วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ไม่จำเป็นเลย


ไม่จำเป็นเลย
ในช่วงระยะนี้รถหาเสียงคงวิ่งไปตามตรอกซอกซอยกันบ่อยมาก ในซอยหน้าบ้านก็เห็นแทบทุกวัน ทุกคันของแต่ละพรรคก็จะเปิดเสียงพูดถึงคุณสมบัติของผู้สมัคร มีนโยบายที่ฟังได้ยินเพียงไม่ถึงข้อรถก็ผ่านไป มีเพลงประจำพรรคที่ต่างแต่งขึ้นมาเพื่อช่วยในการหาเสียง แรก ๆ ก็รู้สึกว่าคึกคักดี เป็นอีกบรรยากาศที่แตกต่างไปจากวิถีประจำวัน แต่ครั้นเมื่อได้อ่านข่าวติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองตามหน้าสื่อในโซเชี่ยลแล้วเริ่มคิดว่า ทำไมการหาเสียงต้องมีการกล่าวหากันไปมา ต้องก้าวร้าวใส่กันเช่นนี้หรือ!!! น่าจะมีความสร้างสรรค์ได้มากกว่านี้ โดยไม่มุ่งแต่จะโจมตีกัน แทนที่เราจะนำไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกัน กลายมาเป็นเส้นทางสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ แต่ก็อย่างว่าแหละ อะไรล่ะที่น่าจะเรียกกระแสได้มากกว่ากัน คงเป็นเรื่องในแง่ร้าย ๆ เพื่อเรียกแขก เพื่อเรียกเสียงสนับสนุนและยุยงให้เกิดการโต้เถียงกัน เพื่อสร้างแบรนด์ นี่อาจจะเป็นการตลาดการโฆษณาแนวใหม่ ที่สอดแทรกมากับการหาเสียงในยุคดิจิตอล ต่างคนต่างสาดใส่กัน ต่างคนต่างงัดข้อเสียฝ่ายตรงข้าม ต่างคนต่างคิดว่าของเราดีเลิศ เช่นนี้แล้ว ทำให้คิดถึงรถซื้อของเก่าที่มีเสียงไม่ดังอึกกระทึก พูดไม่มาก ตรงประเด็น มีความน่าฟังขึ้นมาทันที


เราไม่จำเป็นต้องดูถูกคนอื่น ว่าด่าคนอื่นที่คิดเห็นไม่เหมือนเราว่า “โง่” ว่า“โบราณ” เรามีสิทธิ์ชอบ มีสิทธิ์เลือกตามข้อมูล ตามทัศนคติ ตามรสนิยม ตามความชอบไม่ชอบ แต่ไม่จำเป็นต้องเอาสิทธิ์ไปยัดเยียดเบียดบังความคิดเห็นผู้อื่น เราต่างก็ปรารถนาให้สังคมสงบสันติ แต่วิธีการที่ทำกันอยู่นี้กลับยิ่งเพิ่มเติมความขัดแย้ง เลี่ยงได้ก็เลี่ยงในการสนทนาที่จะพาไปสู่ความขัดแย้งโต้เถียงกัน เลี่ยงได้ก็เลี่ยงที่จะไม่เลือกเสพสื่อเพียงสิ่งที่เราชอบ ใช้สมองวิเคราะห์แล้วใช้จิตวิญญาณสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารให้มาก ๆ รับฟังด้วยการเปิดใจ แล้วจึงค่อยตัดสินใจ และอย่าเอาเป็นเอาตายกับการเมืองมากนัก ชีวิตเรามีอะไรให้ทำอีกเยอะ การพัฒนาที่แท้จริงมันอยู่ที่เราแต่ละคนนี่แหละ หากช่วยกันพัฒนาชีวิตให้มีคุณธรรม ประเทศชาติก็จะมีคุณภาพขึ้นมาเอง เอาเวลาที่โต้เถียงกันไปสร้างสรรค์ชีวิต เอาเวลาที่ฝักใฝ่กับข้อมูลฝ่ายเดียวไปนั่งรำพึงตรึกตรองหาความหมายของชีวิตให้เจอมิดีกว่าหรือ เพื่อว่าในวันที่เกิดพบเจอปัญหาจะได้มีปัญญาในการแก้ไข นิ่งสงบบ้างเพื่อเราจะได้ยินเสียงเก่า ๆ เสียงที่เตือนเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เสียงที่อาจจะไม่ไพเราะ แต่นั่นคือเสียงสวรรค์ที่จะนำไปสู่การไขปัญหาให้เราได้



มีนักบวชมิชชันนารีท่านหนึ่งที่เคยเล่าให้ฟังว่า ในสมัยก่อน บรรดาคุณพ่อและนักบวชชายหญิงที่เริ่มก่อตั้งโรงเรียนคาทอลิกนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก กว่าจะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะนำบุตรหลานมาเรียนนั้น ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความมีเมตตาและความอดทนอย่างยิ่ง แต่ที่ยิ่งยากกว่านั้นคือเวลาเกิดปัญหาที่ต้องตัดสินความผิดความถูกของความขัดแย้งหรือต้องตัดสินปัญหาใหญ่ ๆ ว่าจะทำอย่างไร เช่น จะลงโทษเด็กที่เกเรอย่างไร? สิ่งแรกที่พวกท่านทำคือ การใช้เวลาอยู่ในวัดสงบ ๆ สวดภาวนาขอพระให้ช่วยเหลือ ใช้จิตวิญญาณการไตร่ตรอง ใช้สมองให้น้อย แล้วทุกปัญหาก็จะคลี่คลายไปได้ด้วยดีเสมอ ใช่หรือไม่ ทุกวันนี้เรามักตัดสินด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เอาอารมณ์นำหน้าเหตุผล หรือไม่ก็ใช้ความมีตำแหน่งแห่งตนเหนือเหตุผลความผิดถูก ใช้ข้ออ้างของความยุติธรรมเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ ขาดการปรึกษาและพูดคุยกับจิตวิญญาณของเราอย่างจริงจัง หยุดฟัง หยุดพร่ำ หยุดที่จะให้ใครต่อใครทำตามใจปรารถนาของเรา หยุดที่จะขีดขอบเขตความเป็นบุตรพระเจ้า เพราะเราเกิดมาพร้อมกับความรักและอิสระเสรีในการเลือกหนทาง เราอาจจะแค่ช่วยชี้แนะนำ แต่การเลือกทางเดินทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพ สำคัญสุดการเคารพซึ่งกันและกันต่างหากที่จะนำสันติมาสู่หัวใจของทุกคน


 มนุษย์มักชอบแบ่งแยกที่นำไปสู่การแตกแยก ชอบแบ่งฝ่ายออกเป็น 2 พวก คือ พวกเรา และพวกเขา โดยยึดถือเพียงว่า พวกเราคือคนอย่างผม อย่างฉัน ที่ชอบอะไรในทิศทางเดียวกัน ที่ใช้ภาษา ศาสนา และปฏิบัติตามธรรมเนียมเดียวกัน พวกเราต่างก็มีความรับผิดชอบต่อกัน แต่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อพวกเขา พวกเราไม่ต้องการเห็นพวกเขาในอาณาเขตของพวกเรา และพวกเรามักแอบมองแอบดูแอบฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาเขตของพวกเขา บางทีก็คิดไปว่าพวกเขานับว่าไม่มีความเป็นคนเสียด้วยซ้ำไปทั้งที่เราแต่ละคนย่อมมีหัวใจเหมือนกัน มีความรักเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องแยกเราแยกเขาเลย ความไม่สงบคงมาจากสิ่งเหล่านี้
อย่าปล่อยให้ความรักความเมตตาในหัวใจเราต้องนอนนิ่งอยู่เฉย ๆมีอคติต่อความคิดคนอื่น ปลุกให้ความรักและเมตตาฟื้นขึ้นมา เพื่อที่จะใช้เยียวยาตัวเราเอง ที่พร้อมจะรับฟังทุกเสียง แล้วให้เสียงพระที่ผ่านมาทางมโนธรรมผ่านจิตสำนึกที่จะบอกเราว่าควรเลือกหนทางเดินไหน อย่านำเอาอารมณ์เป็นเครื่องตัดสินใจ เพราะผลลัพธ์มันก็ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่งกลับคืนมา การให้อภัยต่อกัน เข้าใจกัน พูดดีต่อกัน ฟังกัน อย่าดื้อรั้นบนความคิดตัวเองฝ่ายเดียว เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่จะแสดงออกถึงการเป็นศิษย์พระคริสต์ ผู้ที่ทรงสอนเราให้รู้จักที่จะรัก โดยไม่จำเป็นที่จะได้เป็นที่รักของทุกคนการเมืองเป็นเรื่องของระบบแบบแผน แต่เรื่องความรักคือชีวิตทั้งชีวิตของเราทุกคน เราจำเป็นต้องมีหัวใจแห่งความรักและเมตตา

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

สุขในทุกข์


สุขในทุกข์
ณ สถานีรถไฟเมืองซัปโปโร เวลาประมาณห้าโมงเย็น ผู้คนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาเป็นระลอก ๆ ต่างมุ่งไปยังเส้นทางเป้าหมายของตน ที่มีหลากหลายเส้นทาง ทุกคนกำลังไปในที่ ๆ ของตน มีบ้างบางคนอาจจะไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อทำธุระปะปัง ต่างมุ่งสู่วิถีทางแห่งตนหลังเลิกจากการงาน ที่อาจจะมีทั้งทุกข์สุขปะปนกัน ยิ่งในวันที่หิมะตกหนัก การสัญจรลำบาก ดูเหมือนมีแต่ความทุกข์ แต่หลายคนก็อาจกำลังมีความสุขอยู่ก็ได้ เพราะในทุกความทุกข์ย่อมปรากฏร่องรอยแห่งความสุขได้เสมอ เคยได้ยินมาว่า “ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์ ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้ ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้เป็นอย่างไร ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่รู้จักความสุข เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง”


ในวันนี้วันที่สังคมโลกเต็มล้นไปด้วยการ “พ่ายแพ้” ไม่เป็น เห็นคนอื่นมีความสุขมากกว่าตัวเองไม่ได้ เราจึงเห็นกลเกมที่ใช้เชือดเฉือนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำทุกอย่างให้ได้ดังใจหมาย ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลด้วยคาถา ด้วยวิธีการอันแยบยล ไม่ยอมรับต่อความคิดเห็นต่างของส่วนรวม หรือบางคนแค่แกล้งยอมรับแล้วหาทางที่จะทำให้ได้อย่างที่คิดด้วยกลวิธี เราเห็นคนประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆหลายคนยิ้มเยาะเพราะได้ทำอย่างที่ตัวเองคิดอย่างที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่สนใจเลยว่าคนส่วนใหญ่เขาคิดอย่างไร นี่คือความสุขหรือ นี่คือชัยชนะหรือ นี่คือความรักหรือ ??? ใช่หรือไม่ ความสุขมวลรวมของสังคมวันนี้มีค่าติดลบ เพราะความพยายามที่เราทุกคนต่างมุ่งหวังจะเป็นผู้ชนะเหนือผู้อื่น หวังจะครอบครองผู้อื่นด้วยสร้างมโนทัศน์ของเราเข้าครอบงำ หวังสร้างสุขตัวตนบนความทุกข์และความขัดข้องใจของผู้คน ถ้าใจคนเราไม่นิ่งเพียงพอต่อให้นั่งในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์เราก็ไม่พบกับคำว่าสันติสุขที่แท้จริง มีตัวอย่างเล็ก ๆ ที่สามารถสร้างความสุขมวลรวมได้แบบไม่ยากนัก
ณ บริษัทธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง วันหนึ่ง หัวหน้าแผนกก็ประกาศกฎออกมาให้ทุกวันอังคาร และศุกร์ ทุกคนต้องมาทานข้าวร่วมกันโดยนำกับข้าวมาคนละหนึ่งอย่าง ทุกคนในแผนกต่างตกใจและสงสัยเป็นอย่างมาก ต่างคนต่างรู้สึกว่ามันวุ่นวายและน่ารำคาญ 
“ฉันไม่สนิทกับคนนั้นเลย จะกินข้าวร่วมโต๊ะกันได้เหรอ?” “ทำกับข้าวไม่เป็น จะเอาที่ไหนมาแบ่งล่ะ?” “หัวหน้าหางานให้อีกละ ต้องมานั่งล้างจานกันอีก” “ฉันแทบไม่เคยคุยกับหัวหน้าเลยนั่งด้วยกันเกร็งตายเลย” เหตุผลมากมายหลุดออกมา
และแล้วเที่ยงวันอังคารก็มาถึง ผู้ชายในออฟฟิตก็ช่วยกันยกโต๊ะมาต่อกัน ส่วนพวกผู้หญิงจัดเตรียมกับข้าวใส่จาน บนโต๊ะมีกับข้าวต่าง ๆ มากมาย ทั้งน้ำพริกปลาทู ยำวุ้นเส้น พะแนงไก่ ผัดผัก ไก่ทอด ไข่ต้ม ฯลฯ และเมื่อกับข้าววางบนโต๊ะ ทุกอย่างดูละลานตาน่ากินไปหมด ทุกคนก็ไม่รอช้ารีบลงมือทันที 
“น้ำพริกปลาทูของใครครับ อร่อยมากเลย” “ของคนนั้น คนที่แกไม่สนิทด้วย” “อ้าวหรอ เออ เขาทำอร่อยเนอะ เธอๆ น้ำพริกอร่อยมากเลย ทำมาบ่อย ๆ นะ” “ขอบคุณค่ะ ไว้จะทำมาให้กินอีกนะคะ” “ไก่ทอดน้ำจิ้มรสเริ่ดมาก ร้านไหนเนี้ย” “ร้านซอยตรงข้ามนี่เอง” “วันหลังพาไปซื้อมั้งดิ” “ได้ค่ะจัดไป” “หัวหน้าชอบทานพะแนงเหรอคะ เหมือนฉันเลยค่ะ” “จริงหรอ ผมชอบมากเลย ชามนี้อร่อยมากเลย ของคุณรึเปล่า” “ของผมเองครับ ภรรยาผมทำให้” “โฮวววววววว” “มีคนอวดเมีย”ฮ่า ๆๆๆๆ

ภาพ : อินเตอร์เน็ค

บทสนทนามากมายเรื่องอาหารหลั่งไหลเข้ามากันไม่ขาดสาย เสียงหัวเราะดังตลอดการสนทนา ตอนล้างจานพวกสาว ๆ ก็เม้าส์มอยกันเรื่องเครื่องสำอางตัวใหม่ ส่วนหนุ่ม ๆ พูดคุยกันเรื่องผลบอลเมื่อคืน แล้วการกินอาหารร่วมกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นวันที่รอคอยของทุกคน แต่ละสัปดาห์ผ่านไป มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นบนโต๊ะอาหาร  ทุก ๆ มื้ออาหารจะมี “ไข่ต้ม” เป็นหนึ่งในกับข้าวด้วยเสมอ และเมื่อทุกคนเริ่มหาที่มาของไข่ต้ม ก็พบว่า ทุกวันคนที่นำไข่ต้มมาร่วมโต๊ะอาหารคือพี่คนหนึ่งที่กำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน ทำให้เขาไม่มีเงินกินอะไรนอกจากไข่ต้ม ถึงตรงนี้เองทุกคนก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าของพวกเราถึงคิดนโยบายเรื่องการกินข้าวร่วมกันทุกสัปดาห์ออกมา เพราะอยากให้พี่คนนี้ได้กินอะไรนอกจาก “ไข่ต้ม” โดยไม่รู้สึกอายนั้นเอง ต่อจากนั้นทุกคนในทีมก็ขอให้หัวหน้าประกาศวันกินข้าวร่วมกันเพิ่มขึ้น จาก 2 วัน เป็น 3 วัน จาก 3 วันเป็น 4 วัน และสุดท้ายก็กลายเป็นกินข้าวร่วมกันทุกวัน ออฟฟิตนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในออฟฟิตที่มีความสุขที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนี้(บทความจาก The Working Insight)
วิธีที่จะสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ในขณะที่มีความทุกข์นั้นควรเป็นสิ่งที่เราทุกคนน่าจะช่วยกันทำ อย่ามัวแต่สร้างสุขเพียงลำพัง เพราะนั้นอาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ต่อคนรอบข้าง เราควรที่จะช่วยกันเพิ่มความสุขให้กันและกันเพื่อลดความทุกข์สาธารณะลงบ้าง เพียงแค่ยอมที่จะพ่ายแพ้บ้างในบางครั้ง เพียงแค่มีใจที่อ่อนน้อม เพียงแค่มีใจที่ยากจน มีใจบริสุทธิ์ นี่ก็จะสามารถชนะความทุกข์ได้อย่างมีความสุขแล้วและอย่าลืมว่าการได้รับชัยชนะคนเดียวนั่นมันเหงา ต้องร่วมกันชนะจึงจะเบิกบานมีความสุขอย่างแท้จริง

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

จึงเรียนมาเพื่อสุข


จึงเรียนมาเพื่อสุข
อันความสุขของใครก็ของเขา เรามักมีไม่เหมือนกัน เป็นสัจธรรมและหนทางที่จะก้าวไปหาความสุขอย่างแท้จริงของแต่ละคน ทุกคนย่อมมีวิถีทางตามแบบของตัวเอง เพราะความสุขไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนชอบออกกำลังกายสร้างสุขภาพกายสุขภาพใจให้แข็งแรงก็สุขได้ บางคนสุขด้วยการเข้าวัด ทำบุญสวดภาวนา  ดื่มด่ำในรสพระธรรม มีบ้างบางคนสุขที่ได้ทำสวนปลูกพืชผักรดน้ำพรวนดินใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่วุ่นวาย ได้มีเวลานั่งดูความเจริญงอกงามของแหล่งกำเนิดอากาศบริสุทธิ์ ยังมีผู้ที่เป็นสุขจากการทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม อุทิศตนให้สาธารณะกุศล อุทิศตนให้กับประเทศชาติ เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่า (หาคนดี ๆ ก่อนเลือกตั้งเพื่อความสุขของชาวเราด้วยนะครับช่วงนี้) บางคนสุขยามเกษียณได้มีเวลาเลี้ยงดูแลลูกหลาน นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ภูมิใจในการเจริญเติบโตของเลือดเนื้อเชื้อไข สุขที่ได้ดูแลครอบครัว ดูแลคนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา สุขที่ได้ดูแลพ่อแม่ยามแก่ชราทำเพื่อพวกท่านก่อนสายเกินไป สุขใครสุขมัน สุขในสิ่งที่ทำ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนแค่เอนกาย มีเพลงเบา ๆ หนังสือสักเล่มเพียงแค่นี้ก็สุขได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเหมือนใครและเอาอย่างใคร หลายคนสุขเพราะได้ออกไปท่องเที่ยว หาความแปลกใหม่เพื่อไม่ให้ชีวิตจำเจและแปลกแยกกับโลกนี้ไม่ตกยุคสมัย (อันนี้คือสุขส่วนหนึ่งของผู้เขียน) 



วันหนึ่งเราไปอยู่ในที่ ๆ หนึ่ง วันนี้กลับมาอยู่ในที่เดิม ๆ จากท่ามกลางความขาวโพลนและเย็นยะเยือก อยู่ ๆ ก็มาร่วมสูดดมละอองของผงฝุ่น การเดินทางไปยังต่างถิ่นก็เป็นเสมือนการเรียนรู้และสัมผัสกับความแตกต่าง เรียนรู้ความสุขบนความงาม เพื่อนำมาปรุงปรับน้อมรับความเป็นจริงของชีวิต การได้เดินทางไปยังต่างแดนมีบ่อยครั้งหลงทิศหลงทางบ้าง แต่กลับนำมาซึ่งการจดจำที่แม่นยำในทิศทางมากกว่าเดิม ในทุกช่วงของชีวิตทุกทิศทุกที่ทุกเวลาคือการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อจะนำมาซึ่งความสุข เรียนรู้เพื่อให้รู้ตัวตนคนธรรมดาที่มีวันผิดพลาด
เรียนรู้ที่จะเป็นอย่างที่เห็นและไม่ขอเป็นบางอย่างที่ได้สัมผัส เช่น ยามเมื่อเราอยู่ในสังคมคนญี่ปุ่น ประเทศที่ผู้คนมีวินัยสูง จะขึ้นลงรถสาธารณะต้องเข้าคิวต่อแถว เว้นที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย คนท้องแม้จะยังไม่มีคนเหล่านี้อยู่บนรถ ต่อให้แน่นเพียงใด ตรงนั้นก็ยังเว้นว่างไว้เสมอ เรื่องตรงเวลาแม้ในวันที่สถานการณ์เกินควบคุม หิมะตกหนักและหนาทำให้ระบบการเดินรถติดขัดบ้างก็ยังคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย นั่งรถราง รถไฟ รถเมล์ สะดวกและเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างเที่ยงตรงและปลอดภัยเป็นที่สุด พนักงานขับรถสุภาพบอกชื่อทุกป้าย เตือนให้ระวังในขณะที่รถเคลื่อนตัวออก ขอบคุณทุกครั้งที่ลงรถ พลันเมื่อถึงเมืองหลวงของเรา เดินทางด้วยรถบริการสาธารณะ เจอกับความต่างพนักงานขับรถขับไปคุยโทรศัพท์ (วันหวยออกพอดี) ครั้นพอต่อรถแท็กซี่ก็พบเจอแต่คำบ่นและเรียกร้องตลอดทาง นี่คือสิ่งที่เราควรเลือกว่าถ้าอยากพบความสุขเราจะเลียนแบบอย่างไหนดี ประเทศที่เจริญคนต้องมีคุณภาพ คนต้องมีความสุขในชีวิตประจำวัน


ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คิดว่าสุขอยู่ที่ใด? สุขก็อยู่ที่ใจนี่แหละ รู้ใจได้ก็สุขแล้ว หลายวันมานี้เช่นกันมีโอกาสได้คุยกับเด็ก ๆ ที่เข้าสนามสอบวัดผลที่เรียกว่า“โอเน็ต” บางคนก็บอกว่าวิชานั้นวิชานี้ยาก มีเวลาทบทวนและย้อนหลังความทรงจำ หลายครั้งเราก็มักมีคำถามเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้ว่า เราเรียนไปเพื่ออะไร บางวิชาใช้ในชีวิตจริงได้หรือเปล่า? คำตอบที่เคยให้คือการศึกษาเล่าเรียนคือส่วนหนึ่งของการพัฒนาชีวิต พัฒนาสมอง และพัฒนาความเป็นคน แต่วันนี้เราจะพบว่า ผู้คนในยุคนี้มีการศึกษาที่สูงขึ้น
ทว่าการศึกษานั้นไม่ได้ช่วยให้เกิดความเฉลียวฉลาดในการดำรงชีวิตแต่อย่างใดเลย แถมยิ่งมีการศึกษาสูง ยิ่งมีปัญหามากขึ้น เพราะเกิดความต้องการมากขึ้น ต้องการเงินต้องการความสะดวกสบาย ใครที่สนใจเรื่องหาเงินจะถูกยกย่องว่าเป็นผู้รักความก้าวหน้า ส่วนใครที่สนใจในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเงินมักถูกตั้งคำถามจากสังคมว่าเป็นคนแปลกแยก  ทุกคนจึงมุ่งเป้าหมายไปที่เงินมากขึ้นทุกวัน เพราะการปลูกฝังค่านิยมที่ผิด ที่มาพร้อมกับการเรียนการศึกษา เราเรียนมาเพื่อทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะหาเงินกอบโกยได้มากที่สุด แต่ไม่ได้เรียนมาเพื่อสร้างสุขให้กับชีวิตเรา ใช่หรือไม่ คนดีคือคนน่ายกย่อง แต่ในชีวิตจริง เรากลับเกรงใจเศรษฐีมากกว่าคนดี 
ยุคสมัยนี้จึงเป็นยุคที่เราใช้การศึกษาเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ มากกว่าที่จะใช้การศึกษาเพื่อทำความรู้จักตนเอง และนำมาซึ่งการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ รู้จักแบ่งปัน เสียสละและทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง มีผู้สันทัดกรณีกล่าวไว้ว่า เราเริ่มเห็นอาชีพนักธุรกิจในคราบคุณครู เห็นพ่อค้าในคราบคุณหมอ เห็นโจรในคราบนักการเมือง เห็นหมอผีในคราบนักบวช เห็นนักเลงในคราบนักเรียน เห็นคนขี้โกหกในคราบนักการตลาด มากมายในสังคม เรามีนักทำเป็นเก่งมากมายเกินไปแล้วเรายังขาดนักธรรมที่ดีและลึกซึ้งเรื่องจิตวิญญาณ นั่นแหละเราต้องมาเรียนรู้กับตัวเอง เรียนให้รู้ว่า การกระทำของเราย่อมส่งผลโดยตรงต่อสังคมโดยรอบ อยากให้สังคมเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตนเองก่อน เริ่มต้นวันนี้ หยุด สำรวจ และตั้งคำถามกับตนเองให้บ่อยครั้งว่า ชีวิตที่ถูกต้องดีงามคืออะไรกันแน่ เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด และจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อทำสิ่งใด สิ่งที่เรียนมาทั้งภาคบังคับและการเรียนรู้โลก เราพบกับความสุขหรือยัง จึงเรียนมาเพื่อทราบ ด้วยความเคารพ....

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เหมือนโดนทำร้าย


เหมือนโดนทำร้าย

ได้รับหนังสือเกี่ยวกับงานแพร่ธรรมของมิชชันนารี ชื่อว่า 2019: ติดตามพระเจ้า เรียบเรียงโดย ราฟาแอล จากคุณพ่อวีรยุทธ (พ่อแบงค์) ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ช่วงนี้กำลังอ่านและศึกษาความเป็นมาเป็นไปของมิสซังสยาม เพื่อนำไปแบ่งปันให้กับเด็ก ๆ เพื่อย่อและย่อย ให้เกิดความเข้าใจในภารกิจงานแพร่ธรรมสมัยเริ่มแรกในเมืองสยามหรือในสมัยอยุธยา ยิ่งพอได้ศึกษายิ่งเห็นถึงความยากลำบากของบรรดาพระสังฆราช คุณพ่อ ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตายเอาดาบหน้า ครั้นเมื่อได้ตั้งเป็นหลักเป็นแหล่งก็มีอันที่จะต้องพบเจอปัญหา พบเจอความไม่เข้าใจ พบเจอความระแวงสงสัยว่าจะไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เกี่ยวข้องกับการล่าเมืองขึ้นของพวกยุโรป นำไปสู่ความยากลำบากถึงขั้นต้องสุ่มเสี่ยง ต้องเอาชีวิตเข้าแลกในหลาย ๆ สมัย ตลอดเวลา 350 ปีเลยทีเดียว คำถามหนึ่งเกิดขึ้น??? แล้วพวกท่านเหล่านั้นยังทำไมเดินหน้าทำงานสานภารกิจแห่งการประกาศข่าวดีต่อไปอย่างไม่เคยหยุดหย่อน หรือท้อถอยกลับไป??? เป็นเพราะความรักความเมตตาในหัวใจแห่งพระคริสต์ที่สถิตอยู่กับพวกท่านอย่างแน่นนอน ยามเมื่อได้เห็นคนเจ็บป่วย จากโรคระบาด เมื่อเห็นความตกทุกข์ได้ยากจากภัยสงคราม มีหรือที่จะไม่ยอมยื่นมือไปช่วยเหลือ แม้รู้ว่าในบางครั้งบางกรณีต้องถูกทำร้ายในภายหลัง

ใช่หรือไม่ หลายครั้งหลายหนในชีวิตเราก็ต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์ในทำนองนี้ ทำดีต่อใครบางคนไม่ขึ้น เราทำดีด้วยความปรารถนาดีแต่แล้วถูกย้อนกลับอย่างไร้ความภักดี มีหลายคนถึงขั้นอับจนทำให้หนทางเดินเกือบเสียศูนย์ บางคนต้องกล้ำกลืนฝืนทำไปเพราะจำยอม ยอมเพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่ที่ต่ำกว่า ยอมเพราะยศถาบรรดาศักดิ์มันค้ำยัน หรือยอมเพราะมีหัวใจที่ภักดีและยึดถือในการกระทำดีของตนเอง แม้กระทั้งยอมเพราะเข้าใจในสัจธรรมในความเป็นมาเป็นไปของสรรพสิ่งสร้าง ถึงแม้ว่าชีวิตจะโดนทำร้าย อาจจะมีบางเวลาที่ทนแทบไม่ไหว อาจจะมีบางช่วงหมดสิ้นศรัทธาจากหัวใจ เหล่านี้ล้วนแต่มาจากความอ่อนแอของจิตใจเรา หรือในความเป็นปุถุชน ความเป็นคนที่ต้องรู้จักที่จะปกป้องตัวเอง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราต้องยอมรับในความเป็นลูกพระ ในความแตกต่างของกันและกัน และคิดเสียว่านี่เป็นหนทางการสร้างกุศลในพสุธา
ชายคนหนึ่งบังเอิญไปเจอเหตุการณ์ที่งูตัวหนึ่งกำลังจะถูกไฟคลอกและจะต้องตายในที่สุด เขาจึงตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตเจ้างูตัวนี้ออกจากกองไฟที่กำลังจะลุกคลอกงูตัวนั้น ในขณะที่เขากำลังจับลำตัวงูเพื่อนำมันออกจากกองไฟนั้น  เจ้างูตัวนั้นกลับแว้งฉกเข้าที่แขนของเขา และพิษของเจ้างูนั้นสร้างความเจ็บปวดให้กับชายผู้นี้จนต้องโยนเจ้างูตัวนี้หล่นกลับเข้าไปอยู่ในกองไฟเช่นเดิม
แต่เขาก็ไม่ได้ลดละในการช่วยชีวิตเจ้างูตัวนี้ โดยชายผู้นี้ได้เหลือบไปเห็นท่อโลหะ เลยใช้ท่อโลหะนั้นช่วยเหลือนำเจ้างูตัวนั้นออกจากกองไฟได้เป็นผลสำเร็จ คนที่เห็นเหตุการณ์ที่ชายผู้นี้ช่วยเหลือชีวิตเจ้างูที่กำลังจะถูกไฟคลอกตาย ได้ถามชายผู้นี้ว่า
“งูตัวนั้นมันฉกกัดคุณ แล้วทำไมคุณยังคิดที่จะช่วยชีวิตมันอีกหละ”
ชายผู้ช่วยชีวิตงูตอบกลับว่า “ธรรมชาติของงูนั้นจะต้องแว้งฉกกัด เมื่อรู้สึกว่าตัวมันเองกำลังจะมีอันตรายจากสิ่งที่มันคิดว่าเป็นศัตรู แต่สิ่งที่งูทำนั้น มันไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติของผมที่เป็นคนมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและกรุณา (รักและสงสาร) และต้องการช่วยเหลือให้มันพ้นทุกข์ได้หรอกครับ”
ในบางทีเราช่วยเหลือผู้คนเพราะต้องการเห็นความดีที่จะบังเกิดผลตามมา จากการได้ช่วยเหลือนั้น โดยไม่ต้องการผลตอบแทนอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าเรามีนิสัยเป็นคนเช่นนี้ ก็อย่าได้คิดที่จะเปลี่ยนธรรมชาติความเป็นตัวตนของเราเลย หรือคิดเปลี่ยนเพียงเพราะว่าใครบางคนมาทำร้ายเราด้วยความไร้น้ำจิตน้ำใจ ไร้ความปราณีต่อเรา ก็อย่าได้สูญเสียความเป็นผู้มีจิตใจดีที่เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา แต่ต้องเรียนรู้ที่จะระวังป้องกันภัยจากทุกสรรพสิ่งที่เราจะเข้าไปช่วยเหลือ ใครร้ายมาไม่จำเป็นต้องร้ายตอบ เพราะนี่ไม่ใช่ธรรมชาติตัวตนของศิษย์พระคริสต์ที่ต้องตระหนักเสมอว่า พระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”

ในวาระ 350 ปีแห่งหยาดเหงื่อและโลหิตของบรรดามิชชันนารี เราจะต้องทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนได้บ้าง เราต้องไม่ทำร้ายความเชื่อที่พวกท่านปลูกฝังไว้ เราต้องไม่สร้างรอยช้ำในใจให้แก่กันและกัน ต้องเป็นประจักษ์พยานยืนยันตัวตนคนกระทำดี นี่จึงเป็นสิ่งที่ได้ร่วมสานต่อความรักแห่งพระคริสต์ เราต้องให้ทุกคนรู้และเห็นถึงความเป็นคริสตชนนั้นต้องไม่ทำร้ายใคร ต้องพร้อมช่วยเหลือในทุกกรณี ต้องมีใจรักและเมตตาต่อกัน ต้องอ่อนน้อมยอมรับฟังคนอื่นอย่ายืนในจุดที่เราคิดว่าเราเก่งเราถูกต้องเสมอไป หากเราไม่คิดทำร้ายใคร ผู้ใดจะมาทำร้ายเราก็ไม่เป็นผล ไม่ใช่เรื่องยากลำบากที่จะร่วมกันเฉลิมฉลองปีแห่งความเชื่อ 350 ปีมิสซังสยามนี้ด้วยกิจการที่เป็นรูปธรรมที่ต้องปรากฏในทุกวันเวลา