วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

สู่รกราก


สู่รกราก


โลกเรากำลังเผชิญกับภาวะสุ่มเสี่ยงเหลือเกินทั้งจากภัยธรรมชาติ และภัยจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันเองเป็นผู้ก่อ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่น นำความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมาสู่มนุษย์ และยังส่งผลทำให้โรงงานผลิตไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เกิดระเบิดขึ้น ก่อให้เกิดสารกัมมันภาพรังสีกระจายทั่วไป ต้องอพยพผู้คนออกห่างจากโรงงานเป็นสิบๆกิโล เพื่อให้ปลอดภัยจากรังสีนี้ที่มีอานุภาพ มีอันตรายอย่างสูง ประเทศญี่ปุ่นเคยถูกโจมตีด้วยระเบิดปรมาณนิวเคลียร์มาแล้วย่อมรู้ดีถึงอันตราย และแน่นอนสิ่งนี้นี่เองคนญี่ปุ่นจึงไม่ยอมให้ไปก่ออันตรายให้กับประชาชนและประเทศอื่น จึงได้พยายามอย่างที่สุดที่จะยับยั้งการรั่วไหลของรังสีนี่เป็นเรื่องที่หวาวิตกของมวลมนุษยโลก


และอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นคนละขั้วโลก แต่ก็ทำให้คนทั้งโลกสั่นสะท้านได้พอๆกับเหตุการณ์ในญี่ปุ่น นั่นคือ เหตุการณ์สู้รบในประเทศลิเบียริ่มจากประชาชนส่วนหนึ่งไม่พอใจการปกครองอันแสนยาวนานของผู้นำประเทศ จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองไล่ล่ากันไปมาระหว่างฝ่ายปกครองกับฝ่ายต่อต้าน มีคนตายเป็นจำนวนมากและมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมีมติจากคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (ผู้ทำตัวเป็นตำรวจโลก) โดยมีประเทศพันธมิตร 6 ประเทศ ใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าแทรกแซง เพื่อระงับไม่ให้เกิดการฆ่าประชาชน แต่ก็ไม่รู้ว่าระเบิดที่สาด ที่ส่ง เป็นร้อยลูก เข้าสู่ฐานที่มั่นของฝ่ายปกครองลิเบียจะถูกประชาชนและมีคนตายกี่ร้อยคนประชาชนคนธรรมดาก็รับเคราะห์ไปในที่สุด มีอีกหลายชาติที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการนี้เริ่มไม่พอใจ กล่าวหาว่าการกระทำเช่นนั้นเพียงหวังครอบครองน้ำมัน (ลิเบียถือว่าเป็นประเทศที่มีน้ำมันเป็นอันดับต้นๆของโลก) จนหลายฝ่ายวิตกไปถึงขั้นจะเกิดเป็นสงครามครั้งใหญ่อีกครั้งบนโลกนี้หรือไม่...


จากทั้งสองเหตุการณ์มีมุมเล็กที่สังเกตเห็นและอาจจะเป็นเป็นสัญญาณเตือนจิตใจเราได้เป็นอย่างดีในช่วงเทศกาลมหาพรตครั้งนี้ ใช่หรือไม่ ผู้คนจากต่างที่ต่างถิ่นที่เคยไปทำมาหากินทั้งในประเทศญี่ปุ่น และประเทศลิเบียและประเทศใกล้เคียง ต่างก็ต้องเดินทางกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน กลับสู่รกรากของตัวเอง เป็นเหมือนวาระเพื่อจัดระบบระเบียบ กลับคืนสู่รากเหง้าถิ่นเกิด ให้คนกลับมารักแผ่นดินถิ่นเกิด


ในภาษาไทยจะชัดเจนที่ใช้คำว่า รกราก เพราะในสมัยโบราณนั้นเชื่อกันว่า คนเราต้องรักแผ่นดินที่ฝังรกของเราไว้ ต้องปกปักรักษา หวงแหน เพราะเป็นแผ่นดินแม่ รกรากจึงเป็นคำที่ใช้สื่อว่า สถานที่ฝังรกนั้นเป็นเสมือนแผ่นดินรากฐานของคนๆนั้น


และเมื่อมามองในมุมของจิตวิญญาณ จากเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังอุบัติขึ้นบนโลก ก็เป็นเครื่องเตือนใจเราว่า ถึงเวลาแล้วที่เราต้องกลับคืนสู่รกราความเป็นคนที่สมบูรณ์รกรากของชีวิตคืออะไร เราเกิดมาเพื่ออะไร แก่นแท้รากเหง้าเรามาจากไหน วันนี้เราใยจึงเต็มล้นไปด้วยความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว จึงเต็มไปด้วยความโอ้อวด แท้จริงเราก็แค่กรวดทรายในจักรวาล


โลกกำลังพบวิกฤติทางอารมณ์ของผู้คน อารมณ์ที่มักโทษคนอื่น เป็นเหตุนำมาซึ่งความแตกแยกในระหว่างคน จนเพิ่มดีกรีสูงขึ้นเป็นระดับครอบครัว ระดับประเทศ อารมณ์ของคนที่เต็มไปด้วยความโลภ ร้อนรุ่มสุมทรวง เก็บสะสมเพื่อตัวเอง แล้วเมื่อล้นเมื่อเต็มก็ระเบิด ใช่เลย... ภาพที่กำลังปรากฏโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ นั่นไงความร้อนรุ่มภายในที่เก็บกดไว้ไม่กลั่นกรองออกมา เมื่อระเบิดมันจึงมีอานุภาพที่ร้ายแรง คนบนโลกนี้มากมายที่เก็บเกี่ยว สะสม อารมณ์ความอยากได้ใคร่มี อารมณ์รอนรุ่มที่ต้องการอยากเป็นใหญ่เป็นโต อารมณ์มากล้นของคนที่ไม่ยอมรับผิดคิดจะชนะฝ่ายเดียว เมื่อรวมเอาอารมณ์ร้ายของคนบนโลกนี้มาไว้ด้วยกัน มันก็เข้าใกล้จุดระบิดเต็มที


วันเวลาเปลี่ยน คนยิ่งเปลี่ยน แต่สัจธรรมไม่เปลี่ยน ความชราได้มาฟรี แต่ความดีต้องทำต้องสร้าง จะใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์ที่สุด มีคนพูดกันว่า คนยุคนี้หลงวัตถุ นั่นยังไม่เท่าไหร่ ที่อันตรายกว่า คือ คนยุคนี้ หลงตัวเอง จนลืมรกรากที่แท้จริงแห่งชีวิตนี้ รกรากที่เริ่มต้นด้วยความดีงามของสรรพสิ่งสร้าง ความมีเมตา มีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน การช่วยเหลือกัน ลึกลงไปในรากคือคนเราต้องมีหัวใจแห่งการรัก มองเห็นทุกสรรพสิ่งด้วยสายตาแห่งความรัก


บางคนบอกว่ามันสายไปแล้ว ยากเกินไปที่จะแก้ไขให้คนกลับมาเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนอากาศธาตุมองไม่เห็น เล่น จับ ต้อง ไม่ได้ ( แต่มันสัมผัสได้ด้วยหัวใจ ) ไม่มีอะไรสาย ไม่มีอะไรยาก เริ่มที่ตัวเรา หากเริ่มตระหนักว่า เราเกิดมามีคุณค่า เริ่มสร้าง สะสมความดีวันละนิดวันละน้อย มันจะค่อยๆก่อเป็นกำแพงอันแข็งแกร่ง สู้แรงเสียดทาน แรงโน้มน้าวและแรงยั่วยุ จากวัตถุอันมีรูปสวยได้ ใช่หรือไม่ ทรัพย์สมบัติ เงินทองที่ดิ้นรนหากันมา วันหนึ่งเจอน้ำท่วม แผ่นดินไหว โจรปล้น สงคราม ทุกอย่างก็หายไปได้ แต่ความดีไม่มีใครทำลายลง นี่คือรกราก ที่เราต้องไม่ลืม และมั่นคืนกลับมาหาเสมอๆ เพื่อว่าเราจะได้กลับสู่อ้อมกอดพระบิดาอย่างมีคุณค่า แม้จะเป็นเพียงกรวดทราย แต่พระเจ้าทรงเลือกกรวดทรายที่รูปทรงสวยงามประดับอยู่ในขวดโหลอย่างงดงามเป็นประกายยามต้องแสง.....หรือเราจะเป็นเพียงเงินทองที่เมื่อถูกความร้อนก็หลอมละลายหายสาบสูญไป.....




วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

ด้วยแรงภาวนา


ด้วยแรงภาวนา


ภาพเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 140 ปีเมื่อวันศุกร์ที่11 มีนาคมที่ผ่านมา วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 8.9 ริกเตอร์และมีศูนย์กลางใกล้กับชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ สูงถึง 10 เมตรซัดถล่มหลายจังหวัดบนเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ทำให้เราเห็นภาพเหล่านั้นหลังจากเกิดเหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลายคนบอกว่าภาพที่เห็นเหมือนกำลังดูหนัง คลื่นน้ำค่อยๆไหล (แต่รุนแรง) พัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่างกั้น บ้าน ตก รถยนต์ เคลื่อนไปตามแรงส่ง แล้วมาบรรจบกัน รวมพลังไหลต่อไปจวบจนมันอ่อนแรงสร้างความเสียหายอย่างมาก


มนุษย์ได้คิดค้นเครื่องสื่อสารที่ทันสมัย เหตุการณ์จริงๆถูกส่งไปให้คนทั่วโลกได้ดูโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่แปลกใจไหม!!! ยังไงมนุษย์เราก็ยังไม่สามารถคิดเครื่องมือคำนวณการเกิดภัยพิบัติได้ แม้จะมีความพยายามมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เราก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของ ฟ้า ดิน น้ำ อากาศได้เลย อย่างที่ปรชญ์โบราณกล่าวว่า คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต


ธรรมชาติมีทั้งแง่งามและร้ายแรง สรรพสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอเห็นพระอาทิตย์เราก็อดคิดถึงพระจันทร์ไม่ได้ มีกลางวันและมีกลางคืน มีหญิงมีชาย มีซ้ายมีขวา ทุกสิ่งล้วนดี เพื่ช่วยเหลือเกื้อกูลพึ่งพาอาศัยให้สอดคล้องสมดุล นี่คือคุณค่าที่เราต้องเรียนรู้ ผ่านทางความทุกข์เราจึงค้นพบมรรคแห่งความสุขและการปล่อยวาง นิ่ง สงบ สันติสุข ย่อมเกิดตามมา


ความเศร้าโศกของคนญี่ปุ่นได้นำมาซึ่งความอาทรของคนทั่วทั้งโลก ความห่วงหา เมตตา ช่วยเหลือกันและกัน คือสิ่งที่ตอกย้ำความเป็นหนึ่งที่มีรากเง้ามาจาแหล่งรวมเดียวกัน เพียงแต่แตกหน่อ แตกรวง แตกแขนง แยกย้ายกันไป จนลืมเลือนว่าแท้จริงแล้ว เราล้วนเป็นพี่น้องสืบสายสัมพันธ์เดียวกัน แก่งแย่งแข่งขัน ช่วงชิงเอาเป็นเอาตายสุดท้ายเบื้องบนมอบบทเรียนความเจ็บปวดก็เพื่อตีสอนมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความยโส และความดื้อรั้นล้นเหลือควาอยากได้ใคร่มี แต่เรามักเจ็บแล้วไม่จำ...


หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในโลกบ่อยขึ้น และรุนแรงมากขึ้น ว่าโลกถึงคราแตกดับ มองในด้านมุมแห่งการเรียนรู้คุณค่าของชีวิต ใช่หรือไม่ ตราบเมื่อมนุษย์ยังยโสโอหัง แย่งชิง เข่นฆ่า สร้างความทุกข์เข็ญ ให้สรรพสิ่งสร้างมากเท่าใด เราก็จะพบเจอกับ ฟ้า ดิน น้ำ พิโรธมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งอวดดีอวดเก่ง พัฒนาก้าวไกลโดยไร้การเหลียวแล ไร้การแยแส ไร้ความเมตตา ต่อสิ่งสร้าง ความรุนแรงในสิ่งสร้างก็จะมาหยุดความหยิ่งทะนงลง ความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงมันก็คือบทสอนที่พระผู้สร้างต้องการให้เราหยุด ตรองตรึกให้ลึกลงไปแห่งจิตวิญญาณความเป็นสิ่งสร้างอันประเสริฐ


เรารู้ว่าเราต้องการรักษาโลก แต่เราก็พูดกันแต่ปาก ไม่ได้ลงมือรักษ์โลก กลับทำลายล้างโลกอย่างไม่ใยดี ครั้นพอเกิดเรื่องร้ายๆต่างก็พูด ตรูว่าแล้ว ทำตัวเป็นผู้หยั่งรู้คำทำนายแม่นยำยามเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว และที่แปลกคือโลกเราล้นเหลือไปด้วยคนหยั่งรู้ ไม่มีคนรู้ทำ มีมากมายหลายคนแอบอ้างวิเคราะห์เป็นฉากๆแล้วเมื่อเรื่องร้ายแรงผ่านไปก็กลับไปทำตัวเหมือนเดิม กลับไปเป็นผู้ทำลาย คนที่ ว่าแล้ว ยไปไหนกันหมดก็ไม่รู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทย...


ความทุกข์และโศกนาฏกรรมในญี่ปุ่นครั้งนี้ เราก็ได้เห็นแง่งามยามทุกข์ยากหลายอย่างเกิดขึ้น ความมีวินัย ความมีน้ำใจ ความเข้มแข็งอดทนของชาวญี่ปุ่นให้บทสอนอันใหญ่หลวงแก่ชาวโลก ความเมตตายามอดร้อน คอยช่วยเหลือกัน รู้จักที่จะเอื้ออาทร ไม่แย่งชิง รู้จักต่อคิวต่อแถวอย่างมีระเบีย รู้ว่าสิ่งไหนควรบอก ควรขอความช่วยเหลือ เราเห็นภาพเหตุการณ์แบบเกือบจะสดๆแต่เราแทบไม่เห็นภาพศพของผู้เสียชีวิตเลย เราทราบจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับการรับรู้ข่าวสาร ไม่จำเป็นเลยที่ต้องถ่ายภาพศพที่วงเรียงรายตามไหล่ทาง เพื่อนำมานับให้เห็นกันแบบจะจะ เราไม่เห็นภาพคนแย่งชิงอาหารเพื่อจะเก็บตุนเอาไว้ แต่เราเห็นภาพการเข้าแถวรับสิ่งของและอาหารการกิน คนละอย่าง คนละชิ้น ทุกคนต้องการให้คนในชาติมีกินมีใช้เหมือนๆกันทั้งยามทุกข์และยามสุขเราเห็นภาพคนเข้าคิวซื้อน้ำมัน ไม่ได้ยินเสียงคบีบแตรไล่ให้เร็วๆการรอคอยอย่างอดทน คนไหนเดือดร้อนก็ให้ก่อน ใช้เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละวัน คนทั้งชาติร่วมมือกันเพื่อให้เหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านไป ไร้ภัยจากความเห็นแก่ตัวที่ซ้ำเติมกัน นี่คือการพัฒนาคนและพัฒนาชาติ


เราเห็นเด็กๆจุดเทียน สวดภาวนาขอพรให้กับเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราควรขอบคุณคนญี่ปุ่นที่สอนให้เราได้รู้เห็นคุณค่าของความอดทน คุณค่าของความเมตตาอาทรต่อกัน สิ่งที่เราจะทำได้ คือการร่วมกันสวดภาวนาส่งจิตใจส่งกำลังใจไปให้เพื่อนของเรา ให้กับพี่น้องร่วมโลกร่วมสาโลหิตงเรา ให้ผ่านคืนวันอันโหดร้ายไปได้ เพราะเชื่อว่าแรงภาวนาสำคัญพอกับสิ่งอำนวยความสะดวก ถึงแม้ว่าจะมีผู้ที่ไร้ควมเชื่อในจิตใจบอกว่า สวดไปก็เท่านั้น สู้ส่งเงินส่งสิ่งของไปให้เขามิดีกว่าหรือ ก็เพราะเราตกอยู่ในยุคทุนนิยม บริโภคนิยมจนเคยตัว เปรียบค่าทุกสรรพสิ่งด้วยมูลค่า ใช่หรือไม่ มีหลายสิ่งในโลกมิอาจจเทียบค่าได้เลยนั่น คือ ความเตตา ความรักที่ส่งผ่านให้กันด้วยแรงภาวนา วันนี้ก็ขอแรงนิ่งสงบจิตใจภาวนาขอให้ประเทศญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นผ่านพ้นคืนวันอันแสนโหดร้ายโดยเร็ววัน


วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาอ่อน ปัญญาแข็ง ภาค 2

ปัญหาอ่อน ปัญญาแข็ง ภาค 2

ความต่อจากบทความตอนครั้งที่แล้ว ที่พูดถึงเรื่องการศึกษาในระบบ แน่นอนในเมื่อเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงให้ลูกหลานเรียนในระบบได้ เหมือนคนชาติอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรปรับเปลี่ยนทัศนคติคือ การเรียนให้สูงๆหาใช่เป้าหมายของความสำเร็จในชีวิตเพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่ว่าการศึกษาเป็นส่วนย่อยส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งของการสู่ความสำเร็จในชีวิต และความสำเร็จนั้นต้องเป็นการนำพามาซึ่งความสุข และความดีงามของชีวิตอีกด้วย

ในครั้งที่แล้วยังคงค้างคาเรื่องประวัติของ นายสตีฟ จอบส์ ผู้เปลี่ยนโลกเข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยนวัตกรรมใหม่ ที่ โทมัส อัลวา เอดิสัน เคยทำนายไว้...

กว่าที่ นายจอบส์ จะได้พ่อแม่บุญธรรมก็เป็นเวลาหลายเดือน และเมื่อได้แล้วก็เกิดปัญหาอีก แม่ที่แท้จริงของเขาจับได้ว่า พ่อแม่บุญธรรมของเขาได้ปิดบังระดับการศึกษาที่แท้จริง ซึ่งพ่อบุญธรรมไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ ที่สุดเธอก็ได้ยอมเซ็นมอบ จอบส์ ให้แก่พ่อแม่บุญธรรม เมื่อพวกเขารับปากว่าจะส่งเสียให้ จอบส์ ได้เรียนมหาวิทยาลัย (แม่ที่แท้จริงของจอบส์ไม่อยากให้ลูกเหมือนตนที่ไม่จบมหาวิทยาลัย)

17 ปีต่อมา จอบส์ ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยตามความต้องการของแม่ที่แท้จริง ผู้ที่ไม่เคยเลี้ยงดูเขา แต่เพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น ในมหาวิทยาลัยรีด จอบส์ ใช้เงินเก็บที่พ่อแม่บุญธรรมสะสมมาตลอดชีวิตหมดไปกับค่าเล่าเรียนที่แสนแพง จอบส์ จึงตัดสินใจลาออก การลาออกทำให้เขาไม่ต้องฝืนเข้าเรียนในวิชาภาคปกติที่บังคับเรียน ซึ่งเขาไม่เคยชอบหรือสนใจเลย แต่ทว่าเขายังสามารถเข้าเรียนในวิชาที่เขาเห็นว่าน่าสนใจได้ นั่นเป็นชีวิตที่ยากลำบาก ซึ่งเมื่อเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาภาคปกติจึงไม่มีห้องพักในหอพัก และต้องอาศัยนอนกับพื้นในห้องของเพื่อนๆ ต้องเก็บขวดโค้กที่ทิ้งแล้วไปแลกเงิน เพื่อนำไปซื้ออาหาร และต้องเดินไกล 7 ไมล์ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อไปกินอาหารดีๆ สัปดาห์ละหนึ่งมื้อที่วัด

แต่เขาก็ยังโชคดี ที่เขาสามารถเลือกที่จะไปเข้านั่งเรียนเฉพาะวิชาใดวิชาหนึ่งก็ได้ที่สนใจ และวิชาทั้งหลายที่เขาได้เรียนในช่วงนั้น ใช้เวลาทั้งหมด 18 เดือน โดยเลือกเรียนตามแต่ความสนใจและสัญชาตญาณของเขาจะพาไป จนกลายมาเป็นความรู้ที่หาค่ามิได้ให้แก่ชีวิตของเขาในเวลาต่อมา และหนึ่งในนั้นคือ วิชาศิลปะการประดิษฐ์และออกแบบตัวอักษร (calligraphy)

จอบส์ยอมรับว่า ในตอนนั้นเขาเองก็ยังมองไม่ออกเช่นกันว่า จะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้ในอนาคตของเขา แต่ 10 ปีต่อมา เมื่อเขากับเพื่อนช่วยกันออกแบบเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอชเครื่องแรก วิชานี้ได้กลับมาเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อนและทำให้แมคอินทอชกลายเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่มีการออกแบบตัวอักษรและการจัดช่องไฟที่สวยงาม

ถ้าหากเขาไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัย เขาก็คงจะไม่เคยเข้าไปนั่งเรียนวิชานี้ และก็คงไม่อาจจะมีตัวอักษรแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย หรือที่มีการเรียงพิมพ์ที่ได้สัดส่วนสวยงาม ดังที่เราได้อ่านอยู่นี้ได้เลย ดังนั้นคำแนะนำของจอบส์ก็คือ คุณจะต้อง ไว้ใจและเชื่อมั่นขอเพียงแต่คุณต้องมีศรัทธาในสิ่งนั้นอย่างแน่วแน่

จากประสบการณ์ชีวิตของนายสตีฟ จอบส์ ตลอดจนผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตทั่วโลก ต่างก็แสดงให้เห็นว่า การได้เข้าเรียนและจบจากมหาวิทยาลัยไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างตัวและสร้างความสำเร็จในชีวิตเลย แต่การจะรู้อะไรนั้นขอให้มีความรู้จริงและลึกซึ้ง รู้ให้กว้าง ซึ่งหากมีความตั้งใจและมีความอุตสาหะก็ประสบความสำเร็จได้

ในขณะนี้ถึงแม้เขาจะมีสุขภาพไม่แข็งแรงและกำลังต่อสู้กับโรคร้าย แต่เขาไม่เคยท้อแท้ ท้อถอย คอยสร้างนวัตกรรมใหม่ให้โลกได้ใช้อยู่เสมอ เขากล่าวหลังจากการเปิดตัว iPad 2 เมื่อต้นเดือนมีนานี้ว่า การมีเพียงเทคโนโลยีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่ทำให้แอปเปิ้ลประสบความสำเร็จชนิดหัวใจร้องเพลงคือ การประสานเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะและความเป็นมนุษย์

การเรียนรู้ในหลักวิชา เป็นขั้นตอนแรกในการพัฒนาสมอง ให้มีระบบระเบียบในการวิเคราะห์ตามหลักเหตุผล เมื่อสมองถูกพัฒนาอย่างถูกทางสติปัญญาย่อมเกิดขึ้น คิดต่อคิดต่าง ก่อเกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ และหากมีการต่อยอดปัญญาก็เกิดจนสามารถสร้างสมดุลกับมโนสำนึกได้ การตัดสินความถูกผิด ดี เลว ย่อมเป็นสิ่งไม่ยาก จากมโนสำนึกลึกลงไปสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ ช่วยเหลือผู้อื่น ลดปัญหาให้ผู้อื่น และไม่เป็นต้นตอของปัญหา สิ่งเหล่านี้จะสร้างความงดงามให้กับโลกนี้

ปัญหาบางอย่างเพียงใช้ขั้นสมอง บางอย่างต้องใช้ปัญญา แต่บางเรื่องต้องอาศัยสามัญสำนึกและจิตวิญญาณในการแก้ไข นี่คือเส้นทางสู่ความสำเร็จของชีวิตที่แท้จริง และแน่นอน หากเราสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้ตามศาสตร์ของโลกนี้ เพื่อก่อให้เกิดศีลธรรม ความดีงาม ในชีวิต เราก็จะได้เป็น ดร. ทางจิตวิญญาณคนหนึ่งได้เหมือนกัน โลกนี้คือการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ใครฝึกปรือปัญญาให้แข็งแรงปัญหาก็จะเป็นเรื่องจิ๊บๆ และยิ่งหากใครฝึกฝนจิตวิญญาณให้เข้มข้น สิ่งเย้ายวนตามโลกียะก็ไม่อาจจะทำให้เราหลงทางได้ และมองข้ามเรื่องแห่งตนไปมีเมตตาต่อผู้อื่น...นี่คือหนทางมหาพรต

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาอ่อน ปัญญาแข็ง


ปัญหาอ่อน ปัญญาแข็ง ภาค 1


ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กนักเรียน นักศึกษากำลังสอบปลายปีการศึกษา เห็นหลายคนบ่นออกเสียงบนสื่อเครือข่ายสมัยใหม่ว่าเบื่ออ่านหนังสือ เครียด อ่านไม่รู้เรื่องทำให้ย้อนนึกถึงตัวเองเมื่อยังอยู่ในวัยเรียนแบบนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกัน เบื่อที่จะอ่านหนังสือ เครียดขณะเตรียมสอบ ไม่ค่อยมีสมาธิ ซึ่งในขณะนั้นเครื่องมือสื่อสารการบ่นยังไม่ถึงขั้นนี้ ก็ยังพอทำเนาให้เรามีสมาธิอยู่บ้าง ครั้นเห็นเด็กๆสมัยนี้อ่านไปเล่น facebookไปใจก็คิดว่า แล้วจะเอาสมาธิจากไหนมาอ่านกันล่ะเนี้ย ก็ฝากน้องๆไว้ด้วย ปิดสื่อเปิดหนังสืออ่านเพื่อวันข้างหน้าเราจะมีปัญญาที่แข็งแรงขึ้น ด้วยความปรารถนาดีจากผู้ที่เคยผ่านทางมาก่อน


การศึกษาที่ปลูกฝังลงในสังคมเราเป็นการศึกษาแบบท่องจำ ไม่ได้สอนให้เข้าใจ เด็กไทยจึงมักจำเก่ง แต่ไร้ความเข้าใจ การศึกษาขั้นสูงก็เพียงหวังใบประกาศและคำนำหน้าที่ดูโก้หรู แต่เอาเข้าจริงเราก็พบแต่นักวิชาการที่อิงแอบอยู่กับหลักการมากเกินงาม มีแต่คนรู้ที่ปฏิบัติไม่เป็น หรือมีแต่พวกชื่นชอบ แต่ไม่เชี่ยวชาญ แถมชอบโชว์อีกต่างหาก สังคมจึงเต็มไปด้วยหลักการจากปากมากกว่าเหตุผลจากหัวใจของผู้คน


การเรียนเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น การเรียนรู้ที่ปราศจากความเข้าใจ เวลาพบเจอปัญหาแข็งๆก็เกิดปัญญาอ่อนแก้ไขกันไม่เป็น ยิ่งการเรียนรู้ในสิ่งที่ถนัด สิ่งที่ชื่นชอบ เพื่อให้เชี่ยวชาญเป็นคุณอเนกอนันต์ พระเจ้าทรงสร้างเราให้แตกต่าง ชื่นชอบในสรรพศาสตร์ ในสรรพสิ่งที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อหลอมรวมกัน ความเป็นหนึ่งจึงนำพาโลกให้ก้าวหน้ามาถึงวันนี้


เมื่อถึงตรงนี้อยากจะนำเอาประวัติของบุคคลสองคน ที่สร้างโลกด้วยปัญญาอย่างยิ่งใหญ่ เรียนรู้ด้วยความเข้าใจ มากกว่าเรียนเพื่อให้จบ เรียนเพื่อให้ได้ใบประกาศ ทั้งๆที่สองคนนี้เกิดคนละยุค แต่มีความเชื่อมโยงกัน เชื่อมโยงอย่างไร ติดตามอ่านความเป็นมาและแง่มุมการศึกษาของทั้งสองคนได้เลย คนแรกคือ โทมัส อัลวา เอดิสัน


เมื่อตอนอายุ 8 ขวบ เอดิสัน เข้าเรียนในชั้นประถม เป็นโรงเรียนเล็กๆมีครูเพียง 2 คน แต่ด้วยความที่เอดิสันสนใจสิ่งรอบๆตัว จึงมักชอบถามครูนอกตำรา ครูจึงเรียกเขาว่า เด็กหัวขี้เลื่อย เมื่อแม่ของเขาทราบเรื่อง จึงไปพูดคุยกับคุณครู ทำให้เอดิสันต้องออกจากโรงเรียน แม่จำต้องเป็นผู้สอนเองที่บ้าน เอดิสันได้เรียนในโรงเรียนร่วมกับเพื่อนๆได้เพียง 3 เดือน อดิสันเคยกล่าวไว้ว่า แม่เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมา เธอเชื่อในความเป็นตัวเขา และเป็นกำลังใจให้เขาใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งตลอดมา และเขาจะไม่ยอมทำให้แม่ผิดหวัง ทั้งๆที่ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเอดิสันนั้นลำบากมาก เป็นทั้งคนขายหนังสือพิมพ์ ขายขนม และผักบนรถไฟ อีกทั้งยังประสบอุบัติตุทางการได้ยิน


พ่อแม่ของ เอดิสัน สร้างห้องทดลองไว้ใต้บ้าน เอดิสันทดลองทุกอย่างที่เขาต้องการรู้ อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ทุกเล่ม จนกระทั่งเขากลายเป็นนักประดิษฐ์ที่ชาวโลกรู้จักกันดี ในฐานะผู้คิดค้นหลอดไฟได้เป็นคนแรกของโลก แล้วเขายังมีนวัตกรรมอันเป็นผลงานสร้างสรรค์อีกมากมาย และในช่วงเวลา 84 ปีที่เขายังมีลมหายใจ เอดิสันยังได้มองไกลถึงนวัตกรรมของเขา ว่าจะทำให้โลกอนาคตเปลี่ยนแปลงไป เขาเขียนคำทำนายไว้หลายอย่าง


คำทำนายของเอดิสัน เมื่อ ปี 1911 มีอะไรเกิดขึ้นจริงแล้วบ้างในปี2011 หนึ่งในคำทำนายนั้นคือ หนังสือจะทำจากโลหะ เอดิสันได้จินตนาการว่า หนังสือในอนาคตจะไม่ใช้กระดาษ หากแต่เป็นโลหะนิเกิลแทน และหนังสือนิเกิลนี้จะมีราคาถูกกว่า แข็งแรงกว่าและยังเป็นวัสดุที่ยืดหยุ่นได้มากกว่ากระดาษ


แน่นอนว่าเอดิสันไม่มีทางรู้จัก หมึกอิเล็กทรอนิกส์” (e-ink) ที่กลายเป็นตัวอักษรแห่งโลกดิจิทัล แต่เขาก็ได้มองไกลไปเกินกว่าหนังสือที่เขาถือไว้ในมือเสียอีก และนิเกิลก็ใช้ทำสแตนเลสสตีลเป็นมันวาว เหมือนอุปกรณ์อิเล็กทริกส์ ทั้งคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ตที่เราแทบจะใช้แทนหนังสือกันไปแล้ว และสิ่งที่โด่งดังแห่งศตวรรตนี้คงนี้ไม่พ้น ไอแพด กระดานอิเล็กทรอนิกส์


และด้วยกระแสความแรงของไอแพดและไอโฟนสี่ ในปี 2553 ทำให้คนทั่วโลกจับตามองผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทแอปเปิ้ลมากขึ้น แต่บุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สตีฟ จ็อบส์ ทำให้หลายต่อหลายคนยกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี 2553


แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เรื่องของนวัตกรรมที่เขาค้นคิดขึ้นอย่างเดียว ความเป็นมา การเรียนรู้ การใช้ปัญญาของเขาน่าสนใจยิ่งกว่า นายสตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ที่มีชื่อเสียงทั่วโลกในฐานะผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ล ตัวเขาเองไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย เพราะได้ลาออกหลังจากเรียนในมหาวิทยาลัยรีด (Reed College)ได้เพียง 6 เดือน เหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยนั้น มันเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังไม่เกิด เพราะแม่ที่แท้จริงของเขาซึ่งเป็นนักศึกษาสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานไม่ต้องการเลี้ยงดูเขา และตัดสินใจยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นตั้งแต่เขายังไม่ลืมตาดูโลก แต่เธอมีเงื่อนไขว่าพ่อแม่บุญธรรมของลูกของเธอจะต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย และเขาเกือบจะได้เป็นลูกบุญธรรมของนักกฎหมายที่จบมหาวิทยาลัยและมีฐานะดี ถ้าเพียงแต่พวกเขาจะไม่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้ายว่า พวกเขาไม่ต้องการเด็กผู้ชาย (อ่านต่อ ตอน 2 สัปดาห์หน้า พร้อมบทสรุปของเรื่องนี้ครับ) ผู้มีปัญญาสร้างบ้านบนหินผา แต่คนมีปัญหามักสร้างบ้านให้สวยเด่นโดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องโครงสร้างและฐานรอง....