วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

สนุกอย่างสงบ

 

สนุกอย่างสงบ

>>> พอถึงจุดหนึ่ง เราอาจจะชอบความสงบมากกว่าความสนุก <<<

ยืนดูเรือขุดร่องริมแม่น้ำยามเช้าอยู่พักใหญ่ ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเดินมาสมทบ แล้วเราทั้งคู่ก็รื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตกับแม่น้ำสายนี้ ที่เคยว่ายข้ามไปเล่นหาดทรายฝั่งโน่น เพราะฝั่งเรามีแต่ดินเหนียว วันนี้หาดทรายหายไป เพราะถูกความโลภของคน ใช้เครื่องยนต์มาดูดทรายจนหาดไม่เหลือ ทิ้งไว้แต่ความงามในนามวันเวลาที่ล่วงเลย ร่องน้ำตื้นเขิน น้ำท่วมง่าย วิธีการที่พอจะช่วยเยียวยาแม่น้ำได้บ้าง ใช้วิธีการขุดร่องน้ำให้ลึก แต่ก็ต้องทำกันบ่อย ๆ เพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติสร้างสรร โลกเปลี่ยนไปมากและอยู่ยากขึ้น


เอาเข้าจริง โลกไม่ได้อยู่ยาก แต่การอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มากต่างหากที่อยู่ยาก  ใช่ไหม
!!! คนเรามักมองกันที่เปลือกนอก หลายคนคบกันที่ผลประโยชน์ หลายคนทำเพื่อหวังผลตอบแทน มีไม่น้อยคนเกลียดกันด้วยการฟังเขาเล่ามา แบบนี้ก็มีเยอะเจอมามาก ในบางจังหวะชีวิตไปหวังดีกับใคร ก็ใช่ว่าคนอื่นจะหวังดีกับเรา จริงใจกับใคร ใช่ว่าคนอื่นจะจริงใจกับเรา ทำดีได้ดีก็มีให้เห็น ทำดีไม่เคยได้ดี ก็มีอยู่ถมไป ทำดีกับบางคน เขายังไม่เห็นว่าเราดีก็มี เขายังมองว่าเราโง่เง่าหลอกง่าย โลกก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว คนอ่อนแอมันก็มักจะถูกรังแกเสมอ และอย่ายึดติดว่าทำดีต้องได้ดีเสมอไป แต่การทำดีควรเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิต เพราะมีโอกาสมากกว่าการทำไม่ดี ฉะนั้นแล้ว เราเอาพื้นฐานความดีเป็นที่ตั้ง แล้วก็ต้องรู้จักระวังตัว รู้จักใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

ปล่อยวางแรงกดดัน เราก็จะได้ผ่อนคลาย ปล่อยวางความกลัดกลุ้ม ได้ความสุขใจ รู้จักวางลง คือ ทางเลือกภายใน รู้จักวางลง คือ ความรู้ทางจิตวิญญาณ รู้จักวางลง คือ ปรีชาญาณในการใช้ชีวิต รู้จักวางลงให้พระจิตนำทาง เพื่อเราจะได้มีชีวิตที่สนุกในความสงบ และง่ายขึ้นในการดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน....

วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ไม่มีสิ้นสุดทาง

 

ไม่มีสิ้นสุดทาง

>>> เมื่อเราเดินทางมาสุดจุดหมายปลายทางหนึ่ง เราย่อมพบเจอหนทางใหม่ ๆ ได้เสมอ <<<

ในสนามบินที่กว้างใหญ่อย่างสุวรรณภูมิ เวลาเดินเพื่อไปขึ้นเครื่องหรือเมื่อลงจากเครื่องบินเพื่อออกจากสนามบิน จะมีทางเลื่อน เป็นลู่เดิน ให้เราหยุดเดิน ลดการเมื่อยล้า แต่มันก็ยังคงเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ช่วยให้เวลาเดินของเราสบายขึ้นเร็วขึ้น แล้วเมื่อถึงสุดทางจะได้ยินเสียงที่เตือนฟังแล้วเพลิดเพลินว่า “ระวังสิ้นสุดทางเลื่อน End of the Walk Way เมื่อสิ้นสุดทางนี้ก็ขึ้นสายทางเดินเส้นใหม่ บางเวลาใช้หลายเส้น บางครั้งเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกกว่าจะถึงจุดหมายที่เราต้องการ


 
ใช่หรือไม่ บางทีเสียงนี้อาจจะกำลังพูดกับเรามากกว่าเรื่องของทางเลื่อนก็ได้
 บางทีกำลังบอกเราว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ทุกวันนี้เหมือนการเดินเล่น สบาย ๆ ที่ดูเหมือนไม่ต่างอะไรกับการย่ำอยู่กับที่ แต่ความจริงกำลังเดินมุ่งหน้าสู่เส้นทางใหม่ หรือบางทีก็อาจจะพยายามบอกเราว่า “ถึงเวลาสิ้นสุดการเดินทางแล้ว พอได้แล้ว” ทั้งหลายทั้งปวง หากไม่มีเสียงเตือนนี้ เราอาจจะสะดุดหัวทิ่มลงตรงสุดทางนั้นด้วยความพลั้งเผลอ ด้วยความประมาทก็ได้ บางทีเสียงเตือนที่เราชินชา ที่เราอาจจะรำคาญ มันเป็นเสียงเตือนให้เราเดินทางปลอดภัยตลอดรอดฝั่ง

ในชีวิตเราบ่อยครั้งเราหาทางที่สิ้นสุดมิได้ สุดทางคือสุดลมหายใจ หากตั้งอยู่บนความประมาท ไม่ฟังเสียงเตือนภายใน เราก็จะพังหลายต่อหลายครั้ง แต่สำหรับผู้ที่ใส่ใจ สนใจในเสียงเตือนเหล่านี้ จะนำพาไปสู่ปลายทางอย่างปลอดภัย แล้วยังพบกับเส้นทางใหม่เพื่อก้าวหน้าต่อไปได้เสมอ ชีวิตเรากล่าวแบบตรงไปตรงมา มันแทบจะไม่มีทางที่สุด เมื่อสุดทางหนึ่ง เราจะพบเจอกับเส้นทางใหม่ ๆ เสมอ ให้เราได้ก้าวหน้า เติบโตขึ้น แล้วทางวันนี้ของเราล่ะ อยู่ตรงไหน ได้ฟัง ได้ยินเสียงเตือนอะไรระหว่างนี้บ้างไหม …

วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ใต้ชายคาเดียวกัน

 

ใต้ชายคาเดียวกัน

>>> ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่ความเชื่อความศรัทธาต้องไม่เปลี่ยนตาม <<<

เป็นวันแรกที่พวกเราชาวเซนต์หลุยส์ที่ได้มาร่วมมิสซากับคุณพ่อองค์ใหม่ (บางรอบมิสซา) และหลังจากนี้พวกเราก็จะออกก้าวเดินไปในเส้นทางสู่สวรรค์ ภายใต้ชายคาหลังนี้ ที่ถูกแดด ถูกฝน เผชิญลม ทำให้เรามีที่หลบ มีที่พักพิง และพยายามช่วยกันรักษา ทะนุถนอม สร้างชุมชนความเชื่อแห่งนี้ให้มั่นคง ให้มีสันติสุขยิ่งขึ้น ๆ ไปในทุก ๆ วัน

ดังที่คุณพ่ออนุสรณ์ สาทรบุรี (ตอนนี้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดตลิ่งชันซิตี้) เคยโพสต์ไว้ว่า เรามีสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองเป็นของเรา สถานีเซนต์หลุยส์ และสถานีสุรศักดิ์ (ชื่อคุณพ่อเจ้าอาวาส) องค์ใหม่ ทั้งสองสถานีนี้จะนำพาเราไปสู่จุดหมายปลายทางที่มีพระเจ้าผู้ทรงความรักยิ่งใหญ่รอเราอยู่ เราจะเดินทางด้วยความปลอดภัย สะดวกสบาย ราบรื่นไปด้วยกัน ทุกท่านพร้อมเดินทาง...


แน่นอน วัดเซนต์หลุยส์ เป็นวัดที่อยู่กลางเมืองแห่งนี้ แม้จะมีอายุไม่มากไม่น้อย แต่วัดเราก็เป็นที่รู้จักเป็นที่นิยมในการมาร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ พอสมควร ด้วยการเดินทางที่ง่าย ด้วยบรรยากาศที่ช่วยส่งเสริมความศรัทธา ที่ผ่านมาทางบรรดาคุณพ่อผ่านมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เปลี่ยนไปตามหน้าที่ที่รับผิดชอบตามที่ผู้ใหญ่ของสังฆมณฑลเห็นสมควร อยู่ด้วยกันเร็วบ้างนานบ้าง แต่ก็ทำให้ความเชื่อความศรัทธาของเรามั่นคง เพราะมิได้อยู่ที่ตัวบุคคลคนของพระที่ส่งมา แต่อยู่ที่เนื้อหาของกิจการที่ทุกท่านทำเพื่อพระต่างหาก ที่ได้ส่งผ่านออกมาให้เราเห็น ทำให้ฐานความเชื่อมั่นคง และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปในทุกกาลเวลา ภายใต้หลังคายอดกางเขนแห่งนี้..

วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

รู้แล้วได้อะไร

 

รู้แล้วได้อะไร

>>> หากรู้แล้วปราศจากรัก ความรู้ก็ไร้ค่าและบางทีอาจฉุดรั้งจิตใจให้ต่ำเตี้ย <<<

            ข่าวของ “แอม ไซยาไนด์” ทำเอาคนที่ชื่อ “แอม” หาทางเปลี่ยนชื่อกันเป็นรายวัน เพราะเพื่อน ๆ จะเลิกคบกันหมด ความน่ากลัว ความโหดร้าย ที่ถูกสื่อออกมาผิดมนุษย์มนาจริง ๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ ทั้งหลายทั้งปวงยังเป็นเพียงข้อสงสัย เราต้องรอความจริงในหลาย ๆ ด้านให้ปรากฏเสียก่อน แต่สิ่งที่เราเห็น เรารู้ วันนี้ ก็มาจากข่าวแข่งขาย ที่ทุกสำนักข่าว ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทุกฟอร์แมต ทุกแพลตฟอร์ม ละเลงอวดอ้างข้อมูลเด็ดนำมาเล่าสู่สาธารณะ เรา ๆ ท่าน ๆ คนเสพสื่อเห็นเข้าก็รีบอ่าน รีบฟัง รีบดูเป็นข้อมูลเอาไปคุยต่อ เพราะเหมือนดูซีรีส์ลุ้นระทึก และก็แน่นอนเวลาคุยกันก็ต้องเพิ่มสีสัน ใส่สี จากข้อมูลนิดเดียว ด้านเดียว  ทำให้เรากลายเป็นผู้รู้ ดูน่านับถือ (ที่ใคร ๆ ก็อยากเป็น) เอาเข้าจริง ความจริงบางทีก็มิได้มาจากข้อมูลเสียทั้งหมดทั้งสิ้น หากแต่เราต้องตระหนักว่า ข้อมูลความรู้ที่เราได้มานั้น ทำให้ชีวิต จิตวิญญาณเราพัฒนาขึ้นหรือเปล่า??? ไม่ใช่รู้เพื่ออวดรู้ เราต้องรู้แล้วได้อะไรด้วย จึงจะรอบรู้จริง

                       
ความรู้เหมือนเป็นแสงไฟส่องนำทาง
แม้จะเป็นเพียงแสงเล็ก ๆ หากมันทำหน้าที่ได้ชัดเจนก็ดีกว่าไฟสวยงามที่เอาไว้ใช้ประดับประดา หรือมีไว้เพื่ออวดสวยเท่านั้น ความรู้ที่เราได้รับมานั้นต้องได้รับการกลั่นกรอง ขัดเกลา เพื่อที่เราจะนำไปเป็นประสบการณ์ในการตัดสินสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ความรู้มักจะเริ่มต้นจากความสงสัยเสมอ เพื่อให้เราจะได้แสวงหาและค้นคว้า ลึกลงไปอีกหน่อย หากเรานำความรู้ที่มีมาพัฒนาเพื่อผู้อื่น ทำให้เกิดความเมตตาอาทร ทำให้เกิดความรักความเข้าใจกัน สามารถนำพาหนทางชีวิตพบทางออกของปัญหาได้ในทุกกรณี เหนือกว่าความรู้นั่นคือความเชื่อความศรัทธา ความไว้วางใจในพระเจ้าที่เรานับถือ เพราะบ่อยครั้งความรู้ให้เราเพียงแค่รู้ แต่ความเชื่อให้เรารู้จักจริง ๆ เมื่อรู้จักมากความรักก็จะงอกงามมากขึ้นตาม

            ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล ความรู้มากมาย แต่ความจริงมักถูกปิดบังซ่อนเร้น เราก็ต้องเรียนรู้โลกให้มาก ด้วยการเปิดหัวใจให้กว้าง พัฒนาความรู้ที่เรามีให้เป็นความรักเสียก่อน แล้วจึงนำไปแบ่งปันให้คนอื่น อย่าให้มีความรู้เพียงเพื่อแสดงว่าเรารู้เยอะเท่านั้น แต่ใช้ความรู้ด้วยความรักจากหัวใจเรา ให้ความจริงปรากฏ นี่แหละคือสิ่งที่โลกต้องการเพื่อเป็นทางออกในปัญหา...