วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วงวารสานต่อ


วงวารสานต่อ
ในวิถีชีวิตของเราย่อมเจอะเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา มีการพูดคุยทักทายติดต่อสื่อสารถึงกัน ยิ่งในยุคสมัยใหม่ที่เรามีเครื่องมือสื่อสารล้ำเลิศ เรายิ่งมีการติดต่อเชื่อมโยงกันง่ายขึ้น เพราะด้วยเหตุนี้กระมัง เราจึงเชื้อเชิญ เชิญชวนให้เข้าร่วมกับกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ไปรับฟังสัมมนาที่นั่นที่นี่ ไปๆ มา ๆกลายเป็นเครือข่ายขายของไปเสียงั้น ทำให้เรารู้สึกว่าทำไมคนเราสมัยนี้คุยโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงไม่ได้หรือ!!! สังคมเปลี่ยนไปไวจนปรับตัวแทบไม่ทัน เห็นหลายคนเสียเพื่อน เลิกคบกันก็เพราะการเชิญชวนสร้างคอนเนคชั่น แบบนี่แหละ

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ประจวบเหมาะกับวัฒนธรรมแบบไทย ๆ เรื่องการอุปถัมภ์ค้ำชูกัน พวกใครพวกท่านด้วยแล้ววันนี้จึงเกิดการติดต่อสื่อสารแบบใหม่ที่เรียกว่าการสร้าง “Connection”(เครือข่าย วงวาร) ได้ง่ายดาย ที่ถูกกระแสผลักดันว่าทำทุกอย่าง ไปทุกที่ ประชุมสัมมนาต่าง ๆ ต้องหาคอนเนคชั่นเข้าไว้เพื่อยกระดับสู่ความสำเร็จ ในด้านหนึ่งการสร้างความสัมพันธ์แบบวงวารในด้านงดงามนั้นถือว่าเป็นการนำเอกภาพและสันติมาสู่สังคมเลยทีเดียว แต่เมื่อถูกนำมาใช้เพียงผลประโยชน์ทางธุรกิจ ที่นำแนวคิดนี้ไปใช้กันเต็มบ้านเต็มเมือง เราจึงมิได้ความจริงใจต่อกันเลย หากหวังจะสร้างความสัมพันธ์โดยยึดหลักผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง มันก็จะกลายเป็น “ผลประโยชน์ที่ต้องแลกมาด้วยผลประโยชน์” ที่เรียก วินวิน ทุกคนต่างได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งอาจจะฟังดูดีในทางทฤษฎี แต่ถ้าลองมองให้ลึกลง หมายความว่า “ทุกคนไม่ช่วยเหลือใครฟรี ๆ เด็ดขาด
การสร้างมิตรภาพให้ยืนยาวแทบจะไม่มีให้เห็น ลองดูซิ...เพื่อนในโลกโซเชี่ยลมีเดียมีหลายร้อยหลายพัน แต่คุยกันส่งข่าวหากันจริง ๆ จัง ๆ หลักสิบ ทั้ง ๆ ที่ในโลกแห่งความเป็นจริงเราต่างก็ปรารถนามุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายที่มากกว่าแลกนามบัตรตามมารยาท แลกไลน์ไอดี แลกเบอร์โทร แต่ว่าบางคนเสพติดการสื่อสารเสมือนจริงนี้เกินความพอดี ใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อสร้างมิตรภาพเมือนจริง สุดท้าย มีแต่มิตรภาพลมๆ และภาพลักษณ์ต่างก็ปั้นแต่ง

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในวงสังคมของเราถูกกระแสทำให้เหมือนสนิทสนมกับทุกคนบนโลกนี้ หลายคนพูดว่าแค่คอนเน็กชั่นดีก็มีชัย ใช่หรือไม่ มนุษย์เราเกิดมาเพื่อสร้างสัมพันธ์และรวมกลุ่มเพื่อความอยู่รอด  สมองของเราเลยจำแนกแบ่งกลุ่มคนที่เราพบเป็น ‘พวกเรา’ กับ ‘พวกเขา’ แบบอัตโนมัติ  เมื่อพบคนที่เราไว้ใจได้ว่าเป็นพวกเรา รู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยกลายเป็นเพื่อนและพวกพ้องของเรา จนกลายนำไปสู่ระบบ Connection  “เครือข่ายของคนที่ชื่นชอบ ชอบพอในความคิดและในอุปนิสัยเหมือน ๆ กัน ส่วนคนที่ไม่ถูกชะตาก็มักไม่นำพาอยากจะสนทนาพาที แต่อย่างไรเสียคนเราเมื่อถึงคราวก็ต้องยอมลดอคติ ยอมที่จะพูดคุยกัน เพื่อประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจบ้าง จำเป็นที่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้คนบ้างเพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับตัวเอง
ในทุกช่วงอายุของเรานั้น เราก็จะมีผู้คนให้รู้จัก มีเพื่อนมากขึ้นแต่ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ ในแต่ละคนนั้นเป็นเช่นไร คนนั้นอาจจะเป็นคนนิสัยดีมาก ๆ จนทุกคนรักใคร่เชิดชู หลายครั้งเราไม่มีทางรู้จนกว่าจะได้ลองพูดคุย ยอมรับฟังด้วยหัวใจ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เราใช้เพียงแค่ “ใจ” เท่านั้น ไม่ใช่การไปตั้งแง่ คบหาพบเจอกันในฐานะมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ๆ ถ้าบังเอิญมีโอกาสได้พบเจอคนที่เก่งกว่า ฐานะดีกว่า ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทำตัวให้เทียบเท่าเขาเหล่านั้น
สังเกตว่า ในสังคมวันนี้เราจึงมีผู้เชี่ยวชาญเต็มบ้านเต็มเมือง ต่างคนต่างก็เรียกตัวเองว่าโค้ช แล้วก็หาแนวร่วม สร้างเครือข่ายขยายความรู้ที่มีสู่การพานิชกันหมด การสร้างคอนเน็กชั่นในแบบผู้นำที่แท้จริงจึงไม่ใช่การทำเพื่อตนเอง แต่เป็นการทำเพื่อผู้อื่น ความชอบที่จะช่วยเหลือผู้อื่นจากใจจริง การรับฟังเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยรักษาผลประโยชน์ด้วยความเต็มใจ เราให้ด้วยคุณค่าทางจิตใจนี่ต่างหากที่เราควรมี

ภาพ : อินเตอร์เน็ต
ในมิติทางด้านความเชื่อ เราต่างมาจากวงวารเดียวกัน แต่มีความความต่างเพื่อเพิ่มเติมให้เกิดความสมบูรณ์ และให้เราเคารพกันในฐานะลูกพระเหมือนกัน เรามีคอนเน็กชั่นเดียวกันมาตั้งแต่กำเนิด มีความเชื่อมโยงกันด้วยอัตลักษณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว เหตุใดเราจึงไปหยิบยกสิ่งอื่นมาเป็นตัวเชื่อมเล่า??? เราใช้เพียงแค่ปัจจัยภายในเท่านั้น อย่างการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปันความรู้ ความถ่อมตน ยิ้มให้ผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นมีอารมณ์ขัน การพูดถึงทัศนคติที่ดีต่อตนเองและคนใกล้ชิด สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญกว่าปัจจัยภายนอกมากมาย
ในวงวารที่เราร่วมในพระคริสต์เราต้องมีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียว เชื่อมโยงด้วยหัวใจ ไร้ผลประโยชน์ต่อกัน ใจที่พร้อมรักจะผลักดันให้เรามีชีวิตร่วมกันในสันติสุข แม้จะมีความต่างทางปัจเจก ทางจริต ทัศนคติ ทุกสิ่งเมื่อหล่อรวมเข้าด้วยกัน พระเจ้าจะสถิตกับทุกคน อย่านำเอากระแสสร้างคอนเน็กชั่นจอมปลอมมาทำให้ความสนิทสถิตสัมพันธ์ในพระเจ้าเสื่อมลงเลย วันนี้เราฉลองพระตรีเอกภาพ เป็นเครือข่ายที่นำมาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง มีผู้สร้าง ผู้นำและผู้กระทำโดยมีสิ่งเดียวที่เป็นสิ่งเชื่อมโยง นั่นคือ ความรัก นี่จึงเป็นวงวารที่เราต้องร่วมกันสานต่อไปชั่วลูกชั่วหลานตราบนานเท่านาน

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ดวงตาสวรรค์

ดวงตาสวรรค์
ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการไปเยือนถิ่นตุรกีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย แต่บังเอิญว่าเรื่องที่จะเขียนในวันนี้ไปสอดรับกับของที่ระลึกชิ้นหนึ่งที่ซื้อมาเรียกว่า ดวงตาสวรรค์ตามข้อมูลสิ่งนี้เป็นเครื่องรางของคนตุรกีมีความเป็นมา 5,000 กว่าปี ซึ่งนิยมใช้กันมากแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ปัจจุบันยังพบมากในประเทศ อิตาลี กรีซ ฝรั่งเศส และหลายประเทศในยุโรป เชื่อกันว่าเป็นเครื่องรางที่มีคุณสมบัติในการป้องกันอำนาจมืดจากสิ่งชั่วร้ายนานาประการ ป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจที่มุ่งร้ายคอยจับจ้อง ป้องกันจากผู้ไม่ประสงค์ดีของผู้ที่มีไว้ครอบครอง

ดวงตาสีฟ้าแห่งตุรกี หรือดวงตาสวรรค์ หรือ นาซาร์ บองกุกู (NazarBoncugu) ในภาษาตุรกี ที่มีความหมายถึง ดวงตาของเทพเจ้าฮอรัส เป็นเทพเจ้าของอียิปต์ที่สำคัญมากองค์หนึ่ง ชาวอียิปต์นับถือดวงตาของเทพเจ้าฮอรัส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง รวมไปถึงยังเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี ที่จะช่วยขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายและความยากจนในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้นไป ป้องกันความชั่วร้ายและความอิจฉาริษยาต่างๆ จากภายนอกมาสู่ตัวเราได้ อันนี้ก็เป็นความเชื่อมาจากโบราณกาล สำหรับเราที่ซื้อมาเพราะความสวยงามมากกว่า และในขณะที่ซื้อได้ยินชื่อ ดวงตาสวรรค์ ทำให้คิดถึงสัญลักษณ์แห่งพยานสอดส่อง
พูดถึงดวงตาสวรรค์แล้วทำให้คิดถึงเรื่องใดบ้าง? ความคิดแรกที่เข้ามาคือ เรื่องของกล้อง ที่เป็นเสมือนดวงตาของคนสมัยนี้เลยทีเดียว คอยสอดส่อง จับตาบันทึกความเคลื่อนไหวของสภาพแวดล้อมประจวบเหมาะกับในช่วงนี้ที่เห็นข่าวความไร้สำนึกของคนเรา ในยุคที่เรามีอุปกรณ์สื่อเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่เรานำมาใช้เพื่อปกป้องตัวเองด้วยความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว สิ่งเหล่านี้แทนที่จะเป็นดวงตาสวรรค์ บางคนใช้มันเป็นดวงตาปีศาจไปเสียอย่างนั้น ทุกวันนี้เราต่างมีดวงตาเทพติดอยู่กับมือ บางคนถือว่าเป็นอาวุธชั้นยอด บางคนเห็นว่านี่คือการได้เป็นเจ้าของสื่อด้วยตัวเอง กล้องถ่ายทอดสดถูกพัฒนาการสามารถถ่ายทอดสดได้ทุกที่ สามารถบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างยาวนาน และเมื่อกล้องถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวถูกรวมไว้ในสมาร์ทโฟน ทุกสิ่งมีอยู่ในเครื่องเดียว คนจำนวนไม่น้อยจึงสนุกและคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะเป็นผู้นำแสดง นำเสนอเสียเอง

ภาพ :อินเตอร์เน็ต
ตัวอย่างจากข่าวครอบครัวหัวร้อนที่ชกต่อยตำรวจ แล้วอ้างว่าถูกรังแก ใช้โทรศัพท์ถ่ายเหตุการณ์นั้นไว้ตลอดเพื่อจะเป็นเครื่องมือแสดงความบริสุทธิ์ใจ ใช้เรียกร้องความยุติธรรม และเพราะคลิปนั้นอาจจะนำไปปล่อยตามโซเชี่ยลมีเดีย เอาแต่ส่วนที่ตัวเองถูกกระทำนำสู่ความเห็นใจ แต่ที่ไหนได้ ทุกคนต่างมีดวงตาแห่งความจริงอยู่ในมือ ต่างก็ถ่ายเหตุการณ์นั้นไว้และนำมาเปิดเผยทั้งหมด เรื่องเลยกลับตาลปัตร คอบครัวนั้นเป็นฝ่ายหาเรื่องพร้อมทั้งแอบอ้างว่ารู้กฎหมาย จบมาจากสถาบันนั่นนี่ เมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผยออกมาจึงถูกสังคมประณามและขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตออกมาจนแทบจะอยู่ในสังคมไม่ได้ โทรศัพท์บางทีกลายเป็นอาวุธใช้เพื่อความยุติธรรม แต่ต้องไม่ลืมว่าความจริงนั้นยุติธรรมเสมอ 
ภาพ :อินเตอร์เน็ต

กล้องหน้ารถเป็นดวงตาสำหรับผู้ขับขี่ ที่สามารถนำมาเป็นหลักฐานตามกฎหมายหากเกิดอุบัติเหตุ ใครผิดใครถูกว่ากันตามภาพที่เห็น แต่บ่อยครั้งเรามักเห็นคนเราใช้อารมณ์กัน ก่อนที่จะดูหลักฐานจากกล้องที่บันทึก เกิดเรื่องก็แสดงความยิ่งใหญ่ใส่กัน เอากำลังเข้าสู้เพราะอาการป้องกันตัวเองมักจะเกิดขึ้นทันที และไม่รู้จักอดทนอดกลั้น ดวงตาหน้ารถก็มิอาจจะทำไรได้ แต่ยังคงสัตย์ซื่อบันทึกความจริงต่อไป บางครั้งกล้องของเราก็จะกลายเป็นหลักฐานว่าเราเป็นฝ่ายผิดได้เช่นกัน นี่แหละดวงตาสวรรค์ของแท้ และถึงขนาดบริษัทประกันภัยใช้เป็นแผนการตลาด ใครติดกล้องหน้ารถจะได้ลดค่าประกัน เพราะจะช่วยให้ทำงานได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น


กล้องวงจรปิดหรือ CCTV ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นว่ามีการติดตั้งกล้องแทบจะทุกที เพื่อป้องกันโจรขโมย แต่การขโมยก็ไม่เห็นจะลดลง ยังมีการขโมยของ ยังมีการทำผิดในทุก ๆ ที่ ไม่เว้นกระทั่งในวัดในวา บางทีพวกที่มีนิสัยขี้ขโมยก็ปรับตัวเก่ง มักจะหามุมซอกหลืบหลบเลี่ยงมุมกล้อง หรือ บางคนแสนรู้หาทางปิดหน้ากล้อง แอบหันกล้องไปทางอื่น แม้จะมีกล้องมากมายก็มิอาจจะทำให้หัวขโมยรู้สำนึกได้ ก็คนมันคิดจะเอาของคนอื่น ต่อให้มีอะไรมาขวางกั้นก็มิหวั่น บาปกรรมยังไม้กลัวเกรง เพราะไร้หัวใจ ไร้จิตวิญญาณ ไร้สำนึก 

ใช่หรือไม่ ตอนเด็ก ๆ เรามักถูกสอนว่าพระเจ้ามองเห็นและรู้ทุกสิ่งที่เรากระทำ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็นการกระทำของเรา เรียกว่ามีดวงตาสวรรค์ คอยสอดส่องดูแลเพื่อให้เรารู้ตัว และยังให้เครื่องบันทึกที่มีระบบตักเตือนตนยามที่ก้าวไปในหนทางที่ผิดพลาด ที่เรียกว่า จิตสำนึก วิจารณญาณ วันนี้เราได้ทำให้ผู้ที่เฝ้ามองเราอยู่ทุกวี่วันได้ภาคภูมิใจอะไรในตัวเราบ้าง ที่สุดองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ใช้หลักฐานอันใดมาลงโทษเรา ดวงตาสวรรค์ที่มองลงมายังเรามีแต่ความรักและอภัยให้เราเสมอ

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ชาวเราหลบมาพึ่งถ้ำ


ชาวเราหลบมาพึ่งถ้ำ


สิ่งที่ทุกคนคาดหวังมักจะผิดหวัง เป็นความจริงแท้ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ เฉกเช่นกับคณะท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้ ที่ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจรอคอยด้วยความหวังว่าจะขึ้นบอลลูนเพื่อชมเมืองคัปปาโดเกีย แต่แล้วระหว่างทางไปยังเมืองนี้ไกด์ท้องถิ่นก็แจ้งว่า รัฐบาลประกาศว่าพรุ่งนี้ (วันกำหนดเวลาที่เราแจ้งไป) สภาพอากาศทิศทางลมไม่เอื้ออำนวยในการนำบอลลูนขึ้น กิจกรรมการท่องเที่ยวนี้รัฐบาลเป็นผู้จัดการแต่เพียงผู้เดียว เพื่อความปลอดภัย ฉะนั้นเมื่อมีประกาศแบบนี้ทุกสิ่งย่อมต้องเป็นไปตามนั้น และเพื่อไม่ให้การท่องเทียวที่นี่เงียบเหงาเกินไป จึงมีโปรแกรมเสริมเพิ่มเติมมาให้ คือ การนั่งรถวิบากขึ้นเขา เยี่ยมชมถ้ำที่ผู้คนในสมัยก่อนใช้เป็นที่พักหลบภัย รถแต่ละคันเตรียมพร้อม โดยมีเสียงเพลงดังลั่นเปิดปลุกให้ใจคึกคักในยามเช้า แล้วเมื่อรถออกตัวเท่านั้นแหละความวิบากก็เกิดขึ้น อาหารเช้าที่เพิ่งทานอิ่มถูกกระแทกย่อยสลายโดยพลัน ทางธรรมดาว่าขับลำบากแล้ว เหล่าบรรดานักขับยังขับปีนป่ายขึ้นเนินให้รถตะแคง จวบจนมาถึงจุดชมวิว ภาพข้างหน้าลบล้างความเสียวไส้ให้มลายหายไป


คัปปาโดเกีย คือเมืองมรดกโลก สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองนี้เต็มไปด้วยถ้ำที่เกิดจากเถ้าลาวาของภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อหลายล้านปีก่อนคริสตกาลและเกิดการทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา ถูกกระแสน้ำ แดด ลม ฝน หิมะ กัดเซาะกร่อน แผ่นดินนี้นับแสนล้านปี กลายเป็นภูมิประเทศที่มีรูปร่างประหลาดแปลกตาน่าพิศวง เป็นรูปทรงแท่ง กรวยคว่ำ ปล่อง กระโจม โดม ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย ชนพื้นเมืองเรียกว่า ปล่องไฟนางฟ้า ที่สำคัญ เมืองนี้มีความสำคัญกับคริสตศาสนาและนักบุญเปาโลเป็นอย่างมาก นี่เป็นเมืองที่นักบุญเปาโลหนีมาหลบภัยในถ้ำใต้ดินหลังถูกเนรเทศออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดียวกัน คัปปาโดเกียยังเป็นเมืองแรก ๆ ที่นักบุญเปาโลก่อตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นด้วย เราจะพบเห็นเมืองนี้ได้ในหนังสือกิจการอัครสาวก (2:9)


พูดถึงถ้ำที่นักบุญเปาโลหนีมาหลบภัย ถ้ำนี้เป็นถ้ำใต้ดินลึกลงไปประมาณ 85 เมตร (มีทั้งหมด 11 ชั้น) ซึ่งต่อมา คริสตชนกลุ่มแรกที่นักบุญเปาโลตั้งขึ้น ได้ใช้ที่นี่เป็นฐานหลบภัยเวลาพวกโรมันมาเข่นฆ่า ภายในถ้ำ มีทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตทั้งกายและจิตวิญญาณ พูดถึงฝ่ายกาย ที่นี่มีห้องนอน (แต่ไม่ได้นอนแบบดีๆนะครับ เป็นการนอนแบบหลบภัย) นอกจากนี้ ยังมีห้องครัว ห้องเก็บอาหาร ห้องนวดแป้งใช้ทำขนมปัง และห้องผลิตเหล้าองุ่นไว้ดื่มเวลามีงานเลี้ยงและใช้ในพิธีมิสซา ส่วนฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้ำนี้มีโบสถ์ใช้ถวายมิสซา เป็นโบสถ์ที่สร้างในศตวรรษที่ 1 โดยมีก้อนหินที่นำมาเป็นพระแท่นวางอยู่ตรงกลาง และมีกำแพงที่มีรอยไม้กางเขนจารึกอยู่เพื่อบอกว่านี่คือโบสถ์ด้วย ความมหัศจรรย์ที่ทำให้อึ้งก็คือคนโบราณเก่งมากๆ ขุดถ้ำลงไปถึง 85 เมตรเพื่อเป็นหลุมหลบภัย แถมขุดห้องใต้ดินต่างๆให้เชื่อมกันหมด เรียกได้ว่า เป็นพระพรที่พระเจ้ามอบให้ในการหลบภัยจากการเบียดเบียนศาสนาอย่างแท้จริง


นอกจากถ้ำใต้ดินแล้ว เมืองคัปปาโดเกียยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งชื่อว่า “เกอเรเม่” พิพิธภัณฑ์นี้เป็นถ้ำบนดิน (ต่างจากถ้ำนักบุญเปาโลที่เป็นใต้ดิน) ถ้ำเหล่านี้เป็นที่อยู่ของคริสตชนยุคแรกเริ่ม สมัยศตวรรษที่ 1-4 ตอนที่ศาสนาคริสต์ยังเป็น “ของต้องห้าม” ในอาณาจักรโรมัน คริสตชนมากมายหนีมาหลบภัยจากการเบียดเบียนในที่แห่งนี้ แต่พอศตวรรษที่ 4 เป็นต้นไปที่ “จักรพรรดิคอนสแตนติน” กลับใจมาเป็นคริสตชนและประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาทางการของอาณาจักรโรมัน ถ้ำเหล่านี้จึงกลายมาเป็นโบสถ์คาทอลิกและอารามนักบวชที่มีนักบุญชื่อดังหลายองค์มาพำนักในที่แห่งนี้


โบสถ์ในถ้ำที่ดังๆก็คือโบสถ์แอปเปิ้ล (APPLE CHURCH)และโบสถ์งู (SNAKE CHURCH)สาเหตุที่ชื่อโบสถ์แอปเปิ้ล เพราะสมัยนั้นมีต้นแอปเปิ้ลขึ้นอยู่ข้างๆ คนจึงเรียกแบบนี้ ส่วนโบสถ์งู มีที่มาจากภาพวาดบนฝาผนังที่เป็นรูปนักบุญจอร์จ (เซนต์ จอร์จ องค์อุปถัมภ์ของอังกฤษ) ขี่ม้าเอาหอกแทงมังกร แต่คนสมัยนั้น มองไม่ออกว่านี่คือมังกร พวกเขาคิดว่างู จึงเรียกง่ายๆว่า โบสถ์งู ทั้งสองโบสถ์ดังมากจนทุกคนที่มาเยือนต้องเข้าไปดู เพราะจิตรกรรมภาพวาดเกี่ยวกับคริสตศาสนานั้นงดงามมาก ภาพเหล่านี้วาดกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 และคงอยู่ถึงปัจจุบัน   ขอบคุณข้อมูล #PopeReport


ในขณะที่เยี่ยมชมถ้ำ เห็นถึงความลำบากของผู้คนในสมัยก่อนที่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ และคิดหาหนทางทำถ้ำให้เชื่อมโยงกันได้ มาร่วมกันสวดภานา นั่นเพราะความเชื่ออันแข็งแกร่ง ความศรัทธาที่เข้มข้น แล้วเราผู้อยู่ในยุคที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย ไม่ต้องหลบซ่อนเร้นความเชื่อความศรัทธา สิ่งเหล่านี้กลับถูกเก็บใส่ถ้ำในใจและปิดตายด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ เราจึงไม่ค่อยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้คือชีวิต เราจึงมาเข้าร่วมพิธีกรรมแบบพอให้เป็นพิธี จึงไม่ได้รับจิตวิญญาณความเชื่อที่แท้จริงกลับไปใช่หรือเปล่า....ความลำบากมักนำมาซึ่งความเข้มแข็ง

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ถิ่นนี้มีความมหัศจรรย์

ถิ่นนี้มีความมหัศจรรย์
ถึงแม้ว่าสมัยใหม่เราจะมีความสะดวกสบายมากขึ้นในการเดินทาง แต่บางทีเดินทางนานครึ่งค่อนวัน เราก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด คิดในใจว่าเมื่อไรจะถึงเป้าหมายเสียที แล้วคนในสมัยก่อนเล่า เขาเดินทางกันได้อย่างไร? หนทางที่ไกลแสนไกลเช่นนี้ แน่นอน หลายครั้งเราก็มักเอาความรู้สึก เอามาตรฐาน เอาบริบทของเราไปวางวัดคนอื่นในสมัยอื่น คนในสมัยรุ่นราวเก่าก่อนมิได้รีบร้อนเร่งรัดอะไรปานนี้เหมือนสมัยเรากระมังสิ่งที่จะช่วยให้เราพอที่จะละวางระหว่างทางได้คือภาพวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในต่างบ้านต่างเมืองตามข้างทาง ตุรกีเป็นประเทศที่หลายส่วนหลายพื้นที่อุดมสมบูรณ์ปลูกผลไม้ได้ผลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะทับทิม ที่นำมาทำเป็นชา นำมาทำเป็นขนม กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของประเทศนี้เลยทีเดียว  

ในช่วงเดินทางที่ยาวนานต้องมีการพักระหว่างทาง สิ่งที่เห็นและน่าจดจำอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอรถจอดทุกคนลงจากรถหมดแล้ว จะมีคนมาล้างรถทันที แล้วล้างกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ รถบัสที่นำคณะของพวกเรานั้นกระจกจึงใสอยู่เสมอ เท่านั้นยังไม่เท่าไร

ถ้าไปจอดในที่ไม่มีคนมาบริการล้าง คนขับก็จัดการล้าง เช็ดถูเอง นี่ดูคล้ายกับว่าเป็นวัฒนธรรมอันน่าประทับใจ และเนื่องจากตุรกีเป็นประเทศที่คนส่วนมากนับถืออิสลาม เราจึงแทบไม่ได้เห็นโบสถ์คาทอลิกเลย แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือ ดินแดนแถวนี้คือต้นกำเนิดการแพร่ธรรมของบรรดาอัครสาวก และความรุ่งเรืองของอารยะธรรมต่าง ๆ ก็อยู่ในบริเวณแถบนี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติหลากหลาย ก่อนมาเยือนได้อ่านในคู่มือท่องเที่ยวว่า คณะเราจะได้มายังปราสาทปุยฝ้าย ก็จินตนาการถึงสิ่งสร้างโบราณที่มีสีขาวทั้งหมด แต่ครั้นเมื่อมาถึง เทือกเขาข้างหน้าที่ขาวโพนนั้นมิใช่หิมะ แต่นี่คือสิ่งสร้างจากธรรมชาติ

ปามุคคาเล่ เป็นภาษาตุรกี หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย ตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนไหลลงจากผาสูง 100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ยูเนสโก้จัดให้เป็นมรดกโลกด้วย ภูเขานี้มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลลงมา น้ำแร่ร้อนสายนี้มีส่วนผสมของแคลเซียมอ๊อกไซด์ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 35 เซลเซียส และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวหิมะขวางทางน้ำเป็นทางยาว
นับเป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่งดงามยิ่งนัก เวลาที่ได้เดินชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติในที่แห่งนี้ ทำให้ลืมความเมื่อยล้าลงไปได้มากทีเดียว หลายคนลงไปแช่เท้าในแอ่งน้ำแร่ ที่ตอนแรกคิดว่าจะหนาวเย็นตามสภาพอากาศ แต่ที่ไหนได้ พอได้แช่เท้า น้ำแร่นั้นกลับอุ่น ช่วยผ่อนคลายได้ บนภูเขาขาวแห่งนี้มีระดับแอ่งน้ำอยู่หลายชั้น ถ้าในช่วงเวลาที่มีน้ำมาก เราจะเห็นการไหลหลั่งไล่ระดับของน้ำตามโขดชั้นผาหินขาว น้ำในอ่างแอ่งเป็นสีเขียวมรกต 


ใกล้ ๆ เป็นเมืองเก่าที่ชื่อว่า ฮีเอราโปลิส สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 190 ปี ก่อนคริสตกาล เดิมเป็นเมืองของชาวกรีก ต่อมาได้กลายเป็นเมืองสปาและศูนย์กลางการรักษาโรคของชาวโรมัน หลังจากที่มีการค้นพบน้ำแร่ร้อนที่ไหลลงมาจากภูเขา เราได้แต่เห็นซากปรักหักพังของเมือง แต่ไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปชมภายใน หากแต่ว่าโรงแรมที่พักได้จัดให้มีการแช่น้ำแร่ไว้ให้ ถือว่าได้ทำสปา น้ำแร่อุ่นถึงร้อน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายก็จริง แต่แช่นานไปก็ทำให้เพลียได้เหมือนกัน


จากข้อมูลเมื่อใดที่มาปามุคคาเล่ให้รู้ได้เลยว่า เรากำลังมาเยือนเมือง “โคโลสี” และ “ฮีเอราโปลิส” ที่มีอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์กิจการอัครสาวกในจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโคโลสี (4:13) ท่านเขียนถึงชาวเมืองฮีเอราโปลิสด้วยสภาพเมืองโคโลสีและฮีเอราโปลิสในปัจจุบัน ต้องบอกว่าเหลือแต่ “ซาก” ซึ่งแตกต่างจากเอเฟซุสเป็นอย่างมาก เอเฟซุสยังเป็นซากโบราณสถานแบบยิ่งใหญ่ แต่โคโลสีและฮีเอราโปลิสเหลือแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง เพราะที่นี่เคยเกิดแผ่นไหวครั้งใหญ่ เมืองที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูพังทลายเหลือเพียงเสาและเศษซาก สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่เคยยิ่งใหญ่ปราสาท เมือง ถูกธรรมชาติทำลาย แต่ธรรมชาติกลับสร้างปราสาทที่สวยงามมาทดแทน นี่แหละความเป็นมนุษย์ของเรามิอาจจะหยั่งรู้ถึงพระราชกิจแห่งการสร้างได้เลย



                การมายังแดนดินถิ่นนี้ทำให้เห็นถึงความอัศจรรย์ตา ที่เห็นเมืองโบราณที่มนุษย์สร้างขึ้น เห็นธรรมชาติที่สวยงามและซับซ้อน ที่พระเจ้าเนรมิตรขึ้นมา ที่สุดคือเกิดอัศจรรย์ใจที่มีต่อนักบุญเปาโลและสาวกผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธา ออกมาเผยแพร่พระธรรมความดีให้ผู้คนเป็นจำนวนมากได้เห็นถึงความรักของพระคริสตเจ้า ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ในแผ่นดินที่เต็มไปด้วยอำนาจ และความเชื่อที่แตกต่าง แม้ไม่ได้อยู่เคียงข้างกับพระเยซูเจ้าเหมือนดังอัครสาวกคนอื่น แต่เมื่ออัศจรรย์เกิดกับท่าน นักบุญเปาโลจึงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อให้ทุกผู้คนได้รู้จัก ความรัก ในรูปแบบใหม่ และนี่จึงกลายเป็นความสากลที่คนทั้งโลกได้รู้จัก ใช่หรือไม่ ระหว่างอัศจรรย์ตากับอัศจรรย์ใจ ความยิ่งใหญ่และน่าจดจำแตกต่างกัน แล้วในวันนี้เราได้ทำให้คนข้าง ๆ เรา พบกับอัศจรรย์แบบใดบ้าง……