับความภักดีในครอบครัว ปัญหาหรือความขัดแย้งส่งผลสะท้อนถึงหมู่บ้าน...

เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะเป็นเช่นนี้ บิดาที่ไม่เก็บทรัพย์สมบัติใดไว้สำหรับตนเอง บิดาที่เคารพสิ่งที่บุตรของตนกระทำ บิดาที่ไม่ถูกจริยธรรมของตน ครอบครองฝ่าฝืนธรรมเนียมกฎเกณฑ์ทั้งของผู้ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม แต่แสวงหาชีวิตที่สมศักดิ์ศรีและมีความสุขสำหรับบุตรของตน นี่คืออุปลักษณ์ที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าคือบิดาที่ต้อนรับผู้ “หลงทาง” อยู่ไกลจากบ้านด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้างและขอร้องทุกคนที่ฟังพระองค์ให้ปฏิบัติ “การปฏิวัติที่แท้จริง” เช่นนี้ และนี่คือพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงปฏิบัติต่อสิ่งสร้างของพระองค์ด้วยความรักที่เหลือเชื่อและทรงทำงานเพื่อนำประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปสู่งานฉลองสุดท้ายที่เป็นการเฉลิมฉลองชีวิตการให้อภัยและการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากทุกสิ่งที่ทำให้มนุษย์ต้องเป็นทาสและเสื่อมศักดิ์ศรีอย่างนั้นหรือ พระเยซูเจ้าตรัสถึง งานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน พระองค์ตรัสถึงดนตรีและการเต้นรำ บุตรผู้หลงผิดที่บิดาต้องแสดงความรักต่อเขา และทำให้พี่น้องคืนดีกัน นี่คือข่าวดีที่ประกาศออกไปมิใช่หรือ...


            ทุกสังคม ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน ล้วนมีความขัดแย้งอยู่ตลอดมา เราแต่ละคนก็ยังยึดมั่นในทางของตัวเองอย่างเหนียวแน่น ทั้ง ๆ ที่ ไม่ช้าก็เร็วทางที่เราดำเนินอยู่บนโลกนี้ใกล้ไกลไม่เหมือนกัน กำลังหดสั้นลงเรื่อย ๆ เรากำลังจะเดินทางกลับบ้าน แล้วเราจะกลับไปพร้อมกับความดีงามหรือความทุกข์ทรมานกันเล่า??? ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่ว่าระหว่างทาง เราได้ใช้ชีวิตอย่างไร? เรามาเพื่อกลับไปอย่างมีความสุขใช่หรือไม่!!! ฉะนั้นแล้ว เราต้องเอาชนะกับกิเลสตัณหาของเราให้ได้ เราต้องมีความเคารพ ความอดทน และฝึกฝนตนให้มีวินัย ไม่ทำตามใจตัวเอง เมื่อเรามีสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐาน บนหนทางที่เดินไปไหนต่อไหนเราก็จะพบกับความงดงาม  เวลาเกิดการกระทบกระทั่ง หรือเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เราก็จะสามารถรักษาใจให้สุขุมเยือกเย็นไว้ได้ ข่มอารมณ์ ข่มใจ ข่มกิเลสไม่ให้สำแดงฤทธิ์ออกมาได้ แบบนี้สิ ที่เราจะกลับสู่อ้อมกอดของพ่อได้อย่างบริบูรณ์ อย่าเอาความใจดีของพระบิดามาทำให้เกิดความขัดแย้งกันเลย

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2562

เลือกตั้งตน


เลือกตั้งตน
หวังว่าวันนี้พี่น้องชาวไทยทุกท่านคงได้ออกไปใช้สิทธิ์ของเรากันอย่างทั่วหน้า หรือถ้าใครยังไม่ได้ไปก็อย่าลืมไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันด้วยนะครับ ส่วนการจะเลือกใครนั้นย่อมเป็นเสรีภาพ เป็นรสนิยม เป็นความศรัทธา ตามฐานข้อมูลของแต่ละคน อย่าได้ไปเบียดเบียนก้าวก่ายกันให้เกิดความแตกแยก เรื่องนี้เป็นเรื่องทัศนคติของใครของเขา เหมือนกับการทานอาหาร เรายังชอบรสชาติและอาหารไม่เหมือนกัน แม้จะอยู่ในครอบครัวเดียวกัน หลายครั้งเราต่างก็มีสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถูกใจไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นพี่น้อง ความเป็นครอบครัวลดน้อยห่างหายไป การเลือกตั้งก็เป็นกลไกของระบบที่ทุกคนในสังคมยอมรับ เลือกคนอื่นเพื่อทำหน้าที่แทนเรา เลือกเพื่อให้คณะบุคคลบริหารจัดการให้เรา แต่ในด้านการดำเนินชีวิตของเราทั้งด้านชีวิตภายนอกและภายในของเราแต่ละคนที่จะต้องเลือกเองว่าจะตั้งตนอยู่บนหนทางเช่นไร?ไม่มีใครเลือกที่จะให้เราเป็น หรือ ถ้ามี เราก็มักไม่ชอบและเกิดอาการขัดขืน...


และเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีโอกาสเดินทางไปกับหลานสาวและเพื่อนร่วมคณะยังดินแดนสุริยันจันทรา ประเทศไต้หวัน เพื่อให้เด็ก ๆ  ได้มีโอกาสเปิดโลกกว้าง หลังจากที่ต้องเคร่งเครียดกับการเล่าเรียน ปลดปล่อยความคิดและมองวิถีของผู้คนที่แตกต่างไป ที่สำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ฝึกฝนใช้ภาษาและไหวพริบไปในตัวด้วย โลกเปิดกว้างให้เราได้ศึกษา ได้ท่องเที่ยว ได้เรียนรู้ง่ายขึ้น ผู้คนบนโลกนี้ต่างผูกโยงด้วยการมีเมตตาต่อกันเสมอ เราพบเจอคนต่างแดนที่พยายามช่วยบอกหนทางในยามที่งงงันในเส้นทาง เราพบเจอคนไทยที่บอกกล่าวถึงการทานอาหารและแหล่งที่อร่อย โลกกว้างเพียงใดใจเมตตาของคนต่างกว้างใหญ่เกินกว่าหลายเท่า เราเลือกที่จะเป็นจะไปตามคำแนะนำได้ ไปแล้วอาจจะไม่ถูกจริตก็ไม่เป็นไร หรือไปแล้วถูกใจ ยังไงก็รู้สึกขอบคุณคำแนะนำเหล่านั้น และเก็บไว้เพื่อบอกต่อ 
ทะเลสาบ Sun Moon Lake เป็นแหล่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไต้หวัน เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมาก ทะเลสาบสุริยันจันทราตั้งอยู่ที่จังหวัดหนานโถว เมืองหยวีฉือ บริเวณโดยรอบของทะเลสาบเป็นบ้านเรือนของชาวเซ่า () หนึ่งในชนเผ่าพื้นเมืองในไต้หวัน ทะเลสาบล้อมเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งไว้ที่เรียกว่า ลาหลู่ (拉魯) ทางด้านฝั่งตะวันออกของทะเลสาบคล้ายกับมีพระอาทิตย์ ในขณะเดียวกันทางด้านตะวันตกคล้ายกับมีพระจันทร์ จึงเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบสุริยันจันทรา ทัศนียภาพของพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเป็นที่ดึงดูดทุกคนที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้


บันทึกวรรณคดีอังกฤษของ มิชชันนารี จอร์เจียส แคนดิเดียส ในสมัยศตวรรษที่ 17 เรียกทะเลสาบนี้ว่า ทะเลสาบแคนดิเดียส ช่วงตอนกลางของทะเลสาบ คือ เกาะลาหลู่ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าเซา ชาวเซาเป็นนักล่าสัตว์ที่ค้นพบทะเลสาบสุริยันจันทราขณะที่กำลังไล่ล่ากวางขาวผ่านบริเวณหุบเขา และนั่นเอง กวางได้นำพวกเขาไปยังทะเลสาบ นอกจากจะค้นพบทะเลสาบที่สวยงามแล้ว พวกเขายังค้นพบแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ด้วยปลา ทุกวันนี้กวางขาวตัวนั้นยังเป็นตำนานที่ไม่มีวันลืมโดยมีรูปปั้นหินอ่อนเป็นสัญลักษณ์บนเกาะลาหลู่(วิกิพีเดีย)

มีโอกาสได้เดินเล่นรอบ ๆ เกาะ นั่งเรือข้ามไปยังเกาะต่าง ๆ ได้นั่งกระเช้าชมเวิ้งท้องทะเลสาบ ช่วงเวลาที่พวกเราไปถึงที่พักอากาศดูจะครึ้ม ๆ มีฝนตกลงมาเล็กน้อยทำให้มองเห็นหมู่เกาะที่รายล้อมไม่ถนัดถนี่นัก มีไอหมอกปกคลุมไปทั่ว แต่พอยามเช้าของวันรุ่งขึ้นท้องฟ้าสดใส อากาศเป็นใจให้ท่องตามเกาะ ใช่หรือไม่ ในหนทางชีวิตของเรา แม้ว่าเราเลือกเดินด้วยตัวเองแล้วบ่อยครั้งก็ยังมีเมฆหมอกแห่งความทุกข์ยากเข้าปกคลุม และก็มีช่วงเวลาแห่งความสุกใส ใจปลอดโปร่ง ดำเนินชีวิตด้วยความหรรษา ทั้งสุขทุกข์ต่างก็จะผลัดเปลี่ยนเวียนวนเข้ามาทักทายเป็นระยะ ๆ ชีวิตเราจึงมีมืดและสว่าง คนที่มีจิตใจมั่นคงย่อมสามารถฟันฝ่าผ่านพ้นไปได้ บางคนผิดแล้วแก้ไข ความผิดพลาดเป็นของทุกผู้คน แต่จะมีไม่ทุกคนที่จะลุกขึ้นจากความผิดพลาดได้อย่างเฉียบพลันและมั่นคง หลายคนผิดแล้วผิดเลย ปล่อยไปตามลม ปล่อยให้ตัวตนอยู่ในทะเลที่เวิ้งว้างอย่างคนหมดสิ้นความหวัง 
การเลือกตั้งตนบนความเชื่อไว้ใจในพระผู้สร้าง ผู้ที่ให้โอกาส ผู้ที่ไม่เคยปิดกั้นเสรีภาพของพวกเราย่อมทำให้เราเติบโตออกผลได้อย่างงดงาม และที่สุดเราต้องช่วยกันให้ความเมตตาอาทร ใส่ความรักจากใจให้กัน เราต้องรู้จักที่จะอดทนอยู่กับทุกผู้คน ที่มีความแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันสักคน เราต้องฟังแต่ละคนอย่างใส่ใจ เชื่อมั่นในความดีของเขา แม้เขาจะดูไม่ดี เพราะเราเชื่อว่าเขาเป็นคนมีค่าในสายตาของพระ เราต้องเข้าใจเขา ต้องอ่อนโยน อดทน และให้เวลา เพื่อทำสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา โดยไม่ยัดเยียดความดี เพื่อให้ต้นที่จะล้มลงได้มีโอกาสตั้งตัวขึ้นมาใหม่ และในวันนั้น เราก็จะมีร่มไม้ใหญ่อีกหนึ่งต้นที่จะทำให้สังคมผาสุกตลอดไป เราเลือกตั้งตนให้เป็นคนดี และก็ต้องมีเมตตาดูแลคนที่อ่อนแอและกำลังสิ้นหวังให้ได้ด้วยหัวใจ โลกแห่งสันติสุขอยู่ตรงนี้นี่แหละ

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2562

เส้นบาง ๆ ระหว่าง บุญกับบาป


เส้นบาง ๆ ระหว่าง บุญกับบาป
เคยบ้างไหม? เวลาที่เราให้เงินทำบุญกับใครหรือหน่วยงานใด แล้วมารู้ตอนหลังว่าเงินนั้นถูกนำไปใช้แบบผิดวัตถุประสงค์ เรารู้สึกเช่นไร? ย่อมรู้สึกโกรธ โมโห แค้นใจ เหมือนถูกหลอก มีคุณพ่อท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า เวลาเราทำบุญให้ใครจงคิดว่าเราได้บุญแล้ว ส่วนคนที่ได้รับจะเอาไปทำตามวัตถุประสงค์ หรือ นำไปใช้ในทางที่ผิด คนผู้นั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบในบาปในส่วนนั้นไป หากเราไปโกรธโมโห บุญเราก็จะลดลงกลายเป็นบาป โลกเรานี้บางทีก็มีความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่บ้าง มีคนบางจำพวกที่หากินกับการทำบุญกุศล หากินในความเดือดร้อนของชาวบ้าน จะเห็นได้บ่อยครั้ง ยามมีวิกฤติแล้วสังคมระดมเข้าไปช่วยเหลือ ไม่นานเราก็จะเห็นเหลือบที่แฝงมา เอาเรื่องนี้มาตั้งเป็นกองบุญ แล้วก็นำเงินไปใช้จ่ายเอง ถูกจับได้ก็หลายครั้ง แต่ก็ยังมิวายที่จะมีเรื่องเหล่านี้ตามมา จนทำให้ผู้คนระทดท้อต่อการทำบุญทำกุศล

บางทีมันก็อาจจะมีเส้นบาง ๆ ระหว่างบาป บุญ คุณ โทษ อย่างไรเสียเราก็ต้องรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่นตามอัตภาพของเรา และก็ต้องระมัดระวังที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวง ที่สุด อย่าปล่อยให้การทำบุญกุศลของเรากลายเป็นการเพิ่มกิเลส หวังได้คำยกย่อง สรรเสริญ ถ้าคาดหวังในบุญเมื่อไร ความบาปก็จะเป็นเงาตามมา การทำบุญโดยไร้การคาดหวัง ทำบุญเพื่อจรรโลงโลก รักษาสังคม ทำบุญด้วยความคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกพระ เป็นพี่น้องในพระคริสตเจ้า จึงเป็นสำนึกมโนธรรมคริสตชนที่ดี การโลภมากในบุญก็เป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ มีสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามาจากความใจบุญใจกุศล และบางเรื่องอาจจะเกิดขึ้นกับเราอย่างกับปาฏิหาริย์
หญิงม่ายคนหนึ่ง มักทำขนมเปาะเปี้ยะให้คนทั้งบ้านกิน แต่เธอจะทำเผื่อ 1 อันใว้ให้คนหิวโซที่เดินผ่านไปมา  เธอนำเปาะเปี้ยะที่ทำเผื่ออันนั้นตั้งไว้บนขอบหน้าต่างนอกบ้าน เพื่อให้คนต้องการหยิบไปกินเองได้   และทุกวันจะมีขอทานเฒ่าหลังค่อมเป็นผู้มาหยิบไปทุกครั้ง แต่ขอทานเฒ่าไม่เคยกล่าวขอบคุณแม้แต่ครั้งเดียว และเมื่อเดินห่างออกไป ยังมีการบ่นงึมงำไปตลอดทางด้วย จับใจความได้ว่า 所做之, 在身..... 所做之善, 回到身   (สอจ่อจืออัก เหล่าต่อซิงเปียง....สอจ่อจือเสียง ห่วยเก๊าซิงเปียง) แปลว่า บาปที่กระทำเก็บไว้กับตัว กุศลที่ได้ทำย้อนกลับมาหาตัว


วันเวลาผ่านไปเช่นนี้ทุก ๆ วัน  ขอทานเฒ่าหยิบแผ่นเปาะเปี้ยะแล้ว   จะบ่นซ้ำ ๆ คำนี้   และเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ นานวันเข้านางรู้สึกไม่ค่อยพอใจ จนสะสมถึงจุด ๆ หนึ่ง ที่เริ่มคิดในใจว่า  แม้แต่คำขอบคุณสักคำก็พูดไม่เป็นหรือไร เอาของไปกินทุกวันไม่เคยขอบคุณ แถมยังบ่นอีกต่างหาก    มันหมายความว่ายังไงหรือตาเฒ่า ???
จนวันหนึ่ง นางสะสมความโกรธจนระเบิดออกมา คิดอยากจะสลัดขอทานเฒ่าออกจากขนมเปาะเปี้ยะแผ่นนี้  (นางคิดว่าตาเฒ่าแย่งคนอื่นมาหยิบไปกินทุกวัน) ความคิดชั่วร้ายผุดขึ้นมาในใจวูบหนึ่ง เอายาเบื่อใส่เปาะเปี้ยะให้มันกินก็หมดเรื่อง ระหว่างเอาเปาะเปี้ยะผสมยาเบื่อไปวางบนขอบหน้าต่าง พลันฉุกคิดได้ว่า แอ๊ะ เรากำลังทำอะไรไปนะ  พอคิดได้ ก็รีบเอาเปาะเปี้ยชิ้นนั้น โยนเข้าไปในเตา เผาทิ้งจนหมด แล้วรีบทำแผ่นใหม่ วางบนขอบหน้าต่างอีกครั้ง  ถึงเวลาขอทานเฒ่าก็มาหยิบเอาไปเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง พร้อมบ่นงึมงำ ๆ  แต่ครั้งนี้ฟังได้ความชัดมาก ว่า...สอจ่อจืออัก, ฉุ่งหลิ่วซิงเปียง..สอจ่อจือเสียง, ห่วยเก๊าซิงเปียง...นางสังเกตเห็นขอทานเฒ่าบ่นงึมงำ อย่างคนมีความสุข ไม่ปรากฏว่าจะเป็นการด่าให้ร้ายใคร ๆ เลย ช่วงที่เธอเอาเปาะเปี้ยะวางบนขอบหน้าต่าง สายตาก็จะมองออกไปบนทางเดินที่เข้าหมู่บ้าน โดยมีความหวังว่า จะได้เห็นหน้าลูกชายที่หลายเดือนก่อนออกจากหมู่บ้าน ไปหางานทำในเมืองและไม่เคยส่งข่าวกลับมาให้เธอทราบเลย เธอได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่ง ลูกชายคงจะส่งข่าวกลับมาหาเธอบ้าง
คืนวันนั้น  มีเสียงเคาะประตู  เมื่อเธอเปิดออกมา   ก็ต้องตกใจอย่างมาก เห็นลูกชายยืนอยู่หน้าประตู ทั้งซูบผอมเสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่งหิวโซและอ่อนล้าสุด ๆ พอพบหน้าแม่ลูกชายก็พูดขึ้นว่า
“แม่  ที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว ตอนก่อนจะถึงบ้านซักกิโลเมตรกว่า ๆ  ผมหิวจนเป็นลม ล้มลงกับพื้น โชคดีเจอขอทานหลังค่อมคนหนึ่งผ่านมา   ผมขอให้เขาแบ่งของกิน อะไรก็ได้ให้ผมกินหน่อย แค่เศษ ๆ ก็พอ   แต่ขอทานหลังค่อมใจดีมาก กลับยื่นเปาะเปี้ยะให้ผมทั้งแผ่น   และยังพูดกับผมว่า นี่เป็นอาหารที่เขาใช้ยังชีพทุกวัน  แต่วันนี้จะให้ผม เพราะผมต้องการมันมากกว่าเขา”
ฟังถึงตรงนี้ หญิงม่ายหน้าซีดขาวเผือด ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงประตู หวนคิดถึงตอนเช้า ถ้านางเอาเปาะเปี้ยะใส่ยาเบื่อให้ขอทานเฒ่า งั้นคนที่ตายย่อมเป็นลูกชายตัวเองแน่นอน ถึงตอนนี้   นางเพิ่งเข้าใจความหมายในคำบ่นของขอทานเฒ่าว่า “สอจ่อจืออัก,หลิ่วต่อซิงเปียง  (บาปที่กระทำเก็บไว้ที่ตัว) สอจ่อจือเสียง , ห่วยเก๊าซิงเปียง  (บุญกุศลที่ได้ทำย้อนกลับมาหาตัว)”
นี่เป็นนิทานที่ดีเรื่องหนึ่งเป็นคติสอนใจว่า การทำบุญ ทำกุศลต้องไม่คาดหวังและเลือกทำ มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นการทำบาปโดยไม่รู้ตัว (บทความจาก ชู๊บุ๋งทีแอ๋แปล และเรียบเรียง โดย เจงเอี่ยม แซ่อึ้ง 黄振炎 )  ฝากไว้เป็นข้อคิดข้อเตือนใจในการที่เราจะร่วมทำบุญทำทานในช่วงเวลามหาพรตนี้ ทำบุญต้องได้บุญ อย่าทำบุญเพื่อเพิ่มบาปนะครับ....

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562

พิเศษ


พิเศษ
มีเวลาได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อเช็คระบบร่างกาย ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เข้าเช็คอย่างจริง ๆ จัง ๆ ผลคือมีส่วนเกินหลายอย่างที่มากเกินไปและอาจจะนำไปสู่โรคภัยในวันข้างหน้า คุณหมอแนะนำว่าต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน งด ลด บางสิ่งบางอย่าง ระหว่างเดินทางกลับก็คิดถึงคำพูดที่ได้ยินมาบ่อยๆว่า “เรากินอะไรเราก็เป็นแบบนั้น” ก็แสดงว่าเราเริ่มสะสมมากเกินไปแล้วใช่ไหม? เราปล่อยปละละเลยกับการเป็นอยู่มากไปหรือไม่? นี่เป็นเวลาที่ต้องมาใส่ใจกับร่างกายเพื่อไม่สะสมเกินตัว  ประจวบเหมาะกับในช่วงเทศกาลมหาพรตพอดิบพอดี จึงถือโอกาสนี้เคร่งครัด เอาจริงเอาจังในเรื่องการกินการอยู่ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ไม่มีโรคภัยเข้ามาเบียดเบียน
ภาพ : อินเตอร์เน็ต

มนุษย์เรากินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน แต่เอาเข้าจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน เราถูกกระแสบริโภคนิยมปลูกฝังให้ตระเวนหาของกินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ร้านไหนใครว่าอร่อยต้องไปลอง ร้านไหนเค้าว่าเด็ดก็ต้องดั้นด้นไปให้ถึง กลายเป็นรสนิยมที่ดูดีขึ้นมาทันที บางร้านยังมีแบบพิเศษให้เลือกหา เพิ่มนี่นิดนั่นหน่อย ทำไปทำมาในร่างกายเราจึงเกิดส่วนเกินที่ไม่จำเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ  หรือบางครั้งเรากินเข้าไปมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการด้วยความอร่อยปาก หลายครั้งหลายหนเราก็กินทิ้งกินขว้าง แบบนี้แล้วเราจะมีสุขภาพดีได้อย่างไร หากยังดิ้นรนแสวงหาของอร่อยกินอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้แล้ว ในยุคปัจจุบันเรายังมีการบริโภคข่าวสารข้อมูลมากเป็นพิเศษอีกด้วย และเราก็มักจะเลือกรับข้อมูลที่เข้าข้างทัศนคติของตัวเองเป็นพิเศษ ปิดกั้นข้อมูลอื่นด้วยการมีอคติ หนำซ้ำเรายังเที่ยวกล่าวกันไปมาว่าไม่ยอมหาข้อมูล ไม่หัดเปิดโลกเชื่อในข้อมูลอื่นบ้าง ต่างคนต่างยึดโยงสิ่งที่เราเชื่อเราศรัทธาในข้อมูลนั้น ๆ อย่างจริงจัง และพร้อมที่จะทำตามทุกอย่าง (ยกเว้นข่าวดีพระวาจาของพระเจ้า ที่ไม่ค่อยมีใครนำไปปฏิบัติตาม) บางทีข้อมูลที่เราเกาะกุมไว้นั้นมันใช่ความจริงแท้หรือเปล่า แม้แต่ทฤษฎีต่าง ๆ ในโลกยังล้วนแต่มีวันเปลี่ยนแปลง ใช่หรือไม่ ข้อมูลนั้นหาได้ไม่ยากแต่ข้อเท็จจริงนั้นมักถูกข้อมูลและอคติปิดกั้นข้อมูลได้มาอย่างง่ายดาย แต่เสียดายความจริงนั้นยากยิ่งนักในทุกวันนี้ เพราะอะไร? เพราะว่าเราฟังกันไม่เป็น เราไม่ยอมรับฟัง ไม่ยอมรับรู้ ในสิ่งที่ไม่ตรงกับความเห็นของเรา เราชอบที่จะเอาตัวเองเป็นคนพิเศษกว่าคนอื่น เมื่อทุกคนคิดกันเช่นนั้นก็ไม่มีการยอมรับกันและกัน ชุมชนเลยแยก ครอบครัวเลยแตก ที่สุดชีวิตเราก็ย่ำแย่ลงไป
ได้เห็นประโยคภาษอังกฤษอันหนึ่งที่ว่า “ When the ears are put side by side it forms the shape of the heart.Interestingly, the word 'ear' sits right in the middle of the word 'heart'(h-ear-t).The ear is the way to the heart, so if you want to win someone's heart, learn to listen to them.If you want God’s heart learn to listen to him.” ซึ่งแปลได้ว่า “เมื่อเอาหูสองข้างมาวางข้าง ๆ กัน เราก็จะเห็นรูปร่างคล้ายหัวใจ ที่น่าสนใจคือ คำว่า ear (หู) จะอยู่ตรงกลางของคำว่า Heart (หัวใจ) ดังนั้นแล้ว หู จึงเป็นหนทางที่จะนำพาไปสู่ หัวใจ หากเราต้องการได้ใจใครสักคนจงเรียนรู้ที่จะฟังเขา”

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

โลกที่ขาดการรับฟังซึ่งกันและกันเป็นโลกที่สะสมความเห็นแก่ตัว ไม่ช้าก็จะนำโรคร้ายมาสู่สังคม สู่ชุมชน สู่ครอบครัว ผู้ใหญ่หากต้องการให้เด็ก ๆ ยอมรับก็แค่รู้จักที่จะหยุดฟังพวกเขาก่อนบ้าง พ่อแม่ที่ดีไม่ใช่แค่มีเงินทองให้ลูกใช้จ่ายเท่านั้น แต่ต้องเป็นที่ปรึกษาที่พร้อมจะให้ลูกเข้าหาได้ตลอดเวลา ต้องเป็นคนพิเศษที่ลูกต้องคิดถึงเป็นคนแรก ๆ ในยามพบเจอปัญหา วันนี้เราต่างไปรับฟังรับรู้ข้อมูลอื่นก่อนที่จะรับฟังรับรู้สิ่งใกล้ตัว เราจึงหมดใจต่อกัน
บางทีชีวิตเราก็มักจะหลงไป และถูกล่อลวงด้วยการสร้างวาระพิเศษต่าง ๆ ขึ้นมา ความพิเศษจากการท่องเที่ยว ความพิเศษจากการดื่มกิน จากการซื้อของที่มีราคาแพง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความพิเศษที่ทำให้เรากลายเป็นคนที่มีชีวิตซับซ้อนและสะสมจนเกินไป บางทีเรามีชีวิต เรามีความงามจากสิ่งพื้น ๆ ธรรมดา ๆ อยู่แล้ว ลองทำกิจวัตรประจำวันของเราให้กลายเป็นความพิเศษ เราจะกลายเป็นผู้มีชีวิตสงบท่ามกลางความวุ่นวายของสังคม ใช่หรือไม่ แท้จริงแล้วสิ่งที่ต้องทำในชีวิตมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ที่เหลือล้วนเป็นสิ่งที่เราทำเพื่อสนองกิเลสของตนเองทั้งนั้น

ภาพ : อินเตอร์เน็ต

เป็นที่น่าแปลกใจ ในทุก ๆ ศาสนา ทุก ๆ ความเชื่อ ล้วนแต่มีช่วงเวลาพิเศษ เพื่อให้ศาสนิกชนได้ลดละกิเลสตัวเอง ศาสนาพุทธมีช่วงเข้าพรรษารักษาศีล อิสลามมีช่วงรอมฎอนถือศีลอด ชาวจีนก็มีช่วงเวลากินเจ เราชาวคริสต์มี 40 วันของเทศกาลมหาพรต จึงเป็นช่วงเวลาพิเศษที่เราจะต้องดูแลตัวเองให้สมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ ชำระเพื่อให้สะอาด ลดการสะสม และสละสิ่งเหล่านั้นเพื่อผู้อื่น ลดความเห็นแก่ตัวด้วยการรับฟังคนอื่นบ้าง สร้างสังคม ชุมชน ครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ทุกคนต่างโดดเดี่ยว ซึ่งแท้จริงแล้วเราต่างก็เป็นพี่น้องด้วยกันทั้งนั้น เปิดหูเปิดใจ รับสิ่งดี ๆ คัดกรองความงามของกันและกัน สร้างสรรค์ให้เกิดความร่มเย็นต่อกัน จาก 40 วันจะกลายเป็นความนิรันดร์ที่ยั่งยืนตลอดไป

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2562

ลืมต้น

ลืมต้น
ส้มโอที่มีคนในบ้านนำมาฝากผ่านไปหลายวัน ผิวเริ่มมีสีเหลือง ๆ คงจะใกล้เวลาได้ลิ้มรสเสียที ตอนแรกที่ได้เห็นคนที่นำมาบอกว่าต้องรอให้มันลืมต้น ก็คิดสงสัยในใจว่าจะต้องใช้เวลานานกี่วันกว่าจะถึงจุดนั้น ในขณะพิจารณาส้มโออยู่ หน้าจอสื่อโซเชี่ยลก็เต็มไปด้วยข่าวของคนกลุ่มหนึ่งหลากหลายอายุที่ไปร่วมการบวชเพื่อนฝูง เมาได้ที่ อาศัยคนเยอะความเก่งความห้าวห้ามไม่อยู่ก็บังเกิด ออกไปอาละวาดกับเด็กที่นั่งสอบ ทุกคนที่เห็นข่าวนี้ก็คงได้แต่ส่ายหัวและสาปส่ง ด้วยความโมโหที่เห็นความกร่างของคนรุ่นใหม่ใจกระด้าง ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สะทกสะท้านคิดว่าโลกใบนี้ฉันและพวกฉันนี่แหละคือผู้ครอบครอง สมองไร้การควบคุม ถูกขัดใจหน่อยก็ปล่อยความเป็นสารพัดสัตว์ออกจากตัวตน คนประเภทนี้มีมากมายในสังคมวันนี้


เหตุไฉนไยเป็นแบบนี้ ใช่หรือไม่ เพราะคนเราไม่ได้ใฝ่เรื่องจิตใจกัน ให้เรื่องเศรษฐกิจนำทุกสิ่ง ถูกปลูกฝังต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องให้ได้ดังใจ ทุกคนมีแต่กระตุ้น ๆ และก็กระตุ้น ว่าชีวิตที่ดีต้องมีเงินเต็มกระเป๋า ต้องมีหนี้เป็นทุน ต้องเป็นหุ่นยนต์ขายแรงในตลาด ต้องจับจ่ายต้องได้รับสวัสดิการ แต่... จะมีสักกี่คนที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตในเรื่องจิตใจ ที่ผ่านมาแทบไม่มีให้เห็น เราไปมีอย่างอื่นในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น มีการพัฒนาในรูปของการพัฒนากายภาพที่เติบโต แต่เราไม่มีแบบแผนในเรื่องสังคมคุณธรรมกันเลย
พูดแบบตรง ๆ จริง ๆ สังคมบ้านเรานั้นยังมีความหวังอยู่ เพราะผู้คนส่วนมากพยายามที่จะเป็นคนที่ดีและก็พร้อมในการลุกขึ้นมาทำความดี เพียงแต่ว่ายังไร้ทิศไร้ทาง ที่จะร่วมมือกันเพื่อจะเอาชนะสิ่งที่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่ดี เราจะต้องเริ่มต้นจากตัวเราก่อน ฝึกฝนคุณธรรมง่าย ๆ มีพฤติกรรมที่ดี ละเว้นชั่ว หยุดหลอกตัวเอง หยุดที่จะมีแต่หลักการหลักกู แต่หลักธรรมกลับละเลย ทำให้ครอบครัว ชุมชน สังคม มุ่งเน้นคุณค่าของพระธรรมคำสอนที่แท้จริง อย่านำหลักวัดมาตรฐานทางเศรษฐศาสตร์มาชี้วัดทางด้านศาสนา ต้องแยกแยะให้ออก อย่าสร้างโลกสองใบให้มีมาตรฐานเดียวกันหมั่นสอนและปลูกฝังให้เด็ก ๆ รู้ความสำคัญของชีวิตภายใน ที่สงบ ที่เรียบง่าย เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ มันต้องผ่านกาลเวลาในการขัดเกลา ต้องให้ลืมต้นแห่งความเห็นแก่ตัว ถ้ายังยึดติดยึดเกาะมันก็เน่าคาต้น คงเป็นเศษซากให้สัตว์แมลงแทะกัดกิน

เราเห็นข่าวเช่นนี้ก็ใช่แต่จะไปโทษนั่นโทษนี่ ไปแสดงอารมณ์ใส่ผู้คนเหล่านั้น เราควรที่จะต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะพัฒนาชีวิตจิต ชีวิตภายในของกันและกันให้ได้ อย่าปล่อยให้อารมณ์และความขุ่นมัวมาทำให้จิตเราต่ำตมลงไป จนลืมตัวแทนที่จะลืมต้นแห่งตน มีตัวอย่างเล็ก ๆ วิธีคิดของหญิงคนหนึ่งที่มองชีวิตผู้คนอย่างเห็นคุณค่า มองเห็นวิธีที่จะทำให้ลืมต้นของบาปได้ เรื่องนี้เป็นจริงที่ทำแล้วเกิดผลอย่างงดงาม 
หลายปีก่อนมีคดีหนึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา วัยรุ่นอายุ 14 ปียิงเด็กหนุ่มคนหนึ่งถึงแก่ความตายเพียงเพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองให้เพื่อน ๆ ในแก๊งเห็น ทุกนัดที่มีการสืบพยานในศาล แม่ของผู้ตายนั่งฟังการพิจารณาอย่างนิ่งเงียบ หลังจากที่ศาลตัดสินจำคุกวัยรุ่นผู้นั้น แม่ของผู้ตายเดินเข้าไปหาเขา จ้องหน้าและพูดว่า “ฉันจะฆ่าเธอ”
ผ่านไปครึ่งปี หญิงผู้นั้นก็ไปเยี่ยมคนที่ฆ่าลูกชายเธอ เธอเป็นคนแรกและคนเดียวที่ไปเยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีญาติพี่น้อง ก่อนที่จะจากกัน เธอให้เงินเขาเป็นค่าใช้จ่าย แล้วเธอก็เริ่มไปเยี่ยมเขาบ่อยขึ้น แต่ละครั้งก็เอาอาหารและของฝากไปให้ เมื่อใกล้ครบกำหนดจำคุกสามปี หญิงผู้นั้นก็ถามเขาว่าจะทำอะไรเมื่อพ้นโทษ เขาตอบว่า “ไม่รู้” เธอจึงหางานให้เขาทำในบริษัทของเพื่อน ครั้นถามว่าเขามีที่พักไหม ก็ได้คำตอบว่า “ไม่มี” เธอจึงชวนเขามาพักในบ้านของเธอ บ้านของเด็กที่เขาฆ่ากับมือ
ตลอดแปดเดือนเขาพักบ้านเธอ กินอาหารที่เธอทำ แล้วเย็นวันหนึ่งเธอก็เรียกเขาไปคุยในห้อง เธอนั่งประจันหน้าเขา นิ่งเงียบพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “เธอจำได้ไหมตอนที่อยู่ในศาล ฉันพูดว่าจะฆ่าเธอ?” “จำได้ครับ” “ฉันไม่ต้องการเห็นคนที่ฆ่าลูกฉันยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ฉันต้องการให้เขาตาย เพราะเหตุนั้นแหละฉันจึงไปเยี่ยมเธอและเอาของไปให้ เพราะเหตุนี้แหละฉันจึงหางานให้เธอและให้เธออยู่บ้านฉัน” ถึงตรงนี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น
 แล้วแม่ของผู้ตายก็พูดต่อไปว่า “ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเธอ ตอนนี้เจ้าวัยรุ่นคนนั้นก็จากไปแล้ว ฉันจะถามเธอล่ะทีนี้ว่า ลูกของฉันจากไปแล้ว เจ้าฆาตกรก็จากไปแล้วเช่นกัน เธอยังจะอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า ฉันอยากรับเธอเป็นลูกหากเธอไม่ว่าอะไร” ในที่สุดเธอได้กลายเป็นแม่ของคนที่ฆ่าลูกเธอ ส่วนฆาตกรผู้หลงผิดก็ได้แม่ ซึ่งเขาไม่มีมาก่อนในชีวิต

แน่ละ การให้อภัยคนที่ทำร้ายดวงใจของคนเป็นพ่อแม่นั้นเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่าย ๆ แต่ก็สามารถบ่มเพาะกันได้ เป็นความจริงแท้ที่ต้นไม้ดีย่อมให้ผลดี แต่จะให้ดียิ่งขึ้นผลนั้นต้องได้รับการบ่ม และใช้เวลาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรามาใช้ความรักความจริงใจเข้าหากัน เราก็จะได้ผลที่ดีงาม ลืมต้นแห่งตน โดยมิลืมต้นแห่งรัก เพื่อสร้างสังคมให้น่าอยู่ เพื่อทำให้สังคมเจริญวัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป