วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จะอะไรกันนักหนาหนอ...


แล้วมันก็ผ่านไป...กับข่าวเรื่อง โลกแตก ที่ทำให้คนทำนาย หน้าแตก แต่ก็ยังไม่วายออกมาบอกว่าคำนวณวันเวลาผิดพลาด คนดีชอบแก้ไขคนอะไรชอบแก้ตัว ยังไม่ยอมรับขอเลื่อนไปอีกห้าเดือน คือวันที่ 21 ตุลาคมนี้โลกแตกแน่นอน คนที่ขายบ้าน ขายที่ขายทุกสิ่งเพื่อเตรียมตัวไปสวรรค์ตามคำสั่งของ ศาสดาพยากรณ์ บัดนี้เหมือนตกนรกเพราะหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง ฟังแล้วก็เหนื่อยใจ คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต ก็คงไม่ต้องห่วงเป็นกังวลเรื่องสิ้นโลกกันไปหรอก วันที่เราสิ้นลมหายใจมันก็เป็นวันสิ้นโลกแล้ว เราทุกคนต้องได้พบอย่างแน่นอน เพียงแต่ใครจะไปก่อนหลัง ช้าเร็วต่างกัน กับข่าวเรื่องนี้มันก็มีแง่มุมให้ได้คิดได้เหมือนกัน….
ใช่หรือไม่ เมื่อเราต่างก็รู้ดีว่าวันหนึ่ง วันที่เราสิ้นใจโลกก็ดับตามไป สวรรค์จะเปิดรับเราหรือว่าอเวจีจะต้อนรับเรา หนทางวันนี้จะเป็นตัวบอกวัด แล้วเราล่ะจะเลือกเดินกันเยี่ยงไร!!!! ก็รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีสักวันเป็นวันสุดท้าย แต่เหตุไฉนหนอ ผู้คนวันนี้ยังยึดมั่นอยู่กับตัวเอง เอาตัวตน เอาความคิดทัศนะของตัวเองเป็นตัวตั้ง และต้องได้ผลลัพธ์อย่างใจปรารถนาเสียด้วย วันนี้สังคมเราเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัวแบบไม่รู้ตัวกันมากมาย วุ่นวายกับการให้ได้มาดั่งใจ เมื่อไม่ได้ก็เพิ่มดีกรีความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ชิงชัง และพร้อมที่จะกลั่นแกล้ง พร้อมที่จะตอบโต้ ด้วยทุกวิธีการ ทุกวิถีทางที่จะทำได้ ใจร้ายกันเหลือเกิน เห็นแล้วก็เหนื่อยใจก็ไม่รู้ว่ามันจะอะไรกันนักกันหนากับเวลาของชีวิตบนโลกนี้ที่มีเพียงสามหมื่นกว่าวัน...
ใช่... เมื่อเรามองเห็นคนที่ทำตัวเป็นเหมือนเด็กๆที่พ่อแม่ตามใจจนเคยตัว จนเคยชิน ไม่ได้ดังใจก็ดิ้น ก็ล้มลงนอนบนพื้นไม่ยอมลุกขึ้นจนกว่าจะได้มาซึ่งของที่ต้องการ ก็อดทำให้คิดถึงห้วงวันเวลาที่บางครั้งเราก็เผลอ ใช้ชีวิตเต็มล้นไปด้วยพยศ คิดคดหลอกตัวเองว่าเป็นที่รัก เป็นที่ต้องการของผู้อื่น อวดอ้างตัวหลงผยองพองขน ไม่รับความคิดใคร ไม่ยอมรับใคร ไม่ฟังใคร แล้วปลีกตัวไปอยู่ในโลกที่มีแต่ปลักโคลน ครั้นแล้วเมื่ออยู่ในช่วงของการที่เห็นความวุ่นวายของคนอื่น ที่เอาแต่ใจ ที่เอาแต่เรียกร้อง ที่ต้องให้ผู้อื่นมาน้อมสยบยอม ก็รู้สึกถึงความโง่เขลาเบาปัญญาของตัวเอง ทำให้เข้าใจสัจจะข้อหนึ่งขึ้นมาทันทีทันใด ใช่หรือไม่ การเสียสละที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงนี้เอง ก็คือ สละ ลด ละความเอาแต่ใจของตัวเองลง เสียสละน้ำใจตัวเอง หากเราไม่เอาใจผู้อื่นเราก็คือคนเอาแต่ใจตัวเอง เพราะทุกคนล้วนมีพระเจ้าอยู่ในตัวตน..
บนหนทางการดำเนินชีวิตของเราก็เหมือนกับการเป็นชาวไร่ ชาวนา ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของนา เมื่อเรารวมกลุ่มกันในสังคมก็เป็นดังชาวนากลุ่มหนึ่ง  ที่ตกลงใจกันว่า จะช่วยกันปลูกข้าว เริ่มต้นด้วยการประชุม หารือ หาแนวทาง วิธีการ เพื่อที่จะได้ผลผลิตดีๆออกมา ทุกคนต่างเริ่มลงมือปฏิบัติ ได้รับที่นาตามมอบหมาย ต่างคนต่างก็ไปปรับปรุงหน้าดิน ไถพรวนดิน ใส่ปุ๋ย ทดน้ำเข้านา หว่านกล้า รอระยะเวลา ยามว่างก็มาสังสรรค์กันฉันท์เพื่อนฝูง
พอต้นกล้าเติบโตขึ้น ก็เฝ้าดูแลถอนกล้า นำกล้าไปปัก  เป็นทิวแถว เป็นแนว รอต้นกล้าออกรวง ขณะที่รอต้นกล้าโตก็ต้องคอยดูระดับน้ำ คอยกำจัดวัชพืช ไหนจะหอยขม หนูนาที่จะมาทำลายต้นกล้า จะบ่นว่าอะไรนักหนาก็ใช่ที่ เพราะนี่คือภารกิจของชาวนา
แล้วก็ถึงวันที่รอคอย ต้นกล้าโตเต็มที่กลายเป็นต้นข้าวออกรวงทองสวยงาม   ข้าวเต็มเม็ดได้ผลผลิตเกินคาด เมื่อข้าวสุกงอมเต็มที่ก็ช่วยกัน ลงแขก ลงแรง เก็บเกี่ยวได้ข้าวเต็มลาน ขนไปใส่ยุ้งข้าวจนล้น
เมื่อได้ข้าวเยอะเกินความคาดหมาย ชาวนากลุ่มนั้นจึงช่วยกันแจกข้าวของตนเอง ให้กับเพื่อนบ้านผู้อดอยากและผู้เดินผ่านไปมา ในระยะแรกต่างก็ได้รับคำชมเชย
จากผู้ที่มารับ ต่อมาคนที่ได้รับแจกเริ่มหัวหมอ นำข้าวนั้นไปขายเพื่อแปลงเป็นเงินเช่นเดียวกันกลุ่มชาวนาเมื่อได้รับส่วนแบ่งจนเกินกว่าจะเก็บไว้ ก็แบ่งเพื่อนำไปขายแปลงเป็นเงินเช่นกัน เมื่อได้เงินมาส่วนหนึ่งก็เก็บไว้ใช้ส่วนตัว ตามสิทธิพึงได้และอีกส่วนหนึ่งก็นำมาเป็นทุนกองกลางเพื่อที่จะเป็นต้นทุนทำนาในปีต่อๆไป
ย้อนกลับมาหาผู้ที่ได้รับแจกข้าวเมื่อนำข้าวที่เขาบริจาคให้ฟรี โดยที่ตัวเองไม่เคยลงแรงไปขาย ก็รู้สึกว่าได้รับส่วนแบ่งนั้นน้อยเกินไป จึงได้พยายามมาเรียกร้องให้ได้ส่วนแบ่งข้าวเท่ากับชาวนากลุ่มนั้น แถมยังมีบางคนเข้ามาแบบผู้หวังดีมาคอยแนะนำวิธีทำนาแบบใหม่ๆโดยอ้างว่าจะทำให้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม คอยแนะนำให้ใช้เครื่องมืออย่างโน้นอย่างนี้ บ้างก็ให้ใช้ปุ๋ยอย่างนี้ บ้างก็ให้ซื้อรถไถ ซื้อรถเกี่ยวข้าวบ้างก็ให้ซื้อเครื่องสูบน้ำ ซึ่งสิ่งของต่างๆเหล่านั้น ตัวเองก็เป็นผู้เอามาขายให้ชาวนา คิดว่าจะได้ทั้งเงินและส่วนแบ่งข้าวฟรีอีก แล้วเราจะเป็นชาวนาที่ร่วมกัน หรือเป็นเพียงผู้คอยรับแจกฟรี หรือเป็นผู้หวังดีประสงค์ร้ายกันล่ะ...
หากว่าสังคมของเราเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ได้ คนที่คิดว่าเก่ง คอยแต่เสนอโดยไม่เคยสนอง แล้วสังคมจะปกติสุขได้เช่นไร คงจะมีแต่เสียงบ่นพ้อว่าจะอะไรกันนักกันหนา... เวลาที่เราจะคิดถึงตัวเองขอให้เป็นตอนก่อนนอนเท่านั้น คิดถึงใบหน้าของเราในวันนี้เป็นเยี่ยงไร มีรอยยิ้ม มีความสุขบนใบหน้ามากน้อยแค่ไหน ลดการคิดถึงหน้าผู้อื่นที่ก่อให้เกิดความเครียดลงบ้าง แล้วตื่นมาให้คิดถึงหน้าผู้อื่นว่าวันนี้เราจะเพิ่มรอยยิ้มจะปันความสุขให้ผู้อื่นได้อย่างไร... อย่าให้สังคมเต็มไปด้วยอะไรกันนักกันหนา แต่น่าจะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยรัก เสียสละ ให้อภัยกันมันจะโสภามากกว่า....

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พฤษภา..น่ากลัวจริงหรือ


พฤษภา..น่ากลัวจริงหรือ
            ในขณะที่ด้านหนึ่งของโลกนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีวันต่อวัน อย่างไม่หยุดหย่อน มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยออกสู่ตลาดเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายอยู่แทบทุกวินาที แต่..วันนี้โลกเรากำลังตกอยู่ในวังวนของการทำนายอายุขัยของโลก เป็นปีที่มีผู้ทำนายออกมาให้ข่าว เต้าข่าวขายความเท็จกันทั่วโลก เป็นประวัติการณ์...
            เมื่อวันที่ 10 พ.ค. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงไทเป ไต้หวัน รายงานว่า นายหวัง เฉา-ฮุง วัย 54 ปี ชาวเมืองปูลี่ ประกาศตนเป็น ศาสดาพยากรณ์ รู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าแม่นยำ เขาระบุว่า จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 14 ริคเตอร์ เขย่าเกาะไต้หวัน ในเช้าวันพุธที่ 11 พ.ค. ตรงกับเวลาในประเทศไทย 09.42 น. (แล้วไง พอผ่านไป โหรดังก็เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน รอข่าวให้เงียบหายไป)
ข่าวดังต่อมา..ชาวอิตาเลียนพากันอพยพออกจากกรุงโรม เมืองหลวงหลังจากเกรงกันว่าจะเกิดแผ่นดินไหว ครั้งใหญ่ ตามคำทำนายของราฟาเอล เบนดานี เมื่อปี ค.ศ. 1915 ที่เคยทำนายไว้ว่า เมืองหลวงของอิตาลีแห่งนี้จะต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งเลวร้ายซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 11 พ.ค. 2011 (แล้วก็ผ่านไปไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แต่มีแผ่นดินไหวที่ประเทศสเปน)
            ในเมืองไทยก็ใช่ย่อยมีการส่งจดหมายอีเล็คทรอนิคส์(อีเมลล์)ต่อๆกันไป มีใจความว่า เรา นามผู้มาใหม่ ขอแจ้งข่าวภัยพิบัติเป็นครั้งสุดท้ายปลายเดือนพฤษภาคมนี้ จะเกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างแน่นอน เพราะจะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นที่ภาคอิสานตอนบนเชื่อมต่อภาคเหนือบางส่วน ทำให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน อะไรที่ไม่เคยเห็นจะได้เห็น อะไรที่ไม่เคยเกิดก็จะเกิด ซึ่งเหตุการณ์นี้จะเริ่มขึ้นก่อนเที่ยงของวันที่ 22 พฤษภาคม 2554 จะมีการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นกับแผ่นดินไทย ในระหว่างนี้ให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับมือให้เก็บเสบียงเพียงพอสำหรับเหตุการณ์นี้ เราหวังว่าท่านจะได้เตรียมตัวของท่านให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์นี้และบอกคนใกล้ตัวของท่านให้ระวังตัวกันด้วย ...ผม (นามผู้มาใหม่ ) ไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร แต่ผมสามารถบอก วันเดือนปีที่จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติได้ เพราะผมมาครั้งนี้จะมาเตือนท่านในฐานะมนุษย์ด้วยกันและมนุษย์ทั้งหลายต่างหวาดกลัวในความตายกันเป็นส่วนมากจึงได้นำรายละเอียดทั้งหมดมาแจ้งข่าวให้ทราบ...
และที่พลาดไม่ได้กับการขยายข่าวกับกรณีที่มีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ควักเงินประมาณ 4 ล้านบาท ในการเผยแพร่เรื่องราวโลกแตก หรือไม่ก็แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ด้วยการทำป้ายขนาดใหญ่ ติดตามสถานที่ต่างๆไปทั่วโลก ในประเทศไทยก็มีใจความว่า 21 พ.ค. 2554 จะเกิดภัยพิบัติ...
ชาวอเมริกานายนี้มีชื่อว่า ฮาโรลด์ แคมปิง เป็นประธานสมาคมแฟมิลีเรดิโอ หรือเจ้าของลัทธิอาสาสมัครจากสมาคมลัทธิแฟมิลีเรดิโอ ซึ่งเป็นเครือข่ายสถานีวิทยุคริสเตียนในสหรัฐ (ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับทางคาทอลิกแต่ประการใด)  ออกแจกจ่ายใบปลิวให้แก่ประชาชนบนถนนสายหลัก เพื่อเผยแพร่คำทำนายวันสิ้นโลกตามคติความเชื่อของลัทธิที่ทำนายว่า วันที่ 21 พฤษภาคมปีนี้ จะเป็นวันสิ้นโลก โดยการคำนวณทางคณิตศาสตร์ผ่านการถอดรหัสจากน้ำท่วมโลกในคัมภีร์ไบเบิ้ล เขาเชื่อว่าพระเจ้าส่งสัญญาณเตือนวันสิ้นโลกผ่านพระคัมภีร์และตัวเขามีหน้าที่ถอดรหัสออกมา อย่างไรก็ตาม แคมปิงเคยทำนายผิดพลาดว่าโลกจะแตกในปี 2537 และคราวนี้เขายืนยันว่าการคำนวณครั้งใหม่ทำนายว่าโลกจะถึงจุดจบในปีนี้อย่างแน่นอน เจ้าลัทธิกล่าวว่าจุดจบของโลกกำลังจะมาถึงในวันที่ 21 พฤษภาคม 2554 หลังพระอาทิตย์ตกดิน
นอกจากนี้ยังมีการพยายามเชื่อมโยงข้อมูลจากองค์การนาซา ด้วยการกล่าวอ้างว่า ดาวนิบิรุ (Nibiru) ซึ่งเป็นดวงดาวที่กล่าวกันว่า ชาวสุเรเมียน เป็นผู้ค้นพบ กำลังพุ่งเข้าหาโลก ในเบื้องต้นคำพยากรณ์กล่าวว่า ความหายนะจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม  2003 แต่เนื่องจากไม่เกิดอะไรขึ้นในวันนั้น วันโลกาวินาศจึงถูกเลื่อนไปเป็นเดือนธันวาคม 2012 หลังจากนั้นจึงมีการนำนิทานทั้ง 2 เรื่องมาเชื่อมโยงเข้ากับจุดจบของวงวัฏจักรในปฏิทินโบราณของชาวมายัน และนำมาสู่คำพยากรณ์ว่า วันโลกาวินาศคือ วันที่ 21 ธันวาคม 2012
ต่อด้วยการนำข่าวเรื่องที่จะเกิดพายุสุริยะขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะมีใน ปี 2012 การปรับเปลี่ยนของพายุสุริยะเกิดเป็นวัฏจักร ซึ่งจะขึ้นถึงจุดสุดยอดทุก 11 ปี เมื่อใกล้ถึงจุดสุดยอดนี้ การปะทุในดวงอาทิตย์อาจทำให้ระบบสื่อสารดาวเทียมได้รับผลกระทบ แม้ในปัจจุบันวิศวกรกำลังเรียนรู้ที่จะพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานได้ภายใต้พายุสุริยะใดๆ ก็ได้...
จากเรื่องราวต่างๆที่พยายามคัดย่อลงมาเพื่อให้อ่าน จะเห็นว่าช่วงนี้จะมีข่าวในลักษณะนี้มาก และยังจะออกมาเรื่อยๆ เราเห็นอะไรบ้างจากกระแสข่าวที่ทำให้เดือนพฤษภาเป็นเดือนแห่งความหวาดหวั่นและน่ากลัว ใช่หรือไม่ วันนี้ต่อให้เรามีการพัฒนาระบบสังคม ระบบการสื่อสาร ที่ทันสมัยอย่างมาก แต่มนุษย์เราก็ไม่เคยที่จะสลัดหลุดจากความกลัวได้เลย ความกลัวที่นำเราไปสู่ทางที่ผิด ความกลัวนำเราห่างจากพระเจ้า  ใจของท่านทั้งหลายจงอย่าหวั่นไหวเลย จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย ในบ้านพระบิดาของเรามีที่พำนักมากมาย ถ้าไม่มี เราคงบอกท่านแล้ว เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน พระเยซูเจ้าบอกเราไว้เช่นนี้ แล้วเรายังกลัวอะไรกันอยู่เล่า???  พฤษภาคมหรือเดือนไหนๆ ปีไหนๆก็จงอย่าได้กลัวเลย มันก็แค่คำทำนายของมนุษย์ที่รู้เห็นเพียงปลายจมูกของตัวเอง.....  


http://astore.amazon.com/konkhangwat04-20

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไม่มีใครเก่งได้ทุกที่


ไม่มีใครเก่งได้ทุกที่
            ในชีวิตจริงมีสิ่งหนึ่งซึ่งพึงระวัง นั่นคือ อาการหลงตัวเอง และภาคภูมิใจในความเก่งกาจสามารถของตัวเอง ไม่มากก็น้อยเราทุกคนย่อมเคยพลัดหลงเข้าไปเมามัวกับอาการนี้ หลายคนฝืนรั้งใช้พลังความเข้มแข็งภายในที่มีคอยฉุดจึงหลุดรอดมาได้ หลายคนหลงเข้าไปวนเวียน วุ่นวาย เข้าๆออกๆกับอาการนี้ แล้วเกิดเสพติดจึงหาทางออกไม่พบ แล้วก็สมยอมพร้อมตายไปกับการอวดดีถือเก่ง มีไม่น้อยที่คล้อยตามกับคำสรรเสริญเยินยอ ยกย่องว่าเก่งกาจสามารถ มีไม่น้อยพลอยดีใจกับคนรอบข้าง คำรอบหูที่ส่งเข้ามา ชื่นชม เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คนเหล่านั้นปรารถนา แต่...ก็ยังมีหลายคนเพียงแค่ผิวผ่าน หาได้ขานน้อมรับตกเป็นเหยื่อ เป็นทาสของอารมณ์หลงในตัวตนไม่ แน่ล่ะ.. เราล้วนได้รับพระพร พรสวรรค์ในด้านที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้เราใช้พระพรด้านพิเศษเพื่อกลมเกลียว สานสัมพันธ์ เกื้อกูล อำนวยทางให้แก่กันและกัน ให้ได้เดินไปสู่ยังจุดหมายปลายทางที่งดงาม
            ในยุคสมัยที่เราเทิดทูนคนเก่งมากกว่าคนดี จึงมีผู้คนไม่ใช่น้อย ที่ไม่ยอมน้อมรับถึงสัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งสร้าง ยึดพระเจ้าในนามของตัวเองไว้ครอบครอง หรือเลยเถิดจนไปคิดว่า ตัวเองเป็นพระเจ้าเสียเอง ที่หยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง นับวันยิ่งอันตรายสำหรับค่านิยมที่เก่งเกินใครเพียงผู้เดียว แต่ละคนทำตัวให้เก่ง ให้รู้ไปเสียทุกเรื่อง และมักโกรธเคืองเมื่อมีคนอื่นเสนอแนวทางที่แตกต่าง ซ้ำร้ายหลงในความอัจฉริยะของตัวเอง  โดยมิได้ฟังความรอบด้าน พยายามครอบครองโอกาสเพื่อแสดงความสามารถ ไม่มีการแบ่งปันความดีงามให้ผู้อื่นได้กระทำ ไม่เว้นระยะและให้ผู้อื่นเป็นทางเลือกในการอุทิศตัว สิ่งนี้คือภัยแห่งยุคสมัย  ภัยมืดที่มาพร้อมกับความเห็นแก่ตัวด้วยการแอบเร้นมาในรูปของความเก่งกาจ ...
            แน่นอน..ในบางที่เราอาจจะเป็นคนเก่งที่สุด แต่...ใช่หรือไม่ พอเราไปอยู่อีกที่ที่หนึ่งเราอาจจะเป็นเพียงท้ายแถว หรืออาจกลายเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะโลกกว้างใหญ่ใครเลยจะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่..ที่ที่เราอยู่ เราเป็นผู้นำ พอไปอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ในสถานการณ์หนึ่ง ในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เราก็กลายเป็นผู้ตามผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและแนะนำ ในบางเวลาเราอาจจะเป็นผู้บรรยาย ผู้มอบความรู้ผู้สอนให้แก่ผู้อื่น เช่นกัน หลายครั้งเราก็กลายเป็นผู้ร่วมรับฟัง กลายเป็นผู้เรียน เป็นผู้ร่วมสัมมนา และที่สำคัญ เราต้องฉลาดพอที่จะหาตัวช่วย เพื่อเสริมความเก่งของเรา นี่แหละชีวิตจริงที่พึงเรียนรู้ ไม่มีใครฉลาดไปเสียทุกเรื่อง ใช่หรือไม่ บางเวลา คนที่เราเชิดชูว่า สุดยอด แต่กลับแพ้ภัยตัวเองด้วยการไม่ใช้ความรอบคอบในการสอบถามผู้ที่รู้ดีกว่าก็มีให้เห็น เรียกว่า มีความรู้มากแต่ด้อยปรีชาญาณ และเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น ลองอ่านเรื่องนี้..
มีทหารที่เก่งกาจด้านการข่าวนายหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้ส่งสาส์นไปยังหัวเมืองต่างๆ ระหว่างที่ขี่ม้าไปยังหัวเมืองหนึ่ง ก็ได้เจอคลองน้ำเข้าคลองหนึ่ง เขาต้องข้ามคลองเล็กๆนี้ถึงจะเข้าไปยังหัวเมืองนั้นได้ คลองนี้มีน้ำไหลเชี่ยวมาก ทหารส่งสาส์นเกิดความลังเลว่าจะขี่ม้าข้ามไปได้หรือไม่ เพราะตั้งแต่เป็นทหารสื่อสารมาก็ไม่เคยเลยที่จะรู้เรื่องการขี่ม้าข้ามคลอง มีแต่ขี่ม้าข้ามบ่อ..
ระหว่างนั้นเอง เขาหันไปพบเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่ข้างๆคลอง เขาจึงถามเจ้าหนูน้อยว่า
ม้าของข้าสามารถข้ามคลองนี้ไปได้หรือไม่.....”
เด็กน้อยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบทหารอย่างมั่นใจว่า  
ได้แน่นอนครับท่านไม่มีปัญหา...” ได้ฟังคำตอบแล้ว ทหารส่งสาส์นเกิดความมั่นใจ จึงขี่ม้าข้ามคลองไปในทันที พอไปยังไม่ทันจะถึงกลางคลอง ม้าที่ขี่อยู่ ก็เริ่มจมน้ำและรู้ตัวว่าคลองนี้มันลึกมากเกินกว่าที่ม้าจะข้ามไปได้ เขาจึงรีบพาม้าหันกลับขึ้นฝั่งโดยทันที.....
ทหารส่งสาส์น รู้สึกโมโหเด็กน้อยเป็นอย่างมากจึงตะโกนถามเด็กน้อยว่า 
ทำไมเจ้าถึงบอกข้าว่าม้าของข้าสามารถข้ามคลองนี้ได้อย่างแน่นอนล่ะ เด็กน้อยจึงตอบว่า
ก็ข้าเห็นเป็ดมันยังว่ายข้ามไปมาทุกวันได้ ทั้งๆที่เป็ดมันขาสั้นกว่าม้าของท่านตั้งเยอะ แล้วทำไมม้าของท่านถึงข้ามไปไม่ได้ล่ะ…”   (ฮ่าฮ่า)
แน่ล่ะเราไม่รู้ไปเสียทุกเรื่อง ไม่เก่งไปเสียทุกที่ แต่เราต้องเรียนรู้ในหลายๆเรื่อง เพื่อเพิ่มความฉลาด ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยคนมีความรู้มากมาย แต่คนฉลาด รอบคอบนั้นหาได้ยากยิ่ง...
แต่ละคนล้วนมีความเก่งเฉพาะด้าน และถ้าทุกคนใช้ความเก่งนั้นเพื่อสร้างสันติ ใช้ความเก่งนั้นเพื่อสานสร้างให้เกิดความดงาม ใช้อัจฉริยะเพื่อลดละความห่างเหินในความใกล้ชิดของจิตวิญญาณของแต่ละคน ใช้ความรอบรู้เพื่อช่วยในการเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันบนความเป็นหนึ่งเดียว ใช้พระพรพิเศษแสดงให้โลกรู้ว่านี่แหละความรักของพระเจ้าช่างยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ ที่สุดแล้ว...ให้พระเยซูเจ้าผู้เป็นองค์ความรัก ให้องค์พระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในมโนสำนึก ให้พระบิดาเจ้าพระผู้สร้างผู้พระทัยดี ทรงเผยแสดงให้ผู้อื่นได้เห็นทางไปสู่สวรรค์ โดยอาศัยความเก่ง ความสามารถของเรา ใช่หรือไม่ความเก่งกาจสามารถมิใช่เป็นของเรา อัจฉริยะของเราเป็นเพียงทางเชื่อมให้เราได้สนิทกับพระเจ้าได้อย่างไร้ข้อกังขาและสงสัย...

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวดีไม่สิ้นหนทาง


ข่าวดีไม่สิ้นหนทาง
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา บนพื้นพิภพมีเหตุการณ์ที่ทำให้หมู่มวลมนุษย์มุ่งสนใจเป็นพิเศษอยู่ด้วยกันหลายต่อหลายเหตุการณ์  ...  พระราชพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าชายวิลเลียม และ เคต มิดเดิลตัน จัดขึ้นที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เมื่อวันศุกร์ที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา มีฝูงชนกว่าล้านคนที่ไปร่วมงานและมีผู้ชมผ่านหน้าจอทีวีทั่วโลกอีก 2,000 ล้านคน ทุกสายตาเฝ้าติดตามความสง่างามตามแบบราชประเพณีแต่เก่าก่อน สื่อในประเทศไทยแทบทุกช่อง ต่างก็ถ่ายทอดรายงานกันสดๆ และช่วงชิงคนดูด้วยการให้ผู้รู้มาแสดงทัศนะและความรอบรู้ในศาสนพิธี ผิดบ้างถูกบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้างก็ว่ากันไป
แต่...โชคดีที่ทางช่องโมเดิร์นไนน์ ได้เชิญอาจารย์ชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ผู้คุ้นเคยประเทศอังกฤษในฐานะผู้ที่เคยเป็นผู้ประกาศข่าวให้กับ BBC สถานีโทรทัศน์ของประเทศอังกฤษ และเป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในพิธีศีลสมรสเป็นอย่างดี เพราะท่านเป็นคริสตชนที่ศรัทธาและเป็นกำลังหลักให้พระศาสนจักรไทยมาอย่างยาวนานเช่นกัน ท่านจึงบรรยายบรรยากาศความหมายของพิธีกรรมในวันนั้นได้อย่างถูกต้อง น่าฟัง โดยเฉพาะคำสัญญาของศีลแต่งงาน บางช่องก็ยังแปลความตามศัพท์โดยไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้ง และแทนที่จะให้ความสำคัญกับการปฏิญาณรัก บางคนกลับไปให้ความสำคัญของการที่รัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ทรงจุมพิตพระชายา ระหว่างเสด็จออก ณ ระเบียงมุขของพระราชวังบักกิงแฮม
และเพียงชั่วข้ามคืนข่าวนี้ก็หมดความหมายไปเมื่อมีข่าวที่ดุเด็ดกว่า เมื่ออุซามะห์ บิน ลาดิน แกนนำเครือข่ายอัลกออิดะห์ตายแล้ว!!! ต่อมาประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา ประเทศผู้ยิ่งใหญ่เบอร์หนึ่งของโลก แถลงข่าวว่า อุซามะห์ บิน ลาดิน แกนนำเครือข่ายอัลกออิดะห์ เสียชีวิตแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในการต่อสู้กับกองกำลังของสหรัฐฯ ในประเทศปากีสถาน โดยพบศพของเขาแล้ว นับเป็นเวลาร่วม 10 ปีหลังการโจมตีวินาศกรรมเมื่อ 11 กันยายน ปี 2001 ที่บิน ลาเดนเป็นคนบงการแล้วเขาก็รอดพ้นจากการไล่ล่า ความแค้นสิบปีก็ไม่สาย นี่หนทางที่มนุษย์เลือกใช้กระนั้นหรือ!!!!! ข่าวนี้สร้างความปีติแก่ครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ดูเหมือนว่าข่าวนี้ก็จะสร้างความหวาดระแวงให้กับคนทั่วโลก เพราะการแก้แค้นด้วยการแก้แค้นมิอาจจะนำมาซึ่งสันติภาพได้ เช่นเคยข่าวนี้จะถูกฉายซ้ำไปมา แล้วก็ทำเนียนเพิ่มแต่งด้วยองค์ความรู้ในศาสตร์ทุกๆด้านโดยผู้สันทัดกรณีประจำตู้จอ ที่จะออกมาจ้อตามระเบียบสื่อมวลชนประเทศไทย...
แต่ในระหว่างสองเหตุการณ์นี้มีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า เป็นข่าวดีที่แทรกระหว่างกลาง นั่นคือพิธีสถาปนาสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 เป็นบุญราศี หน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร กรุงโรม ท่ามกลางผู้ไปร่วมพิธีประมาณสองล้านคน ภาพมุมสูงทำให้เห็นว่าในถนนที่มุ่งสู่วาติกันเต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ แต่...สิ่งที่น่าใจหายคือ สื่อในประเทศไทยไม่ได้นำเสนอข่าวนี้เลย มีเพียงไม่กี่สำนักข่าวที่นำเสนอข่าวนี้ และก็นำเสนอแค่สรุปเหตุการณ์เพียงเท่านั้น หรือนี่เป็นเพราะเราเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศนี้ หรือเพราะสื่อคิดว่าข่าวนี้ เหตุการณ์นี้ขายไม่ได้ หรือเพราะอะไร.....
แต่เนื่องเพราะว่าข่าวดีไม่มีวันที่สิ้นหนทางในการเผยแพร่ ประจวบเหมาะกับวันนี้เรามีเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพียงปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถเชื่อมโยงจากทุกมุมโลกมาไว้ที่หน้าจอ ตรงนี้ในโลกไซเบอร์จึงมีบทบาทอย่างสูงยิ่งที่ทำให้คริสตชนไทยได้มีโอกาสได้ร่วมบรรยากาศแห่งความยิ่งใหญ่ของบุญราศี ยอห์น ปอล ที่ 2 และที่สำคัญ คนที่ใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นคนรุ่นใหม่ ที่อุทิศตน อุทิศเวลา เพื่อเป็นคนส่งสารสู่ผู้อื่น เป็นดังเทวดาที่ถือสารสู่หน้าจอ นำข่าวดีไปจรรโลมจิตใจ เพื่อยืนหยัดความเป็นคริสตชนได้อย่างมั่นคง และสิ่งนี้ได้ถูกบันทึกไว้บนหน้า page ของ facebook/popereport ที่มีผู้เข้าไปชมการถ่ายทอดสดถึงสี่พันคน รวมทั้งช่องทางอื่นๆอีก 3-4 ช่องทาง ก็มีผู้รับชมเป็นพันๆคนเช่นกัน และสิ่งที่จะลืมเสียมิได้ วัดเซนต์หลุยส์ของเราผ่านทาง คุณพ่อศักดิ์ชัย ทรัพย์อัประมัย เจ้าอาวาส และครอบครัวเอี่ยมศรี ที่ได้มีส่วนให้การสนับสนุนการถ่ายทอดครั้งนี้ นี่เป็นการมองเห็นช่องทางการสื่อสารความเชื่อผ่านสื่อสมัยใหม่ที่กำลังมีอิทธิพลอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน เป็นอีกหนทางหนึ่งในการประกาศข่าวดีอย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงผู้คนอย่างง่ายดาย
เมื่อมองดูเหตุการณ์ที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าพระเจ้ามีทางให้เราเลือกที่จะใช้นำข่าวดีออกไปให้ผู้คนที่มีหัวใจศรัทธา ให้คนที่ยังไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระเยซูเจ้า ให้กับคนที่ยังแสวงหาความจริงไม่พบ เพียงแต่ว่าวันนี้เรากล้าพอไหม ที่จะออกไปยืนบนหนทางนี้ เรารู้จักที่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ให้เป็นประโยชน์อย่างไร? หากว่าอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี ข่าวดีก็ไม่มีวันสิ้นหนทางในการเผยแพร่ และหากว่าเรายึดมั่น มุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ โดยมีมโนสำนึกเสมอว่านี่คือความดีงาม ก็จงทำ ทุกสิ่งเพื่อพระองค์ คือคำที่บุญราศี ยอห์น ปอล ที่ 2 ยึดมั่นมาโดยตลอดพระชนม์ชีพ ภารกิจที่พระองค์กระทำได้พิสูจน์แล้วว่ามิได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อพระแม่เจ้า เพื่อพระเจ้า แล้ววันนี้เราทำอะไรเพื่อพระองค์บ้าง ทำอะไรบ้างเพื่อประกาศข่าวดีที่ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง....
****วาติกันแถลงเรื่องการเสียชีวิตของ อุซามะห์ บิน ลาดิน ว่า การที่คนๆหนึ่งเสียชีวิต คริสตชนไม่ควรดีใจ แต่เราต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนเอง ในการอุทิศตนให้กับการแสวงหาสันติภาพและยุติความรุนแรงทุกชนิด นอกจากนี้ วาติกันยังขอร้องคริสตังทุกคน อย่าฉลองความตายของ อุซามะห์ บิน ลาดิน  เพราะมันจะเพิ่มความเกลียดชังไปทั่วโลก